กว่าลูกจะโตเป็นคน ลำบากลำบน ต้องว่ายแข่งขันกันมา จากเชื้ออสุจิบิดา แหวกว่ายฟันฝ่า ล้านกว่าล้มหายตายไป เหลือเพียงหนึ่งเดียวนี้ไซร้ วิ่งรอดปลอดภัย ผสมรังไข่มารดา เจ้าเปรียบเป็นเช่นคนกล้า จึงได้เกิดมา แม่ต้องปกป้องคุ้มภัย ลูกคือสายเลือดสายใจ ลำบากเพียงใด จะเลี้ยงให้จนได้ดี เหนื่อยยากทุกข์เข็ญทวี แม่พร้อมยอมพลี เสียสละละสุขทั้งปวง ลูกเป็นเหมือนดาวล้านดวง ลูกเป็นเหมือนห่วง โซ่ทองคล้องใจมารดา เจ้าเป็นดุจเพชรล้ำค่า บริสุทธิ์เกิดมา แม่ต้องรักษาให้ดี ต่อเมื่อลูกโตเต็มที่ ขอเป็นคนดี ให้แม่คนนี้ชื่นชม สิ่งใดที่แม่เพาะบ่ม เพียรเฝ้าอบรม ลูกรักจักควรทำตาม ชีวิตลูกจะงดงาม ทุกโมงทุกยาม ขยันและหมั่นอดทน นึกถึงวันเกิดเป็นคน ลำบากลำบน กว่าลูกจะได้โตมา แม่หวังเพียงวัยชรา หมดห่วงลูกยา เวลาล่วงลับดับไป จงหมั่นทำดีเข้าไว้ ให้แม่ภูมิใจ ก่อนตายตาหลับลูกเอย แก้วประภัสสร 10/08/2553 ขอบคุณภาพจากกูเกิ้ลค่ะ
เศรษฐีคนหนึ่งถามคนตกปลา ทำไมท่านไม่หาเรือมาช่วย ถ้าคิดอยากจะเป็นคนร่ำรวย ท่านต้องหาเรือสวยสวยช่วยผ่อนแรง คนตกปลา ถามได้เรือมาแล้วเป็นไง เศรษฐีตอบ ออกเรือไปเผื่อขันแข่ง สู่ทะเลลึกเพื่อหาปลาแพงแพง คนตกปลา แย้งถ้าได้ปลาแล้วจะทำไม ท่านก็ต้องเอาปลานั้นไปหาขาย พอได้เงินมากมายก็เก็บไว้ พอท่านร่ำรวยขึ้นแล้วจะทำอะไร ก็มานั่งตกปลาไง...ไร้กังวล... คนตกปลา ขอโทษทีเถอะนะท่าน สาธยายเสียร้อยพันแบ่งโภคผล กะแค่เพิ่ม...คนตกปลา...อีกหนึ่งคน ข้าไม่เห็นต้องดิ้นรน...ก็ตกเป็น
เปรียบชีวิต คนเรา เท่าหนึ่งวัน จะแสนสั้น หรือทอดยาว สักเพียงไหน ในที่สุด หนึ่งวัน ก็ผ่านไป เหลือทิ้งไว้ เพียงเศษเงา เถ้าธุลี ในหนึ่งวัน มีมืด มีสว่าง มีอาทิตย์ ส่องทาง นำวิถี มีแสงจันทร์ งดงาม ยามราตรี มีสุขเกษม เปรมปรีดิ์ มีทุกข์ทน มีความสุข มากมาย ก็หลายครั้ง มีความทุกข์ ประเดประดัง ก็หลายหน มีรอยยิ้ม อิ่มใจ ก็หลายคน มีน้ำตา เอ่อท้น ก็หลายครา เปรียบชีวิต คนเรา เท่าหนึ่งวัน ผู้ฉลาด รู้เท่าทัน เร่งสร้างค่า ให้คุ้มกับ ที่เกิด กำเนิดมา โดยไม่ปล่อย เวลา เสียเปล่าไป ส่วนผู้ด้อย ขลาดเขลา เบาปัญญา วันเวลา หามี คุณค่าไม่ หลงระเริง วังวน กลอบาย จนสุดท้าย คิดกลับใจ ก็สายเกิน เปรียบชีวิต คนเรา เท่าหนึ่งวัน ใคร่ครวญกัน อย่ามอง แค่ผิวเผิน ทางชีวิต ลิขิตไว้ ให้เลือกเดิน อย่าหลงเพลิน สิ่งลวง บ่วงแห่งมาร เหตุมิมี สิ่งอันใด ที่จีรัง อนิจจัง คือความจริง แห่งสังขาร จากวันเกิด ถึงดับดิ้น สิ้นลมปราณ เหลือผลงาน ไว้เบื้องหลัง บ้างนะเอย (เข้าพรรษา 2553)
เคยไหม ใคร่เร่ง เวลา ให้รุด เดินหน้า ไวไว เคยไหม รุ่มร้อน ดุจไฟ อยากถึง จุดหมาย ในบัดดล เคยไหม อยากฉุด เวลา ให้เดิน ช้าช้า สักหน หวังตัก ตวงสุข ใส่ตน ก่อนที่ จะพ้น ผ่านไป เคยไหม ใคร่ย้อน เวลา ผ่านมา แล้วหวน คืนได้ ทั้งที่ รู้อยู่ แก่ใจ เป็นไป ไม่ได้ ย้อนเวลา ชีวิต ทุกวัน คนเรา ว่างเปล่า หรือเปี่ยม คุณค่า ทุกคน ล้วนมี เวลา สมบัติ ล้ำค่า เท่ากัน พินิจ คิดดู เป็นไร พึงใช้ เวลา เพื่อสร้างสรรค์ หรือหาย ใจทิ้ง ไปวันวัน คิดกัน ก่อนหมด....เวลา
ครอบครัวหนึ่งลูกมักทะเลาะกัน สารพันมีปัญหาไปทุกเรื่อง แม้ความเล็กความน้อยก็โกรธเคือง เถียงต่อเนื่องทะเลาะกันเป็นประจำ มาวันหนึ่งพ่อคิดจะสอนสั่ง ให้มานั่งพร้อมหน้าพูดสอนพร่ำ หยิบแขนงไม้ไผ่มาหนึ่งกำ เพื่อหวังนำมาสอนลูกทุกคน แจกแขนงไม้ให้คนละอัน แทนความพันผูกรักหวังให้ผล ใช้แขนงไม้นั้นแทนตัวตน ในกมลแทนความรักมีต่อกัน พ่อบอกให้ลูกทุกคนหักไม้ไผ่ แล้วก็ได้เห็นแขนงทุกอันนั่น อย่างง่ายดายไม้หักลงฉับพลัน เปรียบไม้นั้นเป็นตัวใครตัวมัน พ่อให้หักอีกครั้งไม้ทั้งกำ ทุกคนทำไม่ได้อย่างมุ่งมั่น พ่อบอกว่าอยากให้เปรียบเทียบกัน เห็นไหมนั่นสามมัคคีแล้วแข็งแรง แล้วสอนลูกว่าการอยู่ร่วมกัน จะคงมั่นรวมกันช่วยให้แกร่ง ต้านศัตรูและผองภัยดั่งกำแพง ยากจะแบ่งแยกเราแตกกันไป นิทานนี้ต้องการจะสอนสั่ง รวมพลังสามัคคีเราอยู่ได้ หากแตกความสามัคคีแล้วไซร้ ชาติไหนไหนอยู่ไม่ได้แม้หนึ่งคน
เรียบเรียงร้อยถ้อยวลีไมตรีมอบ เพื่อปลุกปลอบทุกข์ท้นคนขวัญหาย พฤษภาอำลาโศกโบกทักทาย มวลดอกไม้หลายสีสามัคคีกัน วอนทุกฝ่ายไม่หมายโทษหายโกรธแค้น สร้างปึกแผ่นแดนไทยให้เฉิดฉัน ร่วมแรงใจแน่นเหนียวเกลียวสัมพันธ์ สืบสานฝันแผนปรองดองประคองไทย รวมพลังหลั่งล้นคนสร้างชาติ เลิกอาฆาตแดงเหลืองเรื่องหลงใหล ร่วมร้องเพลงรวมเนื้อเชื้อชาติไทย เริ่มต้นใหม่ลืมให้หมดเป็นบทเรียน
เปิดภาคเรียน ครั้งใด ใจก็กลุ้ม ความเครียดเริ่ม เข้ารุม สุมสมอง ก็ไอ้เรื่อง จับจ่าย ใช้เงินทอง ที่จะต้อง เตรียมการ วันเปิดเรียน ลูกสองคน หวังไว้ ให้ศึกษา เพราะเห็นว่า สำคัญ เรื่องอ่านเขียน เขาก็ดี ขยัน หมั่นพากเพียร เพื่อจะเปลี่ยน วิถี ชีวีเรา เงินของรัฐ จัดสรร แบ่งปันให้ แต่ต้องเพิ่ม เรื่องจ่าย อีกหลายเท่า รีบวางแผน จัดการ พลิกผันเอา อย่างเสื้อผ้า ใช้ของเก่า ก็เบาไป เงินสะสม เอาไว้ พอไหมหนอ มิมัวรอ เตรียมการ รีบแก้ไข ทองสลึง จำนำ ด้วยจำใจ แม้เพิ่งไถ่ เมื่อเดือนก่อน ตอนพอมี ถ้าไม่พอ ก็ต้อง ลองไปกู้ หาคุณครู ถามเขา เท่าไรนี่ ขอให้ช่วย ผ่อนผัน กันอีกที สิ้นเดือนนี้ เบิกนาย ให้หมดเลย ทำงานหนัก หวังให้ลูก ได้สุขสม แม้ทุกข์ตรม ลำบาก ยากเหลือเอ่ย จงตั้งใจ ศึกษา เถอะทรามเชย ไร้ความรู้ นะลูกเอ๋ย พ่อเคยมา
หากเราใช้ความรู้สึกแล้วนึกย้อน ความอาทรนาทีนี้มีบ้างไหม ความโกรธแค้นชิงชัง ฤ ชั่งใจ คือสิ่งใดหลงเหลือเพื่อจดจำเพียงแต่สิ่งดีงามความรู้สึก ถูกซ่อนลึกเคยปลื้มเคยดื่มด่ำ ความชิงชังดุจกรอบตามครอบงำ เพื่อตอกย้ำ ฤ จิตทำบิดเบือน ปล่อยคืนวันผ่านไปอย่างไร้ค่า ใช้เวลาหลงละเมอเสมอเหมือน เพราะชีวิตความฝันอาจฟั่นเฟือน อาจลืมเลือนความเคยมี..ใช่จีรัง และเหลือความว่างเปล่าใครเล่ารู้ ซากที่อยู่ระรวยรินอย่างสิ้นหวัง แค่เศษเนื้อกับห้วงจินต์ที่ภินทร์พัง จมอยู่กับความหลังฝังอุรา เราต้องการสิ่งใด หรือ ชัยชนะ สิ่งใดจะตัดสินให้สิ้นปัญหา แล้วใครเล่าแพ้พ่ายวายชีวา หรือจนกว่าร่างจะคืนสู่ผืนดิน กล่องเก็บความทรงจำอาจนำสู่ บานประตูเปิดกว้างเห็นทางถวิล อาจเป็นหวังคอยตามทวงจากห้วงจินต์ ยังไม่สิ้นความงามงดให้จดจำ เราได้ลองคิดทบทวนหรือเปล่า ว่าในกล่องเก็บความทรงจำเราได้จดจำสิ่งใดบ้าง สิ่งดี ๆ ..ที่ผ่านมาด้วยกัน หรือสิ่งเลวร้ายที่ต่างกระทำระหว่างกัน เราได้ถามตัวเองหรือไม่ว่า... วันนี้ เวลานี้ เรามีความสุข ในสิ่งที่ทำหรือเปล่า หรือที่เราทำ เพราะต้องทำ หรือว่าเพราะอะไร และเราได้ย้อนถามตัวเองอีกครั้งไหมว่า สิ่งใดที่เป็นความสุขที่เราต้องการจริง ๆ หรือเพียงสิ่งที่เราทำอยู่ทุกวันนี้ เพียงเพื่อเอาชนะเท่านั้น ... ใครกันจะพ่ายแพ้ หากเราสนทนากันด้วยเหตุผล ไม่ใช่ด้วยความรู้สึก... เหมือนที่ผ่านมา เราจะไม่รับรู้เลยหรือว่า สิ่งไห
เพียงคำเดียว ....... เมื่อทำการสิ่งใดลงไปแล้ว ย่อมไม่แคล้วส่งผลที่ตนก่อ จะดีร้ายอย่างไรในต้นตอ เหตุย่อมส่งผลต่อที่ก่อนั้น ...... เมื่อทำการสิ่งใดแล้วได้ผล ที่ผู้คนได้คุณประโยชน์นั่น ความดีย่อมส่งผลต่อตนพลัน เขาพากันสรรเสริญเจริญคุณ ....... เมื่อทำการสิ่งใดแล้วไร้ผล เสียงผู้คนวอนหยุดไม่อุดหนุน ความชั่วย่อมปรากฏหมดใบบุญ ว่าโง่เง่าเต่าตุ่นเขาด่าทอ .......จะทำการสิ่งใดทำไปเถิด ขอเพียงเกิดผลดีที่ตนก่อ ถ้าเกิดผลเสียหายร้ายแรงพอ เพียงแต่ขอหยุดทำกรรมไม่ดี ....... เพียงเอ่ยคำคำหนึ่งซึ่งปรากฏ ได้ประโยชน์มากมายหลายวิถี ผมขอโทษ ที่ทำไปไร้ปรานี เผื่อบางทีเขาอาจให้อภัยคุณ....
*โลกเรานับยากพ้น อคติ พูดส่อเสียดดำริ อวดอ้าง กวีเอกหยุดตำหนิ เถิดพี่... ความรักจักสรรค์สร้าง มิตรแท้ ฤา เทียม *บ้านกลอนแสนอ่อนด้อย กลอนกาพย์ โคลง-ร่าย-ฉันท์ มิทราบ ปวดร้าว เห็นเซียนก่นคำจาบ จ้วงนัก.. หลายครูเหยียดหยันห้าว หักล้างจินตนาการ *พันทิปเซียนโคตรแล้ว นึกชม ไยแถลงอาจม อยู่ได้ ควรหยุดหว่านคารม สักพัก นาครู เพราะจิตผมมอดไหม้ จากถ้อย หยามหยัน *ขอโทษครูผู้กล้าและสามารถ ใช่บังอาจเตือนใครหาใช่ที่ เป็นแค่คนฝึกเขียนเรียนกวี ยังมีจุดบกพร่องแอบข้องใจ *หากกลอนกานต์ผ่านหูมิชูรส ขออย่าจดจำมา...ว่าไม่ไหว ด้วยเนื้อหาสาระ ก็ กระไร แต่งไปไม่ได้ความ อย่าหยามเลย *แต่เพราะเห็นคำด่าสารพัด ปฏิวัติดีไหม....ไม่อยากเฉย พันทิปเหมือนหัวเราะมาเยาะเย้ย ล่ะโธ่เอ๋ย ไม่อยากยุ่ง...มุ้งการ...กลอน *ขอเหล่าเซียนเลิกบ้า ปาระเบิด ไยต้องเปิดประเด็นเป็นอุทาหรณ์ thaipoem รู้เห็น เช่นขั้นตอน ชาวบ้านกลอน ไม่ชอบ ตอบตามตรง *อยากจะด่า จะว่า อย่ามายุ่ง ในเรื่องมุ้ง บ้านกลอน...วอนอย่าหลง ที่ของใคร อย่าขืน มายืน งง หากประสงค์มาดี...มีที่นอน
หากมุมมองของฉันไม่สรรค์สร้าง เพราะเป็นทางต่างใจไม่อาจฝืน แต่ละคนค้นขุดหาจุดยืน ไม่อาจขืนให้ชื่นชอบตอบกลับมา เธออาจเห็นว่าดีมีคุณยิ่ง และเป็นสิ่งสำคัญด้นดั้นหา เปี่ยมด้วยหวังตั้งมั่นในศรัทธา แต่หาค่าจากฉันนั้นไม่มี เธออาจเห็นว่าสวยด้วยสีสัน หลากหลายพรรณปั้นแต่งแบ่งเส้นสี จึงงดงามตามใจหมายให้มี แต่ใจนี้ปรารถนาหาไม่เจอ ต่างมุมมองของใจที่หมายคว้า ปรารถนาแห่งใจใคร่เสนอ ต่างวิธีที่คิดสิทธิ์ของเธอ แต่พบเจอจุดหมายได้เช่นกัน สู่จุดหมายปลายทางสร้างชืวิต จะลิขิตเส้นใดให้ถึงฝัน อย่าทำลายกรายทางสร้างชีวัน เหยียบเพื่อนนั้นสู่จุดหมาย..ณ...ปลายทาง… ครูพิม ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓
"ล้ำเส้นไม่เป็นไร ถ้ารู้จักการถอยออกมา ความสนิทกัน นำเรื่องดีๆมาสู่ชีวิตเราหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์แบบใด เมื่อสนิทก็เกิดความไว้ใจความเชื่อใจ และความสบายใจที่จะไปไหนมาไหนด้วยกันและแชร์หลายๆอย่างร่วมกัน แต่ก็เป็นเพราะ ความสนิทเดียวกันนี้แหละ ที่เหรียญอีกด้านหนึ่งคือ...สามารถทำร้ายกันได้ง่ายขึ้น... เหมือนลิ้นกับฟัน เหมือนช้อนกับส้อม ที่พอใกล้ก็ง่ายที่จะกระทบ เปรียบเช่นวงกลมสองวง เป็นไปได้เสมอที่จะเคลื่อนมาล้ำเส้นกันเอง ด้วยบางทีต่างคนก็ต่างลืมว่าในความสนิทนั้น ไม่ได้หมายความว่าเราควรก้าวก่ายทุกเรื่องในชีวิต ถามไถ่ ต่างจาก การสอบปากคำ โทรหาต่างจากโทรจิกโทรตาม และเมื่อเหตุการณ์ ล้ำเส้นเกิดขึ้น ก็จะเกิดความอึดอัด ความรู้สึกที่ไม่เหมือนเดิม ความไม่เข้าใจ และบางทีก็ก่อให้เกิดรอยร้าวในความสัมพันธ์นั้นๆ แต่ถ้าถามว่า...นี่คือเรื่องร้ายแรงที่สุดไหม? คำตอบคือไม่ ซ้ำยังถือเป็นเรื่องธรรมดาที่ช้อนกับส้อมย่อมเผลอกระทบกระทั่งกันได้ แม้เราจะระมัดระวังเพียงใดก็ตาม ประเด็นที่สำคัญคือทันทีที่ฝ่ายหนึ่งล้ำเส้น ต้องรู้จักการขยับก้าวถอยออกมา รู้จักที่จะขอโทษและพร้อมจะคืนพื้นที่ให้ ส่วนตัวอย่างเคารพ ไม่ใช่ดึงดันที่จะล้ำเส้นยิ่งขึ้นไปอีก ด้วยไม่ว่าจะเป็นความรักแบบใด ความรักที่แท้จริงย่อมไม่ใช่การยึดครองโลกทั้งใบของอีกคน
ชายชาวอินเดียแบกหม้อดินไว้บนบ่า สะดุดตาสองใบช่างต่างสัณฐาน หม้อใบหนึ่งสวยงามวาวแวววาว อีกใบกลับมีร้อนร้าวราวราคี หม้อใบดีบรรจุน้ำเต็มถึงบ้าน แสนสำราญภูมิใจในศักดิ์ศรี หม้อใบร้าวเติมเท่าไรไหลทุกที กลับถึงที่เหลือเพียงครึ่งจึงเศร้าใจ หม้อใบร้าวร้าวราญรำคาญจิต รู้สึกผิดกล่าวขอโทษโกรธฉันไหม ทำให้ท่านแบกหม้อน้ำไกลแสนไกล แต่กลับได้น้ำน้อยนิดผิดพลาดจัง ชายผู้แบกหม้อน้ำย้ำสอนว่า อย่าโศกาน้อยจิตคิดผิดหวัง สังเกตไหมดอกไม้ข้างทางงามจัง เฉพาะฝั่งที่ฉันนั้นแบกเธอ มวลมาลีสีสดใสจึงได้ผล เก็บไปให้นายยลอยู่เสมอ เพราะวารีที่รินไหลไปจากเธอ ดอกไม้จึงเลิศเลอและตระการ ฟังหม้อดินใบร้าวแล้วน้องพี่ ค่ำคืนนี้นิทราพาฝันหวาน มีความสุขสวัสดีราตรีกาล ให้สำราญยามตื่นสดชื่นเอย นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เราเองมีคุณค่าในตัวดีพอ ถ้าไม่เปรียบเทียบกับคนอื่นมากเกินไป ถ้าคิดว่าสิ่งที่ไม่ดีก็พยายามแก้ไขทำให้มันดีขึ้น มันอยู่ที่ความตั้งใจต่างหาก ผลที่ออกมาไม่ใช่คำตอบแห่งชัยชนะของชีวิต จุดมุ่งหมายและความตั้งใจของเราต่างหาก คือคำตอบที่แท้จริง
ทุกคนเคยทำผิดอย่าคิดโกรธ การยกโทษนั้นดีมีคุณหนอ ถ้าฉันทำผิดไปไม่รั้งรอ เอ่ยคำขอโทษด้วยช่วยอภัยกัน ฉันมีความไม่ดีนี้มากนัก แม้ไม่รักอย่าเกลียดหรือเดียดฉันท์ อภัยได้ขอให้อย่าไล่กัน เพราะฉันนั้นรักเพื่อนเหมือนครอบครัว อันความรักงดงามทุกยามคิด รักเำื่ป็นมิตรจิตใจให้ยิ้มหัว รักกันในบ้านกลอนสอนใจตัว รักกันทั่วทุกคนบนลานกวี มองคนในแง่ดีไม่มีร้าย เกิดแล้วตายทุกคนยากพ้นหนี จิตใจเพียงเมตตาทุกนาที รักเป็นพี่น้องกันสุขสันต์เพลิน
ฉันขอมอบของขวัญอันล้ำค่า อาจล่าช้าไปนิดจนผิดหวัง แต่ผลรับคุ้มครองมั่นจีรัง มอบกี่ครั้งยังมีผลน่ายินดี มอบของขวัญชิ้นแรกเรื่องการฟัง เพียงแต่ตั้งใจฟังเพิ่มศักดิ์ศรี อย่าขัดคอผู้อื่นหมองไมตรี ฟังมากมีคุณค่าเพิ่มสัมพันธ์ มอบของขวัญชิ้นสองภาษากาย จงอย่าอายที่จะรักสมานฉันท์ รวบจับมือสวมกอดโอบไหล่กัน เพื่อครอบครัวสุขสันต์อันมั่งคง มอบของขวัญชิ้นสามความเบิกบาน ความสนุกสนานน่าลุ่มหลง แบ่งปันเสียงหัวเราะชีพยืนยง อย่าทำกรงดักความสุขเฉพาะตน มอบของขวัญชิ้นสี่มีน้ำใจ การแบ่งปันแบ่งให้ควรฝึกฝน รับให้น้อยปันให้มากในหมู่ชน สุขกมลกับการให้ใจเบิกบาน มอบของขวัญให้ท่านชิ้นที่ห้า มธุรสวาจาค่ามหาศาล สวัสดีขอบคุณซึ้งดวงมาลย์ สวาทนานคำขอโทษมาจากจินต์ หยิบกระดาษมาเขียนคำชื่นชม ผู้รับรื่นอารมณ์ขุ่นหมดสิ้น เป็นของขวัญล้ำค่ากว่าเพชรนิล ของขวัญชิ้นที่หกยกมอบคุณ มาร่วมมอบของขวัญอันล้ำค่า เป็นของขวัญที่มาพร้อมไออุ่น ไม่ใช้เงินสักแดงเพื่อลงทุน เพียงน้ำใจเกื้อหนุนจุนเจือกัน
เมื่อวานซื้อหนังสือจากเซเว่นฯ มาอ่านเล่นเห็นว่ามันน่าอ่าน เป็นข้อคิดกำลังใจในการงาน เขียนโดยพระไพศาล วิสาโล ในบางตอนท่านเล่าเอาไว้ว่า ณ วัดวาแห่งหนึ่งซึ่งไกลโข ผู้ป่วยเอดส์นอนเตียงเหมือนเรียงโชว์ เป็นหลายโหลเรียงรายอยู่ในเรือน ทุกทุกวันใครตายเขาย้ายออก ผู้ป่วยนอกก็แล่นมาแทนเพื่อน ก็ได้เห็นแบบนี้เป็นปีเดือน ดูเสมือนธรรมดาเรื่องสามัญ โอ้ละหนอรอคอยแต่ความตาย ด้วยร่างกายไร้แรงจะแข็งขัน ผอมซูบลูบกระดูกก็ถูกอัน ตุ่มพองหนองคันดูมันเฟะ แต่จิตใจใช่แย่เหมือนอย่างร่าง พระนำทางสว่างใจไม่ปะเปะ ให้มองเห็นความตายที่ฟายเฟะ ก็เละเทะแค่กายมิใช่ตน จึงแววตาสดใสอยู่ในธรรม ไม่ครวญคร่ำร่ำไห้ไร้เหตุผล มัจจุราชมาดหมายไม่เว้นคน แต่ก็พ้นความทุกข์เข้ารุกใจ พลันสำเนียงเสียงเพลงจากวิทยุ ดังปะทุลั่นเรือนของคนไข้ เพลงฉลองวันเกิดเปิดฉลองใคร ฟังบาดใจ happy birthday to you ยังมิทันเสียงเพลงบรรเลงจบ นั่นเสียงใครร้องกลบก็ไม่รู้ happy deadday to you ร้องอยู่ลั่นลั่นสนั่นเตียง ฉับพลันลูกคู่ก็กู่รับ พรึบพรับรับร้องกันก้องเสียง กระหึ่มดังฟังดูโดยพร้อมเพรียง สำเนียงเบิกบานสำราญกาย พอร้องจบครบถ้วนกระบวนเพลง ก็ครื้นเครงหัวร่อกันงอหาย บ้างนั่งขำน้ำตาเล็ดเป็นเม็ดพราย บ้างก็ส่ายหัวดิกคิกคักกัน ท่านสรุปความไว้ให้แง่คิด ไม่ยึดติดตัวคนของตนนั่น หากมีทุกข์รุกโหมมาโรมรัน ก็หัวเราะเยาะมันให้ลั่นไป ลงกลอนเสร็จจะระเห็จไปเซเว่น ฯ เมื่อ
จึงจำใจจับปีกบินอีกหน เพื่อฝ่าฝนไปยังอีกฝั่งฝัน มีเสบียงเลี้ยงกายได้หลายวัน วางเดิมพันครั้งนี้ด้วยชีวิต ข้ามมหาสมุทรครั้งสุดท้าย เดียวดายอ้างว้างทุกทางทิศ ขาดแคลนน้ำจืดและมืดมิด หวั่นปลิดชีพคว้างลงกลางชล ลมเห่เลโล่งสุดโค้งฟ้า ทายท้าปีกแกร่งกับแผงขน นกน้อยกบฏผู้อดทน ยากใครสักคนจะเข้าใจ จากรุ่งจวบแลงคอแห้งผาก ถึงฟากฝั่งฝันจะวันไหน ฟากฝั่งทั้งรู้ว่าอยู่ไกล ปีกไหล่อิดโรยยังโบยบิน ฝั่งโน้นคือฝันอันบรรเจิด ไปเถิดหนอสัตว์ผู้พลัดถิ่น ไปหาพืชพงและดงดิน สูดกลิ่นกรุ่นหอมพยอมไม้ จวนสูรย์สูญแสงฟ้าแดงกล่ำ ใกล้ค่ำฟ้าเรืองแลเหลืองใส คลื่นขรมลมขับหนาวจับใจ แลไฟลอยเรืออยู่เรื่อเรือง ทะเลข้างหน้าซิข้าหวั่น พรึงพรั่นอุกาฟ้าเหลือง หากพายุโหดโกรธเคือง เปล่าเปลืองแรงเจ้าจะเปล่าดาย กลับมิวิตกแก่นกกล้า วันหน้าไม่อาจจะคาดหมาย ถ้าชะงักงันรอวันตาย จักอายถ้ารู้ในหมู่นก เมื่อกล้าก็ขืนไม่คืนกลับ ขยับปีกแกร่งด้วยแผงอก เห็นฝั่งรำไรแมกไม้รก ถึงบกคงฟ้าอุษาจาง ฉับพลัน!..ฟ้าโกรธและลมกราด กัมปนาทแผดเสียงเปรี้ยงปร้าง นกน้อยงุนงงหลงทาง ปลิวกลางพายุราวธุลี เรือล่มลมฉีกเป็นซีกชิ้น กลืนกินอวนปลากลาสี ขย้ำส่ำสัตว์เป็นบัตรพลี แหลกในราตรีอันเลวร้าย ......................................... แล้วแดดเช้าวาววับก็กลับหวน ปูเสฉวนโผล่ปุ๊ปแล้วผลุบหาย มีซากเรือเกลื่อนกลาดบนหาดทราย กับซากนกนอนตายที่ชายเล . ๑ ธันวาคม ๒๕๕๒