กลอนอกหัก รักหวานซึ้ง

น้ำท่วม..ร่วมใจกัน แบ่งปันรัก

เปียกปูนดำ


ฝนตก บ้านน้อง ที่คลองหนึ่ง
ไหลท่วมถึง บ้านพี่ ที่คลองสาม
ต่างระทม ตรมทั่ว ทุกชั่วยาม
แดนสยาม ยับเยิน เกินเยียวยา
สู้น้ำท่วม ด้วยน้ำใจ ที่ไหลหลั่ง
ปลุกความหวัง ชุบชีวิต จิตอาสา
เห็นภาพแล้ว ซาบซึ้ง ติดตรึงตรา
ขวางน้ำป่า มาคั่น กั้นเรียงราย
ส่งกันต่อ ต่อไป ไม่เหน็ดเหนื่อย
น้ำไหลเรื่อย เกือบล่ม และจมหาย
น้องนั่งจับ พับขอบ   กระสอบทราย
ส่วนพี่ชาย ตักใส่  อยู่ใกล้คลอง
รถคันแรก บ้านหลังแรก เขาแจกให้
มิอยากได้ อยากเห็น เป็นเจ้าของ
รักครั้งแรก แบบนี้ ที่หมายปอง
จะบอกน้อง คนงาม ถึงความนัย
อีเอ็มบอล หย่อนลง ตรงทรวงพี่
หม่นหมองสี หายหมด กลับสดใส
หายสิ้นโศก ซึมเศร้า เพราะเข้าใจ
มีสองไหล่ ให้ซบ เมื่อพบทุกข์
เรามาร่วม แบ่งปัน และสรรค์สร้าง
เลิกแบ่งข้าง แบ่งสี จะมีสุข
มาช่วยเหลือ เจือจุน เลิกขุ่นคลุก
ร่วมปั้นปลุก เมืองไทยนี้..ให้มีรัก
............................................

ยังคอย

ว.มหรรณวา


อยากให้รู้เอาไว้ว่าใจนี้
ทุกนาทีคอยอยู่จะรู้ไหม
บางครั้งอาจหนาวเหน็บและเจ็บใจ
ยังทนไหวรอรับเธอกลับมา
วันเวลาล่วงผ่านเนิ่นนานนัก
ยังคงรักหมายมั่นคอยฝันหา
ฝืนทนเจ็บโดดเดี่ยวเกินเยียวยา
สุดเหว่ว้ากี่ครั้งก็ยังคอย
ขอส่งกำลังใจนี้ไปถึง
เธอผู้ซึ่งโศกเศร้าหรือเหงาหงอย
หรือเขาทำให้ท้อรมณ์บ่จอย
หรือเศร้าสร้อยเจ็บช้ำโดนย่ำยี
จงหวนคืนรักเก่าเมื่อคราวก่อน
รักเราตอนก่อนเธอจะเผลอหนี
หากใจเจ็บหรือท้ออย่ารอรี
รีบหลบลี้หนีมาอย่าช้าเลย.

สงสารใจ

คนกรุงศรี


เคยป้องปราม ห้ามใจ ไม่ให้รัก
เกรงเจ็บหนัก หักใจ ก็ไม่หมาย
ใจมันดื้อ ถือว่า สิ่งท้าทาย
แล้วสุดท้าย ทุกข์ตรม ก็ถมทรวงสมน้ำหน้า นะใจ ไม่เคยเข็ด
ปองจะเด็ด ดวงดาว ที่พราวสรวง
บ่อยนักที่ กมล พบคนลวง
น้ำตาร่วง หลายครั้ง ยังไม่จำ
ใจเอ๋ย เคยพบไหม คนใจซื่อ
เจ้าเคยหรือ ฟังวาจา ข้าพูดพร่ำ
เพราะไม่เจียม จึงต้อง หมองระกำ
จะว่าซ้ำ ไปไย ก็ใจเรารักแล้วร้าง ห่างไป ใจปวดเจ็บ
ทนกักเก็บ เท่าไร ใจยังเหงา
ปล่อยน้ำตา บ่าไหล ได้บรรเทา
พบหน้าเข้า คราใด ใจงอแงเจ็บไม่จำ เจอใหม่ ใจก็หลง
คราวนี้คง สมหวัง จริงจังแน่
เฝ้าห่วงหวง พธู คอยดูแล
มั่นคงแท้ มุ่งหวัง อย่างตั้งใจแล้วเจ็บก็ มาเยือน เหมือนครั้งก่อน
มานร้าวรอน ทุกข์ท้น สุดทนไหว
คงจะต้อง เลิกร้าง หรืออย่างไร
ดวงฤทัย ยับเยิน เกินเยียวยา
คนกรุงศรึ ฯ

ยังคะนึง

คนกรุงศรี


ขลุ่ยบรรเลง เพลงเศร้า สุดเหงานัก
ยินกลอนรัก เร้ากมล จนไห้หวน
เมื่อยามฟัง ครั้งใด ใจรัญจวน
คิดถึงนวล น้องพี่ ที่จากลา
เคยนั่งเรียง เคียงกัน ชมจันทร์ส่อง
สาดทั่วท้อง นที ที่เจิดจ้า
ลมเหนือหนาว แนบชิด ติดกายา
ยังหยิบผ้า คลุมไหล่ ให้กับนาง
ครั้นจันทร์ลับ กลับเรือน เฝ้าเตือนย้ำ
ทั้งข้าวน้ำ หยูกยา อย่าละห่าง
ความอาทร ห่วงใย ไม่เจือจาง
สองเราต่าง ชื่นสุข อยู่ทุกวัน
คืนนี้หนาว ร้าวใจ ให้สับสน
มองจันทร์หม่น หมองไหม้ จนใจพรั่น
หรือว่าเดือน เหมือนข้า อยากจาบัลย์
เจ้าแบ่งปัน ทุกข์ข้า หรือว่าไร
เมื่อเดือนดับ ลับไป ใจหม่นหมอง
ยังเหม่อมอง นภา ดาราใส
น้ำตาเคย รินหยด รดภายใน
ตอนนี้ไหล เปียกสอง ของแก้มชาย
นานเท่าไร ไม่เปลี่ยน หมุนเวียนผัน
สัญญามั่น มีอยู่ มิรู้หาย
ยังคะนึง ถึงอยู่ มิรู้วาย
คงจะคลาย เมื่อวัน ฉันหลับตา

ฝันที่มีหวัง

คนกรุงศรี


แม้เป็นฝัน อันไกล ไม่สมหวัง
แต่ก็ยัง อยู่ใน ใจประสงค์
กำแพงแกร่ง นั้นหรือ คือซื่อตรง
และดำรง เกียรติ์เธอให้ ไร้มลทิน
รักคือรัก ปักใจ ไม่เคยละ
ถึงกาลจะ นานเนา เฝ้าถวิล
มอบห่วงหา มาไว้ ให้ยลยิน
มิเคยสิ้น เมตตา และปรานี
หากความฝัน นั้นไกล ขอให้เลือก
กะเทาะเปลือก แลใน ให้ถ้วนถี่
เมื่อตรองจบ พบผล ว่าคนดี
เธอคงมี สิทธิ์เห็น ฝันเป็นจริง
เพราะว่ารัก และห่วง ดุจดวงจิต
แต่มิปิด เปิดได้ ให้ทุกสิ่ง
เมื่อห้องใจ มิพำนัก อยากพักพิง
มิทอดทิ้ง แม้ใจ จะไหม้เกรียม
หยุดยืนอยู่ กับที่ มีแค่รัก
ที่ประจักษ์ ก็รู้ อยู่เต็มเปี่ยม
เคยผ่านมา ไม่ประสบ พบใครเทียม
แต่ก็เตรียม ใจรับ จับนิจจัง
อยู่กับฝัน จนกว่า ชีวาสิ้น
น้ำตาริน แรงลด หมดความหวัง
เป็นผู้อื่น ใจอาจแปร แต่เรายัง
ซื่อตรงดั่ง ทิวา ต่างราตรี

เดียวดาย

คนกรุงศรี


สายฝนพรม ลมพัด สาดซัดซ่า
โลมไล้พา ผิวเรา ให้หนาวสั่น
ขาดคู่เคียง เคยใกล้ ไม่สัมพันธ์
คิดถึงวัน วัยเก่า แล้วเศร้าใจ
เมื่อหนาวลม ห่มผ้า ก็พาผ่อน
แต่ยามนอน เหว่ว้า จะหาไหน
กายมิหนาว หากเหน็บ เจ็บฤทัย
อยากมีใคร ปลอบกมล คนเดียวดาย

เป็นหลักฐานประจานจำประจำไป เป็นใคร.. ใครก็คล้ายตายทั้งเป็น

คืนแรมสามค่ำหน้าร้อน


แผ่วแผ่วโหยโรยระทมลมหายใจ
สะอื้นไห้ก่อนวายวางอย่างค่อย-ค่อย
สิ้นสุดแล้ว สิ้นสุดล้ากว่ารอคอย
คงลบรอยครั้งร้าวราญ แห่งวารวัน
ไร้อาลัย ใจแหว่งวิ่นสิ้นสภาพ
เต็มด้วยคราบน้ำตาไหลคราวไหวหวั่น
เกรอะตะกอนน้ำตากรัง ฝังตะกรัน
หัวใจนั้น ไม่คล้ายเป็นเช่นหัวใจ
เป็นก้อนเนื้อซีดจางๆอย่างหมางหมอง
เป็นแค่ของเขาทิ้งขว้างอย่างหม่นไหม้
เป็นหลักฐานประจานจำประจำไป
เป็นใคร ..ใครก็คล้ายตายทั้งเป็น
ก่อนภาพสุดท้ายสายตา จะลาลับ
ก่อนปิดดับขอเพียงแค่ได้แลเห็น
แววตาสงสาร หวานและเย็น
ให้เป็นเช่น ..แสงสุดท้ายก่อนวายวาง

หนักใจ

คนกรุงศรี


อยากบอกเขา เราหนอ ทดท้อนัก
สุดอึกอัก หนักใจ ไม่ประสา
ตั้งหลายคำ เตรียมไว้ ในอุรา
แต่มิกล้า บอกเขา ให้เข้าใจ
ความรู้สึก นึกคิด ผิดสังเกตุ
หาสาเหตุ ที่แท้ อยากแก้ไข
คิดถึงบ่อย คอยหา มาเมื่อใด
สุดห่วงใย ไม่เจอ นั่งเหม่อลอย
แต่พบหน้า คราใด ยิ่งไหวหวั่น
มือไม้มัน เกะกะ อยากจะถอย
เขาไม่ถาม ไม่ไถ่ ดั่งใจคอย
สุดเหงาหงอย รู้ว่า น้ำตาริน

รักแล้วเจ็บ

คนกรุงศรี


เมื่อรู้ว่า รักใคร ใจก็เจ็บ
ทนกักเก็บ เอาไว้ จนไหม้หมอง
เคยห้ามมาน บอกว่า อย่าหมายมอง
หากจะต้อง ตัดรัก แสนหนักทรวง
พบเธอช้า กว่าเขา เราจึงหม่น
แต่จะทน ต่อไป ให้ลุล่วง
ขอเพียงรัก เห็นใจ ไม่หลอกลวง
แค่บอกห่วง และคิดถึง ก็ซึ้งพอ

เพื่อเราที่รัก

คนกรุงศรี


เพราะว่าฉัน  เธอจึงกล้า  บอกว่ารัก
แจ้งประจักษ์  จริงใจ  ไม่แปรผัน
เพื่อเธอ  จึงได้ตอบ  มอบสัมพันธ์
รักเธอนั้น  ห่วงหา  และอาทร
รู้แล้วนะ  ว่าเรา  เฝ้าคิดถึง
แสนสุดซึ้ง  ฤทัย  ที่ไหวอ่อน
เรามีเดือน  และดาว  คอยเว้าวอน
มิสั่นคลอน  เพราะเรา  เข้าใจกัน

คืนเนิ่นยาวคนหนาวยืนสะอื้นซึ้ง คอยคนหนึ่งคะนึงคอยละห้อยครวญ

คืนแรมสามค่ำหน้าร้อน


คำปลอบ อาจเปลื้องปลดบรรเทาปวด
ที่ร้าวรวดปวดร้าวได้คราวหนึ่ง
คืนเนิ่นยาวคนหนาวยืนสะอื้นซึ้ง
คอยคนหนึ่ง คะนึงคอยละห้อยครวญ
คนคอย ก็คอยจนป่นใจแปลบ
ใจเจ็บแสบแทบทุกที่อย่างถี่ถ้วน
ไม่สนว่าเวลาไหนควรไม่ควร
เจ็บล้วนๆจวนจะลับวับวางวาย
คำห่วงแท้แม้ผ่อนเบาทุเลาปวด
ที่ร้าวรวดลงบ้างให้จางหาย
แต่ก็เป็นเพียงชั่วคราวคล้ายเปล่าดาย
แค่ยืดยาววันที่ร้าย ย้ายอีกวัน
ปีกนกหักหนักในอกนกปีกหัก
สิ้นรัก ก็สิ้นแล้วแววความฝัน
ลากปีกหักฝืนหายใจเพื่อใครกัน
จะดื้อรั้นดั้นทุรนไปหนใด
สัญชาตญาณสุดท้ายก่อนวายวาง
จึงพาร่างที่แพ้รักใกล้ตักษัย
มาแทบตักคนเคยท้วง บอกห่วงใย
ขอสิ้นใจในที่ที่ยังมีรัก

พังพ่ายสิ้น ภินท์พังทั้งชีวา เกินเยียวยากว่ายับยั้งพังยับเยิน

คืนแรมสามค่ำหน้าร้อน


คุณ Many_love กับคุณ din เขามาเขียนปลอบใจไว้ในบทที่แล้ว
นักลอนลิเกเจ้าน้ำตาอย่างผม จึงดิ้นหนีไปเรื่อย
ขอบคุณในน้ำใจนี้ ที่รินหยด
รินราดรดดวงฤดีที่หมองไหม้
หากใจป่วย พลิกฟื้นคืนเมื่อใด
จะชดใช้ร้อยคำกรองสนองคุณ
แต่หนนี้ใจป่วยหนักด้วยรักปลิด
เอาชีวิตแทบไม่รอดวอดวายวุ่น
ไม่อาจรับความเมตตาเกื้อการุณ
ขมใจขุ่นอยู่ยั้งอย่างยั่งยืน
ยังดื่มกินความขมขื่นหมื่นแสนคำ
ตอกและย้ำช้ำตรมที่ขมขื่น
รินหลาม.. ความมืดดำให้ค่ำคืน
กว่ากล้ำกลืนขืนข่มตรมน้ำตา
กี่คำปลอบไม่อาจปลดให้หมดปวด
ยังร้าวรวด รักรานประหารฆ่า
พังพ่ายสิ้น ภินท์พังทั้งชีวา
เกินเยียวยากว่ายับยั้งพังยับเยิน
เปรียบฉันเป็นนกน้อยไม่ใหญ่นัก
เคยมีรักหนุนจินต์ให้บินเหิร
ก็บินเที่ยวบินทั่วมัวแต่เพลิน
หยอกๆเอินท้องฟ้าชะล่าใจ
เมื่ออกหักรักตระบัดเหมือนตัดปีก
ไม่อาจหลีกบินหนีไปที่ไหน
ตกลงพื้น ใจระรัวหวาดกลัวภัย
ตาอาลัยยังมองฟ้าอย่างอาวรณ์
เศร้าเมื่อความรักวาย ไม่หายเศร้า
เหงายิ่งเหงา ทบทวีไม่มีถอน
ทำได้แต่แค่วุ่นเวียนเขียนคำกลอน
ที่ยิ่งย้อนกระหน่ำย้ำ ตำใจตน

คนนั้นแสนดี-คนนี้สงสาร

ชากร


เธอคนหนึ่งแสนดีเป็นที่สุด
มิอาจหยุดรักเธอสิ้นลงได้
ความอ่อนหวานน่ารักปักตรึงใจ
แม้อยู่ไกลโทรหาทุกวันคืน
อีกคนหนึ่งอยู่ในที่ทำงาน
เธอร้าวรานจากรักจึงขมขื่น
มีชีวิตชอกช้ำสุดกล้ำกลืน
รักครั้งแรกเป็นอื่นสะอื้นทรวง
ทำให้เธอกับฉันมาใกล้ชิด
อยู่ออฟฟิตเดียวกันแสนเป็นห่วง
สงสารเธอด้วยใจไม่หรอกลวง
อยากยื่นช่วงดีๆมอบให้เธอ
ตอนนี้ใจของฉันมันสับสน
รักสองคนพร้อมกันจึงพร่ำเพ้อ
แสนสงสารคนใหม่ที่ได้เจอ
หัวใจเผลอรักไปไม่รู้ตัว
ความอยู่ใกล้ใจฉันเริ่มไหวหวั่น
ความผูกพันงดงามตามมายั่ว
ความใกล้ชิดทำให้ใจเริ่มกลัว
จิตสำนึกดีชั่วหลงลืมไป
ฝากขอโทษคนไกลให้เธอทราบ
อยากก้มกราบผิดนี้เกินแก้ไข
อยากขอโทษโปรดอย่าให้อภัย
กับผู้ชายหลายใจไม่แน่นอน
14/10/2554

เพื่อหายใจได้อีกครั้งประทังใจ เพื่อทุกข์ไป ในอีกวันอันแสนนาน

คืนแรมสามค่ำหน้าร้อน


คุณ many_love เขามาตอบไว้ในกลอน
"ชั่วนิรันดร์ อาจนานยาว หนาวกว่าเดิม "
ว่า
จะห่วงเธอชั่วนิรันดร์ตะวันขึ้น
ในแรมคืนมองดาวเด่นห่วงเสมอ
ทุกฤดูกาลกัปล์สำหรับเธอ
ห่วงเสมอห่วงมิตร..นิจนิรันดร์
ไม่ได้แกล้งรึแสร้งห่วง...
ผมก็เลย ตอบว่า
ในนิรันดร์ที่นานยาวหนาวยะเยือก
ไม่อาจเลือกว่าจะตื่นหรือฝืนฝัน
แต่ใจเจ็บสุดใจฝืนมันยืนยัน
ว่าเจ็บนั้น เจ็บจริงยิ่งเจ็บใจ
ขอบคุณคำห่วงแท้แม้ห่างๆ
คนอ้างว้างได้พักพิงอิงอาศัย
เพื่อหายใจได้อีกครั้งประทังใจ
เพื่อทุกข์ไป ในอีกวันอันแสนนาน
ณ จุดที่ คำปลอบใดไม่อาจช่วย
แผ่วใจ-รวย ระรินสิ้นสงสาร
ในนิรันดร์ที่เหน็บหนาวและร้าวราน
แม้คำหวานยังขมไหม้เมื่อใจตรม

หวิวใจหวาดขาดใจวิ่นสิ้นแววใด มีหัวใจให้เต้นๆพอเป็นคน

คืนแรมสามค่ำหน้าร้อน


มองรักด้วย ตาที่หลับไม่รับรู้
ฟังรักด้วยสองหูที่ปิดกั้น
และรักด้วยหัวใจที่ไร้กัน
คำรักนั้นบอกไป ไร้ราคา
ที่ว่างนั้นเคยเป็นเช่นที่ว่าง
พอรักวางฝากใจไว้แน่นหนา
ที่ว่างพลันเต็มทันใดในทันตา
แต่ถึงครารักร้าง ก็ว่างครัน
ว่างใจไว้ให้ว่างๆระหว่างรอ
เพื่อเพียงพอพักวางระหว่างฝัน
ให้ลืมเลื่อนเลือนลางระหว่างกัน
ระหว่างนั้น เว้นใจว่าง ด้วยวางใจ
...
หลับตานอนผ่อนใจไว้เอาใจวาง
รินน้ำตามาล้างอาจจะไหว
แล้วตากลม ชมฟ้าลืมอาลัย
ท่องเที่ยวไปเนิ่นนานผ่านหลายปี
เมื่อนานพอก็วางใจจะใส่รัก
แต่ไม่ยักใส่ได้เหมือนไร้ที่
ความเศร้าแสนยังแน่นกลบ ทบทวี
ทุกข์ทุกทีความเศร้าฝังทั้งหทัย
ใจไม่ว่างอีกต่อไปไร้ที่ว่าง
มันอ้างว้างแต่เต็มตันความหวั่นไหว
หวิวใจหวาดขาดใจวิ่นสิ้นแววใด
มีหัวใจให้เต้นๆพอเป็นคน

อย่างน้อย..

ผู้หญิงช่างฝัน


เพราะคือหนึ่งไมตรีที่รักมาก
ทุกครั้งที่ พบ - พราก จึงหวั่นไหว
แม้จะเพียรตอกย้ำซ้ำกับใจ
ว่าปล่อยเถิด.. สายใยที่เคยมี
แต่เมื่อวันเวลาย้อนมาใหม่
ถ้อยคำฝากจากใจช่างล้นปรี่
ชั่วหนึ่งคล้ายเต็มตื้นชื่นฤดี
ข้ามนาทีความเศร้ากลับเย้าเยือน
อยากจะปล่อยอารมณ์ให้จมปลัก
กับความรัก ห่วงใย ให้มันเหมือน
ที่ผ่านมา.. แต่ทว่ามันร้างเลือน
จะเอ่ยเอื้อนคำใด.. คงไม่ดี
กระแสกาลเวลาได้พาพัด
ภาพใหม่อันแจ่มชัดเข้าแทนที่
ให้อ่อนแอแต่ทุกครั้งยังยินดี
อย่างน้อยมี “สายใย” ให้จดจำ

ทางแยกแห่งความคาดหวัง

กวีบ้านไร่


ก่อนเคยพร่ำพรรณาเอ่ยบอกรัก
สุดจะหักห้ามใจให้ฝันหา
พอเนินน่าน เกินไกลกาลเวลา
เป็นน้ำตามาลาพร่ำ ให้พ่ายพัง
ความดีพอ ไม่พอดีให้เริ่มคิด
ถึงชีวิตที่จะก้าวข้ามความหลัง
แต่สายป่านแห่งสายไยยังไม่พัง
เลยต้องนั่งทำใจ ให้ช้ำตรม
เหมือนเรายืนกลางสามเพ่ง แห่งสามรัก
กับใจจักษ์ปักษ์ไว้ ให้ขื่นข่ม
หรือจะเริ่มรักใหม่ ให้ภิรมย์
เจ็บและตรม พรห์มรักลิขิตมา
ผิดที่ฉัน  คาดหวังในเธอมาก
แต่ก็ยาก เกินเธอ จะมองหา
จึงต้องสูญ รักสิ้น ทั้งน้ำตา
เพราะสายตา เธอปิดกั้น ความฝันเรา
เหมือนคนโง่ ที่งมหงายในความรัก
แอบเพ้อปักษ์รักไว้ อย่างเขลาเขลา
ทั้งที่รู้ เขาอยู่สูงเกินตัวเรา
และตัวเขาก็เย้อหยิ่ง ไม่เหลี่ยวมอง
ทางที่สองมองเห็นแสงแห่งความสุข
ทุกอย่างสุข เกินกว่าใจจะหม่นหมอง
พอเดินไป ดูเหมือนมากค่าที่ได้มอง
ลืมความหมอง กับสุขทุกคืนวัน
ยิ่งอยู่ใกล้ใจสุข สุขสดชื้น
เก็บค่ำคืนแห่งความหวานให้สร้างฝัน
แต่เบื้องลึกสุดใจที่มีนั้น
ยังมีฝันเก่าเก่า ที่เฝ้ามอง
กลับมาคิดถึงความจริงที่ปรากฎ
จะละลด หรือ จะเริ่ม เติมเต็มสอง
ทางสายเก่า ที่มีเพียงเราเฝ้ามอง
กับทางที่สอง สองเราสร้างเดินด้วยกัน
กวีบ้านไร่
อำเภอบ่อทอง ชลบุรี
เพลา ๑๔.๐๘ ๙ ต.ต. ๕๔
หน้า / 50  
ทั้งหมด 839 กลอน