การคิดถึงตนเองมากเกินไป....ไม่ดีแน่ พาให้แย่ไร้ผู้คนอยากคบหา คิดถึงแต่ตนเองตลอดเวลา ช่างไร้ค่าไร้งามความเป็นคน การคิดถึงตนเองนั้นธรรมดา ดุจทำไร่ไถนาย่อมหวังผล เพราะทุกผู้ล้วนแสวงหาประโยชน์ตน พร้อมดิ้นรนเพื่ออยู่รอดตลอดไป หากแต่การคิดถึงคนอื่นด้วย จะอำนวยผลดีที่ยิ่งใหญ่ เหตุความรักความอารีที่แบ่งไป สิ่งที่ได้กลับมานั้น...สันติธรรม สันติธรรม....งามงดหมดจดยิ่ง เป็นขวัญมิ่งคุ้มภัยไม่กรายกล้ำ เป็นความสุขความยินดีวิถีธรรม เลอค่าล้ำ....ค้ำจุนหนุนโลกเอย
เก็บเล็กผสมน้อยค่อย ๆ เก็บ เอาซุกเหน็บพกห่อพอถูไถ เก็บเล็กผสมน้อยค่อยเก็บไป จากเล็กน้อยเป็นมากมายด้วยใจทน อภัยเล็กอภัยน้อยหมั่นคอยให้ ฝึกฝนใจฝึกฝนจิตคิดกุศล อภัยเล็กอภัยน้อยจากใจตน ย่อมส่งผลสุขสงบพบไมตรี ความดีเล็กความดีน้อยค่อย ๆ สร้าง เปรียบปูทางสู่เมืองแมนแดนสุขี ความดีเล็กความดีน้อยค่อย ๆ ทวี เป็นรังสีเกราะหุ้มคุ้มชีพเอย
ด้วยหัวจิตหัวใจในตัวเจ้า อะไรเล่าทำเขลาเจ้าน้องเอ๋ย ฆ่าเขาแล้วเจ้าได้อะไรเลย โลกทั้งใบดับเฉยในพริบตา จะโกรธแค้นเคืองขุ่นกรุ่นอาฆาต จนมิอาจดับได้หรือไรหนา พบเจอกันต้องบั่นทอนกายา ให้วอดวายแล้วอย่ามาเจอกัน ฆ่าเขาแล้วเจ้าได้อะไรเล่า ชีวิตเจ้าก็เหมือนสุดสิ้นหวัง อนาคตวูบดับลับพินพัง แม่พ่อนั่งโศกเศร้าเคล้าน้ำตา หนึ่งชีวิตดับสิ้นจากอกแม่ จากรักแท้ที่มีมากล้นฟ้า อิสระอีกชีวิตสิ้นราคา มิอาจพ้นข้อหานำพาไป
..............สิ่งก่อเกิดล้วนมีที่สาเหตุ ..............เป็นเจตนาพาให้ส่งเสริม ..............ก่อนจะมีอะไรเข้ามาเติม ..............คอยจัดเพิ่มย่อยปลีกอีกมากมาย ..............มันจึงเต็มกลมกล่อมสมบูรณ์แบบ ..............น่าแยบยลเคลิ้มฝันอยากมั่นหมาย ..............อิงแอบข้างชิดใกล้ไว้เคียงกาย ..............อิ่มอุ่นภักดิ์ภายในหัวใจเรา ..............เพราะว่าเราเข้าใจกันและกัน ..............ความผกผันมองเป็นสิ่งเร้นเปล่า ..............สักวันคงห่างหายคลายเงื่อนเงา ..............มีสิ่งอื่นเข้ามาคอยทดแทน ..............สำคัญแต่กับสิ่งที่เขามี ..............ความหวังดีทุกช่วงและหวงแหน ..............เคารพกันและกันพอเป็นแกน ..............ยามท่อนแท่นอ่อนไหวใจไม่ดี ..............แล้วหาค่าคำว่าครึ่งกึ่งกลาง ..............ในระหว่างภาวะเป็นเรานี่ ..............ความรู้สึกนึกคิด ฉัน-เธอ มี ..............เพียงแค่ไหนที่เราเฝ้าต้องการ ก า ร ไ ด้ รู้ จั ก ใ ค ร น า น ๆ ยั ง อ า จ เ ลิ ก ล า ไ ด้ สำ คั ญ ที่ ว่ า รู้ กั น แ ล้ ว เ ข้ า ใ จ กั น แ ค่ ไ ห น ..............
ใบมีดกระทบเนื้อ เเล่เถือๆให้เลือดหลั่ง ชิมเลือดที่ไหลคั่ง น้ำตาหลั่งปรุงรสเค็ม ทอดมองข้างๆกาย เธอหายแล้วแลไม่เห็น ชีวิตนี้ ช่างลำเค็ญ หยิบมีดเย็นปาดหลอดคอ อ่อก อ่อก แอ่ก แค่ก แค่ก ตาเหลือก ล่อก แล่ก หายใจไม่ออกหนอ ไม่สามารถหายใจคอ ทุรนทดท้อ ตะเกียกตะกาย ผนังฝ้า เริ่มลางเลือน เจ็บเนื้อที่เฉือน มากกว่าใจ มองทอดออกไปไกล เเว่วเสียงร่ำไห้ ของใครกัน? นี่เลือดแม่ นี่หนังแม่ นี่เนื้อแม่ นี่ใจเเม่ ใครกันเป็นเจ้าของที่แท้ ใยเจ้าทำแม่ได้ลงคอ ฟื้นสิลูกฟื้น ลืมตาตื่น เถิดลูกรัก มีดนี้ที่ลูกฟัก มันปักตรงกลางลำใจ ทรมานมากไหมลูก ที่ลูกกรีดเนื้อของแม่ เจ้าคงเจ็บ เป็นแน่แท้ ใยฆ่าแม่ไปทั้งเป็น โอ้แม่จ๋า น้ำตาแม่ไหล ใครหนอใครทำแม่นี้ เเม้จ๋า บอกลูกที หันมาทางนี้ ระบายให้ลูกฟัง แม่จ๋าแม่ ได้ยินลูกไหม แม่จ๋า ใจลูกป่วย แม่จ๋า โปรดช่วยเป่าโรคร้ายไป เหมือนสมัย ลูกยังคลาน แม่จ๋าแม่ ยินเสียงลูกไหม ใยไม่ใส่ใจ ลูกเหมือนเก่าก่อน นั่นใครเล่าแม่ที่แม่กอดตระครอง ใยกายเขานองไปด้วยเลือดแดง แม่จ๋า อย่าร้อง.... แม่จ๋า โปรดหันหาลูก... แม่จ๋า... แม่ แม่ แม่ . . . . . ใยแม่ไม่ได้ยินเสียงลูก... ใยแม่ไม่ให้ลูกเห็นตาที่โอบอารีนั้นอีก แม่จ๋า แม่
ล้มแล้วลุก....ปลุกตนพ้นตมปลัก ล้มแล้วลุก....ตั้งหลักให้มั่นหนา ล้มแล้วลุก....ก้าวต่อไปในมรรคา ล้มแล้วลุก....จนกว่าจะถึงชัย ล้มแล้วลุก....หยัดยืนขึ้นทายท้า ล้มแล้วลุก....หันหน้าสู่ฟ้าใหม่ ล้มแล้วลุก....อย่าหวั่นจงมั่นใจ ล้มแล้วลุก....สู้ต่อไปไม่ต้องกลัว แม้นวันนี้เหนื่อยนักไม่อยากลุก หรือวันนี้แสนทุกข์ดังฟ้าสลัว เหมือนชีวิตสิ้นทางออกเยี่ยงหมอกมัว ขออย่ากลัว....จงเร่งสร้างกำลังใจ ถึงจะล้มอีกกี่ร้อยกี่พันครั้ง อย่าสิ้นหวังสิ้นศรัทธาอย่าสงสัย จงเร่งเพิ่มเติมหวังพลังใจ แล้วก้าวไปสู่จุดฝัน...อันหมายปอง ** ด้วยรักและปรารถนาดี แด่ทุกดวงใจที่อ่อนล้า **
ดอกไม้จะบานวันพรุ่ง ยามรุ่งจะเกิดเเสงฉาน พรุ่งนี้จะมีตะวัน เเลฉันก็จะกลับไป รอฉันรอก่อนนะเเม่ อีกเเค่วันเดียวรอได้ รออีกสักครึ่งอึดใจ เเล้วจะคลาไคลกลับเรือน ยังก่อนคืนนี้เหน็บหนาว ขืนคาวกระหน่ำเชือดเฉือน ย่ำรุ่งจะมุ่งสู่เรือน ดูเดือนต่างพักตร์ก่อนนา ........................................................................................................... ดอกไม้บานเเล้ววันนี้ ฟ้ามีตะวันส่องฉาน ยังเเต่ยายเเก่ดักดาน เหมือนไร้วิญญาณเหม่อมอง น้ำตาอาบนองเนืองหน้า อุรารานร้าวเศร้าหมอง วาดฝันละเมอเหม่อมอง กวาดตามองสองข้างทาง กี่ปีเเม่นี้รอได้ หากยังมิตายเสียก่อน จากเช้ากลายสายบ่ายคลอน จนตะวันรอนลับไป...........
ท่ามกลางผู้คนมากมายในชุดดำที่เดินขวักไขว่ ชายหนุ่มผู้หนึ่งนั่งสงบนิ่งอยู่ที่มุมศาลา บนตักของเขามีเด็กน้อยผู้หนึ่งหลับอยู่ ดวงตาบอบช้ำและแดงก่ำซุกซ่อนอยู่หลังแว่นดำที่เขาสวมใส่ ริมฝีปากปิดสนิท ไร้ซึ่งสุ้มเสียงเสวนากับผู้คน ท่าทีขึงขังและเงียบขรึมทำให้มิมีผู้ใดกล้าเอ่ยทักทาย หลายคนกระซิบกระซาบและวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่าง ๆ นานา ท่ามกลางเสียงอึกทึกและโกลาหล ภายในจิตใจของชายหนุ่มกลับสงบนิ่ง ภาพอดีตพรั่งพรูอุบัติในความทรงจำ ชายหนุ่มพึมพำพูดกับพ่อของตนเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ร่างไร้วิญญาณของพ่อจะมอดไหม้ เป็นเถ้าธุลีในอีกไม่กี่อึดใจ ***************** จำได้เมื่อวัยเยาว์ เคยปวดร้าวไม่เข้าใจ เคยคิดเคยสงสัย พ่อทำไมไม่รักฉัน น้ำเสียงและแววตา ทุกครั้งคราช่างดุดัน พ่อเรียก...ฉันตัวสั่น งกเงิ่นพลันหวาดหวั่นกลัว ผิดนิดหรือผิดหน่อย ไม้เรียวคอยกระหน่ำหัว เจ็บช้ำไปทั้งตัว ริ้วรอยทั่วเพราะไม้เรียว เข้มงวดเสียทุกอย่าง จะก้าวย่างต้องคอยเหลียว เสียงดังแค่นิดเดียว ก็โกรธเกรี้ยวจนถอดใจ ใช้งานฉันทุกสิ่ง ต้องรีบวิ่งช้าไม่ได้ พลาดผิดของเสียหาย พ่อบ่นได้วันทั้งวัน โธ่เอ๋ย อนิจจา ฉันเกิดมาทำไมกัน ในเมื่อไม่รักฉัน แล้วไยกันให้เกิดมา บังคับและเคี่ยวเข็ญ ทั้งเช้าเย็นให้ศึกษา ท
... หนี่งปีล่วงเลยกาลผ่านครบรอบ จะขอมอบบทกลอนอักษรศิลป์ เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้ยลยิน ใช้เป็นดินปูทางได้ก้าวเดิน หนึ่งปีนี้ทำสิ่งใดลงไปบ้าง สิ่งที่ดี สิ่งพลาดพลั้ง สิ่งห่างเหิน สิ่งบกพร่อง อีกสิ่ง ที่ขาดเกิน อย่ามองเมินสิ่งเก่าที่เราทำ การกระทำทั้งหลายนำมาคิด เพ่งพินิจสิ่งดีสิ่งเลิศล้ำ สิ่งไม่ดีที่พลาดผิดก็จดจำ เป็นบทเรียนชี้นำทางก้าวเดิน สุดท้ายนี้ขอให้สิ่งที่ท่านเคารพ ให้ท่านได้พานพบสิ่งที่หวัง ให้ท่านมีสุข-ให้ท่านมีพลัง ขอสุขสันต์สุขศรีทั้งปี เทอญ ขออวยพรก่อนล่วงหน้า ข้าน้อยมิบังอาจสอนสั่ง เพียงแต่ฝากข้อคิดไว้ ให้ท่านทั้งหลายได้พิจารณา
กาสะลองช่องามสามสิบเอ็ด แม้ถูกเด็ดจงอย่าท้อขอให้มั่น จะมีสุขทุกข์อย่าถอยคอยแบ่งปัน ประดับฝันให้งดงามตามสมควร กาสะลองร้องรับประดับฝัน เพียรขยันหมั่นศึกษาปัญญาหวน แม้ผจญกลปัญหาอย่าเรรวน คิดใคร่ครวญจะพบทางให้ย่างไป หากเจ้าพบทางแยกสายหลายสิบทิศ ลองหยุดคิดเจ้าจะถางเส้นทางไหน ใช้สมองใช้สองมือใช้หัวใจ เส้นทางไปให้เจ้าคิดลิขิตเอง กาสะลองดอกขาวจะขานขับ เจ้าจงพร้อมน้อมรับกระฉับกระเฉง เพราะเจ้าถางทางเข้าเจ้าเลือกเอง อย่าหวั่นเกรงจงสุขสม.....ใต้ร่มกาสะลอง
ความสุขของความรัก คือ การได้เห็นคนที่เรารัก มีความสุขทั้งกายและใจ เมื่อเขาได้อยู่กับคนที่เขารัก แต่จะมีสักกี่คนที่คิดได้แบบนี้ ความสุขของความรัก คือ การทุ่มเททุกอย่างให้กับความรัก และคนที่เรารัก แต่เวลาเสียใจจะมีไหมคนที่เรารักมาร่วมเสียใจกะเราไหม ... ถึงจะมีบ้างมันก็ไม่เสมอไป และไม่ใช่ทุก ๆ เรื่องด้วย ความสุขของความรัก คือ การได้รัก และการเผื่อใจใว้รักตัวเองด้วย....คิดอย่างคนฉลาด(คนที่เคยรัก....และคนที่เคยถูกทิ้ง) ความสุขของความรัก คือ การได้เสียใจกับความรัก และน้ำตาจากความรัก ..... ใช่ความสุขสำหรับบางคนที่แอบชอบของคนอื่น ..... แต่ก็ไม่ใช่ความสุขของทุกคนที่เคยมีความรัก รัก...รัก...รัก... คำ ๆ เดียวที่ให้เราได้ทุก ๆ อย่าง ดีใจ เสียใจ สุข ทุกข์ น้ำตา และความพลัดพราก ......แต่เราก็ควรจะดีใจที่ครั้งหนึ่งเกิดมาได้รู้จักความรัก อย่างแท้จริง ... มิใช่หรือ
เมื่อเราเดินข้ามฟ้าจนครบรอบวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ ผ่านฤดูฝน ผ่านการเป็นหวัด ผ่านการสั่งน้ำมูก ผ่านสงกรานต์ ผ่านตรุษจีน ผ่านอะไรต่อมิอะไร เราน่าจะทบทวนถึงการโคจรในรอบต่อไปว่า อะไรที่กำลังจะผ่านไปหรืออะไรที่เราจะผ่านพ้น จะมีอะไรบ้างเกิดประโยชน์ ใช่การโคจรรอบดวงอาทิตย์อย่างไร้ความหมาย การเคลื่อนไหว การใช้ความคิดต่างๆของเรา แม้ดูเป็นการสมมุติ แต่มันคือความจริงยามที่เราเป็นสิว เป็นนิ่ว ฝันให้พอดี ทำอะไรแต่พอดี หลังจากที่ทำความรู้จักตัวเองมานาน มัวแต่พะเน้าพะนอตัวเอง ลองหันไปเอาใจใส่ใครอื่นบ้าง ลืมตัวเองบ้าง มองเห็นคนอื่นบ้าง แล้ววงโคจรต่อไปที่จะครบรอบการเดินทางของโลกรอบดวงอาทิตย์คงน่าประทับใจ ไม่หนักจักรวาล
มีซิ้มแก่คนหนึ่งนอนแน่นิ่ง ไม่ไหวติงขยับเยื้อนและเคลื่อนไหว รวยระรินเหนื่อยอ่อนซ่อนความนัย ตาที่หลับเพียงได้กระพริบตา หายใจแผ่วเนิบนาบอย่างแผ่วพริ้ว ปรากฏริ้วแห่งวัยให้อ่อนล้า ผิวขาวซีดยังดูนวลลออตา ลูกทั้งห้า..ล้อมรอบข้างขอบเตียง และนิยายชีวิตใกล้ปิดฉาก ชีวิตจากแผ่นดินใหญ่ใกล้ดับเสียง มะเร็งร้ายยื่นความตายเป็นคู่เคียง ไม่หลีกเลี่ยงตั้งมั่นรับ..อย่างเต็มใจ ซิ้มคนนี้ลืมตาอย่างเหนื่อยล้า ในแววตาไร้รู้สึกที่หวั่นไหว ข้าวปลานั้นไม่อาจฝืนกลืนลงไป มีเพียงน้ำหยอดได้พอประปราย ป้อนน้ำใส่ปากซิ้มด้วยจิตล้า มีน้ำตาไหลร่วงมาเป็นสาย น้ำตาหล่นมากกว่าน้ำที่ป้อนไป ให้โหยไห้..สงสารซิ้มกินอะไร ให้น้ำเกลือไม่ได้หัวใจแหลก เส้นเลือดแตกเพราะชีพใกล้ดับขัย เส้นเลือดเปราะเพราะชีวิตที่แก่วัย ซิ้มค่อยผ่อนลมหายใจ..อย่างรู้ตัว ซิ้มนอนนิ่งเหมือนรู้ เลิกสู้โลก สามวันโศกพ้นผ่านกับโลกสลัว สามกันยาปีสองเก้า เศร้ามืดมัว ปิดตาตัว..ทิ้งลูกผัวทิ้งร่างไป สิบแปดปีที่ไร้แม่อยู่เคียงข้าง คราอ้างว้าง...ยังร่ำหาแม่อยู่ไหน สาวสุดท้องติดแม่มากยังช้ำใจ ขออาลัยแด่*แม่*รักอีกสักครา ********** *ซิ้ม*...ผู้หญิงคนหนึ่งที่พลัดพรากจากแผ่นดินแม่มา *ซิ้ม*...ผู้หญิงที่เต็มไปด้วยวิญญาณของความเป็นแม่ *ซิ้ม*...ผู้หญิงที่ต่อสู้กับโรคร้ายด้วยหัวใจที่แข็งแกร่ง *ซิ้ม*...คือแม่ของเรา วันนี้เราขออาลัยถึงแม่..ที่รัก 3 กันยายน 2547 ครบรอบ 18 ปีวันต
วาเลนไทน์ความรักบานมีความสุข วันสนุกต้องคริสมาสต์เลี้ยงสังสรรค์ ขึ้นปีใหม่กินเหล้าเมายากัน วันเกิดมันส์เป่าเค้กเลี้ยงกันดี เหลียวมองหน่อยประเพณีที่เก่าแก่ มีมาแต่ยังไม่เกิดคุณรู้นี่ แต่ทำไมไม่สนใจไม่ใยดี สิ่งที่มีอาจสูญหายถ้าเฉยชา