กลอนข้อคิด

* วาบหวามใจ *

แก้วประเสริฐ


* วาบหวามใจ *
๐ ตอนแรกรักฝากไว้ฤทัยมั่น
แสนผูกพันซาบซึ้งรำพึงฝัน
ยามมาร้างหลีกไปมิคล้ายกัน
มากผูกพันเศร้าจิตหากคิดไป
๐ โอ้นี่หรือความรักมักเที่ยวหา
ม่านบังตาแปรผันจนฝันใฝ่
หากคะนองระเริงบันเทิงใจ
มีหวังได้สู่ห้วงล่วงลับพลัน
๐ ปีเดือนวันเกิดปัญหาจนล้าจิต
ผวนชีวิตจึงเพลียแทบเสียขวัญ
หลายเหตุผลสร้างลงมิตรงกัน
ทุกคืนนั้นผันเปลี่ยนสู่เวียนวน
๐ อันความรักกับใคร่ควรใฝ่คิด
บ่วงชีวิตปะปนเปลี่ยนวนข้น
ซึ่งรูปลักษณ์กับใจดูคล้ายปน
จึงมากล้นล้วนแปรผ่านแย่กัน
๐ พอเริ่มแรกหัวใจคล้ายยึดมั่น
เขาพูดกันลืมทุกข์ด้วยสุขสันต์
กลิ่นหอมอวลซาบซึ้งมาขึงพัน
พอผ่านวันนานเข้าเฝ้าแยกทาง
๐ ก่อนจะคิดดำเนินอย่าเพลินไว้
จงตรึกให้แน่นอนจึงผ่อนสร้าง
หญิงกับชายคล้ายไฟที่ไหม้ฟาง
ย่อมจืดจางปวดร้าวเฝ้าเรืองรอง
๐ ควรรู้จักเลือกใช้ในหลายอย่าง
จงหวนสร้างใฝ่คิดให้ติดสมอง
หมั่นตั้งสติตรวจตราที่คราปอง
อย่าหม่นหมองต่อตนจนละอาย
๐ คิดหากรักมากน้อยค่อยตรวจซึ้ง
ควรคำนึงต่อกันยากพลันสลาย
แม้นรู้จักคิดสร้างระหว่างกราย
ย่อมสู่สายทางราบวาบหวามใจ.
* แก้วประเสริฐ. *

วัวหางดำ

อัศวัตถามา


ควายกับวัวเป็นเพื่อนกันมาแรมปี
แต่ว่ามีสิ่งหนึ่งที่ควายสงสัย
ควายจึงเอ่ยวาจาถามวัวไป
ว่าเหตุใดหางเจ้าไซร้มีสีดำ
วัวไม่รู้ตอบสหายอย่างไรดี
หางของตนที่ตนมีดูน่าขำ
ส่วนควายนั้นก็เฝ้าถามเป็นประจำ
วัวหาคำมาตอบก็ไม่มี
ท่านทั้งหลายอ่านแล้วคงมองเห็น
เรามักเป็นแบบควายในเรื่องนี้
จะคบเขาก็ควรมองแต่สิ่งดี
จะหาชั่วให้มันมีได้เช่นไร
ยิ่งกว่านั้นมองจุดดำของอื่น
ไม่ยอมคืนมามองตนได้ไฉน
เราอาจมีข้อเสียมากกว่าใคร
แล้วทำไมไม่มองตัวมัวมองใคร

ตำนานรัก ผาตั้ง

ปติ ตันขุนทด


ณ  หุบเขาเนาพนานามผาตั้ง
มีผัวเมียเคลียคลอครองสัจจัง
เลี้ยงชีพยังอยู่ได้ด้วยไร่ดอย
กระท่อมน้อยคอยบังทั้งลมฝน
ถึงทุกข์จนขนก่อมิท้อถอย
เมียรักผัวครัวหาดาไว้คอย
เลี้ยงลูกน้อยเกิดสง่ากว่าหกปี
ลูกเป็นชายสายโลหิตจิตสดซื่อ
พ่อตั้งชื่อเชิดชาติฉลาดศรี
อยู่บรรพตวิทยาศึกษาดี
ปอหนึ่งสองสามสี่เรื่อยรี่มา
เพื่อนร่วมชั้นชื่อจรรยามารยาท
งามพิลาสนาฏเสน่ห์ดังเลขา
อยู่หมู่บ้านร้อยสี่ศรีพนา
เป็นธิดาเศรษฐีมีเงินทุน
ทั้งสองเขียนเรียนแข่งสำแดงปราชญ์
ชิงฉลาดในชั้นครูท่านหนุน
จบมัธบ่มวิชาเป็นนาบุญ
จนเริ่มรุ่นหนุ่มสาวคราวเดียวกัน
นายเชิดชาติถามว่าจรรยาเอ๋ย
เราคุ้นเคยกันมาในป่าสวรรค์
จบมอสามตามยากต้องจากกัน
เธอกับฉันจักไปที่ไหนดี
จรรยาว่าจักไปในเมืองหลวง
คนทั้งปวงต่างไปในกรุงศรี
ศึกษาต่อพอจบเปรียญตรี
ก็จะมีงานเงินเจริญคน
เธอจักไปไหนหนอขอสัญญา
จะห่วงหาฉันไหมในแห่งหน
ความหลังครั้งร่วมเรียนเพียรฝึกตน
จักลืมหล่นร้างไหมเมื่อไกลตา
นายเชิดชาติตอบว่าข้าจนยาก
จักลำบากกายใจที่ในป่า
เธอจะไปได้ดีมีวิชา
จงอุตส่าห์จนสำเร็จเป็นเพชรงาม
อันความรักความหลังครั้งคราวนี้
ถึงชีวีสิ้นลาภต้องหาบหาม
จักรักใคร่ใฝ่หาจรรยางาม
ปองรักตามติดชิดเป็นนิจไป
จรรยาฟังฝังจิตสนิทถนอม
งามละม่อมชื่นสัตย์อัชฌาสัย
อันสัจจาอาวรณ์ก่อนจากไกล
เธออย่าได้คืนคลอนถ่ายถอนคำ
ฉันเป็นหญิงจริงจิตไม่ปลิดเปลี่ยน
ไม่วกเวียนหวั่นไหวให้ใครขำ
ขอตั้งสัตย์หัทยารักษาธรรม

@ โลกธาตุ

ลักษมณ์


ดิน น้ำ ไฟ ลม
คือ ลำดับแห่งการ
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และ ดับไป ของโลกธาตุ
โลกธาตุ = โลก
โลกธาตุ = ร่างกาย

แม่

อัศวัตถามา


เมื่อก่อนบ้านของเธออยู่โคราช
ชีวิตคู่ที่พลั้งพลาดเธอสับสน
เสียพนันจากมั่งมีเป็นยากจน
แฟนสุดทนขอเลิกราลาจากไป
เธอจึงกลับขอนแก่นแดนบ้านเกิด
หาพ่อแม่ที่ตะเพิดเคยผลักไส
หางานทำจนตำแหน่งล้ำหน้าใคร
แต่ไม่ทิ้งนิสัยแบบเดิมเดิม
เธอเจ็บปวดทรมานจากความทุกข์
ล้มไม่ลุกและมีเหล้าคอยส่งเสริม
ใช้สุราเป็นเครื่องคอยซ้ำเติม
จนเงินทองไม่เคยเพิ่มเพราะเมรัย
เด็กถามยายดึกแล้วแม่ไม่กลับ
ยายบอกว่าความลับยิ่งสงสัย
พอโตมารู้เรื่องราวว่าอย่างไร
ทั้งเศร้าใจทั้งน้อยใจในแม่ตัว

ขอโทษ..ประเทศไทย

ยาแก้ปวด


ประเทศไทย
สุดที่รักรวมหัวใจของไทยผอง
บัดนี้พี่น้องขาดปรองดอง
ละลืมผองเลือดไทยใจเดียวกัน
ประเทศไทย
บรรพบุรุษพลีชีพให้หลอมปลุกปั้น
บัดนี้ลืมเลือดหลั่งเพื่อใครกัน
ลืมสร้างฝันสร้างชาติเพื่อชาติไทย
ประเทศไทย
บอบช้ำเท่าไหร่ไทยรู้ไหม
ร่ำร้องค้นหาประชาธิปไตย
มีกี่ไทยที่เข้าใจใฝ่หามัน
ประเทศไทย
ไม่ใช่ของหนึ่งใครไล่ล่าฝัน
แต่เป็นของพวกเราจะสร้างวัน
ใยลืมฝันลืมบรรพบุรุษดุจไม่มี
ประเทศไทย
หยุดเถิดหยุดทำร้ายจากวันนี้
หยุดทะเลาะหยุดสู้หยุดซะที
หยุดทำร้ายธรณีที่เกิดมา
ประเทศไทย
คงไม่ไร้หมดสิ้นวาสนา
คงไม่ยอมให้อำนาจของเงินตรา
มีค่ากว่าสายเลือดไทยด้วยกัน ...(ใช่ไหม?)
MV โดนๆ
http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=H-NySQl7VJ0

คมพิษสวาท

din


ในโลกแห่งความฝันอันไพจิตร
เธอมีสิทธิ์คิดอย่างคนช่างฝัน
โลกความจริงเลือนหายสลายพลัน
เหลือคุณค่าอันใดให้จดจำ
เมื่อความฝันทุกฝันถึงวันจบ
เธอก็พบความซมตรมจนหนำ
ยอมกรีดเลือดจารึกผนึกจำ
ให้รักมันทิ่มตำอย่างจำเป็น
เธอก้าวไปในโลกของคนโศก
วิปโยคเร้ารุกจนทุกข์เข็ญ
น้ำใสไหลจากตาพาลำเค็ญ
คือประเด็นชี้ให้ไกลจากกัน
เมื่อเส้นทางรักเรามันเฉาอับ
จะมัวปรับหัวใจทำไมขวัญ
ปล่อยทุกสิ่งลอยคว้างระหว่างวัน
แล้วลืมมันเสียบ้างไม่คว้างตรม
เราต่างเดินในทางที่ร้างจาก
การพลัดพรากจากกันมันขื่นขม
จารจารึกผนึกถ้อยร้อยอารมณ์
อย่าให้คมพิษสวาทมันบาดใจ

มองแต่ สิ่งดีดี ....ให้เป็นศรีแก่ตา ไม่ดีกว่าเหรอ....???

ทรายกะทะเล


คำกลอนของท่านพุทธทาสมีมากกว่า 100 บท แต่ละบทมีเนื้อหาสาระและมีความไพเราะเพราะพริ้งราวกวีรังสรรค์ ดังที่ผมคัดสรรมาสำหรับประกอบบทความในครั้งนี้เพียง 4 บท
บทกลอนสอนใจบทแรก ท่านตั้งหัวข้อว่า “มองแต่แง่ดีเถิด”
(บทกลอนบทนี้จัดว่าเป็นกลอนยอดฮิต คนทั่วไปมักรู้จักและท่องได้)
เขามีส่วน เลวบ้าง ช่างหัวเขา จงเลือกเอา ส่วนที่ดี เขามีอยู่
เป็นประโยชน์ โลกบ้าง ยังน่าดู ส่วนที่ชั่ว อย่าไปรู้ ของเขาเลย
จะหาคน มีดี โดยส่วนเดียว อย่ามัวเที่ยว ค้นหา สหายเอ๋ย
เหมือนเที่ยวหา หนวดเต่า ตายเปล่าเลย ฝึกให้เคย มองแต่ดี มีคุณจริง
บทกลอนที่ 2 ว่าด้วย “เป็นอยู่ด้วยจิตว่าง”
จงทำงาน ทุกชนิด ด้วยจิตว่าง ยกผลงาน ให้ความว่าง ทุกอย่างสิ้น
กินอาหาร ของความว่าง อย่างพระกิน ตายเสร็จสิ้น แล้วในตัว แต่หัวที
ท่านผู้ใด ว่างได้ ดังว่ามา ไม่มีท่า ทุกข์ทน หม่นหมองศรี
“ศิลปะ” ในชีวิต ชนิดนี้ เป็น “เคล็ด” ที่ ใครคิดได้ สบายเอย
บทกลอนที่ 3 ว่าด้วย “การงานคือการปฏิบัติธรรม”
อันการงาน คือคุณค่า ของมนุษย์ ของมีเกียรติ สูงสุด อย่าสงสัย
ถ้าสนุก ด้วยการงาน เบิกบานใจ ไม่เท่าไร ได้รู้ธรรม ฉ่ำซึ่งจริง
เพราะการงาน เป็นตัวการ ประพฤติธรรม กุศลกรรม กล้ำปนมา มีค่ายิ่ง
ถ้าจะเปรียบ ก็เปรียบคน ฉลาดยิง นัดเดียววิ่ง เก็บนก หลายพวกมา
คือการงาน นั้นต้องทำ ด้วยสติ มีสมาธิ ขันติ มีอุตสาห์
มีสัจจะ มีทมะ มีปัญญา มีศรัทธา และกล้าหาญ รักงานจริง
สุดท้ายเป็น

ตาบอดคลำช้าง...

คีตากะ


บัณฑิตเอ๋ย !
ท่านหาเคยประสบพบคชสาร
เพียงตาบอดคลำเจอเพ้ออนุมาน
เปรียบสังขารแห่งคชพจนา
เมธีเอ๋ย !
ท่านเปิดเผยอรรถธรรมล้ำภาษา
แต่ธรรมนั้นมิอาจพจน์รจนา
จนปัญญาสาธยายร่ายจำนรรจ์
ปวงปราชญ์เอ๋ย !
ท่านอ้างเอ่ยใบไม้ในไพรสัณฑ์
แต่เพียงหนึ่งใช่พฤกษาทั้งอารัญ
ซึ่งอนันต์ยิ่งนักสุดจักควณ
กวีเอ๋ย !
ท่านเปรียบเปรยสัจธรรมนำสงวน
หมายชี้จันทร์แสงจรัสพิพัฒน์นวล
แต่จันทร์ล้วนพบได้เพียงใจตน
สาวกเอ๋ย !
ท่านแพร่เผยหลักธรรมนำมรรคผล
แต่ธรรมแท้อจินไตยไร้ตัวตน
จึงร้างคนอนุศาสน์ปราศผู้ฟัง
ปุถุชนเอ๋ย !
ท่านละเลยดวงจิตคิดคาดหวัง
แสวงสุขนอกกายหมายจีรัง
จึงบดบังธรรมกายหลงว่ายวน
สรรพสัตว์เอ๋ย !
ท่านเพิกเฉยตถตาพาสับสน
จึงขลาดเขลาเปล่าปัญญาพร่ากมล
จมวังวนแห่งวัฏฏะอัประมาณ...

ขอโทษที่ปลดปล่อย

ศรีสมภพ


คาราคาซัง.. ยังไม่ไปไหน
ปรองดองผองไทย ยังงัยกันเนี่ย ?
วิ่งไปพักไป อ่อนกายใจเพลีย
มันไขไม่เคลียร์ ..แม้เสียงเชียร์ลั่น
คนโน้นคนนี้ พรรคนี่พรรคนั้น
ต่างคิดต่างกัน กระสันสับสน
แย่งซีนวีนใส่  ใจตั้งหวังผล
เพื่อชาติเพื่อตน เพื่อนคนเพื่อใคร !
ปรองดองป้องผิด ปกปิดคิดใหญ่
ซ่อนดาบหลังไว้ ..ทำร้ายใครนั่น ?
เบื้องหลังฝังลึกยังตรึกตรามั่น
กูไม่เอามัน  ..มัน(ก็)ไม่เอากู!
ละครแนวเก่าไม่เล่าก็รู้
เริ่มเรื่องเฟื่องฟู.. หดหู่ตอนจบ
เอาไงกันแน่ จะแก้หรือกลบ
มัวหลีกปลีกหลบ ไม่จบซักที !
ตีกินตีกัน ทุกวันเลยนี่
แย่งออกทีวี ทุกวี่ทุกวัน
งงงวย งวยงง ยากปลงป่วนปั่น
หนทางสร้างสรรค์ ซอยตันมันตีบ
ต่างอำต่างอ้าง อวดกร่างง้างบีบ
ยื้อหยุดรุดรีบ  ตีนถีบปากกัด
ทิฐิมานะ ไม่ละสลัด
มืดบอดใบ้ขัด เกินปัดเป่าหาย
คาราคาซัง น่าชังน่าหน่าย
แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ทำไมกันหนอ ?
ขอโทษปลดปล่อย  ใจหงอยคอยรอ
ระทดหมดท้อ  ขอไขขานมา... อิอิ !

*นกเขาพ่อ*

บนข.


พ่อเราชอบนกเขามานานนัก
ว่างจากงานพ่อไม่พักดักนกเขา
กรงมากมายรายเรียงเคียงบ้านเรา
พ่อไม่เหงานกเขาขันสนั่นไป
นกเขาขันพ่อเรานั้นมีความสุข
จู้ฮุกกรู  กุกๆ  ได้ยินไหม
พ่อดีดมือนกเขาคูเหมือนรู้ใจ
นกเขาใครไม่เทียบเท่า...นกเขากู
พ่อเคยเลี้ยงไก่ชนชอบชนไก่
อีกวัวชนนั่นก็ใช่เลี้ยงไว้สู้
ทั้งบ่อนวัวบ่อนไก่พ่อไปดู
เกมส์กีฬาของคู่นักสู้คน
มาบัดนี้ไก่ชนวัวชนนั้น
พ่อเลิกมันเด็ดขาดไม่อาจสน
แต่นกเขาขังกรงคงมีมนต์
จู้ฮุกกรู...พ่อดั้นด้นเสาะหามา
พ่อเราชอบนกเขามานานเนิ่น
พ่อย่ำเดินไม่ท้อต่อนกป่า
นกเขาใดส่งเสียงในวนา
พลาดเสียท่านกต่อล่อติดกรง
นางนกต่อล่อนกป่ามาติดกับ
เสรีภาพย่อยยับเพราะลุ่มหลง
รูปและเสียงนางนกต่อ...พ่อบรรจง
จับขังกรงกลับบ้านสำราญใจ
จู้ฮุกกรู  กุกๆ  จู้ฮุกกรู
นกเขาคูส่งเสียงสำเนียงใส
นกเขาขันมันคงฝันถึงพงไพร
เสรีภาพยิ่งใหญ่ไพรพนา
มันขันอยู่ในกรงคงมีสุข
หรือมีทุกข์ท่วมท้นจนผวา
นกเขาไพรอยู่ในดงติดกรงมา
พ่อยิ้มร่าเริงเร่า...นกเขากู...

" สุขกาย....หาใช่สุขแท้ "

อ.วรศิลป์


เวลา มิอาจ ย้อนหลัง
หลายอย่าง จึงน่า เสียดาย
หลายเรื่อง หลายราว มากมาย
เสียดาย ที่ไม่ ได้ทำ
เวลา มิอาจ หวนคืน
ขมขื่น และเจ็บ ชอกช้ำ
เลวร้าย เคยได้ กระทำ
ตอกย้ำ ช้ำจิต ชีวิตตรม
เวลา มีแต่ ผ่านเลย
มิควร เพิกเฉย ฝึกข่ม
กิเลส ตัณหา โสมม
ก่อทุกข์ ระทม ขมขื่นใจ
เวลา มีแต่ ผ่านเลย
มนุษย์เอ๋ย พึงเอา ใจใส่
สะสม กรรมดี ให้มากมาย
ดั่งฝาก ทรัพย์ไว้ ธนาคาร
สัจจะ แห่งกาล เวลา
นำพา เสื่อมถอย สังขาร
เติบโต เต่งตึง หย่อนยาน
วายปราณ มอดไหม้ ในกองเพลิง
สุขกาย หาใช่ สุขแท้
ไตร่ตรอง ให้แน่ อย่าเหลิง
ใครเล่า กายตน พ้นเพลิง
อย่ามัว ระเริง สุขมายา
ครั้นถึง ซึ่งวัน ดับดิ้น
สุดสิ้น แห่งร่าง สังขาร์
อิสระ จากกาย คือวิญญาณ์
ผ่องผุด โสภา สู่สวรรค์

เยาวชนไทยยุคใหม่ในต่างแดน

อนงค์นาง


การศึกษาพัฒนาไม่หยุดยั้ง
ส่งเสริมพลังก้าวไปไม่ขัดขวาง
ไม่แบ่งแยกสัญชาติที่วาดวาง
สนับสนุนอย่างเป็นธรรมผลกรรมดี
ความขยันหมั่นเพียรเรียนเพื่อสร้าง
สังคมกว้างโลกนี้มีศักดิ์ศรี
อุตสาหะละชั่วตัวราคี
บาปกรรมมีอยู่จริงทุกสิ่งไป
นำความรู้มาใช้ให้ประโยชน์
ไม่ก่ิอโทษทำร้ายได้สดใส
ช่วยสังคมสากลหนหางไกล
เผื่อแผ่ใจให้กว้างอย่างเมตตา
ลูกผู้พี่ผู้น้องเราต้องสู้
เกิดมารู้หน้าที่มีมากหนา
ก้าวตามไม่หลงผิดคิดเสพยา
ความชั่วอย่าข้องเกี่ยวไม่เหลียวแล
พ่อแม่นั้นรากเหง้าเราอิสาน
แม้ห่างบ้านจากทุ่งมุ่งกระแส
ส่งลูกหลานด้วยใจไม่เชือนแช
ไม่ยอมแพ้อุปสรรคที่ทักทาย
วันนี้ยังไม่พ้นบนหน้าที่
ทุกคนมีความฝันอย่าพลันหาย
แม้เหนื่อยยากสู้ต่อไม่ท้อกาย
ตราบวันตายกุศลผลบุญมี
ลูกสาวคนโตมีจุดมุ่งหมายในชีวิต เหมือนกับลูกผู้พี่(ลูกชายของพี่ชายอนงค์นาง)ที่เป็นแพทย์ในโรงพยาบาลเด็กแห่งหนึ่ง ลูกฝันที่จะเรียนต่อแพทย์ในปีหน้าให้ได้ อยากเดินทางไปช่วยผู้คนทั้งเมืองไทยและนานาชาติเพื่อการกุศล พ่อแม่ขออวยพรให้ลูกประสบความสำเร็จตามที่ปรารถนา เราจะก้าวไปด้วยกันเป็นทีมที่ต้องทำฝันให้เป็นจริง
ลูกผู้พี่
G.. K..... M.D. is a CHOC Children’s Specialists Hospitalist who completed his residency training and currenlty serves as Chief Resident Liaison and Clinical Instructor at UC Irvine, California. He attended medical school at SUNY Downstate Co

ร. จ. ม.

ขวานฟ้า


หรีดหริ่งเรไรยามรัตติกาล           ดาริกาดาษดารเกลื่อนฟ้า
จันทร์เสี้ยวสาดส่องทั่วพสุธา         ปุยขาวเมฆาลอยเหนือพนาวัน
กบอึ่งแซ่ซ้องร้องอึงมี่                    ระริกระรี้ดี๊ด้าจ้าละหวั่น
ต่างออกชมเชยชื่นแสงนวลจันทร์  ชุมนุมกันร้องรำอย่างสำราญ
ค่ำคืนแห่งความสุขหฤหรรษ์          สารพัดสัตว์พันธุ์ล้วนขับขาน
ธรรมชาติอุดมสร้างแต่บรรพกาล   เย็นซาบซ่านชื่นจิตนิจนิรันดร์
ขณะสัตว์บรรเลงเพลงกล่อมโลก     มนุษย์กลับเศร้าโศกอย่างมหันต์
ไยมัวทุกข์ไม่สุขเช่นสัตว์กัน          มาเชยชื่นชมจันทร์กันสักครา
มัวคร่ำเคร่งงานการจนหนักหัว     หมกมุ่นตัวอยู่กับการแสวงหา
หลงลาภยศสรรเสริญเพลินเงินตรา   หลงลืมค่าว่าเป็นคนเหนือสัตว์ใด
เสียงเครื่องแอร์ราคาแพงมันหนวกหู ฟังเสียงจิ้งหรีดดูสักคราวใหม
กล่อมเธอหลับนิทราหวานบานฤทัย  เสียงอื่นใดจะสุขเท่าเจ้าแมลง
อีกทีวีเครื่องใหญ่ของเธอนั้น            หรือจะสู้จันทร์เสี้ยวที่สาดแสง
ดูทีวีเครื่องใหญ่ราคาแพง              ไม่เท่าดูจันทร์แสงสราญตา
ไม่ต้องควักเงินหมื่นให้ลำบาก         ไม่ต้องยากลำบากซื้อเที่ยวเสาะหา
แค่ย่ำเดินจากตึกไม้ชายคา             แหงนมองฟ้าดวงจันทราจะรอเธอ

สึนามิอวิชชา..สิถาโถม !

ศรีสมภพ


มนุษย์โลก.. ยังโศกสุขทุกถิ่นที่
อาจเหลื่อมล้ำตามวิถี ที่หลากหลาย
ธรรมชาติ จัดวางต่างกันไป
ดีหรือร้าย ภัยย่อมมี ..ไม่หนีกัน
พิศวง “ วงแหวนแห่งไฟ ” ในแปซิฟิก
แผ่นพื้นพลิก คลาดเคลื่อนสะเทือนลั่น
มีรอยปริเปลือกโลกโยกเหลื่อมกัน
แผ่นหินเลื่อน เคลื่อนสนั่น สะท้านปฐพี !
วงแหวนแห่งไฟ..  ในรูปเกือกม้า
ชนผู้กล้า “ซามูไร” ไม่คิดหนี
แขวนชีวิตบนเส้นด้ายไม่หลีกลี้
คงชีวี.. มีวินัยไม่เหลิงตน
สึนามิ ..แผ่นดินไหวภัยมหันต์
หัวใจแกร่งร่วมแรงกันเพื่อผ่านพ้น
ใครเข้มแข็งเข้าอาสา เสนอตน
เป็นเผ่าชนที่ทนสู้ ..อย่างผู้กล้า
มนุษย์โลก.. แม้โศกสุขทุกถิ่นที่
ร่วมผืนผองรวมน้องพี่กันดีกว่า
ลูกพระอาทิตย์คิดได้ไร้ปัญหา
อุ้มชาติฝ่าให้ยังยง.. ยอมปลงตน !
เมืองฟูกุชิมะ .. อาการหนัก
นิวเคลียร์ร้ายไหลทะลัก ทะลุล้น
ด้วยหัวใจวินัยแกร่งแห่งชาติชน
จึงผ่านพ้นวิบัติภัยอันใหญ่หลวง
มองเราบ้าง ช่างโชคดีมีถิ่นฐาน
จากเก่ากาลห่างพาลภัยไม่มีห่วง
หลงระเริง เหลิงใจข้างในกลวง
ต่างก้าวล่วง.. โต้ตีกันสนั่นโลกา
สึนามิอวิชชา ..ถาโถมหนัก
เลวทะลัก ผลักชาติล้มจมปัญหา
มองญี่ปุ่น มองตัวเราเท่ากันนี่หว่า
แต่ใจต่างห่างนักหนา.. น่าอายจัง !
อุทาหรณ์สอนใจ.. เผื่อได้คิด
เดินทางผิด คิดกันใหม่ใช่หมดหวัง
เลิกยุแยกแตกฝักฝ่าย  ระไวระวัง
เอาญี่ปุ่น ..เป็นแบบอย่างสร้างวินัย !
***************************************************************
๑๑ มี.ค. ๕๕
รำลึก คร

เผา

ปติ ตันขุนทด


เผาขุนเขาป่าไม้         ควันขรม
ลมขุ่นคนเอาดม         ป่วยไข้
ใจคนครุ่นบาปสม        วันค่ำ
เกลศหื่นเผาตนให้      รุ่มร้อนจนตาย

" ใครลิขิต....ควรแทนคุณ "

อ.วรศิลป์


ฝักน้อย เคยฟูมฟัก
ด้วยความรัก และห่วงใย
คืนวัน ที่ผ่านไป
เกิดเยื่อใย ให้เมล็ด
ฝักน้อย แก่ชรา
ที่ทำมา บัดนี้เสร็จ
เปิดอ้า ให้เมล็ด
สายลมเด็ด ล่องลอยบิน
สัญชาตญาณ ของชีวิต
ที่ลิขิต มิรู้สิ้น
งอกเงย จากพื้นดิน
หวนคืนถิ่น ดินดังเดิม
เมล็ดพันธุ์ เจ้าลอยไกล
เจ้าอย่าได้ คิดฮึกเหิม
บรรพบุรุษ ณ จุดเริ่ม
คือผู้เติม ให้ชีวิต
คิดบ้าง อย่างผู้ฉลาด
คิดเยี่ยงปราชญ์ รู้ถูกผิด
ที่มา ของชีวิต
ใครลิขิต...ควรแทนคุณ
หน้า / 28  
ทั้งหมด 467 กลอน