หมาเห่าใบตองแห้ง อาทิตย์อัสดงลงเหลื่ยมเขา เสียงหมาเห่ากลางลานม่านไม้ไหว แกรกแกรกแกรกแหวกหาว่าอะไร .สัญชาตญานสั่งให้ไล่ล่าตาม ก็แค่เห่าใบตองจ้องจ้องขู่ ที่รู้รู้ใครใครไม่เกรงขาม ที่ป่าวร้องเสียงแหบหลายโมงยาม เขาประณามหมาเห่าเขารำคาญ เห่าประกาศศักดาบ้าอำนาจ นี่แหละชาติสันดานเดรัจฉาน หวงลาภยศหวงของเขตภิบาล ใครอาจหาญบุกมาข้าเอาตาย ต่างระแวงเกรงกริ่งชิงแข่งขัน เข้าประจัญรุกรบจนเสียหาย จิตอิจฉาจึงกล้าและท้าทาย ลืมความหมายชีวิตลืมคิดตรอง หมาเห่าใบตองแห้ง เป็นสำนวนที่เปรียบเทียบกับสุนัขที่ชอบเห่าใบตองแห้ง คือเห่าใบกล้วยที่แห้งติดอยู่กับต้น เวลาลมพัดใบกล้วยแห้งจะแกว่งหรือเสียดสีกัน มีเสียงแกรกกราก สุนัขเห็นอะไรไหว ๆ หรือได้ยินเสียงแกรกกรากก็จะเห่าขึ้น แต่ก็เห่าไปอย่างนั้นเอง ไม่กล้าไปกัดใบตองแห้ง กิริยาของสุนัขนี้จึงนำมาเปรียบกับคนที่ชอบพูดจาเอะอะในลักษณะที่อวดตัวว่าเก่งกล้า แต่ที่จริงแล้วก็ไม่ได้กล้าสมกับคำพูด แต่ปกติถ้าเป็นสุนัขที่ได้รับการฝึกมาก่อนนะ เช่นสุนัขตำรวจ หมานายพรานมักใช้จมูกได้ไว และแม่นมาก ถ้าเห่าแล้วก็แสดงว่าเจองู แย้ กระต่าย หรืออะไรสักอย่างแน่ๆ แล้วแต่สายพันธุ์
เดินโดดเดี่ยวเหลียวไหนใครคู่สอง มีพี่น้องตามติดพิศมัย ยามจำพรากจากกันแสนอาลัย ซ้อนอยู่ในกายหนึ่งต่างพึ่งกัน แม้ลุกนั่งเดินย่างต่างร่วมกิจ ทำพูดคิดตรงแน่ไม่แปรผัน น้องอยู่นอกพี่อยู่ในแฝดสัมพันธ์ หากดึงดันหลบลี้อาจมีตรม สามัคคีคุมสติดำริพร้อม ใจนึกน้อมกุศลดลสุขสม ทุกขณะหายใจใฝ่เกลียวกลม ย่อมรื่นรมย์พี่น้องท่องเดินไป ทางสองแพร่งมิรู้เห็นเป็นบุญบาป เมื่อกายหยาบเหินห่างสว่างใส ลืมรำลึกสำนึกน้อมภายใน ชวนพี่ให้หลงเพลินเดินตามมาร น้องเข้าใจห่วงใยในตัวพี่ เฝ้าชวนชี้ตั้งมั่นหมั่นสังหาร คราเผอเรอมืดมัวตัวซาตาน จิตวิญญานพาลหลงคงซึมเซา เดินโดดเดี่ยวเกี่ยวพันกันอยู่สอง ตามครรลองธรรมชาติมิขลาดเขลา สำรวมตนทำดีพี่น้องเรา จึงรู้เท่าทันมายาประสาคน... พี่....ธาตุรู้ หรือจิตวิญญาน น้อง....กาย รวมองค์ประกอบธาตุ 4 แฝดพี่น้องทำหน้าที่ร่วม เดินทางชีวิต ป้ากันนา 14 พฤษภาคม 2555
ไล่ล่าแม่มดต้อง........ตามเกรียน ดราม่าเรียกเพื่อนเพียร...........แซ่ซร้อง เซเล็บกดไลค์เนียน.........ไม่อ่าน การตลาดศาสตร์เรียกร้อง...........สื่อเร้าอารมณ์ Hunting witch is the.............trolls' job. Drama calls for mob..............to read. Clicking 'like' to top................celebs, Without reading, is ...........media's strategy.
ประชาราษฏร์ร้องข้าวผัด........เนื้อหมู แพงเวย จานสี่สิบบาทดู................โคตรบ้า เจ๊งเถิดโคตรแพงกู.........ยอมอด กินเนอ อดแม่งประชดแม่ค้า..........ขูดเนื้อประชาชน
ปราชญ์ใดเสนอสื่อด้วย.......อินเตอร์เน็ต อีกแม่นอังกฤษเผด็จ..........ศึกใช้ เฟสบุคจากแท็บเล็ต...........อ่านสลับ โพสต์นา ยิ่งถ่อมตนยิ่งได้..............แต่ผู้สนับสนุน If a sage uses the in- .............ternet, All English language.........he knows, Facebook via tablet..............he types. With modesty, the show............ will be popular.
ได้กลิ่นไอกลิ่นหอมจากลอมฟาง เมื่อฝนตกมาล้างรอยดินแล้ง หญ้าแทงยอดเขียวงามตามเรี่ยวแรง รุ้งทอแสงเริงระบำบนท้องนา แม่ใส่ซิ่นผ้าฝ้ายพาลุยฝน ได้อาหารเหลือล้นหาบบนบ่า มีน้ำใจแบ่งปันกันเรื่อยมา บนนิยามคุณค่าความเพียงพอ ลอมฟางรวมกองไว้กลางลานดิน เมื่อวัวควายได้กลิ่นมากินต่อ ยามเย็นกรูกลับถึงที่ไม่รีรอ และพาพ่อไปทุ่งทุกรุ่งเช้า ฝนตกโรยลอมฟางกลางเมษา กลับไม่หอมโชยมาเหมือนคราเก่า เหลือร่องรอยประทับใจในวัยเยาว์ เป็นเรื่องเล่าฝากไว้ในแผ่นดิน ผ่านเทศกาลสงกรานต์ ฝนตกโปรยปรายเหมือนน้ำตาหล่นร่วงมาซับดินแล้ง ลูกหลานต่างหลั่งไหลเข้าเมืองกรุง เหลือภาพที่มีลูกหลานเต็มบ้าน ให้เป็นเพียงแค่ความทรงจำ ภาพในอดีตที่พ่อแม่ ลูกหลาน ปู่ย่า ตายาย วัวควาย ต่างตื่นเต้นดีใจเมื่อต้นฤดูฝน ฤดูแห่งอาหาร ฤดูแห่งชีวิตจิตวิญญาณของชาวนา ค่อยๆจางหายไป ในท่ามกลางสายฝน ข้าพเจ้านั่งเขียนบทกวี และฟังบทเพลงตามรอยพ่ออย่างเงียบๆ สัมผัสถึงความรัก ความห่วงใยของพ่อต่อชาวนาไทย คงไม่มีพระมหากษัตริย์ที่ไหนในโลกอีกแล้ว ที่ทรงทำนา เกี่ยวข้าว และมีที่นาในบ้านของพระองค์เอง พ่อแสดงให้เห็นถึงปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สงบสุข เรียบง่าย ตามวิถีแห่งการเกษตร กลมกลืนไปกับธรรมชาติ ไม่มีความสุขใดจะเทียมเท่าอีกแล้ว พ่อบอกไม่ให้ลืมบุญคุณของข้าว ไม่ให้ลืมรากเหง้าของบรรพบุรุษ ในท่ามกลางกระแสวิวัฒน์ กระแสทุนนิยม กระแสวัตถุนิยม กระแสบริโภคนิยม
ทางด่วนยาวสุดตั้ง.......ตาเห็น เหรียญบาทหายากเย็น..........อย่าค้น ดั่งมนุษย์หัดบำเพ็ญ...........การศึก ษาเนอ นักปราชญ์กวีรวยล้น..........ยากแท้อย่าหา In the long super-..............highway, Don't look for one baht , say,..........as a coin. Among human who play,.................eat, and love, it will be a void........................to find rich poets.
หนึ่งรู้เครื่องเพชรซื้อ.......สนองเธอ หนึ่งรถบ้านกระเป๋าเสนอ............นอบให้ หนึ่งเที่ยวทั่วโลกเปรอ............ปรนตลอด หนึ่งโง่ยอมแม่ใช้...........ประเสริฐแล้วสวามี
ความไม่รู้สิเลิศล้น........เหลือคณนา รู้เพ่งให้กระจ่างตา.........ตรึกไว้ ความรู้หากยึดพา............โอ้อวด ตนเนอ ความโง่ย่อมเบียดให้.........สติรู้เลือนหาย To know one not knows...........is good You'll be careful, dude!................trust me. To know too much should.............you have Big neck that you'll be................stupidly reckless.
ตอนเด็กของเล่นดื้อ..........ดึงขอ วัยรุ่นกระสันแฟนพอ..........อวดโอ้ กลางคนละโมบเงินรอ........ละเลงจ่าย อำนาจการเมืองโม้..........มั่วใช้ยามชรา More toys are asked by....................children. Girlfriends and boyfriends............teens need. Middle-aged men strengthen..............finance. Political positions please.................old politicians.
กลอนฉบับนี้ชื่อ Karl Heinrich Marx ของกวีเยอรมันชื่อ Hans Magnus Enzensberger I see you betrayed by your own disciples; only your enemies remained what they were. ข้อยเห็นแต่ผู้ถูก.........ทรยศ มีแต่ศิษย์มันหมด.........แม่นแท้ ยังแต่ศัตรูคด..............คือเก่า ฉะนี้นอ โกงเกลียดบ่คิดแก้........กลบฮ้ายเป็นดี
ไลค์ท่าน--จะลูบไล้.........ท่านตอบ เม้นท่าน--เนื้อเม่นมอบ.........เม่นไว้ แอ๊ดท่าน--สิบิ๊กแอสขอบ......คุณท่าน แชร์ท่าน--ถวายเก้าอี้ใช้.........ช่วยสร้างสัมพันธ์ เมามันจักรวรรดิ์ฟ้า...........เฟสบุ๊ค ดราม่าด่ามันสนุก...........สนั่นม้วย มั่วตลกโปกฮามุข............เมาขนาด จริงไม่จริงปนปะด้วย...........เด็ดชี้ยุคสมัย
ฉันพักกายที่นี่นะที่รัก นอนหนุนตักหญ้างามคลายความหมอง ห่มกายด้วยรังสีสุรีย์กรอง ฟังไผ่พร้องดุริยศัพท์ขับคีตกานท์เพลงลูกทุ่งผิวแผ่วแว่วมาโน่น รวงข้าวโอนระเนนลู่ดูอ่อนหวาน โอบอ้อมแขนขุนเขาเนาสราญ แช่มชื่นบานถ้วนทั่วทั้งหัวใจแม้เพียงเอนหลังเพลินบนเนินหญ้า ก็สุขแล้วยิ่งกว่าเวลาไหน ที่รักจ๋า...ถ้าเหนื่อยเมื่อยเกินไป แนบหทัยไสยาเถิด...อย่าติงณ แผ่นดินถิ่นซึ่งฉันพึงรัก ได้รู้จักและสุขกับทุกสิ่ง ผืนแพรทองผ่องไผทไม่ทอดทิ้ง ซื่อสัตย์ยิ่งคงมั่นจนวันตายก่อนหันกลับสู่เมืองที่เรืองรุ่ง ขอบฟ้าปรุงแต้มแต่งแสงเฉิดฉาย แหงนสบเนตรจันทรา ดาราราย ดื่มความหมายชีวิต สิทธิ์เสรีฉันพักกายที่นี่นะที่รัก อย่าห่วงนักและอย่าเมินหน้าหนี ต่อรุ่งเช้าสว่างฟ้าทาบธาตรี ฉันจะกลับสู่วิถีกาลีเมือง ปล.บทนี้เป็นบทที่ต่อจาก พิมานทอง ครับ
หรีดหริ่งเรไรยามรัตติกาล ดาริกาดาษดารเกลื่อนฟ้า จันทร์เสี้ยวสาดส่องทั่วพสุธา ปุยขาวเมฆาลอยเหนือพนาวัน กบอึ่งแซ่ซ้องร้องอึงมี่ ระริกระรี้ดี๊ด้าจ้าละหวั่น ต่างออกชมเชยชื่นแสงนวลจันทร์ ชุมนุมกันร้องรำอย่างสำราญ ค่ำคืนแห่งความสุขหฤหรรษ์ สารพัดสัตว์พันธุ์ล้วนขับขาน ธรรมชาติอุดมสร้างแต่บรรพกาล เย็นซาบซ่านชื่นจิตนิจนิรันดร์ ขณะสัตว์บรรเลงเพลงกล่อมโลก มนุษย์กลับเศร้าโศกอย่างมหันต์ ไยมัวทุกข์ไม่สุขเช่นสัตว์กัน มาเชยชื่นชมจันทร์กันสักครา มัวคร่ำเคร่งงานการจนหนักหัว หมกมุ่นตัวอยู่กับการแสวงหา หลงลาภยศสรรเสริญเพลินเงินตรา หลงลืมค่าว่าเป็นคนเหนือสัตว์ใด เสียงเครื่องแอร์ราคาแพงมันหนวกหู ฟังเสียงจิ้งหรีดดูสักคราวใหม กล่อมเธอหลับนิทราหวานบานฤทัย เสียงอื่นใดจะสุขเท่าเจ้าแมลง อีกทีวีเครื่องใหญ่ของเธอนั้น หรือจะสู้จันทร์เสี้ยวที่สาดแสง ดูทีวีเครื่องใหญ่ราคาแพง ไม่เท่าดูจันทร์แสงสราญตา ไม่ต้องควักเงินหมื่นให้ลำบาก ไม่ต้องยากลำบากซื้อเที่ยวเสาะหา แค่ย่ำเดินจากตึกไม้ชายคา แหงนมองฟ้าดวงจันทราจะรอเธอ
ฉันกลับมาที่นี่แล้วที่รัก คิดถึงนัก-ดอกไม้และใบหญ้า ผีเสื้อโบกปีกร่ายอย่างทายท้า ต้อนรับการกลับมาอีกคราคราวหลังจากที่เหนื่อยยากลำบากยิ่ง กับการวิ่งฝ่าประจญทนความหนาว หวังลบภาพเมืองซึ่งสะพรึงคาว หลบความฉาว โฉด ชั่ว หัวใจคน กับความเครียดมากมายอีกหลายอย่าง ฉันอยากวางใจพักลงสักหน กลับมาเติมพลังประทังตน สู่แดนชนบทอันฉันเกิดกายอา! บ้านนาแห่งนี้เป็นที่รัก พร้อมให้ตักตวงสุขทุกเช้าสาย อยู่กับอากาศอันไร้อันตราย ความเรียบง่ายสร้างค่าอิฏฐารมณ์ขอสู่แดนแผ่นดินถวิลหา ซึ่งไร่นา ดิน น้ำ ร่ำกลิ่นฉม ทิ้งความเหนื่อยลอยลับกับสายลม ทอดตาชมธรรมชาติปราศพิษภัยจากเมืองฟ้ามาสู่ประตูทุ่ง ลอดโค้งรุ้งใต้หลังคาท้องฟ้าใส ฉันหลับแล้วกับฝันอมรรตรัย พักกายใจในบ้าน-พิมานทอง ...................................................... ปล.ปิดเทอมแล้ว กลับบ้าน!
แดดร่ม ลมตก ยกสำรับ หมูสับ กับแกล้ม แหนมพวงใหญ่ น้ำแข็ง สุรา มาทันใด กินให้ อิ่มเอม เปรมปรีดา คอเหล้า ตั้งวง ส่งเสียงขรม เกลียวกลม ตกเย็น เป็นพร้อมหน้า ลูกเมีย ชอกช้ำ มินำพา เฮฮา บ้าคลั่ง ดังสิ้นคิด เงินเดือน ละลาย จ่ายไม่เหลือ แผ่เผื่อ เพื่อนฝูง จูงกันผิด ปลาบปลื้ม ดื่มด่ำ อ้างน้ำมิตร ชีวิต จมหล่น สู่ก้นบึง คืน,วัน ผ่านไป โดยไร้ค่า ชรา ยามใด โรคภัยถึง เพื่อนรัก เพื่อนกิน สิ้นคำนึง พรั่นพรึง ทุกข์ร้อน กายอ่อนแอ วัฏฏะ ขี้เมา เดาไม่ยาก ลำบาก กินเกลือ เมื่อยามแก่ ลูกหลาน ห่างเหิน เมินเหลียวแล ย่ำแย่ อับจน เพราะตนเอง (กลอนบทนี้เขียนตามอารมณ์กลอน ครับ ไม่มีเจตนากระทบใคร ใคร ชอบดื่ม สุราขออภัยล่วงหน้าครับ)
ก่อนเนื้ออุ่นหนุนหมอนค่อนคืนนี้ แนบฤดีลูกพับลงกับฝัน ฟังนิทานแม่เล่าเคล้านวลจันทร์ เนื้อเรื่องมันชวนสยอง-มิต้องกลัวเขาว่าในราตรีที่มืดมิด ความหวาดจิตทอดเร้าเงาสลัว ภูตผีป่าเริ่มบทปรากฏตัว คนก็รัวระริกพรั่นมหันตภัยกลัวว่าผีนั่นหนาจะมาหลอก แลบลิ้นออกมาชักพร้อมควักไส้ มากมายด้วยอาถรรพ์พาบรรลัย จึ่งใครใครเจอผีแล้วหนีกันเทียวหาหมอผีมาเพื่อปราบผี ถ่วงหม้อลงวารีไม่มีหวั่น เกิดโรคภัยก็โทษที่ผีทั้งนั้น เพราะผีมันมากฤทธิ์พิชิตคนยุคสมัยในปัจจุบันนี้ ถ้วนทุกผีหายหน้าพาฉงน เพราะผีไม่อาจยั้งกำลังมนตร์ จากชาวชนซึ่งหวั่นผีกันบานโอ้เนื้ออุ่น-อย่ากลัวว่าผีมาหลอก ที่ช้ำชอกใช่มีเคราะห์เพราะผีผ่าน คนต้อนผีเข้าป่าไปช้านาน ให้เมืองฉานแสงสีศิวิไลซ์ผียุคเก่าปิดผนึกแดนลึกลับ คนเรากลับเป็นผีที่หน้าใส มาหลอกคนด้วยกันเองจนเกรงภัย ลูกจงใส่ใจจำให้จงดีนอนหลับเถิดบุญปลูกเจ้าลูกรัก เผื่อฝันว่ารู้จักพรรคพวกผี ต่อรุ่งเช้ารับความจริงอันสิงคลี ว่าคนร้ายเหลือที่-ผียังกลัว ............................................... ปล.แต่ยังไงผมก็ยังกลัวผีอยู่ดี บรื๋อออออ....