กลอนข้อคิด

แปรปรวน

ไหมไทย


เสียงสายฝนหล่นซัดกระแทกพื้น
น้ำในคลองไหลรื่นเกลียวกระหน่ำ
ฟ้ามืดมัวสลัวแสงส่องฉายนำ
ดอกไม้ช้ำน้ำฝนไร้เมตตา
เจ้าเคืองขัดโกรธแค้นเหตุใดหนอ
คลั่งซัดเหมือนบ้าบอสร้างปัญหา
มาสุมรุมเร้าคนโศกา
เจตนาสั่งสอนพวกมนุษย์
ภัยพิบัติแจ้งเหตุสะท้อนชี้
แผ่นดินไหวหลายที่รวมหลายจุด
และเชิงเขาดินทะลายพังลงทรุด
ทะเลฉุดคลื่นยักษ์ซัดแผ่นดิน
ชุลมุนวุ่นวายกันควักไขว้
ผู้คนไม่สามัคคียื้อแย่งสิ้น
ผลประโยชน์เศรษฐกิจกอบโกยกิน
อนาถจินต์ศีลธรรมหมดสร่างซา

พลังของถ้อยความ

คืนแรมสามค่ำหน้าร้อน


ดู VDO clip เรื่อง the power of words ใน youtube แล้วเกิดแรงบันดาลใจ
จะลองไปดู clip ก่อนอ่านกลอน ก็ได้นะครับ   น่าจะได้อรรถรสดีกว่า
ตาม link นี้ไปเลยครับ
http://www.youtube.com/watch?v=Hzgzim5m7oU
ลุงตาบอดนั่งขอทานมานานช้า
เขียนป้ายว่า "ตาบอดใสมองไม่เห็น
ช่วยสงสารให้ทานให้คลายลำเค็ญ
แล้วจะเป็นบุญส่งท่าน สวรรค์รอ"
สาวนักเขียนเดินผ่านขอทานเฒ่า
เห็นจับเจ่านั่งเงียบกระจ๋อหงอ
เงินจะซื้อข้าวประทังยังไม่พอ
เห็นแล้วก็สงสารขอทานครัน
หยิบป้ายย้ายปากกามาเขียนป้าย
แล้วก็ย้ายมาตั้งหน้าขอทานนั่น
ลุงสงสัยว่าเสียงอะไรกัน
สาวบอกฉันเขียนป้ายใหม่ให้กับลุง
ไม่นานเกินคนเดินมาผ่านป้าย
นิ่งไม่ได้หยอดตังค์ดังกรุ๋งกรุ๋ง
หยอดไม่หยุดเสียงดังนัวนังนุง
ลุงสะดุ้งแปลกใจในเหตุการณ์
ตอนเย็นสาวเลิกงานเดินผ่านหน้า
แวะถามว่าเป็นไงบ้างอย่างเสียงหวาน
ลุงขอบอกขอบใจ ให้นงคราญ
แล้วก็วานให้บอกความตามป้ายมา
สาวบอกคำที่เขียนให้ไม่ช้าเฉย
ว่า " โลกนี้สวยจังเลย ทรงคุณค่า
เสียดายแต่แค่ฉันนี้ไม่มีตา
จะมองหามองเห็นว่าโลกงาม"
เรื่องคำ ความ สอนใจให้ฉุกคิด
คำเพียงนิด อำนาจกล้าน่าเกรงขาม
จะสื่อสารอันใดไปก็ตาม
อย่ามองข้ามพลังคำจำใส่ใจ

ถูก - ผิด

แมงกุ๊ดจี่


คิดทบทวนหนทางตนย่างก้าว
จิตปวดร้าวกับใจอันไหวอ่อน
ตกหลุมรอยบ่วงกรรมทำแต่ก่อน
หนาวรานรอนทุกข์ตรมจมน้ำตา...
จะกี่ครั้งพลั้งพลาดเจ็บหวาดหวั่น
พ่วงด้วยทัณฑ์กรรมเก่าโหมเข้าหา
ก้าวซ้ำรอยตามครรลองหมองชีวา
สุดปัญญา...เห็นทางสว่างใส...
หรือเป็นเพราะโชคชะตาฟ้าลิขิต
ทางชีวิตผกผันพาหวั่นไหว
เลือกเส้นทางมืดมัวหลวมตัวไป
จิตเอื่อยไหลลงต่ำต้องกล้ำกลืน...
ทำได้เพียงยอมรับความสับสน
เฝ้าเตือนตน  เป็น-อยู่  อย่างรู้ตื่น
ทบทวนซ้ำ  ถูก-ผิด  อย่าคิดฝืน
เลือนวันคืน  "เห็นจริง" ทุกสิ่งลวง...

เรื่องมากมายในที่ทำงาน

วิสกี้ เลอ ฟองเบียร์


ออฟเอ๋ย ออฟฟิศ
มีความคิดมีความอ่านมีปัญหา
มีวิพากษ์มีวิจารณ์มีปัญญา
มีอิจฉามีเรื่องมีเคืองกัน
มีวางเฉยมีมองจ้องจับผิด
มีประดิษฐ์มีประจบมีขบขัน
มีรอยยิ้มมีน้ำตาสารพัน
มีเธอฉันมีพวกมันมีพวกเรา
มีนินทากาเลมีเสแสร้ง
มีอ่อนแข็งมีตลกมีโศกเศร้า
มีปกป้องมีพ้องพรรคมีหนักเบา
มีใหม่เก่ามีลูกรักมีลูกชัง
มีมากมายหลายหลากมีปากเสียง
มีอคติมีลำเอียงมีหน้าหลัง
มีคลาดเคลื่อนมีเบือนบิดมีปิดบัง
มีคำสั่งมีคำสอนคำติชม
มีโต๊ะใหญ่มีโต๊ะเล็กมีเซคชั่น
มีฝ่าฟันมีฝ่าฝืนมีขื่นขม
มีเก็บกดมีระบายมีระบม
มีประเมินมีผลักล้มมีผลักดัน
“ที่ทำงาน” ก็คือที่ฉันทำงาน
ฉันไม่พาลจับผิดคิดเดียดฉัน
เธอดีมาฉันดีไปไม่ว่ากัน
เล็กน้อยนั้นจงอภัยอย่าใหญ่โต
ถึงแตกต่างอย่าแตกแยกให้แตกร้าว
ช่วยบอกกล่าวเจรจาอย่าโมโห
เบื่อรบราพวกขุดคุ้ยข่มคุยโว
ใครทำโง่ก็ตาม ฉันทำงาน

.. เราจะไปหนไหนในวันหน้า ปาดน้ำตา ..ฝ่าข้ามความสับสน

คืนแรมสามค่ำหน้าร้อน


ถ้าเลือดไหลมาไม่แดง ค่อยแช่งด่า
ถ้าน้ำตาไม่ใสซึ้ง จึงเดียจฉันท์
ถ้าสุขใจไม่หัวร่อ ก็เกลียดกัน
นี่เป็นคนกันทั้งนั้น  คน คน คน
คน ต้องการโอกาสแม้อาจผิด
ในความคิดนั้นคลุมเครือเมื่อสับสน
โลภ โกรธ หลง ไม่ปลงละ มีปะปน
ยังไม่พ้นบรรลุธรรมย่อมทำไป
โลกเราไม่กลมได้ในวันเดียว
จนผู้เชี่ยว-ชาญส่องส่งและสงสัย
กว่ายอมรับว่ากลมเป็นส้มไป
ก็ต้องใช้หลายชีพเชียว ผู้เชี่ยวชาญ*
...
ผู้เห็นต่างจากฉัน คือมันผิด
อำนาจคิดแทนสมองจ้องประหาร
ใครคิดไม่เหมือนฉัน มันคือมาร
ต้องล้างผลาญพร่าชีวิต คิดแค่นั้น
.. เรายังทำเช่นนั้นในวันนี้
ยังชีวีด้วยความเกลียดเหยียดหยามหยัน
แล้วนี่เราจะไปได้แค่ไหนกัน
ต้องฆ่าฟันกันหมดหรือ คือเส้นชัย
คนถูกฆ่า.. ก็อาฆาตโดยญาติมิตร
เมื่อคั่งแค้นก็สิ้นคิด วินิจฉัย
เกลียดต่อเกลียดยิ่งเกลียดชังยิ่งฝังใจ
เราเหลือหวังอะไร ในเกลียดชัง
ลูกหลานเราก็เอาเข้าโรงเรียนเกลียด
เรียนหยามเหยียดเรียนเก็บกด จงหมดหวัง
เอาความเกลียดนี่แหละเป็นเช่นพลัง
ให้สมสั่ง สร้างสังคมนิยมชัย
กี่หนังสือประวัติศาตร์ไม่อาจเล่า
กี่เรื่องเก่าไม่เคยฟังบ้างใช่ไหม
ว่าที่ตายกล่นเกลื่อนคือเพื่อนไทย
ที่ร้องไห้อึงอื้อก็คือ คน
.. เราจะไปหนไหนในวันหน้า
ปาดน้ำตา.. ฝ่าข้ามความสับสน
หมอกควันคลุ้งพลุ่งพลั่งน่ากังวล
จะฝ่ากลหนนี้ได้อย่างไรกัน
* ฟังเพลง  "กาลิเลโอ - การลิ้มลองอนาคต"
ของ ศิลปินแห่งชาติ น้าหงา คาราวาน แล้ว
เกิดอารมณ์ ผูกโยง กับเร

ล้างไพ่ เล่นใหม่..ยังไม่สาย

ศรีสมภพ


ล้างไพ่..เล่นกันใหม่
หยุดก่อน ! อย่าร้อนเรื่อ ..เสื้อสีทั้งหลาย
เปลี่ยนข้างเล่น   เห็นกันใหม่   ในวิถี
ดูพฤติกรรม   ทำตัว   ชั่วหรือดี
ลืมเรื่องสี    มีความหลัง  .. ควรยั้งพอ
หยุดขัดแย้ง   แบ่งฝ่าย    ไร้สติ
ควรเริ่มริ   ร่วมกัน   สร้างสรรค์ต่อ
หากโกรธเคือง   เรื่องใด   ให้รีรอ
ชาติเจ็บพอ   ท้อรันทด  ..หมดกำลัง !
ให้โอกาส   อีกขั้วบ้าง  ..สู่ฝั่งฝัน
มัวกัดกัน   เพื่อนบ้านแรง  แซงขึ้นฝั่ง
ไทยคือเสือ   เมื่อก่อน   อย่าอ่อนพลัง
ต้องหยุดยั้ง   ฟังอีกข้าง..อย่างเป็นกลาง
ลืมเสื้อสี !   ที่ใส่มัน     ในวันก่อน
เลิกคิดย้อน   ผลัดผ่อนคลาย  ไฟบ้าคลั่ง !
เห็นทางออก   บอกกันต่อ    พอมีทาง
เปลี่ยนรัฐบาล  กันซะบ้าง  .หวังกันไป
สัญญานะ ?   จะหยุดกัน   เริ่มวันนี้
อาจจะมี   ผู้บริหาร     รัฐบาลใหม่
หากไม่ดี    เป็นที่หวัง    อย่างตั้งใจ
ล้มกันได้   เลือกกันใหม่  ..จนได้ดี !
เตรียมล้างไพ่ !  แล้วเล่นใหม่ไม่สายแน่
มองธาตุแท้ อุดมการณ์..มั่นวิถี
ความคิดเห็นประเด็นเก่าไม่เข้าที
เปลียนวิธี สู่วิถี..ประชาธิปไตย !

สำนวน : ขนหน้าแข้งไม่ร่วง

หนังสือ


หมายถึง : คนมั่งมี จ่ายแค่นี้ไม่ทำให้เดือดร้อน
เมื่อมั่งมีควรทำบุญบ้าง.. อย่าหวง
ขนหน้าแข้งไม่ร่วง.. ดอกหนา
ตอนเที่ยวเตร่และสังสรรค์.. เฮฮา
ไม่เคยเห็นเสียดายเงินตรา.. บ้างเลย
การทำบุญ-ให้ทาน ทำให้เรามีความสุขอีกแบบ

ปลาแล้งน้ำ

เปลวเพลิง


ร้อนเอยร้อนร้อนแสงแดดแรงกล้า
กลางเมษาฯดินระแหงแห้งเป็นผง
ป่ายางผลัดใบถมดิ่งลมลง
ดลพื้นพงเสียงกรอบเกรียบเมื่อเหยียบย่างธารน้ำเป็นธารโคลนข้นเหลือหลาย
หลากปลาว่ายดิ้นคว้างอยู่ข้างล่าง
เมื่อชลไร้-ร้อนรุกทุกตาราง
คงต้องตายรายทางใต้โคลนตมมีบ้างไหมสายนทีจากที่อื่น
จะหยิบยื่นล้นไหลให้รื่นร่ม
มาชุบชีพพสุธาปลอบอารมณ์
คุ้มเคียวคมแดดร้อนตอนหน้าแล้ง
พวกเรานี้มิต่างมวลมัจฉา
รุ่มกายาเจียนวายใต้ฟ้าแจ้ง
ท่ามหน้าร้อนฤดีที่รุนแรง
แตกระแหงไปทั่วทุกตัวคนบ้างแตกพรรคแตกฝักและแตกฝ่าย
จ้องทำร้ายแข่งขันกันเข้มข้น
บ้างถือสิทธิ์ทั้งผองเป็นของตน
ทำนาบนผืนหนังหลังใครใครร้อนแดดนั้นยังพอจะทานทน
หากแต่ร้อนในกมลทนไม่ไหว
ร้อนแดดแยกดินป่นเป็นผงไป
ร้อนในใจสิแยกคนแหลกกันน้ำแล้ง  ดินแห้ง  ปลาตาย
โลกคงครองวุ่นวายไร้หฤหรรษ์
ฝนน้ำตาหยาดฟ้าคือจาบัลย์
เพียงเท่านั้นแหละที่หยดมารดรินหากจะปลุกผืนดินให้อุดม
เมฆต้องพรมห่มแพรกระแสสินธุ์
เลี้ยงลำคลองอุ้มชูปลาอยู่กิน
พฤกษ์ทั้งสิ้นเขียวขจีมีร่มเงาอีกสายธารน้ำใจและไมตรี
จะหลั่งรดดวงฤดีหายอับเฉา
จะคลายร้อนตะวันให้บรรเทา
และจะชุบชีพเราให้ชื่นเย็น
ปล.หน้าร้อนใกล้เข้ามาแล้ว
อากาศร้อนๆ คนอย่าร้อนตามนะครับ

เปิด

เปลวเพลิง


เปิดหน้าต่างบานใหญ่ออกให้กว้าง
รับแดดจางย่างเยือนสู่เรือนเหย้า
กวักลมโกรกโบกผ่านม่านสีเทา
คลอเสียงเร้านกร้องทำนองฟ้าปัดฝุ่นฝ้าหนาเขลอะที่เปรอะเปื้อน
อยู่เนิ่นเดือนปีให้ลี้หายหน้า
จัดแจกันดอกไม้ใหม่งามตา
ในบ้านน่าพำนักพักอาศัยเปิดหน้าต่างรับวิชานานาแขนง
สาดเจิดแจ้งอยู่ยงอสงไขย
เพาะปัญญามาลีศิวิไลซ์
ประดับไว้พรายพริ้มริมระเบียงเปิดหน้าต่างหัวใจออกให้สุด
รับแสงใจเพื่อนมนุษย์ทุกเช้าเที่ยง
ปลูกต้นรักสักกอเพื่อหล่อเลี้ยง
ให้พอเพียงชุ่มฤทัยไปทุกวันเมื่อเราเปิดหน้าต่างออกอย่างนี้
ล้วนแต่มีความสว่างพร่างเฉิดฉัน
รับสรรพแสงแรงกล้าสารพัน
มองสิ่งอันมีค่าน่ายลยินเปิดเถิดเปิดเพื่อรับกับสิ่งใหม่
เปิดตามแต่หัวใจใคร่ถวิล
เปิดความคิดอิสระเราระริน
อย่าให้สิ้นรสจินตนาการ

ดิน น้ำ ลม ไฟ คือประเทศไทย

เปลวเพลิง


ดินน้ำลมและไฟให้คุณค่า
ล้วนพึ่งพาอาศัยไม่สุดสิ้น
ก่อกำเนิดเกิดสรรพชีวิน
ดั่งศิลปินจารจดโลกงดงาม
ประเทศนี้ที่อุดมด้วยสมบัติ
เพราะดินขัดน้ำเกลาให้วาวหวาม
ลมพรมพัดพาสุขอวลทุกยาม
ไฟก็วามความเป็นไทยไปจีรัง
เช่นทุกเม็ดกรวดทรายใต้เท้านี้
คือชีวีบรรพชนแต่หนหลัง
ที่หลั่งเลือดเสียเนื้อเหลือกำลัง
จวบดินฝังร่างตัวลงชั่วกาลน้ำทุกสายห่อนสิ้นซึ่งสินทรัพย์
กุ้งปูจับนำมาปรุงอาหาร
สมบูรณ์สุขอักโขแต่โบราณ
ปลาเต็มธารข้าวเต็มนาพารื่นรมย์สดับเสียงพระธรรมค้ำจุนจิต
นำชีวิตนำทางอย่างเหมาะสม
ลบเคียดแค้นเข่นฆ่าน่าตรอมตรม
ด้วยสายลมโอวาทพระศาสดา
ไฟอบอุ่นกรุ่นไอคลายหนาวเหน็บ
คลายรวดร้าวบาดเจ็บจนแกร่งกล้า
โชนแสงทองโชติช่วงสู่ปวงประชา
คือกษัตราปกเกศประเทศไทย
ดินน้ำลมและไฟยิ่งใหญ่นัก
คู่ควรรักถิ่นนี้กว่าที่ไหน
จงปรองดองคล้องเกี่ยวเป็นเกลียวใจ
อย่าบ่อนไส้ห้ำหั่นฆ่ากันเอง

ใยแมงมุม

เปลวเพลิง


ผีเสื้อน้อยโผผินบินรำร่าย
ชมรุ้งพรายสายหมอกชมดอกหญ้า
อวดแพรปีกงามวับระยับตา
หวังกอดฟ้าจูบลมห่มเมฆินทร์
ล้อลมไหวไปเรื่อยอย่างเฉื่อยฉิว
ลัดทุ่งทิวผ่านป่าภูผาหิน
ไม่ระวังละเลยเช่นเคยชิน
เจ้าจึงบินสู่ข่ายใยแมงมุม
สุดจะดิ้นจะรนพาตนรอด
รอความมอดม้วยตามย่างสามขุม
แมงมุมพุ่งตรงขยับเข้าจับกุม
แล้วห่อหุ้มด้วยไหมจากในตัวเฉกโลกมากมีภัยกว่าใครคิด
พร้อมปลิดชีพชีวิตทุกทิศทั่ว
ที่สวยแสงอาจแฝงแรงน่ากลัว
พร้อมรุกรัวให้ดับชั่วกัปกัลป์รู้ระวังตนไว้ไม่ประมาท
แม้ก้าวพลาดก็ไม่ถึงซึ่งอาสัญ
แต่หากเหลิงลืมหวงดวงชีวัน
ผิดพลั้งพลันอาจติดไหมใยแมงมุม

ต้นไทย

เปลวเพลิง


ยืนต้นผ่านกาลเคลื่อนดาวเดือนดับ
เนิ่นนานนับฟ้าดินถึงสิ้นสูญ
แผ่ก้านกิ่งทิ้งใบคล้ายอาดูร
ครั้งเกื้อกูลคนเอื้อแผ่เผื่อกัน
แต่ก่อนวัดทัศนาคนคลาคล่ำ
ได้ดื่มด่ำเทศนาพาดับขันธ์
ดับรุ่มร้อนเรือนกายอยู่รายวัน
พระธรรมจรรโลงให้ใจร่มเย็น
ประเพณีมีค่าน่าชมชื่น
ต่างครึกครื้นนานาการละเล่น
ผู้ร่วมงานมิเบาบางมิว่างเว้น
ร้อยรวมเป็นเกลียวเเกร่งแรงศรัทธา
ไฉนบัดนี้คนกลับร้างวัด
พระก็ผลัดบวชไม่ถึงหนึ่งพรรษา
ประเพณีค่อยเลือนลับลงกับตา
เสียงเฮฮาถูกความเงียบลงเสียบแทน
อนิจจา!  มรดกที่ตกทอด
คงต้องวอดวายเสีย-ละเหี่ยแสน
อนุชนคนรุ่นหลังนั่งดูแคลน
ชื่นชมของต่างแดนแสนเศร้าใจ
อยากแผ่ร่มเงาไม้อันไพศาล
ไปปกบ้านปกเมืองเรืองสมัย
ให้คนรักษ์วัดวาอารามไทย
และรักษ์ในประเพณีอันดีงาม
ยืนต้นผ่านกาลเคลื่อนดาวเดือนดับ
หวังผลลัพธ์คือลูกไทยไม่มองข้าม
ปลูกต้นไทยให้คงอยู่คู่เขตคาม
เพื่อผลิความวามจำรัสพิพัฒน์ไทย

* คนค้นคน*

บนข.


เกิดเป็นคนจำต้องทนสารพัด
ทนจรจัดเวียนว่ายวัฏฏ์สงสาร
ตายแล้วเกิดเกิดแล้วตายกี่วายปราณ
กี่กัปป์กาลผ่านพ้นทนกันไป
ท่ามวัฏฏะสงสารกี่ล้านชาติ
กองกระดูกมิอาจคำนวนได้
กว่าจะลุถึงฝั่งที่ตั้งใจ
ต้องลุยไฟลุยตมกันนมนาน
เกิดเป็นคนต้องทนให้เขาด่า
ทนให้เขานินทาอย่ากล้าหาญ
เสียงสรรเสริญเยินยอก่อรำคาญ
สุขทุกข์ผ่านกำหนดให้อดทน
แม้ปากหมูปากหมาที่ว่าแย่
ก็ยังแพ้ปากมนุษย์ชั่งขุดค้น
โลกวุ่นวายร้ายดีที่ปากคน
ลมปากพ่นเพียงนิดก็ติดไฟ
เกิดเป็นคนหากไม่ทนให้เขาด่า
ย่อมเสียทีที่เกิดมาคุณว่าไหม
แม้จะทำชั่วดีย่อมมีใคร
ที่ปากไวปากพล่อยคอยนินทา
อยู่เฉยๆท่านเอ๋ยไม่ต้องคิด
ว่าจะรอดจากพิษคำเขาว่า
โน่นแนะองค์พระพุทธปฏิมา
ก็ยังโดนครหาให้ราคิน
เกิดเป็นคนจึงต้องทนสารพัด
กว่าจะหยุดจรจัดวัฏฏะสิ้น
ทนเกิดแก่เจ็บตายกายพังภินท์
อีกติฉินนินทาคำด่าคน
ทั้งสุข-ทุกข์ ดี-ชอบ ระบอบโลก
อันชุ่มโชกซัดมาดังห่าฝน
เป็นบทเรียนเพียรมอบทดสอบตน
ใครผ่านพ้นดลลิบ.....ถึงนิพพาน.....

วาเลนไทน์สอนรัก

การัณยภาส


กลิ่นกุหลาบแรกแย้มแต้มสีสัน
ให้โลกนั้นน่าอยู่ดูสดสวย
เป็นความหอมหวานชื่นรื่นระรวย
คล้ายหนทางวางด้วยกุหลาบพรม
เพราะสิบสี่กุมภาฯนั้นมาถึง
เป็นอีกหนึ่งวันรักจักสุขสม
คือเรื่องจริงหญิงชายในสังคม
เฝ้าภิรมย์ชมรักสมัครใจ
คล้ายวันเกิดเปิดรักสมัครเล่น
จึงได้เห็นหนุ่มสาวเมาหวั่นไหว
ตระกองกอดฟัดเหวี่ยงเรียงกันไป
วาเลนไทน์ทุกปีมีให้ดู
ชายบอกหญิงจริงแท้แน่ในรัก
จึงตวงตักเก็บไว้ไม่อดสู
เหมือนบทเรียนเขียนอ่านผ่านมือครู
ให้โลกรู้ว่าโก้โอ้อวดตาม
หญิงเชื่อใจยินยอมพร้อมมอบให้
ทั้งคุณค่ากายใจเกินไถ่ถาม
ด้วยความรักคำนี้ในนิยาม
หลงวาบหวามความสุขแฝงทุกข์ตรม
วาเลนไทน์สอนรักประจักษ์แล้ว
เห็นวี่แววล้มครืนต้องขื่นขม
เพียงชั่วครู่ชั่วยามตามอารมณ์
เขาเพาะบ่มแล้วพรากเอาจากไป
กลีบกุหลาบบอบช้ำมีซ้ำซาก
ง่ายหรือยากแน่แท้เร่งแก้ไข
ค่านิยมความหวังสังคมไทย
สลดใจรักแท้แค่เสียตัว

อยู่ที่เราลิขิต

เปลวเพลิง


อันคนเราเท่านี้แหละที่ว่า
มีสองมือสองขาสองตานั่น
มีหัวใจเต็มหวังเป็นรางวัล
เพื่อเสกสรรค์ชีวิตเช่นคิดไว้
แม้ต้องการสิ่งใดในหล้าแหล่ง
เพียงลงแรงใช่จักยากคว้าไขว่
สูงเสียดฟ้าต่ำลงดินถิ่นใกล้ไกล
ก็คงได้ใคร่ชิดสนิทนาน
ด้วยสองมือสองเท้าเร่งเข้าสู้
เรียนและรู้ทุกข์สุขสนุกสนาน
สัมผัสแดดสัมผัสฝนทนกรำงาน
ให้ซาบซ่านถึงค่าราคาคน
มีความหมั่นเพียรก่อเป็นบ่อเกิด
ปลูกความรู้ชูเชิดเป็นดอกผล
อดทนเลี้ยงชีพชอบกอปรกมล
ลิขิตตนหมดสิ้นด้วยยินดี
ชีวิตเราคงอยู่คู่กับโลก
ใช่เพราะโชคชะตากรรมนำวิถี
หากเป็นเพราะเลือกลิขิตด้วยฤทธี
ให้สดศรีฤาหมองไหม้ดั่งใจเรา

ไม่อยากไหว้

ฤกษ์ ชัยพฤกษ์


โอกาศสูงยิ่งล้ำ                 เกินใคร
รองบาทฝ่ายนอกใน          จ่ายเบี้ย
เกิดเรื่องดุจสุมไฟ             คุกรุ่น
ทำตนต่ำตกเตี้ย                รุ่มร้อนสถาบัน
ยึดครองตัดป่าไม้              ยอดเขา
ความแตกกลัวอับเฉา        รีบรื้อ
ทนด้านเกินคาดเดา           ทำเก่ง
วางท่าเหมือนคนบื้อ           ต่อหน้าหมดอาย
ครองยศสูงเยี่ยมฟ้า            คนชม
โลภมากผลักตกตม           แอ่งน้ำ
เลอะเทอะไม่เหมาะสม      ควรอยู่  ต่อเฮย
มุดซ่อนไปรีบจ้ำ                เพื่อล้างเลวทราม
ยศศักดิ์ครองอยู่แล้ว          สูงสุด
เป็นคนที่บริสุทธิ์                จึ่งได้
ความชั่วถูกเขาขุด               ตีแผ่
ควรอยู่หรือกราบไท้            ล่วงแล้วลาไกล
ควรอายใจหนึ่งบ้าง              เพียงนิด
ออกงานมุ่งแนบชิด             ไพร่ฟ้า
ประชาไม่ยอมสนิท              คนต่ำ  จิตเฮย
เห็นตัวสั่นปากอ้า                 เอ่ยไหว้ฝืนใจ

จะทนทุกข์ที่ทุกข์ท้นทุกหนไป เพื่อจะไม่ลืมรักนี้ และที่รัก...

คืนแรมสามค่ำหน้าร้อน


ไม่ได้โกรธโทษใครมาหลายปี
ไม่เคยมีที่จะหวง ..อภัยให้
วันนี้โดนรักเศร้าแผดเผาใจ
อยากอภัยแต่ยังติดอยู่นิดนึง
เขาว่าถ้าเรารักใครมากพอ
ไม่ทดท้อ มากน้อยไปไม่ห้ามหึง
อภัยได้ อภัยหมดปลดบึ้งตึง
แปลกใจจึง ทำไมไม่อภัยนาง
ทบทวนจิตคิดไปให้วนวก
ติดพงรกในจิตคิดหมองหมาง
ก็ทั้งห้วงดวงใจเรา ไม่เบาบาง
ไม่เคยวางหรือว่างรักสักเสี้ยวใจ
กระไรเลยคนเคยรักมาหักลด
ร้าวรันทดเจ็บจนซึ้งถึงไหนไหน
กอดความเจ็บ เก็บความจุกทุกข์ทรวงใน
เพียงอภัย.. ใจที่เศร้าก็เบาลง
ถามใจ.. โกรธทำไมให้สิ้นสุข
ปล่อยให้ทุกข์ป่นใจเป็นเช่นผุยผง
ใจตอบ.. ยอมทุกข์ตาย วายชีพปลง
กลัวจะหลงลืมเลือนรัก ..หากอภัย
ขอทุกข์ใจไปทุกวันไม่ผันเปลี่ยน
กี่วันเวียนผ่านกี่วันไม่หวั่นไหว
จะทนทุกข์ที่ทุกข์ท้น ทุกหนไป
เพื่อจะไม่ลืมรักนี้ และที่รัก...
หน้า / 28  
ทั้งหมด 467 กลอน