ปลายฤดูคิมหันต์ตะวันพลบ จะเข้าหลบหลืบฟ้าเวลาฝน เร่งควายขึ้นจากน้ำลาลำชล สู่ฟางป่นคอกเก่าเสาเซเอียง ลมไล่หลังครางครืนทวงผืนนา ระหว่างฟ้าเอื้อนคำสำเนียงเสียง นกถลาจากดินขึ้นบินเรียง คงอยากเคียงลูกอ่อนก่อนฝนริน หนอพี่ชายไอ้ตัวเล็กเก็บผ้าอ้อม เหนือรั้วล้อมราวตากรักเขตถิ่น ชายคารองรางไม้ไว้ดื่มกิน เมื่อฝนรินตุ่มงามน้ำเติมเต็ม เขียวมัดกล้าแต่ละมัดที่หยัดยืน ต่อคนฝืนทั่งแกร่งเป็นแท่งเข็ม ทุกปักดำกล้าไหวใบโลมเล็ม จางเหงื่อเค็มเจือน้ำฉ่ำโคลนตม เมื่อมวลเมฆอวบน้ำเต็มโอบอุ้ม เตรียมปิดคลุมถ่านไม้ใช้ผ้าห่ม หลบละอองฝนใหม่เริงสายลม หากเปียกพรมถ่านแห้งหมดแรงไฟ ท้วงทำนองจั๊กจั่นแต่วันวาน จะขับขานร้องรับกับฝนใหม่ สังกะสีหลับนอนแต่ตอนใด จะรัวไหวลายบรรเลงเพลงหลังคา ทุกเรือนชานบ้านไหนในตำบล คอยรับฝนสู่วันที่ฝันหา ต้นวสันต์ผ่านร้อนค่อนเวลา ความเป็นนาแต่หลังก็พรั่งพร้อม พลิ้วเสียงฝนแรกตกกระทบโสตฯ รินสะกดลานดินโชยกลิ่นหอม งามดอกไม้ภูมรินเคยบินตอม ก็ถูกย้อมน้ำฟ้ามาแต่บน หอมเอยหอมกรุ่นกลมเมื่อฝนต้อง ฟ้าร่ำร้องสั่งว่าสู่หน้าฝน สังกะสีร้องขานบันดาลดล แล้วเสียงมนต์เพลงสวรรค์ก็บรรเลง ----------------------------------------------- หวานน้ำรองชายคาแรกหน้าฝน ดื่มกับมนต์เพลงสวรรค์ที่บรรเลง วันฝนแรกแห่งฤดูฝนเดือนหก เบื้องหน้าข้าพเจ้าขณะนี้ลมฝนใหม่ กำลังพัดพลิ้วยอดใบไม้ใบหญ้า อุ้มไอความเย็นมาจากไหนก็ไม่รู้แสนฉ่ำเย็
วังน้ำเขียว ที่รัก ฉันจะพัก ริมทางใจให้สมหวัง เห็นแดดส่อง คิดหวนก่อนเมื่อครั้ง สองเรายัง สดชื่น ดูรื่นรมย์ วังน้ำเขียว เขียวชื่น ชื่นดวงจิต งามดวงพิศ พิศสมัย ใจสุขสม แสงสีทอง ยามเช้า เฝ้าชื่นชม งามภิรมย์ เลิศยิ่ง วังเวียงทอง เบญจมาศดอกใหญ่ เหลืองอะร่าม ทอความงาม งามพิศพริ้ง ชวนฉลอง เพราะงาม อะร่าม กับหมอก ชวนมอง ถิ่นแดนทอง วังน้ำใจ เมืองย่าโม วังน้ำเขียว เหลี่ยวหลัง ครั้งสดชื่น ช่างดูรื่น รื่นรมย์ สุโข เมื่อครั้งนั้น มีหลานแม่ย่าโม เป็นคนโชว์ ความงาม วังเวียงทอง นางก็พา เราชม เขาแพงม้า จึงแกล้งว่า ศรใจ มัดเราสอง นางเอ๋ยบอก ว่าอย่าแกล้งให้ใจมอง แล้วก็ต้อง ระทมเมื่อจากลา แล้วจึงเดิน ชมกระทิง ทิ้งความเศร้า เมื่อครั้งเรา นั่งเล่น อย่างหรรษา ดูผีเสื้อ สวนองุ่น งามอุรา จึงแกล้งว่า สงสารใจเมื่อไม่มีเธอ มาแอบเศร้า เฝ้ามองตะวันตก ใจเราหก ผาเก็บตะวัน ให้ใจเม่อ เมื่อเธอฝาก รอยรัก ปักษ์ใจเจอ หรือว่าเธอ ตกผาไปกับตะวัน พอตอนเช้า เข้าชมสวนองุ่น แดดอุ่นๆ กระทบผล จนใจฝัน เห็นแสงทอง ส่องรักผูกสัมพันธ์ แต่กะนั้น ก็ไร้ผลเพราะขาดเธอ ++++++ว่างๆ ไปวังน้ำเขียวกันนะครับ++++++++
สายวสันต์นั้นปรายโปรยโรยไม่หยุด มีน้องนุชนั่งลุ้นอยู่ดูสุขสันต์ สองข้างทางล้วนพฤกษานานาพันธุ์ มิหวาดหวั่นทางสูงชันอันวกวน ระหว่างทางมีร้านกาแฟสด ไม่เคยอดแม้นแสนไกลในไพรสณฑ์ ธรรมชาติรอบข้างช่างน่ายล เราสามคนหนึ่งหมาน้อยพลอยสุขใจ หยุดพักทานอาหารร้านอร่อย แซ่บไม่น้อยปลาต้มยำน้าใสใส ผัดคะน้าหมูกรอบ ส้มตำไทย ผัดฉ่าปลาจานใหญ่โอชาดี เดินทางต่อมิรอรีมีจุดหมาย สุดเขตชายแดนไทยไพรวิถี เข้าเกียร์ L แล้วแล่นไปได้ดี เหยียบคันเร่งเต็มที่ไม่ค่อยไป ต้องปิดแอร์เหิดหน้าต่างอย่างนุชว่า ที่อืดช้าก็แล่นฉิวไปไหนไหน ถึงทางลงสูงจังยังหวั่นใจ เข้มแข็งไว้แม้จะสั่นแต่มั่นคง มาถึงวัดวังก์วิเวการาม ช่างงดงามเสาที่นี่มีแต่หงส์ มีเจดีย์ตั้งตระหว่านอยู่หนึ่งองค์ มีรูปทรงสวยงามตามลวดลาย คือเจดีย์พุทธคยาเด่น แอบซ่อนเร้นเรื่องราวล้วนหลากหลาย สถาปัตยกรรมงามเพริศพราย รูปทรงคล้ายศิลปะน่าชื่นชม จุดธูปเทียนบูชาพระอธิษฐาน โปรดจงดลบันดาลความสุขสม ให้การเงินการงานนั้นอุดม รื่นภิรมย์กายใจไร้โรคา ที่เรียนต่อขอให้ได้ดอกเตอร์ หวังเลิศเลอตาม ดร.พาสนา ผู้ซึ่งให้กำลังใจเสมอมา ขอยืมตั้งสามหมื่นห้าลงทะเบียน ลงจากวัดลัดเลาะเลียบร้านค้า มีไม้ ม้า วางขายภาพลายเขียน แกะสลักงามตาปลาตะเพียน เราแวะเวียนเดินวนยลผลงาน แล้วขึ้นรถเคลื่อนล้อขอลาก่อน ต้องจากจรอารามงามดังขาน นับเป็นบุญวาสนามากราบกราน กับอาจารย์ที่รักจากดวงใจ ระแล่นเลี่ยงโขดเขาท
ทิวาฤกษ์เบิกฟ้ามาอีกครั้ง ประหนึ่งดังไม้หนุ่มในพุ่มศิลป์ ที่เคยผลิเบ่งบานนานอาจิณ กลับทวนกลิ่นหวลลมมาพรมใจ จากเต้าตูมในครรภ์เมื่อวันก่อน ค่อยแตกตอนเติบงามตามลมไหว เรื่อยเรียงล่องแรมทางกลางบ่วงใบ มาละไมงามอยู่คู่ยอดกลอน เกสรยวนแหย่หยอกดอกไม้เมือง ทุกราวเรื่องบันทึกตรึกอักษร แท้กล่อมเกลาเงาไพรให้อาวรณ์ ราวดอกมิตรใต้หมอนตอนราตรี เป็นดอกรักเล่ห์ไม้มาลัยลอย ที่ถูกร้อยด้วยแรงแห่งหญิงศรี จากมืองามนามเทพแห่งนารี บุพการีก่อเกื้อเชื้อชาติมา ยี่สิบเก้าเช้าค่ำของพันธุ์ไม้ โกสุมใดจะเท่าเหล่าแสงษา ของดอกแรงแสงอาทิตย์วิจิตรา หกชายคาทุกทิศสนิทเรือน ทิศหนึ่งเพื่อนทิศหนึ่งพี่วจีรส งามหมดจดดอกใดเปรียบได้เหมือน ทิศหนึ่งน้องทิศหนึ่งครูผู้มาเยือน ไม่เคยเบือนเคยบิดผิดจรรยา หนึ่งในเจ้าลึกล้ำจดจำไว้ กลางพงไพรคุ้งกลอนซ้อนนัยหนา หนึ่งยอดเจ้าแทงพ้นบนเมฆา ผ่านบ่วงม่านอักษรามาซึ้งความ ขอให้ดอกดาวแดงแสงอาทิตย์ จงสถิตย์เรือนกวีศรีสยาม เป็นโกสุมเหนือย่านภิบาลนาม แตกดอกสามดอกสี่ไม่มีเว้น สู่มงคลดาวฤกษ์คอยเบิกฟ้า ส่องแสงมากระทบสบตาเห็น แต่งคืนหม่นร้างฝันไร้จันทร์เพ็ญ กลางลำเค็ญมิตรมิ่งได้อิงพัก ทิวาฤกษ์เบิกฟ้ามาอีกคราว ยี่สิบเก้าฤกษ์ใจได้รู้จัก ขออวยพรอักษรสะท้อนภักดิ์ แด่มิตรรักมิตรกวีที่บรรจง ด้วยน้ำคำอมฤทธิ์เมื่อจิตนิ่ง ด้วยความจริง..ใจชมสมประสงค์ ด้วยรวงกลอนอ่อนหวานปานผึ้งดง มาแต่งองค์ทรงป่า..วนาดร ให้ฤกษ์ฤทธิ์น
๏ เพลงจักจั่นสนั่นก้องทั้งห้องป่า ปลอบพนาพนมกว้างคลายคว้างเหงา ล้างระอุประทุร้อนให้ผ่อนเพลา สร่างซึมเซาสิ้นไปจากไพรวัลย์ เพลงไพเราะเสนาะศัพท์ประดับโสต เสียงสมโภชสุขฤทัยรึไพรสัณฑ์ ฤๅรื่นเริงเถลิงการณ์งานสำคัญ จึงพากันกล่อมเพลงบรรเลงรมย์ ๚ เสียงสงครามตามผลาญด้วยดาลโกรธ ประทุโชติเชื้อกลีทวีถม ทลายโลกวิโยคร้องก้องระงม ทุกข์ระบมระบาดล้นสกลไกล กระหายเลือดเชือดเนื้อเถือชีวิต วิปริตร้อนลาญผลาญไฉน ทุรยุคขุกเข็ญเข่นประลัย น่าเศร้าใจจริงมนุษย์สุดบรรยาย ๚ เพลงจักจั่นสนั่นก้องทั้งห้องป่า บอกพนาพนมไว้ว่าใจหาย สันติภาพอาบหล้ามาละลาย โลกกลับกลายกลบธุลีกลีกาล สิ้นเสียงเพลงประเลงเพราะเสนาะศัพท์ เงียบระงับงานฉลองให้ร้องขาน เสียงจักจั่นวันร้อนสะท้อนนาน น่าสงสารสัตว์มนุษย์รุดฆ่ากัน ๚ ๛
ฉันรักเธอมากจนเลอล้นอก ฉันคอยปกป้องเธอเสมอหมาย ฉันไม่เคยมีจิตจะคิดร้าย คนทั้งหลายรู้ซึ้งซึ่งฉันดี ฉันไม่เคยตระหนี่ มีน้ำจิต เป็นเหมือนมิตรเหมือนเพื่อนเป็นเหมือนพี่ เป็นเหมือนแม่เหมือนพ่อก่อไมตรี เป็นเหมือนที่รักเธอเสมอมา ฉันให้บ้านให้เสื้อผ้าให้อาหาร ให้ยาทานแก้โรคภัยไม่หนีหน้า ให้อากาศ ให้น้ำดื่ม ปลื้มอุรา ให้อีกสารพัดให้ จากใจจริง แต่เธอกลับไม่ซึ้งซึ่งน้ำจิต คอยแต่คิดทำลายใจร้ายสิง บางครั้งจุดไฟเผาเอาฉันทิ้ง บางครั้งยิ่งโหดร้ายใช้ขวานฟัน บางครั้งเอาเลื่อยยนต์มาโค่นตัด ฉันเกินปัดผองภัยให้เหหัน ยอมเจ็บปวดรวดร้าวเศร้าชีวัน ยอมให้หั่นให้ทำจนหนำใจ ไม่มีมือมีเท้าจะเข้าสู้ ต้องยืนอยู่เฉยเฉย เลยหมองไหม้ ขาดน้ำยากล้าสู้กับผู้ใด เพราะฉันคือ ต้นไม้ ในป่าดง
๑ ๏ สุริยันผันลับฟ้า...........................เฟือนแสง สีอ่อนรอนแดดแรง............................ร่วงคล้อย ฉายฉาดวาดฉากแดง.........................ดาดแผ่น....นภานอ ชะลอหล่นลงน้อยน้อย.........................แนบพื้นพนาหาย ฯ ๒ ๏ ลมโชยโปรยหมอกไล้..................โลมไพร ลอยล่องฟ่องฟ้อนใน...........................พนัสกว้าง ราวละหานซ่านธารใส.........................เซาะผ่าน ลมสะบัดพัดหมอกคว้าง.......................ครูดคล้องโขดไศล ฯ ๓ ๏ นกกาพาพวกพ้อง.........................โผบิน พาคู่หมู่ปักษิน.....................................สู่บ้าน คืนคอนร่อนบินผิน..............................ผกจับ....คอนเนอ นกเกาะรังเกาะก้าน.............................กิ่งไม้มองสลอน ฯ ๔ ๏ สายันต์ตะวันเคลื่อนคล้อย.............ครรไล ภาพพิศติดตรึงใจ.................................วิจิตรล้ำ ทวยเทพเสกพงไพร..............................เพียงภพ.....สรวงฤๅ สวยเด่นเห็นซ้ำซ้ำ.................................ส่งให้ใจเกษม ๚
ยอดหญ้าพลิ้วลิ่วลู่ดูโอนอ่อน กลิ่นเกสรอบอวลชวนให้ฝัน หมู่ผีเสื้อเริงร่ายระบำกัน แต้มสีสันวันฟ้าสวยด้วยทุ่งงาม คะน้า กลิ่นไอแดดแผดอ่อนก่อนลมโบก กางแขนโยกกิ่งไผ่วูบไหวหวาม คาบกิ่งหญ้าบินมาจากฟ้าคราม ร้อยหญ้างามทีละเส้นจนเป็นรัง Zagaia แมลงปอล้่อเล่นกันเป็นกลุ่ม ช่วยกันสุมรุมหญ้าน่าัรักจัง บ้างบินเดี่ยวเฉี่ยวชนกันรุงรัง บ้างกำลังโฉบผินบินไปมา ใบคา ดอกไม้บานงามแย้มแซมหญ้าอ่อน ละลมคลอนไหวเอนเล่นหยอกฟ้า ทักทายเพื่อนเคลื่อนผ่านม่านเมฆา วิหคถลาล่อนลมสำราญใจ ในมุมมืด ดอกหญ้าแย้มรับแดดในยามเช้า ภมรเฝ้าเล้าโลมชมดอกไม้ ลมอ่อนๆพัดเฉี่อยๆเรื่อยๆไป ช่างเย็นใจได้ชื่นชมธรรมชาติงาม dookoon สายลมอ่อนพลิ้วไหวในทุ่งสวย โน่นต้นกล้วยนี่ต้นใหญ่ใบมะขาม สีแดงสดดอกชบาน่าติดตาม ดูวาบหวามหัวใจไปอีกนาน คะน้า ผีเสื้อปีกบางบางกางปีกร่อน ยามแดดอ่อนร่อนชมดมความหวาน มวลดอกไม้ให้กลิ่นกรุ่นละมุนนาน เติมสีสรรให้งดงามตลอดไป นาฬิกาทราย
สิ้นวสัน ตฤดู สู่หน้าหนาว ทุ่งสกาว เหลืองงาม ทาบท้องทุ่ง รวงข้าวสุก ทองรอ น้องจากกรุง เจ้าจงมุ่งก ลับบ้านนา มาร่วมเคียว ย่างเดือนอ้าย ฟ้าสดใส เมฆลอยล่อง แดดเรืองรอง อาบทิวไผ่ ใบไม้เขียว นกเป็นหมู่ บินเรื่อย อย่างกลมเกลียว พี่ยังเหลียว มองทาง น้องนางมา พลิ้วลมโลม ลูบผิว แผ่วสะท้าน โอ้นงคราญ อยู่ที่ไหน ไม่มาหา แสงเดือนส่อง ผ่องนวล คล้ายขวัญตา คืนกลับมา อาบดาว ร่วมห่มเดือน เคียวคันเก่า กร่อนแล้ว แก้วตาเอ๋ย นานเท่าไหร่ เจ้าไม่เคย มาเป็นเพื่อน ลืมรวงข้าว น้ำคำ ช่างแชเชือน น้ำใจนาง ขุ่นข้น เหมือนน้ำคลอง