วันนั้นเธอแย้มยิ้มพิมพ์ใจนัก ผ่านไปมาถามทักน่ารักยิ่ง เธอร่าเริงสดใสถูกใจจริง ไม่เย่อหยิ่งถูกจิตให้มิตรปอง เธอสูงค่ากว่าพลอยไม่ด้อยเพชร จึงเป็นเหตุผูกใจให้ห่วงหวง กลัวเจ้าช้ำด้วยเสน่ห์เล่ห์ลมลวง เพชรจะร่วงหล่นร้าวให้เศร้าใจ ปรารถนาให้เจ้าสกาวเด่น หวังเจ้าเป็นดังเพชรเม็ดสดใส วาสนาเราน้อยนักประจักษ์ใจ คงแค่ได้แอบยลเธอคนงาม มาวันนี้เธอเริ่มไกลจากใจฉัน ปิดฉากกั้นเอาไว้ให้เหินห่าง ถึงจะใกล้เหมือนไกลในหนทาง โอ้ใจนางช่างดำทำได้ลง
เมื่อมี “รัก” หวามหวานก็ปานว่า ปลูกผกา “ดอกรัก” เป็นสักขี “รัก” หยั่งรากแข็งเข้มเต็มฤดี ดลให้มี “รัก” ไสวกลางนัยนา สองเราฝาก “รัก” ออมถนอมเอื้อ สุขใจเมื่อเริ่ม “รัก” เป็นนักหนา นั่น! น้ำค้างหยาดแย้มแก้มผกา ชุ่มฉ่ำค่า “ความรัก ความภักดี” เขาเคยบอกถ้อยอันแม่นมั่นนัก จะฟูมฟักบุหงามารศรี เราก็เปรยจำนรรจ์โดยทันที จะดูแลมาลีพี่เหมือนกัน อา! สวน “รัก” สองเราเพราพิลาส งามเหมือนวาดเวียงฟ้าวนาสวรรค์ เทียบมณฑารพเสน่ห์พฤกษ์เทวัญ “รัก” นิรันดร์จงผนึกลึกสุดใจ แล้วจู่จู่เหมือนว่าเกิดอาเพศ ต้องเทวษชอกช้ำน้ำตาไหล “รัก” ที่เคยร่มรื่นกว่าอื่นใด ร่วงโรยไปสุดฝืนให้คืนมา โอ้ “รัก” เราไห้โหยร่วงโรยแล้ว ตาเผยแววทุกข์โทมนัสสา ไร้น้ำค้างแต่ฉ่ำด้วยน้ำตา จำจิตลา “รัก” เก่าที่เราครอง “รัก” อำลา พาใจเขาไปด้วย เราเจ็บป่วยเพราะ “รัก” เฉาพาเศร้าหมอง “รัก” เอย “รัก” ไร้หนามเมื่อยามมอง ไยสยองยอกใจเราไม่โรย?
หยาดหล่น บนใบาง ชำระล้าง รอยเปรอะเปื้อน ริมฟ้า ยังลางเลือน เสมอเหมือน ม่านน้ำตา ระรินไหล สู่ใจเจ้า ธรณินทร์เฝ้า ซับรักษา ผืนดิน แห่งศรัทธา บำรุงป่า รักษาพรรณ ระคน ม่านหม่นสาย หยดหยาดพราย ฤทัยฝัน เคียงข้าง จำห่างกัน สิ้นวสันต์ ที่มั่นปอง ยินเสียง สำเนียงฟ้า กู่พนา ว่าผยอง หัวใจ ร่ายทำนอง รักยังครอง ในอารมณ์ หยดหยาด มิขาดสาย ละอองพราย พัดผสม ยินเสียง สำเนียงลม ว่าระทม เพราะรอมา หวิวไหว ในใจนี้ เพียงฤดี ปราถนา ฝนพราย คล้ายน้ำตา ที่หลั่งมา เพื่อ..รอคอย ทิพย์โนราห์ พันดาว
ด้วยบทถ้อย ร้อยกานท์ ที่ขานไข สิ้นกะใจ ไมตรี เหมือนหนีหาย ก็ถึงกับ สับสน ปนวุ่นวาย เกิดความอาย แอบหน้า หลบฟ้าดิน อยู่อย่างคน หม่นมัว ชั่วชีพเหลือ ใครกูลเกื้อ เผื่อใจ เอาไว้สิ้น ช้ำมาบ่อย แบบว่า จนชาชิน ปองถวิล สิ่งใด ไร้ทุกคราเหลียวมาจ้อง มองเงา โอ้เราเอ๋ย ทุกคำเอ่ย ออกไป ล้วนไร้ค่า อีหรอบเดิม อีกครั้ง ดั่งเคยมา นอนเยียวยา รอยแยก ที่แหลกลาญมิเคยหมาย ใครมา รักษาแผล คงเพียงแต่ เวลา มาผสาน น่าชิงชัง ช่างเขลา จริงเจ้ามาน ที่อาจหาญ ไขว่คว้า เกินค่าตน
พายุพัด พสุธา เวหาสนั่น ปลายวสันต์ ต้นเหมันต์ ช่างหวั่นไหว ระทึกคลืน คลั่งคล้าย จะขาดใจ พลันร่ำไห้ ด้วยความหวาด ซึ่งขลาดเกรง ฟ้าคำราม ราวว่า จะเคลื่อนโลก เอาความโศก โศกา มาข่มเหง เอาสายฝน ที่หล่นหยาด เร่งบรรเลง ให้วิเวกเหวก วังเวง ไปพร้อมกัน หวังร่ำร้อง ฝากฟ้า และฝากฝน ฝากบอกใคร ใครอีกคน ที่ลืมฉัน ว่าความเหงา เศร้าโศก ในคืนวัน ฝนไม่ได้เจือจางมัน และฟ้าไม่เคยปล่อยฉัน ละทิ้งมัน ได้....เลยสักที!!!!
นั่งกอดเข่า เจ่าจด หมดความหวัง น้ำตาหลั่ง ล้นทรวง ไห้ห่วงหา ชีวิตนั้น รันทด หมดราคา อายทั้งฟ้า และดิน หมดสิ้นกัน ด้วยจินต์นั้น มิได้ หมายปองฟ้า ศักดินา สูงส่ง ตรงขวางกั้น จึงอยู่อย่าง ปุถุชน คนสามัญ แม้ความฝัน ยังไม่ สมใจปอง ประตูใจ ใส่ดาน เธอขานไข หรือมีใคร ไหนเล่า เป็นเจ้าของ จึงแหนหวง มิให้ ได้จับจอง ทั้งสี่ห้อง ใครอยู่ อยากรู้จัง เมื่อฝากใจ ไม่พร้อม จะน้อมรับ สักนิดช่วย ดักจับ ส่งกลับหลัง อย่าดุด่า หยามเหยียด และเกลียดชัง จะจับขัง เอาไว้ มิให้กวน
ประสบการณ์ ผ่านผัน หลายวันคิด มีแต่ผิด กับผิด และผิดหวัง จนหัวใจ รันทด หมดกำลัง เพียงว่ายัง อยากอยู่ สู้ชีวี ช้ำมากมาย หลายครา ก้มหน้าหลบ บ่อยพอพบ แล้วพราก เธอจากหนี สำรวจตัว ทั่วไป กระไรดี หมดแววมี ทีท่า ว่าสมใจ เพราะมองดาว พราวฟ้า สูงค่านัก ห่างเกินจัก สุดคว้า เอามาได้ จึงความหวัง ขาดผล็อย หลุดลอยไป อยากหาใคร ปลอบกมล คนเดียวดาย เลิกมองฟ้า จะไย ใฝ่ถวิล ขอมองดิน สักครา คงว่าหมาย จึงเสงี่ยม เจียมไว้ ทั้งใจกาย จะมลาย อีกครั้ง ก็ช่างมัน เพียงว่าดิน มีจิต คิดสงสาร แบ่งเศษทาน เสี้ยวใจ ได้ไหมนั่น ขอสักนิด ที่เหลือ เผื่อแบ่งปัน มิเดียดฉัน นั้นหนอ พอบรรเทา ผิดหวังฟ้า ฝากดิน ตั้งจินต์ไว้ มีเมตตา หรือไม่ ตามใจเขา จะสดชื่น หรือช้ำ จำทนเอา สงสารเรา ไหมหนอ รอวจี
ในวันที่เหงากับฝนที่หล่นพรำ.. วันที่นกยักษ์บินไม่ได้.. วันที่ชีวิตเป็นของเรา.. ไม่ได้อยู่บนนิ้วไกปืนของศัตรู นอนบนเปลญวน เหงาจับหัวใจ.. ก่อนเคยมีเธอให้คิดถึง.. พอทำให้ชีวิตพอมีความหมายบ้าง แต่วันนี้..ทุกสิ่งก็เปลี่ยนไปตามวิถี ทางสายเก่า...จึงโดดเดี่ยวอ้างว้าง ในหัวใจ คงเหลือแต่ผู้หญิงคนเดียว.. ภาพความหลัง ครั้งเยาว์วัยฉาบผ่านเข้ามา ................ เพราะต้องการให้ฉันแข็งแกร่ง แม่จึงเฝ้าดูอยู่ห่างๆอย่างห่วงใยในบางครา แม่ทำโทษยามที่ฉันทำผิด แต่ฉันเห็นแม่เสียน้ำตาทุกครั้ง รอยหม่นหมองบนใบหน้า เสียงร้อง..หยาดน้ำตาของฉัน บาดหัวใจแม่ให้เจ็บปวด รอยยิ้มของแม่มีน้อยนัก ที่จะปรากฏให้ฉันเห็น ด้วยทุกข์ท้นแห่งภาระอันหนักอึ้ง หาใช่เพราะเบื่อหน่ายเกลียดชังแต่อย่างใด แม่จึงเป็นดั่งแสงสว่าง... คอยชี้ทางให้ฉันเดินไปอย่างเชื่อมั่น และเป็นราตรีกาล ให้ฉันได้พักนิ่งชั่วขณะ เพื่อที่จะให้มีพลังก้าวเดินต่อไป ไม่ว่าวันนี้หรือวันไหน ในสนามรบหรือยามสงบเงียบงันเช่นนี้ คงมีแต่แม่ที่เป็นดั่งความรัก หนึ่งเดียวหนึ่งหญิงที่มีอยู่บนโลกใบนี้ และเป็นชีวิตแห่งฉัน.. .............. สายฝนที่หล่นพรำ.. เป็นน้ำตาของแม่หรือเปล่านะ.. แม่ครับ..วันนี้ผมเป็นลุกชายที่แข็งแกร่งของแม่แล้ว เป็นรั้วที่คอยป้องอริราชศัตรูของแผ่นดิน เป็นผู้พิทักษ์สันติแห่งราษฏร์ด้วยเกียรติ ชีวิตและศักดิ์ศรี ถึงไม่มีคนรักเพศเดียวกับแม่สักคน แต่ผมมีอ้อมกอดแ
เจ้านกเหล็ก! มหากาฬทะยานพุ่ง มันหมายมุ่งผิดแผกแปลกนักหนา ข้ามห้วงฟ้ามหานคร ฝืนร่อนฝ่า ที่หมายหน้า พุ่งทะลวงทะลุตึก เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ เลอเลิศหรา ตึกระฟ้า อ่าโอ่มโหระทึก กลางนิวยอร์ค ยอดเด่นเห็นแท่งตึก เสียงก้องกึก! ..ตึกทรุดล้มถล่มทลาย ภาพช๊อคโลก ตระหนกใหญ่ให้ฉงน ไม่คาดคิดจะได้ยลบนโลกได้ เป็นภาพจริงหรือฝัน นั่นอย่างไร ? ไม่เข้าใจในเหตุชัด อุบัติกาล ! เหตุแห่งจริง นิ่งสดับกลับแปรเปลี่ยน เริ่มบทเรียนมวลมนุษย์สุดหวาดหวั่น พยาบาทอาฆาตเห็น เข่นฆ่ากัน โลกเดือดพล่านสานปมขัด ศาสนา.. ต่างระแวงตื่นระวัง หลังจากนั้น แบ่งฝ่ายกันฟันฟัด จัดไล่ล่า โค่นซัดดัม บินลาดินสิ้นชีวา ปลาใหญ่กว่าอ้าปากกิน สิ้นปลาน้อย ! ครบสิบปี.. ที่ผ่านมันยังย้ำ ว่าศีลธรรมมนุษย์สุดเสื่อมถอย แก่นแห่งศาสน์ปลาสนาการ มันเถื่อนถ่อย เพื่อปลดปล่อยหฤโหด โปรดความใหญ่ ! ทุกศาสนา ต่างสอนดีให้หนีชั่ว ทำตนตัว ชั่วหรือดีมีตราไว้ พวกนอกรีต.. คิดห้ำหั่นให้บรรลัย ไม่เข้าใจ..ไฉนเป็นถึงเช่นนี้ ? เจ้านกเหล็ก ! มหากาฬเมื่อวันก่อน เจ้าอย่าย้อน มาหลอนซ้ำย้ำวิถี สมานฉันท์ กันทุกศาสน์ปัดไพรี ให้โลกนี้ หลากสีสัน..และมั่นคง ! ๑๑ ปี ..เหตุสยองของมวลมนุษย์ หาสิ้นสุดสงครามความสุดโต่ง บินลาดิน แม้ลาไปใช่จะโล่ง โลกยังคงอึมครึม.. ยากลืมมัน ! .............................................................................................................. ..
คิดถึงคราว.สองคน.เคยเคียงใกล้ สองหัวใจ.เคยเรียง.ร่วมเคียงฝัน เคยออดอ้อน.พรอดพร่ำ.คำจำนรร กระซิบบอก.รักกัน.ก่อนหลับตา .. มาบัดนี้.คนดี.ไม่มีแล้ว รักหมดแวว.เธอหาย.ไกลหนักหนา ทิ้งพี่อยู่.คนเดียว.เปลี่ยวเอกา ร้องเรียกหา.ไม่เห็นใคร.ไร้สำเนียง . อยู่คนเดียว.แม้เปลี่ยว.ดังใครว่า เหมือนโลกา.ไร้แม้.ใครส่งเสียง ไม่ได้ยิน.คนในใจ.ส่งสำเนียง ไร้คนเคียง.หาใช่.ไร้ทางไป . ก่อนมีเขา.มีเรา.อยู่โดดเดี่ยว อยู่คนเดียว.มานาน.ไม่หวั่นไหว พอมีเขา.เข้ามา.อยู่ในใจ แล้วทำไม.เมื่อเขาไป.ใยทุกข์ทน . ก่อนมีเขา.เราเคย.อยู่มาได้ ไม่มีเขา.คงสบาย.อย่าได้บ่น ก่อนมีเขา.เรายังสุข.ไร้ทุกข์ทน อยู่แบบคน.ไม่มีเขา.เราสบาย ..09/09/55.. 23:59
ฉันกำลังอกหัก เพราะเลือกที่จะรักผิดที่ ผิดเวลา ชั่วโมง นาที สิ่งที่คิดตอนนี้ เราไม่น่าเจอกัน อยากกลับไปเริ่มต้นใหม่ วันที่อะไรๆมันไม่ผกผัน คุณอยู่ส่วนคุณ เราไม่ข้องแวะกัน ไม่ต้องมาเชื่อมสัมพันธ์อันใด คุณกำลังทำฉันเจ็บ และฉันก็เลือกที่จะไม่ยอมเก็บอาการเอาไว้ โวยวายดื้อรั้นไม่ยอมให้คุณจากไป คุณคงไม่เข้าใจในสิ่งที่ฉันเป็น เพียงอยากให้คุณอยู่ต่อ อย่าทำให้ชีวิตฉันทดท้อกว่านี้จะได้ไหม อย่าทำให้ฉันร้องไห้ในวันที่ไม่เหลือใคร คุณเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ฉันคว้ามือ
o แม้เรื่องรัก ยากนัก จักลืมได้ ความเสียใจ มากมาย เกินจะเอ่ย ก็ความรัก เคยให้ คนเคยเคย ที่มาเลย ลืมกัน ว่าสัญญา .. o ในเมื่อรัก หมดใจ ได้แค่นี้ หมดไมตรี ก็คง หมดเลยหนา ไม่ต้องมี หวนคิด ถึงสัญญา แต่ก่อนมา อ้อนออด พรอดรักกัน .. o ไม่เป็นไร ลืมได้ ลืมไปเถิด ก็แค่เกิด แผลใหม่ ในใจฉัน ที่เคยหลง ปักใจ ให้ใจกัน คนไม่มั่น ความรัก เป็นหลักใจ ... o ไม่เป็นไร ถึงเจ็บ คงสักพัก แล้วก็คง ตั้งรัก ยึดใจไหว ก็แค่เจ็บ จิ๊ดจี๊ด ในหัวใจ ยังอยู่ไหว หากได้ ใช้เวลา .... o เอาเถอะนะ รู้ซะ สบายมาก อย่าลำบาก ห่วงฉัน นั้นเลยหนา แค่เพิ่มแผล ในใจ เธอให้มา เดี๋ยวได้ยา รักใหม่ คงหายดี.. 27/08/55 15:30
* อัคนีแห่งใจ * ๐ ณ ห้วงแห่งบ่วงจิตยามคิดลึก คราหวนตรึกสิ่งเก่าเฝ้าสุดหมอง ปองสิ่งหวังครั้งแรกแจกเรืองรอง ยามไตร่ตรองป่วนซึ้งตรึงอารมณ์ ๐ ปมหลายสิ่งฝากลงที่ตรงหลอน วาบไหวย้อนสู่ทรวงล่วงขื่นขม ชมหวานชื่นฝากไว้ในสิ่งตรม เศร้าระทมขมวดไว้สู่ในจินต์ ๐ สิ้นเสน่หาครานี้ยากมีแล้ว ที่เพริศแพร้วลบหายมลายสิ้น ถวิลสิ่งหลังเปรียบไว้ใต้พื้นดิน ยามน้ำรินลบหายคลายชมเชย ๐ เคยมอบรักแนบไว้ในทรวงจิต ยิ่งหวนคิดปลิดไว้คล้ายเมินเฉย เผยความขมฝากลงที่ตรงเปรย สิ่งที่เฉลยสุดอ้างเหมือนร้างใจ ๐ ใยดวงเดือนหมู่ดาวพราวค้างฟ้า เฉิดห้วงนภาทอแสงแฝงสิ่งไสว วาบไหวนี้ร้อนลนปนทรวงใน ล้วนเอนไหวปวดร้าวแผดเผามา ๐ อากาศเย็นน้ำค้างพร่างพรมทั่ว แต่ยังกลัวความหลอนที่ซ่อนหา หวนใจคิดกระต่ายชะม้ายตา หวังจันทราทอแสงแฝงเรืองรอง ๐ ปองความหวังฝากไว้คล้ายอัคนี รักที่มีร้อนรุ่มกลุ้มใจสนอง ครองแผดเผาลุ่มลึกตรึกใจปอง เหมือนละอองฟุ้งซ่านผ่านโรยลา ๐ พาให้ใจละเมอเผลอความเศร้า มันช่างเขลาเหลือเกินเพลินห่วงหา คราหวานรักรัญจวนป่วนน้ำตา สุดวาสนาหลงไว้ในห้วงกรรม. * แก้วประเสริฐ. *
ก็รู้สึกผิดที่คิดลาจาก ทำใจลำบากที่คิดเดินหนี ถ้าหากอยู่กันแล้วไม่ใคร่ไยดี เวลากี่สิบปีก็ไม่มีค่าอันใด เป็นของตายหมดความหมายไร้ค่า ผ่านช่วงเวลาหากยื้อมาได้ ยิ่งนานวันเหมือนยิ่งไร้จิตใจ เธอทำฉันให้ยืนต้นตายไม้แห้ง ขาดทั้งรดน้ำพรวนดินสิ้นทั้งปุ๋ย เธอเพียงกรุยทางทิ้งเหือดแห้งแล้ง ละเลยกันฉันอยู่อย่างเคลือบแคลง พอเอ่ยลาไยแสร้งบีบน้ำตาว่าเสียดาย ฉันนั้นผิดที่คิดเอ่ยวาจาลาก่อน สังคมขอดค่อนยอมทนคำกร่นเสียหาย เป็นคนจากลาคำจ่มด่าว่ามีมากมาย คำประณามหยามกลายหาใดเปรียบปาน จากสาวน้อยวัยใสสู่สาวใหญ่เต็มที่ สูญเกือบทั้งชีวีทุกข์ทวีสืบสาน กว่าจะรู้สึกได้ให้ผ่านไปเกินกาล อิสรภาพแสนหวานฉันแลกด้วยอะไร เริ่มต้นวันใหม่อาจสายกว่าที่คิด ชีวิตเราถูกผิดขอลิขิตได้ใช่ไหม หากนับวันที่ออกจากชีวีเธอไป ฉันหาสุขใจทุกข์ภายในย้ำคำ ห้าปีที่เจอพลั้งเผลอเคียงคู่ สิบห้าปีที่อยู่ฉันหดหู่กลายกล้ำ แปดปีที่ลาใช่ว่าลืมกลับจำ ผ่านเดือนปีตอกย้ำฉันผิดในใจ รู้สึกผิดทุกคราเมื่อพบหน้าเธอนั้น อยากขอโทษที่ฉันอดทนนั้นไม่ได้ ยี่สิบปีที่รอขอให้เธอเปลี่ยนไป ถึงทางตันแล้วไซร้...ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
คิดถึงใคร คนหนึ่ง มากมายนัก คิดถึงคน ที่รัก ไม่ห่างหาย คิดถึงเขา ทุกวัน ไม่ผันกลาย คิดถึงสาย บ่ายค่ำ ย้ำทั้งคืน .. ใครคนหนึ่ง ที่เขา เราเคยคู่ ใครเคยอยู่ คู่กัน ไม่ผันอื่น ใครเคยรัก ประคอง น้องทั้งคืน ใครเคยชื่น แต่สุข แม้ทุกข์มี ... เราเคยผ่าน เรื่องสุข ทุกข์และเศร้า เราเคยผ่าน ความเหงา มาอย่างนี้ เราเคยผ่าน อุปสรรค มามากมี เราเคยผ่าน เดือนปี มาแปดครา ... วันที่เธอ เดินไป ยังจำแม่น เธอปล่อยแขน เคยกอด ไม่กังขา เราสองนั้น จากกัน ด้วยน้ำตา ถึงแม้ว่า ยังรัก แต่จากไกล .... ความเข้าใจ ความรัก ยังมีล้น ใครหลายคน เขาบ่น ยังสงสัย เมื่อยังรัก แล้วจาก กันทำไม ตอบไม่ได้ ได้แต่ คิดถึงเธอ ... ความรักเรา ใช่แค่ เริ่มประเดี๋ยว เผลอแป๊บเดียว แปดปี ที่เสนอ วันรักผ่าน เร็วคล้าย ใจละเมอ แต่วันที่ ขาดเธอ ปีแสนนาน ... สี่ปีแล้ว สิหนา ผ่านมาแล้ว สี่ปีที่ ไร้แวว จะประสาน เป็นสี่ปี ที่แสน จะเนิ่นนาน สี่ปีผ่าน ผ่านไป แบบไร้เธอ ... สิบสองปี ที่เรา ได้รู้จัก อีกแปดปี คู่รัก เธอเสมอ อีกสี่ปี ที่ฉัน ไม่มีเธอ ไม่เคยเจอ ใครที่ ดีเท่าเทียม ... พยายาม หาใคร มาแทนที่ คบคนนั้น โน้นนี้ ไม่มีเขียม ใครที่พบ รู้จัก เหมือนรักเทียม มันไม่เยี่ยม ยอดยิ่ง จริงเหมือนเรา ... ครบสี่ปี เดือนนี้ แล้วสินะ ไม่รู้จะ ทำไง ให้หายเศร้า คิดถึงเธอ ทีไร น้ำตาเรา มันรุมเร้า อยากล้น จากขอบตา ... ไปทางใหน อย่างไร ก็คิดถึง ที่เคยซึ้ง ยังมี ทุ
กลับจากดง พงไพร ไกลเขตขันธ์ ที่ด้นดั้น ฟันฝ่า หามรรคผล อยากสงบ หลบทุกข์ ที่รุกรน เพราะสุดทน ขมขื่น จำฝืนใจสิ่งที่หวัง พลั้งพลาด มลาศสิ้น วางชีวิน อนาคต ต้องสดใส ด้วยมุ่งมั่น ปณิธาน มองการณ์ไกล กับทรามวัย คนรัก จักมิคลายเหตุเธอลา พาให้ ใจหมองหม่น เจ็บกมล เกินกว่า รักษาหาย ลองหลบหลีก สังคมเมือง เรื่องวุ่นวาย ขอท้าทาย เข้าป่า รักษามานเอาพฤกษ์ไพร ขุนเขา เข้ามาช่วย สงบด้วย ธรรมะ มาประสาน ธรรมชาติ สดใส ใจเบิกบาน เวลาผ่าน หลายปี มีความจริงย้อนกลับมา นาไร่ เป็นไงหนอ ไร้คนรอ ท้อทด สลดยิ่ง เห็นนารก ไร่ร้าง น่าชังชิง เพิงเคยพิง พักอาศัย ไร้คนแล ใต้เงาแจ่ม แสงจันทร์ คืนวันนี้ กับใจที่ มุ่งหวัง อย่างแน่วแน่ เธอยังอยู่ ในใจ ไม่เปลี่ยนแปร มีก็แต่ ที่เรา ยังเศร้าตรม พลายแก้ว