กาลก้าวล่วงบ่วงกรรมเริ่มนำชัก โกรธโลภหลงรักเริ่มหักหาย ขึ้นภูเขาสุดยอดย้อนดูกาย เหลียวขวาซ้ายหน้าหลังนั่งพิจารณา ตะวันคล้อยลอยเลื่อนเหมือนอายุ ได้ฝ่าฟันบรรลุถึงหลักห้า กรรมเคยทำดีชั่วพัวพันมา เริ่มสร่างซาย้อนคิดอนิจจัง เร่ิ่มละสุขสรรเสริญเมินลาภยศ คุณธรรมปรากฏเป็นความหวัง เหลือแต่บ่วงห่วงงานการที่ยัง ลูกก็ไม่ถึงฝั่งยังเล่าเรียน เมื่ออายุเลี้ยวคดเริ่มลดโค้ง ตะวันบ่ายสองโมงก่อนเกษียณ ภารกิจที่รับไว้ใคร่พากเพียร แม้เหนื่อยเจียนกระอักยังรักทำ แค่ปล่อยวางบางครั้งดังคำพระ ลดเลิกละจากอบายใจอิ่มหนำ อนาคตกำหนดได้ใช่บุญกรรม จึงน้อมนำแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง ทางสายกลางโยโสมนสิการ กู่กังวานก้องไปให้สุดเสียง พอประมาณมีเหตุผลคุ้มค่าเคียง จึงร้อยเรียงความคิดลิขิตตน คุณธรรมนำความรู้รับใช้ชาติ กษัตริย์ศาสน์ปวงประชาทุกแห่งหน ขอพุทธาเทวามาดาลดล ขอผองภัยที่ผจญจงมลาย ขอรวบรวมสติคิดริเริ่ม ฟังความเห็นเพิ่มเติมก่อนจะสาย รวมรวมสรรพกำลังทั้งใจกาย สู่เป้าหมายสำเร็จให้เสร็จพลัน
จุดไต้ต่อไฟเติมเชื้อเพลิง เปลวร้อนเร่งระเริงเรืองสว่าง สะท้อนเงาพาดบนถนนทาง อย่าหวังเพียงจันทร์กระจ่างร้างอุ่นไอ แท้ม่านดำดึกดื่นยังหมื่นดาว ยังพร่างพราวระยับกลับพริบไหว บ้างบอดลับดับปลงมืดลงไป ที่ยังเหลืิอบอกใบ้ให้หนทาง คือคบไฟส่องพื้นกลางคืนค่ำ กางแผนที่งามล้ำบนฟ้ากว้าง อาจบางทีจันทร์คล้อยที่ลอยคว้าง บอกชั่วยามความต่างหว่างเวลา ดับคบเพลิงก่อไฟในกลางค่ำ ท้นทบทวนความจำอันล้ำค่า แต่ละหนึ่งก้าวย่างที่สร้างมา หลงตนสร้างอัตตาเสียเท่าไร จันทร์ยังรู้ซ่อนตนให้พ้นเช้า ประสบการณ์ปลายเท้าทั้งเก่าใหม่ ล้างแล้วล้มตัวนอนท่ามฟอนไฟ พรุ่งนี้จะอย่างไรตามแต่กรรม >
ฤดูกาลครั้งหนึ่งจึงกลับมา เคลื่อนชะตาอีกครั้งในรังหนาว กลางแสงจนหม่นหมองของเรือนดาว มาฝากข่าวรำไรในสำนึก ข่าวโพ้นฟ้าอีกฝั่งรั้งใส่ย่าม เมื่อโมงยามหอบหิ้วพริ้วลมดึก เร่ลมหนาวพราวฟ้ามารำลึก ปลุกสำนึกอีกครั้งเมื่อยังเยาว์ สุดยอดภูอยู่เดี่ยวเกลียวหมอกขาว ลมกรูกราวรับลมจมความเหงา เสียงสะอื้นครืนแว่วมาแผ่วเบา ท่ามทึมเทาท้องฟ้าดาราลับ ใบหูกวางไหวหวิวพริ้วแก่อ่อน วิถีจรก้องมาคราเดือนดับ ใบไม้เหลืองพลีกายแล้วหายวับ ยอดระยับ..ผลิใหม่ในรุ่งวัน หน้าต่างเก่าแง้มน้อยค่อยเอียงเห็น ความลำเค็ญหน่วงล้อพอเคลื่อนฝัน รอเปิดวับรับแสงแห่งตะวัน จากยอดภูชูชันมาส่องทาง อีกหนึ่งวันวังวนยังหมุนโลก ดวงดอกโศกแย้มน้อยทุกรอยถาง เพลงใบไม้หล่นหายรายริมทาง กี่ใบร้างร่วงพรูสู่ใจเรา เคยปีนป่ายไม้ใหญ่ใบเขียวปรก เด็ดรังนกโยนวางอย่างโง่เขลา ตัวเด็กแดงนกน้อยค่อยซุกเงา นานแดดเผาดับวางกลางวังเวง ก้าวเดินมาตามแรงแห่งชีวิต พรหมลิขิตขีดวางอย่างคร่ำเคร่ง ล้านทำนองสร้อยเศร้าร้าวบรรเลง ขับบทเพลงเคว้งไปไร้สิ้นสุด เป็นครรลองสายน้ำตามเกรียวคลื่น ยามต้นคืนเป็นไต้ไฟให้โชนจุด เปลี่ยนอรุณหมุนนามตามพระพุทธ เป็นมนุษย์เวียนว่ายทุกข์สายธาร ความทรงจำแสนนานผ่านทายทัก ในความรักเพลงร้อยค่อยขับขาน เพลงดอกไม้โรยร่วงลงห้วงธาร เพลงฤดูทางกาลยังยลยิน ตราบระฆังเหง่งหง่างกลางสงัด วิหคพลัดหลงอยู่พรูผกผิน สดับค่าโลกหมุนจนคุ้นชิน หาได้สิ้นหนทางให้ย่างเดิน
85 พรรษามหาราช ประเทศชาติก้าวไกลเพราะใครหนอ ท่านทรงสอนให้เรารู้จักพอ ท่านเป็นพ่อคนหนึ่งของคนไทย ท่านทรงงานมิเคยได้ว่างเว้น เห็นชัดเจนไม่ว่าจะที่ไหน เพื่อความสุขรอยยิ้มของคนไทย เป็นดวงใจของชนคนทั้งปวง ธ ทรงเป็นขวัญใจประชาราษฏร์ ไทยทั้งชาติโชคดีมีในหลวง บารมีของท่านอยู่ในทรวง ไทยทั้งปวงจงรักและภักดี อันเมืองไทยนี้ดีเพราะมีท่าน ธัญญาหารสมบูรณ์เราสุขขี ปวงชาวไทยขอน้อมสดุดี องค์ภูมีจงสุขชั่วนิรันดร์
มีคนเขา ขอมา ถามตาว่า แก้ปัญหา อย่างไร ให้ช่วยสอน ด้วยเรื่องเล่า เอาไว้ ในดงดอน ว่านคร หนึ่งที่ มีเจ้านายชอบกีฬา ทุกอย่าง ต่างแข่งขัน ประลองกัน ล้นหลาก ช่างมากหลาย ใครชนะ รางวัล นั้นมากมาย ถ้าแพ้พ่าย ก็กลับ ไปปรับตัววันหนึ่งเขา คิดแหวก เรื่องแปลกใหญ่ กติกา ตั้งใหม่ ให้ปวดหัว ฝีเท้าม้า ของใคร ไหนน่ากลัว ประกาศทั่ว มาประชัน แข่งขันเทียว จับจัดแบ่ง แข่งกัน วันละคู่ จะได้รู้ ม้าใคร ไหนเด็ดเดี่ยว ต่างเตรียมหา ม้าฉลาด ที่ปราดเปรียว สักประเดี๋ยว รู้ผล คนกำชัย ม้าถึงก่อน ตัวใด จับให้แพ้ เขาขอแก้ กติกา ตั้งมาใหม่ จึงควบม้า อืดอาด อนาถใจ แล้วเมื่อใด คนดู จะรู้กันขรัวตาก็ แก่ชรา ปัญญาหย่อน ฝากบทกลอน กูรู รู้ไหมนั่น ถ้าใครรู้ ตอบด้วย มาช่วยพลัน จะแข่งขัน อย่างไร บอกให้ที ขรัวตา
หยกในหิน มีก้อนหยกถือกำเนิดเกิดในหิน เป็นก้อนดินสิ้นคุณค่าราคาของ ไม่มีใครเอาใจใส่อยากได้ครอง เพียงแค่มองของต่ำค่าราคาดิน เมื่อทุบหินจึงจะเห็นเป็นก้อนหยก เพราะดินรกปรกคุณค่าราคาหิน พอหินแตกก็แยกหยกตกลงดิน จึงเห็นหินกินก้อนหยกที่ตกตาม ถึงแม้นเห็นว่าเป็นหยกตกตรงหน้า แต่คุณค่าหาใช่เป็นเช่นคำถาม หยกที่เปรอะเลอะด้วยดินสิ้นความงาม ต้องใช้น้ำชำระล้างอีกทางทำ เปรียบเช่นคน..ตนไหน ดูคล้ายหิน คล้ายก้อนดินสิ้นคุณค่าดูน่าขำ โดนดูถูกว่ารูปชั่วเนื้อตัวดำ ไม่อาจนำล้ำหน้ากว่าผู้ใด เมื่อรู้ตนชนชาติปามาตรต่ำ แต่เฝ้าทำตามจิตนิมิตรหมาย พัฒนาตัวตนฝึกฝนไป จึงเปรียบคล้ายสลายหินที่กินตน ฝึกแค่ตนใช่หลุดหล่นพ้นไปหมด จะหมดจดต้องฝึกจิตสัมฤทธิ์ผล มีธรรมะคอยขัดถูคู่ใจตน สิ้นกังวลว่าตนต่ำอย่างคำใคร หินก็คล้ายอย่างกายนอกที่บอกเล่า หยกคือใจข้างในกล่าวว่าเท่าไหน หากกายนอกเป็นหยกทำตรงข้ามใจ แต่ข้างในกลายเป็นหินก็สิ้นดี จึงฝากกลอนก้อนหินที่กินหยก เพื่อหยิบยกหยกคือใจในวิถี หินอยู่นอกหยกอยู่ในไร้ราคี คนจะดีหยกจะเด่นก็เช่นกัน อินทนนท์ 6 กุมภาพันธ์ 2555
ภูอริยะ .. มองจากภู จึงได้รู้จึงได้เห็น.. ข้างล่างเป็นเช่นใด ได้เห็นแจ้ง รอบภู หลายคนรู้ หลายคนแกร่ง เสาะแสวงแห่งทาง ..ย่างสู่ภู มองจากภู ดูหลากหลายยังว่ายวัฏฏ์ หลายคนล้มจมปลักหนักหนาอยู่ น้อยคนนักหักใจจะใฝ่สู้ ทางขึ้นภู..ดูไกลเกินจะเดินไป อยู่บนภู.. เพราะรู้เห็นเป็นมาก่อน แสวงหาฝ่าเย็นร้อนมาค่อนขัย ล้มแล้วลุกคลุกคลานบานตะไท ก่อนพบธรรมนำทางไป..ไต่ยอดภู อยู่บนภู.. ดูโลกล่างสว่างชัด หากขจัดอัตตา ..ย่อมมาสู่ เส้นทางพุทธพิสุทธิ์ใส จึ่งได้รู้ ทางขึ้นภูใช่อยู่ไหน ? ..ใจนี้เอง !!
ใต้ตะวัน.. ดวงแดงแสงตระการ เดรัจฉาน ฤามนุษย์ที่สุดชี้ ต่างฐานะ ต่างฐานบันดาลมี ต่างชีวีลิขิตไป.. ใต้ตะวัน แสวงหา..มาประทังเพื่อยังชีพ ต่างโถมถีบตนไปได้ดั่งฝัน สัตว์หรือคนผลท้ายไม่ต่างกัน ใต้ตะวันนั้นใช่ต่าง.. ระหว่างสอง ใต้เพ็ญจันทร์..อันงามผ่องส่องตระการ เดรัจฉาน ฤๅมนุษย์ สุดสนอง หลงอัตตาตัวตนจนหลุดร่อง ใต้จันทร์ส่องทั้งสองคล้าย..ไม่ต่างกัน ใต้สภาวะแห่งธรรม.. สำนึกหนึ่ง ให้คะนึงถึงวัฏฎะ ควรละมั่น ใต้เพ็ญผ่อง และแสงส่องของตะวัน มีเกิดดับสลับกัน..ทุกวันเวลา ใต้แสงธรรม.. ฉ่ำชื่นฝืนสงสาร สาดแสงฉานข่มเพ็ญจันทร์ตะวันกล้า เหนือทุกข์สุข เยือกเย็นเห็นวิชชา แสวงหา อีกอื่นใด.. ทำไมหนอ ? ..
โลกของเราเราครองต้องรักษา เราได้มาอยู่โลกที่สวยสม อาศัยมาเนิ่นนานควรชื่นชม ร่วมนิยมให้โชคโลกใบงาม รู้อภัยหวังดีมีเมตตา สรรพสัตว์นานาอย่าเหยียบหยาม รู้ขอบคุณชีวิตทุกโมงยาม คงก้าวข้ามทุกข์โศกและโรคภัย อย่าหลงจมอารมณ์ที่ขมขื่น จงรู้ตื่นเบิกบานเป็นนิสัย ไม่ติดยึดเหนี่ยวรั้งหลงอาลัย เป็นความนัยพุทธะอย่าละเลย ประทับใจในตนและคนอื่น ต่างหยิบยื่นไมตรีมีเปิดเผย วาจาจริงน้ำใจดีมีคุ้นเคย มนุษย์เอ๋ยโลกเราใช่เศร้าตรม.....
อันว่าความสุขล้นของคนนั้น จะอยู่มั่นชั่วชีวาก็หาไม่ เช่นเดียวกับทุกข์เศร้าที่เผาใจ จะอยู่ชั่วอมรรตัยก็ไม่มี แม้เกิดเป็นยาจกผู้ตกยาก ต้องลำบากตรากตรำทำหน้าที่ อาจเหมือนว่าตกอับทับทวี ยังสุขีสถิตอยู่ควบคู่กัน แม้เกิดเป็นเศรษฐีมากมีทรัพย์ ทุกวันรับศฤงคารบันดาลฝัน ยังมีคราสุขสลายกลายเป็นควัน เพราะทุกข์ดั้นมาเยือนเป็นเพื่อนใจ “แล้วนี่คนต้องทำอย่างไรเล่า ไม่อยากเศร้าเพราะทุกข์-อยากสุกใส?” ถ้าถามเราจะเปรียบเปรยเอ่ยออกไป “ถึงเกิดใหม่ก็เจอสุข-ทุกข์อยู่ดี คงได้แต่ทำใจเอาไว้มั่ง ว่าชีพยังย่อมยังทุกข์-สุขราศี ผ่านเข้ามาแล้วผ่านไปในชีวี เป็นฉะนี้แม่นมั่นนิรันดร์กาล จะพบสุขเมื่อเข้าใจในความสุข จะไม่ทุกข์เมื่อปล่อยให้ทุกข์ไหลผ่าน ไม่ต้องขอพรใดในจักรวาล ชีวิตก็ชื่นบานอย่างแน่นอน”
คอยข่าวคราวคืน ริ้วลมหนาวตื่นสัญญาซานาน้อย ลอมฟางคอยหยัดยืนคนคืนถิ่น นกดอกซาดสะแบงหล่นลงปนดิน หอมอวลกลิ่นเช้าตรู่อยู่ข้างปราง หนาวน้ำหมอกเกาะเปื้อนเรือนใบหญ้า ควายเสี่ยวนายังเพ้อละเมอสาง ตื่นจากฝันขวัญนาหว่างฟ้าราง แนบเนาว์ร่างพรมดอกน้ำหมอกนั้น เผยเหมันต์วันหนาวเช้าใหม่เยือน ซาหมอกเปื้อนชายแฝกชายคาขวัญ แว่วกระดิ่งกริ่งอ่อนจากดอนตาล คือควายขานไต่ถามการกลับมา คุ้งควันไฟไรฟืนขึ้นยอดพร้าว หนีลมหนาวหยอกย้ายส่ายเซหา ควันข้าวจี่สีไหม้หอมกรายมา กรุ่นไข่ทาปนน้ำอ้อยค่อยรวยริน คนถึงคนใจร้ายหนีไกลบ้าน สาวดอกจานหนีหน่ายไปไกลถิ่น ลืมแล้วทิ้งสัญญาหล่ายุพิน เจ้าดอกดินหมายฟ้าป่าดงปูน หนอแพรวาสไบไหมลายมันเก่า หูกไนเศร้าข้าวกล้าปลาร้าสูญ น้อยกระดิ่งควายหาไห้อาดูร น้ำเต้าปูนเหือดแห้งจะแล้งลา บ่าวชาวนาร้องไห้ไม่ให้เห็น สะอื้นเร้นหลบเศร้าเหงาหนักนา บิดลอมฟางแค้นคั่งหลั่งน้ำตา วาสนาบ่าวนั้นด้วยมันจน หนาวลมเหนือเจือมาน้ำตาร่วง เหน็บในทรวงมาร้าวหนาวอีกหน ครั้นเอื้อมแขนทวยทอดกอดกายตน ว้าเหว่จนลืมหนาวคราวเดียวดาย ทิ้งรอยต่อกาลฤดูอยู่อ้างว้าง ร้างรอยทางหว่างฝันจะพลันหาย ซับน้ำตาพร่าพรางรดร่างกาย ทิ้งสัญญาคาตายไว้ริมทาง ห้ามหักให้ห่างเหินเกินห้ามนัก ห้ามใจรักเหลือเกินต้องเมินหมาง หนาวน้ำตาหน่วงหนักฤารักจาก หวั่นรักร้างจำตรุอยู่ก้นใจ รอยังรอรอคอยสาวน้อยกลับ รับคอยรับบ่เลือนเดือนปีไหน มองเหม่อมองสองฝั่งฟากทางไกล
วันก่อนหนอ พ่ออยู่ หนูมีสุข กินข้าวคลุก พริกป่น ก็ทนไหว มีอดบ้าง อิ่มบ้าง ช่างประไร พ่อเคียงใกล้ ไม่เหงา เราสองคน อาชีพพ่อ ก่อสร้าง แต่ช่างฝัน ให้ลูกนั้น ได้เรียน เพียรฝึกฝน พ่อแสนเหนื่อย เมื่อยแท้ แต่อดทน หวังลูกพ้น งานก่อสร้าง อย่างพ่อเป็น สามปีก่อน ตอนนั้น แกมั่นหมาย คนมากมาย มั่งมี ที่เคยเห็น ลุงข้างบ้าน บอกไว้ ได้ประเด็น มิใจเย็น พ่อหนอ ขอร่วมงานเดินทางไกล ไปกรุง ด้วยมุ่งหวัง รวมพลัง กันไว้ ใจประสาน ขอประชา ธิปไตย ให้เบ่งบาน อีกไม่นาน พ่อนะ จะกลับมาพ่อกลับหลัง ครั้งนี้ มีเงินเหลือ ส่วนใหญ่เพื่อ ให้ลูกเรียน เพียรศึกษา อดทนหน่อย นะพ่อ รอเวลา ต้องสัญญา ว่าไป ไม่นานเนาแล้ววันนี้ พ่อหนู อยู่ที่ไหน ทุนเรื่องเรียน หนูได้ มาไหมเล่า เฝ้าคอยรอ พ่อแต่ ไร้แม้เงา หนูนั้นเหงา จริงหนอ พ่อมิคืน คนกรุงศรี ฯ กลุ่มวรรณกวีศรีอยุธยา
ผมขาว? ต้อนรับอีกย่างก้าวถึงคราวแก่ น่ากลัวกว่าที่เคยเห็นเป็นรังแค เลขสามแหย่มาเยือนเป็นเพื่อนเรา มันมาพร้อมภารกิจรับผิดชอบ ยื่นคำตอบโต้ไปใจดวงเก่า ว่าความคิดสดใหม่ของวัยเยาว์ จะคลุกเคล้าประสบการณ์ที่ผ่านมา จะรังแคหรือผมขาวเราไม่หวั่น หัวล้านสิเรื่องสำคัญฉันจะบ้า ใครจะอาจยื้อยุดชุดเวลา เพื่อรักษาความหนุ่มไว้ในใจนี้
โลกกว้างหนทางแคบ อาจปวดแปลบบางเวลา รอยยิ้มหรือน้ำตา ช่วยเติมค่าความเป็นคน อดทนและทนอด ท้อรันทดอย่าสับสน อ้างว้างกลางหมู่คน รู้ใจตนเป็นสำคัญ ชีวิตมีหลายหลาก มีลำบากมีสุขสันต์ เรียนรู้ให้เท่าทัน จะฝ่าฟันถึงดวงดาว หนทางยาวไกลนัก จงตระหนักสีดำ-ขาว หลากหลายแห่งเรื่องราว ล้วนที่เรา......ต้องเผชิญ
เมื่อคมมีดจุดเยือกแข็งทิ่มแทงฉัน คืนและวันเหมือนถูกฉุดให้หยุดนิ่ง น้ำแข็งผูกขาดนิยามของความจริง คล้ายสรรพสิ่งสิ้นท่าแทบปราชัย แต่เลือดเนื้อมนุษย์นี้สู้ชีวิต เป็นเชื้อเพลิงความคิดอันยิ่งใหญ่ โหมเผาสู้จุดเยือกแข็งด้วยแรงใจ คือเปลวไฟสู้ความหนาวในคราวนี้