พระจันทร์ส่องแสงนวลยามกลางคืน ดาวนับหมื่นระยิบระยับวับวาวแสง ยังสลัวมัวหม่นบนฟ้าที่แสดง ไม่อาจแข่งแสงนวลของจันทรา ชาย...แข็งแรงด้วยกำลังธรรมชาติ หญิง...ไม่อาจต่อสู้อยู่ต่อหน้า หญิง...จึงใช้เล่ห์เหลี่ยมเป็นธรรมดา ชาย...เสียท่าเพราะไม่ทันนั่นความจริง น้ำ...เป็นของเหลวอยู่ได้ทุกสถานะ เพชร...ถึงจะแข็งแกร่งกว่าทุกสิ่ง ยังสิ้นสูญได้ด้วยไฟที่ร้อนยิ่ง เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้เลย สีขาวบ่งบอกถึงความบริสุทธิ์ สีดำจุดความโศกเศร้าขอเฉลย ถึงความต่างนำมาเปรียบเปรย ต่าง ต่าง ชดเชย ซึ่งกันและกัน อรุโณทัย ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕
จากกรุงเทพ เมืองกรุง เมืองฟุ้งฟ้า สู่บ้านป่า นาดอย อย่างหงอยเหงา หิวหรืออิ่ม ก็มิอาจ จะคาดเดา ยิ้มเศร้าเศร้า ปลอบใจ ให้อดทน มองท้องฟ้า เวิ้งว้าง ความว่างเปล่า มีเพียงเรา ในนิยาม ความสับสน ผิดหรือถูก ยอมรับ ยังอับจน มิอาจค้น คำตอบ มาปลอบใจ ยอมรับว่า เหงาบ้าง ในบางครั้ง ภาพความหลัง มันสะท้อน จนอ่อนไหว กับความจริง วันนี้ ที่มาไกล ทั้งโหยไห้ ห่วงหา ทั้งอาวรณ์ เพราะความหวัง เรืองรอง ของชีวิต มันถูกปิด กั้นฉาบ เป็นภาพหลอน อนาคต จำกัด ถูกตัดรอน ใครจะย้อน คืนถิ่น แผ่นดินเมือง ขอตั้งหลัก ปักฐาน ที่บ้านเกิด เลิกเอาเถิด กับแสงสี ที่ฟูเฟื่อง หันหลังให้ ไกลกรุง ที่รุ่งเรือง บันทึกเรื่อง เก็บไว้ ในความจำ ธรรมชาติ สะอาด บริสุทธิ์ คงช่วยหยุด หัวใจ ไหวระส่ำ หันหน้าเข้า หาวัด ปฏิบัติธรรม ฝังความช้ำ ไว้กับถิ่น แผ่นดินเดิม
๐ ซากชีวิต ๐ ๐ สิ่งผูกพันใฝ่ฝันพลันคลาดเคลื่อน ดุจเสมือนเพื่อนยามมีเปรมปรีดิ์สันต์ พอทุกข์ยากเพื่อนหายมลายพลัน แสงแห่งวันดับไปคล้ายลบเลือน ๐ ประดุจรักดูไปคล้ายเมฆหมอก แสนจะหลอกดุจเงาดั่งเย้าเฉือน คิดหลงใหลพาลพบประสบเชือน เปรียบเสมือนดวงใจไล้ความงาม ๐ หลากชีวิตคิดไปยิ่งให้หมอง ที่เรืองรองบรรจบสิ่งพบหยาม ล้วนที่เหลือฝากไว้คล้ายนิยาม จะลุกลามแทรกซ้อนดุจย้อนใจ ๐ ธรรมชาติสร้างไว้ในพอเพียง มักหลีกเลี่ยงเบี่ยงเบนเน้นสุกใส แต่พอคลุกเคล้าแล้วแป้วภายใน สิ่งเหลือไว้คือซากกากประเด็น ๐ นี่แหละหนอชีวิตคิดปั่นป่วน ที่เฝ้าล้วนสิ่งปลอมย้อมสู่เหม็น เหลือได้รับคงไว้คล้ายพลิกเย็น ถ้ายิ่งเข็นพลันพบบรรจบกลวง ๐ อันมนุษย์นั้นชอบไว้ในสิ่งหอม แมลงวันตอมสิ่งเน่าเฝ้าแหนหวง วาบหวานนี้คล้ายกันนั้นเล่ห์ปวง ผันเป็นบ่วงสอดคล้องต้องใจเอา ๐ ความโง่เขลาของใจให้วนเวียน แล้วแปรเปลี่ยนปนสุขยิ่งทุกข์เฝ้า มวลสัตว์โลกชอบไว้ในมอมเมา เหม็นคลุกเคล้าก็หอมย้อมเล่ห์กล ๐ อย่าเห็นเรื่องเล็กน้อยคอยหมั่นคิด หวังลิขิตอย่างไรเปรียบคล้ายขน ล้วนแปรเปลี่ยนขาวดำย้ำปะปน หลากหลายชนแห่งชีวีเช่นนี้เอง. ๐ แก้วประเสริฐ. ๐
๐ รักครวญฝังใจ ๐ ๐ ค่ำคืนนี้มีจันทร์พลันส่องหล้า เรืองท้องนภาแขแจ้าเฝ้าส่องแสง ก่อนทิวาพราวพร่างระหว่างแดง ราตรีแฝงเหลืองอร่ามล้ำธานินทร์ ๐ ครุ่นคิดถึงจากห้วงดวงใจลึก เคยใฝ่ตรึกซ่อนเร้นนวลเด่นถวิล ยิ่งเพ็ญพักตร์ถูกเค้นเช่นภุมริน เคล้าดอมสิ้นบุปผาครายึดครอง ๐ โอ้กระต่ายหมายบ่มเกินชมแล้ว ที่เพริศแพร้วหวังเชยเผยสิ่งสนอง กากเหลือไว้ผ่านเนตรเฉดใจปอง เคล้าลมก้องแผ่วโปรยโชยสุคนธ์ ๐ คันธชาติจากพฤกษ์นึกครวญคร่ำ ค้างคาวขย่ำผลไม้ขจายไพรสณฑ์ งามแสงดาวลอยล่องคล้องวังวน เหมือนจรดลห้วงรักฝากวิญญาณ์ ๐ หรีดหริ่งร้องเรไรยากใคร่ผสาน ก้องกังวานบรรเลงเพลงหรรษา ผ่านทิวไม้คลั่งไคล้คล้ายกานดา เสมือนคลื่นผวาทบฝั่งยากยั้งใจ ๐ รักครั้งแรกเหลือไว้กลายเพียงนี้ วาบหวามฤดีเปี่ยมไว้คล้ายสดใส หวนแปรปรวนผ่าลึกตรึกห้วงใน หลีกผ่านไปเปรียบลมยากชมเชย ๐ ค่ำคืนนี้หอมกรุ่นละมุลพฤกษ์ ชวนใฝ่ตรึกหมายชมภิรมย์เฉลย หอมหวลกลิ่นหมายชมภิรมย์เคย คล้ายจันทร์เผยเมฆาคว้ากั้นกลาง ๐ ใจดวงน้อยหวนไว้ใฝ่ชวนหวัง เปรียบประดังมาพบประสบขวาง คร่ำครวญไร้นวลเจ้าเฝ้าเลือนลาง เปลี่ยวอ้างว้างดวงฤทัยใฝ่เชยชม ๐ อุษาสางหมอกเย้าเคล้าปั่นป่วน ราตรีล้วนลอยลับสลับขื่นขม สิ่งซาบซึ้งตรึงไว้คล้ายสายลม ยากผ่านปมปริศนาผ่าห้วงใจ ๐ เหม่อตะวันสีแดงแฝงขอบฟ้า หมู่นกหาเรียกร้องทำนองใส ห้วงใจหนอคิดคนึงซึ้งห่วงใย น้ำค้างไหวใบหญ้าคว้าเพียงเงา. ๐ แก้วประเสริฐ. ๐
แวะหลักแหล่ง แก่งคอย อย่างอ้อยอิ่ง หลบพักพิง อิงแอบ แนบน้ำไหล น้ำสีทอง คดเคี้ยว เลี้ยวล่องไกล อิ่มละไม ไพรเขียว เที่ยวละมุน
ริมระเบียง..เคียงไพร..น้ำไหลล่อง ธุลีทอง..ลิ่วเลาะ..เซาะแก่งผา เสียงเพลงพิณ..กลิ่นนาง..กลางพนา สวรรค์หล้า..น่าเที่ยว..เกี่ยวก้อยเพลิน
ลมรำเพยคีตกานท์ผ่านขุนเขา แว่วสำเนียงแผ่วเบามาเข้าฝัน ฝ่าต้นตึกตระหง่านกลางม่านควัน เพียงรำพันฝากเมืองที่เฟื่องฟูเหนื่อยบ้างไหมคนกรุงผู้มุ่งหวัง ตั้งหน้าตั้งตาทำงานสราญหรู กลางความเสี่ยงครอบรุกทุกอณู คิดหาดูน้ำใจแทบไม่มีควันพิษมาคลี่ม่านปิดน่านฟ้า ชีพร้าวรอนอ่อนล้าแรงราศี ตึกคอนกรีตสูงระหงกว่าพงพี ความเครียดรี่สุมหัวถ้วนทั่วไปเชิญลองมาชื่นฉมอารมณ์ฉ่ำ ขับลำนำดีดสีดีหรือไม่ ป่าพร้อมเสกเวทย์มนตร์ดลหัวใจ เมื่ออยู่ในธรรมชาติพิลาสพรรณเพลงดอกไม้ วารี และผีเสื้อ สดสวยเอื้อประคองคลายหมองขวัญ ทะเลหมอกห่มเช้ายอดเขานั้น ลบภาพควันหวั่นผวาแห่งนาครโสตเสนาะรมณีย์ดนตรีนก กล่าวสาธกหวานซึ้งถึงแดดอ่อน กล่อมเหล่าผู้เหนื่อยหนักจงพักนอน หนุนแนบหมอนใบหญ้าทอดอาลัยเพลงขุนเขาแว่วหวานกังวานเสียง หากแค่เพียงลองสดับกลับสดใส ป่าจึงฝากถ้อยถามความห่วงใย สื่อสู่จิตนิมิตไว้ในคืนนี้คีตกานท์แผ่วหายราวสายรุ้ง คนสะดุ้งตื่นจากฝันเหมือนขวัญหนี เมืองเริ่มเร่งวันวัยใหม่อีกที ขณะที่ม่านควันยังตันเมือง
ณ แผ่นพื้นผืนป่า.. ตะวันตก มรดกตกทอดไว้ ที่ใหญ่ยิ่ง ความหลากหลายชีวภาพกับความจริง ทุกสรรพสิ่ง ยังลึกล้ำ น้ำ ป่า ดิน ธรรมชาติ.. จัดแจงแบ่งที่อยู่ สัตว์ต่างรู้สัญชาตญานแห่งย่านถิ่น อยู่โดดเดี่ยวหรือรวมฝูงมุ่งหากิน ป่าปกดิน ดินสร้างป่ามาช้านาน ป่าผืนกว้าง..ฝั่งด้านตะวันตก มรดกโลกประกาศ จัดประสาน ด้วยเหตุผลเป็นต้นน้ำแหล่งลำธาร ความหลากหลายในพืชพันธุ์ตระการตา สัตว์หายากหลากพันธุ์ผสานผสม แหล่งอุดมกลมกลืนเต็มผืนป่า ธรรมชาติจัดแบ่งเขต นิเวศวิทยา สัตว์และป่า..จึงอาศัยได้เหมาะควร เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ผืนป่าแห่ง..ทุ่งใหญ่นเรศวร อนุรักษ์พืชและสัตว์จัดจำนวน ชีวมวลล้วนหลากหลายให้ยั่งยืน ธรรมชาติสัตว์และป่า ..บริสุทธิ์ แต่มนุษย์ ! มิหยุดยั้งยังฝ่าฝืน เข้ารุกล้ำธรรมชาติสัตว์สะอื้น วิ่งแตกตื่น.. สาดปืนใส่ไม่นำพา เขาและเรา เหล่ารวมเพื่อนร่วมโลก ร่วมสุขโศกอกเดียวกันนั่นแหละหนา ต่างรักตัวกลัวตายวายชีวา ทั้งสัตว์คน กลัวการฆ่า..อย่าเบียดเบียน ! ๒๐ ปี มรดกโลก ห้วยขาแข้ง ตำนานแห่ง ...สืบ นาคะเสถียร ผู้ปลิดชีพ ป้องผืนป่า ผู้กล้าเปลี่ยน พลิกบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ ..ให้ป่ายัง ! @@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง - ทุ่งใหญ่นเรศวร เป็นผืนป่าอนุรักษ์ที่มีพื้นที่รวม 4,017,087 ไร่ มีความต่อเนื่องและเป็นแกนกลางของผืนป่าตะวันตก ครอบคลุมในพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดอุทั
พิราบร่ำคำนึงถึงใครนั่น เคล้าคู่กันหยอกล้ออยู่ต่อหน้า ฤาพิลาปเป็นเพียงเสียงโกญจา เจ้าบินมาเยี่ยมเยือนเหมือนดังเคย ขอบคอนโดสูงลิบชั้นสิบสอง นั่งเมียงมองนกคู่ดูเปิดเผย มาเย้าหยอกบอกรักพักก่ายเกย พิราบเอ๋ยเจ้าไม่รู้ผู้เฝ้ามอง อิจฉานกอย่างนี้ยังมีคู่ ใจอดสูตัวตนทนหม่นหมอง คนไร้ค่าหาใครอยากได้ครอง ต้องนั่งมองอิจฉานกพกเศร้าตรม ใจเจ้าเอ๋ยเคยรักมอบภักดี หลายขวบปีหวานชื่นกลายขื่นขม นิราศร้างห่างหายไกลชู้ชม โศกระบมทุกข์ครองมองนกบิน
ธรรม..ดาสรรพสิ่งล้วน อิงกัน ชาติ..เหตุเกิดผลพลัน สัจล้ำ ประ..กาศิตสามัญ กำหนด กาศ..ก่อขอเตือนย้ำ อย่าได้เบียนกัน ศักดิ์..ดามวลหมู่ข้า ก็มี ศรี..เกียรติถูกย่ำยี จากเจ้า ให้..โทษเผื่อบางที สำนึก บ้างนา ดู..ซิยามทุกข์เคล้า เจ็บซ้ำเพียงใด อย่า..เลยมนุษย์เฮ้ย ทำลาย ได้..โปรดอย่าวุ่นวาย หมู่ข้า เบียด..บังขุดตัดขาย อีกเผา เบียน..บดคดคิดค้า แค่ให้มีเงิน กัน..และกันร่วมด้วย อาทร ต่อ..ตอบใจอาวรณ์ เพื่อนบ้าง ไป..ดูอุทาหรณ์ ถล่ม ดินนา เลย..หยุดทำลายล้าง ป่าไม้ภูธาร
ชายชรา ผมขาว แก่คราวปู่ นั่งพักอยู่ โคนฉำฉา พฤกษาใหญ่ เล่าอดีต ก่อนเก่า ตอนเยาว์วัย จาระไน เหตุการณ์ สิ่งพานพบ เด็กหลายคน ห้อมล้อม น้อมสดับ มุ่งซึมซับ สาระ โดยสงบ เสียงผู้เฒ่า จำนรรจ์ กล่าวครันครบ ย้อนทวนทบ ประสบการณ์ อันผ่านตา สมัยปู่ ยังเด็ก เล็กอยู่นั้น พนาสัณฑ์ คือแหล่ง แห่งภักษา มีส่ำสัตว์ พืชพันธุ์ ยันหยูกยา คนกับป่า ผูกพัน เหมือนกันชน ไม่วิตก ขัดเคือง เรื่องดินฟ้า อยากทำนา ทำไร่ ล้วนได้ผล ฤดู รู้กำหนด หมดกังวล ใช่วิกล เบี่ยงเบน เช่นยุคนี้ ห้วย,หนอง,คลอง สะอาด ปราศมลพิษ ปลาสลิด ช่อน,ดุก มีทุกที่ กุ้ง,หอย,ปู อุดม สมบูรณ์ดี สายนที เลี้ยงหล่อ ก่อชีวิน มองท้องทุ่ง ยามเย็น เห็นกระสา ฝูงอีกา โพระดก นกขมิ้น เอี้ยง,ขุนทอง สาลิกา ลงหากิน นกท้องถิ่น อีกมาก ที่จากจร ปัจจุบัน มิเป็น เช่นนั้นแล้ว ไร้วี่แวว เกษมศานต์ เยี่ยงกาลก่อน สรรพสัตว์ มากมาย วายม้วยมรณ์ ความเดือดร้อน ดาหน้า มาก่อกวน เพราะมนุษย์ โค่นไม้ ไม่เกรงโทษ หิวประโยชน์ บีฑา ป่าสงวน ฝนฟ้าจึง วิปริต ผิดแปรปรวน ทุกสิ่งล้วน วอดวาย ในมือคน เสียงปู่เฒ่า สะเทือน เหมือนปวดร้าว แจงเรื่องราว สาธก ยกเหตุผล จนตะวัน ลับตา ฟ้ามืดมน จึงจำนน หลับไป ใต้ร่มไม้ กลุ่มเด็กน้อย หันหน้า ปรึกษากัน รออีกวัน รุ่งทิวา จะมาใหม่ แม้ตะขิด-ตะขวง คิดห่วงใย แต่หักใจ ใกล้ค่ำ จำกลับ
เมื่ออรุ-โณทัย ทาบไพรสณฑ์ ภูวดล เฉิดฉัน รับวันใหม่ บุปผชาติ ผลิดอก ออกช่อใบ ลำธารใส ฉ่ำเย็น เห็นปูปลา สกุณา จำเรียง เสียงเสนาะ ฟังไพเราะ จับใจ ในภาษา ดุจเพลงพิณ สวรรค์ พรรณนา สะท้านป่า สิงขร ตอนอรุณ ต้นยี่เข่ง ยี่โถ โอ้อวดสี บานบุรี เลื้อยเลี้ยว เกี่ยวขนุน หอมกุหลาบ มะลิ ดอกพิกุล กลิ่นละมุน กระดังงา จำปาดง เก้งคู่เก้ง กวางคู่กวาง เยื้องย่างเหยาะ เดินลัดเลาะ ริมธาร ผ่านฝูงหงส์ โน่นกระรอก กระแต แลกระจง อยู่ยืนยง คู่ป่า มาช้านาน ธรรมชาติ เนรมิต ชีวิตให้ สัตว์น้อยใหญ่ พึ่งพา ได้อาหาร สืบดำรง พงศ์เผ่า เนาสำราญ คือพิมาน นิรมล บนแผ่นดิน ยามเที่ยวดง พงไพร ใจแสนสุข ที่เคยทุกข์ สลด พลันหมดสิ้น จงพิทักษ์ รักษา เป็นอาจิณ ผดุงถิ่น ป่าไม้ ไว้ถาวร
เมื่อวานผมได้ไปหาซื้อบทกวีนิพนธ์ ชุด ขอบฟ้าขลิบทอง ของ อุชเชนี มาอ่าน อ่านแล้วรู้สึกประทับใจมากๆครับ เลยอยากนำมาแบ่งปันให้ชาวบ้านกลอนได้อ่านกัน บทที่ผมนำมาเสนอวันนี้มีชื่อว่า "เป็นไปได้หรือ" ลองไปอ่านกันครับ ฉันมองเงาเขาขุนละมุนซ้อน หว่างเมฆมออรชรร่อนเรียงอยู่ มองอุษาอ่าแสงแจ้งดำรู ฉาบผาภูผ่องผาดเพียงดาดทอง ฉันมองคลื่นรื่นเร่เข้าเห่ฝั่ง พร่ำฝากฝังภักดีไม่มีสอง มองดาวเฟี้ยมเยี่ยมพักตร์ลักษณ์ลำยอง จากคันฉ่องชลาลัยใสสะอาง ฉันมองไม้ดอกขาวพราวทุ่งหญ้า จำนรรจาเอียงอายสายลมสาง มองนกน้อยจ้อยแฝงแข่งน้ำค้าง สดุดีฟ้ากว้างพร่างตะวัน ฉันมองแสงเดือนสอดลอดร่มไผ่ เหมือนยองใยเงินยวงอันสรวงสรร เสกฉลุปรุระยับสลับชั้น เป็นมิ่งขวัญตาคิดพินิจครวญ หวามหัวใจเหมือนได้รัดสัมผัสหล้า ห้วงนภานิรันดรอาวรณ์หวน สรรพสิ่งโสภิตดุจชิดชวน ใจรัญจวนจอดรักไม่พักเลือน โฉดไฉนใจมนุษย์มาฉุดชัก ทำหาญหักโหดกระหายหมายฉะเฉือน ทลายงามเพื่อสงครามย่ามใจเยือน ทลายเรือนทลายรักหลักโลกา เมื่อทุ่งราบยังอาบเดือนเหมือนอย่างนี้ เมื่อราตรียังรวยรื่นชื่นนาสา เป็นไปได้หรือนี่ที่มนตรา สงครามฆ่ารักเสียแล้วแคล้วใจคน ปล.เจอกันอีกทีหลังสอบกลางภาคนะครับ หนังสือกองพะเนินรออยู่ ขอให้ดื่มด่ำกลับกลอนนะครับ
สุริยัน นั้นส่อง ต้องภิภพ หมายจะลบ พวกเรา เผาให้หมด แผ่รังสี สาดไป ไม่ละลด กะกำหนด วันตาย ให้มนุษย์ ร้อนแรงพา ป่าไม้ ไฟท่วมลุก กลียุค กล้ำกราย ใกล้ถึงจุด แผ่นดินไกว ไหวถล่ม เมืองจมทรุด กระชากฉุด ชีวา คนลาลับ พายุพัด จัดจ้าน สะท้านทิศ ฟ้ามัวมิด พิรุณ หมุนแปรปรับ เทเป็นสาย ธารา คณานับ ก็ถึงกับ ท่วมท้น จนจมมิด ที่เมืองหนาว ร้าวนะ หิมะหมก น่าวิตก ฤดูกาล มันผันผิด ธรรมชาติ รุนแรง มันแผลงฤทธิ์ ไม่มีสิทธิ์ หยุดยั้ง นั่งทนทุกข์ เกิดอะไร ขึ้นเล่า โลกเราน่ะ หรือว่าจะ สิ้นวัน สันติสุข โลกยับเยิน มากมาย มาหลายยุค ยากปรับปลุก พลิกฟื้น คืนให้ครบ ทำโลกเลอะ เปรอะป่น คนลืมหลง มินานคง ถึงขั้น เจอวันจบ ถึงมีจิต คิดหวน นั่งทวนทบ แม้บวกลบ คูณหาร ป่วยการคิด/font>
เสียงสายฝนหล่นซัดกระแทกพื้น น้ำในคลองไหลรื่นเกลียวกระหน่ำ ฟ้ามืดมัวสลัวแสงส่องฉายนำ ดอกไม้ช้ำน้ำฝนไร้เมตตา เจ้าเคืองขัดโกรธแค้นเหตุใดหนอ คลั่งซัดเหมือนบ้าบอสร้างปัญหา มาสุมรุมเร้าคนโศกา เจตนาสั่งสอนพวกมนุษย์ ภัยพิบัติแจ้งเหตุสะท้อนชี้ แผ่นดินไหวหลายที่รวมหลายจุด และเชิงเขาดินทะลายพังลงทรุด ทะเลฉุดคลื่นยักษ์ซัดแผ่นดิน ชุลมุนวุ่นวายกันควักไขว้ ผู้คนไม่สามัคคียื้อแย่งสิ้น ผลประโยชน์เศรษฐกิจกอบโกยกิน อนาถจินต์ศีลธรรมหมดสร่างซา
ดอกไม้ฤดูร้อน เจ้าบานต้อนรับฤดูอยู่แต่ไหน สายลมร้อนโชยฟ้าเมื่อคราใด ดอกไม้ไหวบานเด่นมิเร้นเงา มาแต่งแต้มสีสันให้โลกสวย จะมัวขวยเขินไปกระไรเล่า กลีบอ่อนโยนพรายพร่างและบางเบา จักทนแดดแผดเผานานเท่านาน อาจไร้สายฝนโปรยมาโรยหล้า กลีบผกาจักท้าร้อนจนอ่อนหวาน ยืนต้นท้าทุกข์ท้อทรมาน ดั่งปราการดอกไม้ในแผ่นดิน เจ้าบอบบางเสียยิ่งกว่าหญิงสาว ทั้งเข้มแข็งแกร่งกร้าวราวผาหิน ทุกอณูกลีบสีคือชีวิน อันหลั่งรินแรงใจไม่เว้นวาย ให้ดอกไม้ฤดูร้อนซึ่งอ่อนหวาน ชูช่อก้านรับตะวันอันเฉิดฉาย คงคุณค่าสีสันพรรณราย เป็นเลื่อมลายแพรรุ้งอันเรืองรอง เจ้าบานอยู่ในใจใครทุกผู้ และคงอยู่ด้วยหวังอันผุดผ่อง เพื่อเฝ้ารอวันที่ฟ้าสีทอง หลังละอองหยาดฝนหล่นพรั่งพรู และจะประจักษ์ตาว่าดอกไม้ อาจถูกแดดแผดไหม้แต่คงอยู่ เป็นความงามความกล้าแกร่งแห่งฤดู ประดับทั่วพื้นภูของหัวใจ ดอกไม้ฤดูร้อนแสนอ่อนหวาน ยังผลิบานและผลิหวังพลังไข โปรยกลีบบางสร้างฝันอันอำไพ แด่เธอผู้ซึ่งไม่เคยยอมแพ้ ปล.ห่างหายไปสามเดือน ช่วงปิดเทอมกลับบ้านเลยไม่ได้โพสต์ วันนี้มีโอกาสเลยมาโพสต์เยี่ยมเยียนทุกๆท่านนะครับ หวังว่าทุกคนคงสบายดีนะครับ เอาดอกไม้ฤดุร้อนมาฝาก ให้ทุกๆท่านชมครับ
ฟังเถิดมนุษยชาติ ฟังชายหาดคลื่นเห่ทะเลใส ฟังแผ่นดินท้องฟ้าพนาไพร สัตว์น้อยใหญ่ขุนเขาที่เฝ้าครวญ ว่าเหตุใดหนา? จึงทำร้ายโลกาให้ปั่นป่วน ธรรมชาติวิปริตผิดกระบวน ต่างแปรปรวนเช่นนี้ฝีมือใคร? ป่าคงไม่ปล่อยน้ำดำสนิท ดินคงไม่พ่นควันพิษฤทธิ์เผาไหม้ สัตว์คงไม่สร้างศาสตรามหาประลัย เพื่อฟาดฟันผู้ใดให้สิ้นลม ดูเถิดมนุษยชาติ ความพินาศย่อยยับคงทับถม เมื่อโลกร้อนน้ำท่วมฟ้าเป็นอาจม คงน่าชื่นน่าชมสมดั่งใจ!