คนเราเกิดอะไรในวันเกิด เกิดอยากเปิดขวดสุรายาดองหรือ เกิดอยากเที่ยวใช้เงินสนุกมือ เกิดอยากซื้อของขวัญอันโอฬาร เกิดความคิดรับผิดชอบขึ้นบ้างไหม ประจักษ์ไหมเป็นผู้ใหญ่มหาศาล แบกใหญ่ขึ้นทั้งหน้าที่ทั้งการงาน ประสบการณ์หลายสิบปีมีอะไร
รัก รัก รัก คำนี้ที่พูดมาเพียงวาจาหว่านล้อมระรื่นหู พี่รักน้องจริงไหมไตร่ตรองดู คำรักชูแต่มิเคยจะแสดง คำว่ารักมิใช่เพียงแค่ลมปาก พูดผ่านซากร่างกายน้องย่อมแสลง ใจไม่เต้นเพราะชาชินการสำแดง ใยพี่แกล้งให้น้องเจ็บเพราะวาจา การนิ่งเฉยนี่หรือคือความรัก การหน้าหักหน้างอตอนมาหา อยู่ต่อหน้ามิเคยพูดเอ่ยวาจา แม้นสายตามิเคยมองจะดูแล มือเคยจับก็ผลัดทิ้งไสเสือกส่ง แก้มอนงค์ที่เคยหอมมิแยแส มิเคยพาไปโรงหมอยามอ่อนแอ ไม่แม้แต่จะกล้าพูดนี่แฟนเรา ควรแล้วเหรอการกระทำและคำพูด ใช่หรือสูตรความรักอันแสนเขลา คำว่ารักมิใช่ใส่ใจเอา ฉะนั้นเราจะรักกันไปทำไม
แค่สายลมพัดผ่าน แค่สายลมพัดผ่าน.ใจสั่นไหว แค่ใบไม้ร่วงหล่น ..แล้วลับหาย แค่ชีวิต หนึ่งนี้ที่เดียวดาย เพราะใจ-กาย ของเราอย่าเศร้าเกิน พรหมลิขิต ให้เรา มาใช้กรรม บุญพานำ ให้เรา อย่าห่างเหิน หนทางธรรม นำเราให้ก้าวเดิน ต่อเผชิญ กรรมหนัก ก็ลับลา ท่องเอาไว้ให้จิตมิสิ้นสร่าง แค่สายลมพัดผ่าน อย่าเหนื่อยล้า แม้นวันนี้ มันหนัก เกินอุรา พรุ่งนี้แสงเจิดจ้า ..มาอีกวัน
กลของกลอนยั่วเย้าเข้าถึงจิต ขลังไม่ผิดมนตราพาลุ่มหลง คนเขียนกลอนแทรกสร้างอย่างบรรจง เพื่อเสริมส่ง ครู ปราชญ์ ชาติกวี ต่างพื้นฐานร่วมสร้างชี้ทางให้ บ้างบอกใบ้ติชมสมน้องพี่ ผู้มาใหม่ใคร่ลองต้องยินดี เพราะเขามีเพื่อนครูคอยดูแล อาจจะมีบางครูผู้เคร่งครัด มองให้ชัดภายในใจท่านห่วง พร้อมเคยเจอท่านเหน็บถึงเจ็บทรวง เวลาล่วงจึงรู้ดูผิดไป กลของกลอนร้อนฉ่าอย่าร้อนจิต อาจเป็นมิตรลองแหย่ให้แก้ไข มีปัญญาแก้ได้ก็แก้ไป ฝึกเอาไว้ ให้เชี่ยว เดี๋ยวก็ดี
เมื่อใบไม้ปลิดปลิวละลิ่วหล่นให้เกลื่อนก่นลงดินดังสิ้นค่า เพียงลมโบกโกรกหวิวพัดพลิ้วมา ก็ลับตาหายวับกับสายลม เปรียบดังเช่นสัจจธรรมค้ำุจุนอยู่ เพื่อเรียนรู้ความชื่นความขื่นขม โลกมีเกิดมีดับสลับปม มีรื่นรมย์...สุข,เศร้า...เคล้าคละกัน เคยถูกแดดลูบโลมชะโลมต้อง อีกละอองฝนสาดจนหวาดขวัญ ขาดน้ำใจพอเพียงเลี้ยงชีวัน ใบไม้พลันซวนซบลงกลบดิน แล้วใบไม้ใบสุดท้ายก็กรายจาก เหลือเพียงรากหยั่งใจให้ถวิล เพียงต้นกล้าต้นใหม่ได้ยลยิน มิรู้สิ้นบรรจบทวนทบรอย
ความจริงมีอยู่รู้กันทั่ว ก็ยังมั่วยืนยันนั่นไม่ใช่ ชักแม่น้ำทั้งห้าว่ากันไป ตามแต่ใจท่านคิดประดิษฐ์เอา ให้มีเงื่อนมีแง่แล้วแต่คิด เกิดพลั้งผิดจดจำนำไปเล่า กว่าจะแก้ไขได้ให้เรื่องเบา ก็ทำเอาเดือดร้อนไปค่อนเมือง หากถามใจทุกไทยใครก็ภักดิ์ แย่งกันรักชอบกลจนมีเรื่อง ข้ารักมากกว่าใครในบ้านเมือง ให้เขาเคืองหมั่นไส้ได้ทุกวัน
หานิยาม ความหมาย ไว้ประกอบ ถูกระบอบ แบบใจ ไว้เสนอ อธิบาย ความรัก ให้ฉันเธอ เผื่อคราวเผลอ พลั้งไป ไม่หลงทาง ลำพังคือ คนเดียว ไม่เกี่ยวข้อง แต่ก็ต้อง มีเหงา เป็นคราวบ้าง เดินแบบไร้ จุดหมาย ไร้เส้นทาง มีอ้างว้าง เหงาบ้าง ก็บางคราว “เปิดหัวใจ” รับไว้ หัวใจพี่ เคียงคนดี ข้างใจ ช่วยคลายหนาว จะเปลี่ยนรัก มุมลบ จบเรื่องยาว เพื่อนับก้าว ร่วมกัน สร้างฝันไกล จบบทเรียน รักร้าย แล้วคลายช้ำ จบบทความ ทรงจำ ที่หวั่นไหว เสริมด้วยรัก อีกบท ทศหัวใจ เริ่มบทใหม่ ด้วยใจ “ไม่ลำพัง” o มวลภมร o
อย่ามัวงง หลงอยู่ กับความหลัง ลืมความชัง ทั้งหลาย มลายสูญ ไร้ประโยชน์ เกินกว่า จะอาดูร หมั่นเพิ่มพูน ความช้ำ อยู่ทำไม อดีตกาล นานเนิ่น สุดเยิ่นเย้อ รังแต่เก้อ แต่คอย ปล่อยดีไหม เก็บเอาไว้ ละเหี่ย ปนเสียใจ โยนทิ้งไป ให้สิ้น ชินแล้วชน ไม่เคยมี แล้วมี เลยมีกิจ กระทบจิต คิดชุก ไปทุกหน นี่แหละหนา ผลผลิต ความคิดคน เป็นที่พึ่ง ของตน ภาวนา มีภาวะ อยู่กับ ปัจจุบัน คงจะไม่ ตีบตัน หากสรรหา เป็นบทเรียน สอนใจ ใยเลิกรา พัฒนา ชีวิต ก่อนปลิดปลง ลุกขึ้นยืน อีกครั้ง อย่าพังพาบ แล้วซึมซาบ ด้วยจิต พิศวง กอบความรัก ความฝัน อย่างบรรจง สักวันคง สมหวัง ดังใจปอง.. ..
ขออำไพคุณหนุ่มสาวคราวหลานลูก ที่ลุงผูกอักษรเป็นกลอนสาร เพราะอยู่ยง ปลงได้ คงไม่นาน จะเขียนอ่านเรื่องรักชักอายใจ ได้แต่พล่ามคำฝากหลากข้อคิด หวังในจิตผ่อนกรรมที่ทำไว้ ถึงจะอ่อนเรื่องเขียนก็เพียรไป ก็ด้วยใจมันรักอยากจะทำ เลือกเอาที่ดีมีประโยชน์ ที่เป็นโทษเหลือไว้ให้คนพร่ำ ใช้เป็นข้อกำหนดไว้จดจำ ว่าจะทำต้องชัดและจัดเจน ขยับมาอีกนิดเพื่อชิดใกล้ แล้วจะได้คนแก่ไว้แหย่เล่น แหย่ยังไงก็ได้ถ้าแหย่เป็น จะได้เห็นของฝากแน่ไว้แก้---จน
ขอร่ายพจน์บทกวีที่อ่อนหวาน แทนสุมาลย์ลบขมอารมณ์หมอง จงสุนทรียรสรื่นชื่นทำนอง บทลบองสวยสมภิรมยา ปวงความสุขสรวลสันต์พลันรุ่งรุจ เพื่อช่วยจุดชีวันให้หรรษา รอยยิ้มเพราพรรณรายเต็มสายตา มอบไมตรีเป็นพลาอันอารี ให้หวานเพลงคนธรรพ์อันเพราะพริ้ง รินน้ำใสใจจริงไม่วิ่งหนี ความซื่อสัตย์ซื่อตรงจงมากมี ทั้งความดีอย่าร้างจางหายไป เมื่อเดี๋ยวนี้เพลงทุกข์รุกเร้าเร่ง ร้อนก็เปล่งเสียงกร้าวรุมเผาไหม้ น้ำใจเริ่มน้อยเนื้อเหลือแต่ไฟ คนตัวใครตัวมันกันกว่าเดิม มีความเครียดเกาะกุมสุมชีวาตม์ เป็นอำนาจผนวกผนึกให้ฮึกเหิม ความเห็นแก่ตัวเองเร่งเพิ่มเติม แล้วก็เริ่มหันมาฆ่ากันเอง จึงร้อยพจน์บทกวีที่หวานแว่ว ลงลบแววตาหมองจ้องข่มเหง ลบระทดท้อสรรพ์น่าหวั่นเกรง ด้วยบทเพลงโหมโรงจรรโลงใจ ท้ายที่สุดคือบรรดามนุษยชาติ รวมอำนาจร่วมบรรเลงเพลงขานไข เปลี่ยนความเศร้าเร่าร้อนรอนฤทัย เป็นเพลงชัยชนะอันอนันตกาล
วันนี้มีนางหมา
เดินขึ้นมาบนชั้นสี่
ฉีกยิ้มจนหูรี่
ทำทายทักนักเรียนเรา
แล้วเด็กชายคนหนึ่ง
ยื่นมือซึ่งแกร่งของเขา ลูบหัวอย่างเบาเบา ส่วนนางหมาหน้าชื่นบาน มันคงจะดีใจ ที่จะได้ยินเสียงขาน ปิดภาคเรียนมานาน คงเงียบเหงาเต็มประดา ดูเถิดนางหมาเอ๋ย เจ้าไม่เคยได้ศึกษา อ่านเขียนเรียนวิชา ยังอุตส่าห์มาเมียงมอง หนูหนูครูเล่าแล้ว จงแน่แน่วเพียรทั้งผอง อนาคตหมายปอง จะสมหวังดังกมล ๑๗ เมษายน ๒๕๕๖
ดุจดวงดาวเริงร่านภากาศ พราวพิลาสเพียงมณีมิมีหมอง เจิดแจรงแสงนวลชวนใจปอง หลงแสงทองของจันทร์ริมฝั่งชล จากลุ่มน้ำแดนไกลในสมุทร มิอาจฉุดดวงดาวพราวเวหน บุญบันดาลสมหวังดังกมล ดุจเพลงมนต์...จันทร์เจ้า...คงเข้าใจ ขอเพียงนวลแสงจันทร์อันไพจิตร เนรมิตจันทร์แจรงเป็นแสงไข ลิบลิบดาวดวงเด่นเห็นรำไร คงไม่ไกลมือคว้ามาแนบทรวง *************************
หรือเพราะความฝัน ไม่ได้ต้องการจะเกิดขึ้นจริง แค่อยากมีไว้ ให้ใจพักพิง เวลาที่ ความเป็นจริง มันทำร้ายใจ หรือเพราะชีวิต ไม่ได้มีไว้ให้ก้าวเดินผ่าน แต่มีไว้ให้เก็บเกี่ยว ประสบการณ์ เพื่อสาน ความฝันที่ตั้งใจ หรือเพราะความจริง ไม่ได้โหดร้ายอย่างที่คิด หากเราแต่ยอมรับมันสักนิด มันก็จะกลายเป็นมิตรที่จริงใจ หรือเพราะความอดทน ไม่ได้จำเป็นต้องมีมาก เพียงแค่เรารักคนอื่น และไม่อยากเห็นเขาลำบาก มันก็คงจะไม่ยาก ที่จะเสียสละเพื่อใคร หรือเพราะโลกนี้ ไม่ได้กว้างใหญ่ไพศาลอย่างที่เราเห็น เราจึงใช้ความคิดมาก เกินความจำเป็น เพื่อที่จะเป็นที่รักของใครๆ หรือเพราะความจริง สิ่งที่ชีวิตต้องการ ไม่ได้มีมาก แค่ให้คนใกล้ตัวที่เรารักไม่ลาจาก ก็คงมากพอที่เราจะสุขใจ
รูปลักขณาสูงส่งดังหงส์เหิน เยื้องย่างเดินหิมวาเวหาหาว แต่ดวงจิตคิดชั่วเกลือกกลั้วคาว เฉกเพชรพราวร่วงตมจมราคี ถึงทรลักษณ์พักตราเพียงกาต่ำ ล้วนรูปชั่วตัวดำคล้ำราศี แต่จิตทรงสิกขาปัญญามี ยังอาจดีกว่าหงส์เล่นลงโคลน ล้วนไตรลักษณ์อนัตตาภควาตรัส รูปจำรัสฤาชั่วล้วนหัวโขน หากจุดไฟหทัยดวงให้ช่วงโชน ย่อมพรากโยนทวิลักษณ์จักรมณีย์ อนึ่งคบแต่พาลลาญบัณฑิต อาจชีวิตฉิบหายกลายบัดสี ไม่ฟังธรรมท่านเอ่ยเผยพาที ย่อมราคีขลาดเขลาเปล่าปัญญา เพียงภพหนึ่งชาติหนึ่งพึงสั้นนัก มัวหลงรักเนื้อหนังในมังสา ซึ่งทรุดโทรมเสื่อมไปในชรา ถึงมรณามาดหมายทุกกายมี เพียงเวรกรรมนำพาเมื่ออาสัญ เสวยสวรรค์ฤานรกตกเป็นผี จะสายเกินแก้ไขให้กลายดี ถึงโศกีไปก็เปล่าเขาเมินมอง มัจจุราชจะยิ้มเยาะเพราะโมหา มนุสสาล้นนรกอกไหม้หมอง หลงกามคุณมีห้ามาเนืองนอง จนก่ายกองเรือนจำกรรมพาจร นฤพานพิมานแมนแดนเกษม ล้วนปรีดิ์เปรมสุโขสโมสร สุดอาณานภากว้างร้างใครจร กลับแรมรอนอเวจีคดีกรรม มีชีวิตวุ่นวายมากมายเรื่อง เลยเปล่าเปลืองเพลาพาถลำ ลืมพากเพียรภาวนารักษาธรรม จึงมืดดำมัวจิตพลาดผิดการ หลงรูปรสกลิ่นเสียงเคียงสัมผัส สุดหยั่งวัดคะเนได้ในสงสาร ล้วนเกิดตายมายมากยากประมาณ เกลื่อนกลบฐานพสุธาให้อาลัย ท่านเปรยเปรียบกองกระดูกทุกภพชาติ แห่งองค์นาถโพธิสัตว์ทัดไศล ว่าขนัดแน่นแผ่นผืนดินดื่นไป หมายเข็มไชไม่อาจมีที่แทงลง ชลนามหาศาลปานสมุทร หาสิ้นสุดโทมนัสสลัดหลง ทุกข์เท
สัตว์โลกย่อมวิ่งร้อน...........ตามเกมส์
เกิดแก่เจ็บตายเอม...................อิ่มอ้าง
สุขโศกสลับกับเปรม-.................ปรีดิ์บวก
อ่านออกทางสัตว์สร้าง..............สื่อแล้วใคร่ครวญ ทวนเกมส์เป็นบทถ้อย..............ทฤษฏี อ่านกับดักวางตี...................ตอกแกล้ง หากพระเดชพระคุณมี..............บำเหน็จ กลบชั่วฉาบดีแสร้ง...............เสร่อแล้วสนุกสนาน เชี่ยวชาญเกมส์ย่อมเข้า-..............ใจธรรม จริงเท็จเผด็จกรรม..................ก่อได้ สร้างภาพฉาบชั่วจำ.................กันเถิด แหย่ยุวาทกรรมไว้..................ว่าต้องสรรเสริญ
รักตนอย่าจนใจ
อย่ารักใครอย่างทุ่มเท
สักวันเขาหันเห
จะเจ็บร้าวราวชีพวาย
เรื่องรักมักแปรเปลี่ยน ใจคนเวียนน่าเบื่อหน่าย รักแล้วก็กลับกลาย ผลสุดท้ายอาจชิงชัง หวังรักจะสดใส คงนับได้อย่าพึงหวัง สำรวมใจระวัง อาจภินท์พังไมแน่นอน ใครใคร่รักก็รักเถิด ให้ดีเลิศสโมสร เห็นค่าตนไว้ก่อน ไม่รุ่มร้อนตอนจากลา รักดีนั้นมีแน่ ก็พ่อแม่รักลูกยา รักยิ่งกว่าแก้วตา เกินสรรหามาเปรียบเปรย รักกันต้องเข้าใจ คือการให้ไม่ละเลย สุขทุกข์ไม่เชือนเฉย ฝึกให้เคยไม่ช้ำใน...อิอิ ช้ำในก็ใบบัวบกเน้อ .....
มีลาภ ไม่รู้พอ ก็เสื่อมหมดมียศ ไม่รู้ยั้ง ก็พังสิ้นยั้งหยุด ก็สุดทาง ร่างฝังดินจะยิน อยากได้ ก็ไม่เจอ ยามชีพยัง ดึงยั้ง ระวังไว้ขืนปล่อยใจ ตามหวัง ระวังเก้อมัวทะนง หลงไหล คงได้เจอ แล้วจะเหม่อ หมองไหม้ ช้ำใจตัว ทางที่ดี ควรยั้ง ชั่งใจนิดที่ทำไป ถูกผิด คิดให้ทั่วเป็นเพราะเกรง นับถือ หรือว่ากลัวหรือว่ามั่ว เห็นเป็นทรัพย์ นับว่าดี เสื่อมใดใด ไม่ร้าย เท่าใจเสื่อมเป็นทางเชื่อม สู่อบาย ร้ายเหลือที่เป็นที่สุด แห่งร้าย พึงจะมี จึงควรหนี ควรหลบ อย่าพบเลย