ทิวาทาบ อาบพราย ปรายน้ำค้าง ก่อนลาร้าง แห้งหาย ระเหยริน กรุ่นไอหมอก เลื่อนหลบ ซบผืนดิน ภูผาหิน ตระหง่าน ต้านพระพาย วิภากร เคลื่อนแสง เเสดงศรี ถึงนาที ก้าวย่ำ ไปตามสาย ด้วยสองมือ ฝันฝ่า หาเลี้ยงกาย แค่จุดหมาย ดำรง คงชีวี จากกลางวัน หมุนเวียน เปลี่ยนค่ำคืน บ้างหยัดยืน บนทาง ต่างวิถี สิ่งรายรอบ สุขเศร้า คละเคล้ามี ทั้งชั่วดี เพียงจิต คิดกระทำ
มันมิได้เป็นเรื่องน่าเคืองนะ หากเราจะต่างจิตคิดกว้างขวาง มันมิได้มีกฎกำหนดวาง วัดทุกอย่างว่า "ใช่" ตามใครติง ของสำคัญแฝงไว้อยู่ในหัว และอย่ากลัวถ้าเห็นต่างในบางสิ่ง ดูนิ้วมือเอาไว้ใช้อ้างอิง รำพรายพริ้งหรือถ้าล้วนถ้วนเท่ากัน? เฉกเช่นเดียวยามรวมร่วมคณะ ต่างคนมีอิสระจะคิดฝัน มีความเห็นแตกแขนงแบ่งร้อยพัน ก็มิใช่กีดกั้นกันห่างไกล จากที่สูงมีรุ้งสายระบายฟ้า จากที่ราบมีทุ่งหญ้าและป่าใหญ่ จากต่างคนต่างจิตคิดต่างใจ รับฟังไว้เป็นสำคัญนั่นแหละดี มันมิได้เป็นเรื่องน่าเคืองนะ ถ้าเราจะฝึกสมองตรองถ้วนถี่ คิดสร้างสรรค์ แปลกใหม่ ให้เกิดมี เพื่อพรุ่งนี้นำเหนือวันเมื่อวาน ให้เหมือนดั่งนิ้วเพรียว ยาว เรียว ขาว ยามย่างก้าวเริงระบำรำอ่อนหวาน โป้ง ชี้ กลาง นาง ก้อย ร้อยวิญญาณ จึงสร้างงานสวยซึ้งเป็นหนึ่งเดียว.......................................................... แรงบันดาลใจจากประสบการณ์จริง และบทดอกสร้อย "นิ้วมือ" ของ อ.ฐะปะนีย์ นาครทรรพ
๏ สงบเย็นเห็นโลกโบกศานติ ชั่วขณะสมาธิสติตั้ง ละเลื่อมเงาเทาแสงแสดงพลัง ฉายมนต์ขลังหยั่งยอดหญ้าระย้างาม ๏ สดใหม่ใสกระจ่างสว่างจิต ความคิดดิ้นติดกับกับคำถาม จะหยุดยื้ออย่างไรไว้ในความงาม ทุกโมงยามยอดหญ้ายังงามอยู่ ๏ ลองหยุดย้อนความถามตนก่อน คำสอนเรื่องความงามตามความรู้ ถูกถกความตามสังคมชมเชิดชู ต่างตีความตาม "ตัวกู" รู้ว่างาม ๏ งามงดหมดจดจิตบรรเจิด พิเลิศเพลิดเพลินเกินมองข้าม ขาวใสไร้ริ้วรอยพลอยเพ้อตาม นี่คือความงดงามตาม "จิตกู" ๏ ลองหยุดย้อนความถามตนก่อน กาพย์กลอนสอนใจใยถึงรู้ ดั่งภาษิต " กูคิด จึงมีอยู่ " จิตจึ่งกระโจนสู่การยึดติด ๏ ชั่วขณะถนัดนึกตึกตรองชัด กระบวนทัศน์สลัดทิ้งพึ่งพิงจิต ปล่อยปลด ลด ละ วาง สางความคิด สิ่งใดใดใช่ถูกผิดจิตปล่อยวาง ๏ ปล่อยวางว่างห่างจากตัวตน เลิกหาล่าเหตุผลมาก่นอ้าง เผชิญพบทบทวนด่วนปล่อยวาง อย่าเก็บกักถักถ่างทางอารมณ์ ๏ แล้วโลกจะสงบพบสันติ ชั่วขณะสมาธิที่เหมาะสม ผลิโผล่โตเติบจากเปือกตม จักบานบ่มห่มโลกให้ร่มเย็น ๏ ยอดหญ้าอ้าบานเบ่งเร่งเหี่ยวเฉา สีสันบั่นบรรเทาทุกสายเส้น แตกตายสลายรวงร่วงกระเด็น ความงามที่แลเล่นล้วนลวงเรา ๏ จึงจับจิตจดจ่อปัจจุบัน สติสงบมั่นกลั่นความเขลา สว่างสัจธรรมนำร่มเงา เปิดม่านบ้านจิตเก่าเกิดสุขเย็น ๏ สงบเย็นเห็นโลกโบกศานติ ชั่วขณะสมาธิจิตชัดเด่น ละเลื่อมเงาเทาแสงแสดงเล่น ยอดหญ้าเบนเอนไหวในความว่าง !!!
Vorasak SagornJune 8 via mobile ดื่มด่ำดึกดื่นดาวดั่งรู้สึก ดำดิ่งลึกลงสู่ใจที่ไหวห่วง อนันตจักรวาลอันกลางกลวง ทะลุล่วงเอกอมฤตธรรมอำไพ จับเอาห้วงจักรวาลอันเวิ้งว้าง ออกมาวางเข้าหว่างดาวพราวสุกใส เวิ้งว่างอยู่กึ่งกลางหาวที่ยาวไกล มีเพียงใจที่ไปถึงซึ่งปลายทาง ดาว Unlike · · Share
วันนี้ขอประเดิมเริ่มเรื่อง "วัด" ซึ่งจำกัดนิยามหลากความหมาย ทั้งวัดวาอารามงามพร่างพราย และการวัดทั้งหลายในปริมาณ วัดวามีพระธรรมคำสั่งสอน ดับหนาวร้อนปลิดปลงในสงสาร มีพระสงฆ์ปฏิบัติธรรมฉ่ำชื่นบาน อภัยทานเขตแดนแสนเย็นใจ ใครเข้าวัดปฏิบัติธรรมล้ำเลิศนี้ ย่อมจักมีจิตพิสุทธิ์ผุดผ่องใส ชนมองว่ามีความงามข้างใน สว่างไสวความดีที่กระทำ นี่คือวัดอีกหนึ่งซึ่งควบคู่ เมื่อมองดู "คง" ไม่มีที่ใฝ่ต่ำ ย่อมถูก "วัด" คุณค่าน่าจดจำ ด้วยถ้อยคำ "คนดี" อย่างจีรัง แต่คำว่า "วัด" นี้มีคำถาม จะวัดความดีร้ายได้ฉมัง แค่เข้า "วัด" เช่นที่เห็นอย่างจริงจัง ใช้ "วัด-หยั่ง" ความชั่ว-ดี นี้ได้ฤา? ใครผู้มีกตัญญูรู้คุณท่าน ปิดทองด้านหลังพระไม่ออกสื่อ ผู้มีพระสถิตในใจและมือ ไม่เข้าวัดให้คนลือก็ถมไป ถ้าวันนี้ประเดิมเริ่มเรื่อง "วัด" ท่านเล่าจัดเป็น "วัด" ประเภทไหน "วัด" ผู้ที่มีพระนั่งอยู่กลางใจ หรือ "วัด" ใครเพียงเพราะเขาเดินเข้า "วัด"
ประจบน้องประจานนาย ผลิแต่ร้ายผายตัดรอน กมลในสันดร ย้อมจะร้างระคางจินต์ ระวังระไวจิต จะหลงผิดจนหมดสิน ชะโงกหน้าก้มมองดิน ถลำลึกควรตรึกตรอง ------------------------ หลงสุข ลืมสุขสลาย ตระคองกาย เดียวหม่นหมอง ประสงค์สม อารมณ์ปอง สลับเลื่อม จนเสื่อมงาม -------------------------- แก้วประภัสสร / ได้แค่นี้จริงๆเพคะพญาเพื่อนเอ๋ย ....คิดถึงมากๆ ถ้าไม่ได้เม้นให้ อย่าว่ากันน๊า แบบว่า สมองเออเร่อแล้ว งานเยอะ แงๆๆ ^_^
เพียงเพราะเขาแตกต่างในบางสิ่งเลือก ชอบ เชื่อ ข้อเท็จจริงในบางอย่าง แล้วต้องหาเหตุผลด้นกล่าวอ้าง ร่วมกันสร้างความชอบตอบใจตน หรือเพราะเขาคล้ายกันเกินกว่ารับ สิ่งผิดกลับผลิดอกจนออกผล ความพลั้งผิดคิดไว้ว่าแยบยล จึงซ่อนซุกทุกแห่งหนกลอำพราง แต่ความลับก็ยังเป็นความลับ หากเพียงเริ่มสืบจับไล่จากหาง จากเคยสวมสีเดียวเดินร่วมทาง จึงผลัดบ้างเปลี่ยนหัวกลัวตามทัน ยิ่งเขาขุดร่วมคุยขอลุยด้วย ยื่นเสนอขอช่วยคลายเชือกฟั่น อ้างอย่าสนกฎใดค่อยว่ากัน เขียนขึ้นใหม่ดีกว่านั้นฉันปรองดอง ใครใคร่ค้าน้ำมันค้าหุ้นค้า ใครใคร่แก้กติกามาสนอง ใครใคร่ยศศักดินามาจับจอง บัตรเลือกตั้งทั้งสองใครใคร่กา
มีคำถามอยู่ในใจคิดไม่ออกจะมีใครช่วยบอกตอบได้ไหม นาฬิกา ระยะทาง หรือหัวใจ เพราะอะไรทำไมต้องร้างลา ระยะทางที่ไกลใช่เหตุผล หัวใจคนต่างหากคือปัญหา หากมั่นคงแต่ไหนแต่ไรมา ให้เวลาพิสูจน์ระยะใจ มีคำถามเอาไว้เป็นข้อสอบ ใครช่วยตอบให้หายคลายสงสัย ว่าเหตุผลเพราะเวลาที่เปลี่ยนไป หรือเหตุผลเป็นเพราะใจคนเปลี่ยนแปลง
ผู้จารจดเปรอะเปื้อน เป็นวิสัยหญิงชายพูดพล่ามเผลอ ภพรู้ อีกพร่องความเที่ยงใจ เจือโหด ก่อพิพาทให้ผู้ อื่นหมอง ละรักโกรธสลัดทิ้ง เสียเทอญ คลายวิโยคาดูร ผ่อนพ้น ไยเอาแต่จะเมิน มองผ่าน บาปจะนำแต่แพ้ ไป่นาน จำเดิมคราก่อนครั้ง ยังเยาว์ พงศ์เผ่าสนิทดัง พี่น้อง มาบัดเดี๋ยวโงกเหงา บ่มองกันแล ต่างคนต่างคอยจ้อง แบ่งแยก แดง เหลือง
(๑) มหัศจรรย์แห่งความคิด จรดหมึก บรรจงลง บนช่องว่าง ปากกาวาง ร้อยเรื่อง เป็นเป้าหมาย สมองคิด จิตสั่งงาน ชั่งท้าทาย ให้กลับกลาย เป็นคำกลอน อักษรคม จากช่องว่าง บังเกิดเป็น ตัวอักษร มาร้อยรอง ถักทอ ให้สุขสม จากความคิด ที่ล้วงลึก ในกมล มาแปลงลง เป็นเรื่องราว ให้ก้าวไป ความหมื่นพัน อันละเลง บรรเลงสร้าง ล้วนมาจาก การผสาน อันสดใส หรือแม่แต่ จะเป็น ความทุกข์ใจ ช่างกระไร กลั่นกรองจาก สมองคน จะคิดดี หรือ คิดชั่วก็มีภาพฯ ที่ฝันวาด จากความคิด จิตฉงน จะมีค่า หรือไร้ค่า ก็ความตน จะสุขทุกข์ หรือวกวน เพราะตนทำ เริ่มสัมผัส อารมณ์ที่ เริงร่า มันนำพา ให้เกิดคิด จิตถลำฯ จะรู้ลึก รู้ตื้น ก็รู้มัน ปรุงแต่งฯพลัน ให้เกิดภาพ ประหลาดใจ หากแค่คิด ก็หยุดลง ที่ตรงฉัน พอเริ่มทำ เอ๊ะมันฤๅ จะสดใส ? ถ้าเรื่องคิด มากจากเรื่อง ของหัวใจ ถ้าเป็นไป ตามธรรมก็ โอเค แต่ถ้าคิด จัญไร เห้ยมันชั่ว ถูกมอมมัว ด้วยความเลว ไอ้เพลเส มันนำพา อัปยศ และรวนเร
ต่อให้ความโศกเศร้าผ่านเข้ามาจะหนักหนาเพียงไรยังสู้ไหว ต่อให้ความเงียบเหงามากเท่าไหร่ อยู่คนเดียวทนไปไม่อ่อนแอ ต่อให้ความท้อแท้มาเคียงข้าง คงไม่คิดถอยห่างที่จะแพ้ ต่อให้ความเจ็บช้ำนั้นรังแก ก็ไม่แคร์ขนาดต้องทุกข์ตรม ต่อให้ความรักแท้แตกสลาย หากคงไม่ถึงตายนอนซานซม ต่อให้ดวงใจพบความขื่นขม ป่าวทุกข์ระทมให้เสียเวลา ต่อให้ชีวิตจะหมดสิ้นหวัง ไม่มีทางเสียพลังสร้างสิ่งมีค่า กับเรื่องราวเล็กใหญ่โหมเข้ามา ต้องแกร่งกล้าเพื่อวันหน้าจักก้าวไป
ขออย่าเพิ่งเลิกสิ้นหวังหมดพลังการไขว่คว้า แค่เริ่มต้นก็ถอยลา เสียดายค่าแรงตั้งใจ เธอต้องกล้าฝ่าขวากหนาม แม้ลุกลามต้านทนไหว ลองลิ้ิมรสว่าเพียงไร เรียนรู้ไว้ให้แกร่งพอ และเมื่อเธอสู้อีกหน จักฝ่าชนอย่างไม่ท้อ หนักหรือเบายังก้าวต่อ ถึงสิ่งรอดงต้องการ ถ้าเธอหนีมัวแต่เศร้า ปล่อยใจเราถูกเผาผลาญ ความหวังก็ยากพบพาน คงอีกนานกว่าเป็นจริง
เก็บข้าวหล่นบนพื้นกลืนลงท้อง เติมเต็มห้องหัวใจที่ไห้โหย กินแก้มตุ่ยตุ้ยเคี้ยวรีบเกี่ยวโกย อยู่ได้โดยโดดเดี่ยวแม้เดียวดาย ไร้บ้านพักรักพิงจะอิงอุ่น มีไม้หนุนแทนหมอนนอนท่ามสาย ลมพัดผ่านพล่านพลิ้วถึงผิวกาย หนาวปางตายแต่ต้องมิร้องครวญ บางคืนฝนกระหน่ำจำฝังจิต เดือนมืดมิดมัวหม่นทนกำสรวล ปลุกปลอบขวัญวันล้าฟ้าแปรปรวน ดั่งโซ่ตรวนตอกตรึงขึงชะตา แม้ตกกรรมต่ำเตี้ยติดเรื่ยพื้น ต้องฝึกฝืนขืนแรงให้แกร่งกล้า รอดคือหวังฝั่งหนผลนำพา ขอสู้ฟ้าพาตน พ้นโพยภัย จะเติบตนบนทางที่ร้างสิทธิ์ มุ่งลิขิตหนทางสว่างใส เศษข้าวน้อยคอยย้ำกำลังใจ ไม่ให้ใครมองเห็นเป็นเศษคน
มณีรัตน์ประภัสสรสะท้อนแสง ล้วนเสียดแทงนัยน์เนตรวิเศษสี ค่าครองเมืองหายากลำบากมี อัญมณีล้ำค่าอ่าอำไพ เพชรดา มรกต งดงามเด่น นิล โกเมน มุกดา พาหลงใหล บุษราคัม ทับทิม พริ้มประไพ เพทายไซร้ ไพฑูรย์ จำรูญตา งามเพริศแพร้วแก้วเก้าเนาวรัตน์ แจ่มจำรัสเลิศเลอชนเพ้อหา เสี่ยงชีวีพลีกายหมายได้มา ด้วยรู้ค่ารัตนะไม่ละเพียร แต่ไก่กาวานรเทียวจรเล่น พานพบเห็นจินดาพาส่ายเศียร กลับทิ้งขว้างวางไว้ให้ดาษเดียร แสนอิดเอียนเมินหน้าอิดหนาใจ เปรียบคำปราชญ์แจ้งธรรมน้อมนำสัจ ย่อมขจัดทุกข์จางสว่างไสว แต่ชนพาลกลายเมินเดินห่างไกล ด้วยดวงใจมืดมิดจิตหมองมัว...