5 ตุลาคม 2549 20:20 น.
ardin
" คนที่มีอนาคต คือ คนที่มีงานการดีดีรองรับ "
ด้วยความเชื่ออย่างงี้ ที่สั่งสมมา ทำให้ฉันตัดสินใจใช้ชีวิต ให้มีค่าด้วนการเลือกเส้นทางชีวิตในถนนที่จะเดินไปสู่งานที่ดีดี ที่เป็นที่ยอมรับของทุกๆคน
ใครหลายๆคนที่มักจะแนะนำฉัน เมื่อฉันไปปรึกษาเรื่องเลือกที่เรียน ว่า เอาเถอะ ก็เลือกที่เราชอบไง เลือกที่เรารักจะเรียน เลือกที่เราเรียนแล้วจะมีความสุข
ฉันก็เข้าใจในความหมายของมันหรอกนะ แล้วฉันก็เคยให้คำแนะนำอย่างนี้กับหลายคนมาแล้ว แต่ทำไมพอมันมาถึงเรื่องที่เราต้องเลือกจริงๆ กลับไม่ง่ายนักเลยละ
ความชอบ มักจะไม่เคยแปรผันตามความจริงที่เป็นอยู่เอาซะเลย
เมื่อตอนเด็กๆ ก็มีแต่คนคอยบอกฉันทุกๆวันว่า ต้องตั้งใจเรียน เรียนเก่งๆ แล้วพ่อแม่ก็จะดีใจ โตขึ้นก็จะดี ฉันจึงเห็นการเรียนสำคัญกว่าสิ่งอื่นๆมาตลอด
ฉันไม่เคยได้ไปเรียนพวกกิจกรรมเสริมอะไรอย่างเพื่อนๆ ที่มีเล่นเปียโน เทควันโด้ หรือวาดภาพ เพราะเสาร์อาทิตย์ คือการเรียนพิเศษเสริมบทเรียนล่วงหน้า แต่ฉันก็ไม่ได้สนใจอะไรหรอก กลับคิดว่าก็ไม่เห็นเป็นไรเพราะเราก็ไม่สนใจเรื่องเล่นๆพวกนั้นอยู่แล้วเอาเวลาไปเรียนพิเศษก็ดีแล้ว
พอเริ่มขึ้นมัธยมก็ต้องเริ่มเลือกสายที่จะเรียน ซึ่งก็แน่นอนว่า สิ่งที่ดีที่สุดตอนนั้นคือ สายวิทย์ เพราะฉันก็ไม่ชอบศิลปะอะไรหรอก เนื่องจากไม่เคยมีแววว่าจะวาดอะไรได้เป็นรูปเป็นร่างเลย แต่มานั่งคิดอีกที ฉันก็ไม่เคยชอบวิทยาศาสตร์ไปมากกว่าศิลปะสักหน่อย
แต่เมื่อเลือกแล้วว่าจะเรียนวิทย์ก็เอา แล้วฉันก็ไม่ได้ทำมันแย่สักหน่อย เมื่อเรียนมาทางสายนี้ ก็มีแต่คนชม มีแต่คนเห็นด้วยกับมันทั้งนั้น ผู้ใหญ่หลายๆคนก็บอกกับฉันอีกว่า
ดีแล้ว เรียนสายวิทย์ จะได้เลือกเรียนต่อได้หลายๆอย่าง
ดีแล้ว เรียนทางนี้งานการอนาคตก้าวหน้า และมั่นคง
เก่งจัง เรียนทางด้านนี้
อะไรอีกต่างๆมากมาย จนฉันคิดว่าฉันเริ่มพอใจกับมันจริงๆและตัดสินใจไม่ผิด
เมื่อจบม.ปลายสายวิทย์ล้วนๆ แล้ว ทำให้เริ่มตระหนักถึงสิ่งที่ชอบกับไม่ชอบ ได้มากขึ้น แต่ฉันก็ยังไม่เคยรู้เลยว่า อะไรคือสิ่งที่ฉันชอบจริงๆ และอยากทำมันจริงๆ เคยมีใครสักคนที่บอกฉันว่า
"ถ้าในเมื่อเราไม่รู้ว่าเราชอบอะไร ก็ลองเลือกทำในสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดไปเรื่อยๆสิ"
ฉันจึงเลือกสิ่งที่คิดว่าดีที่สุด เท่าที่ฉันจะคว้ามาได้
แต่ฉันก็เพิ่งค้นพบความจริงอีกข้อของตัวเอง ว่า
"ถ้าเราไม่เคยลองไปสัมผัสมันจริงๆ ต้องจับ ต้องทนกับมันจริงๆ ก็ไม่เคยรู้หรอก ว่าชอบ หรือไม่ชอบ"
นี่คงเป็นความผิดของชีวิตฉันทุกครั้งที่รู้สึกได้ เพราะเป็นอย่างงี้ เมื่อได้ลองเรียนลองอยู่กับมันนานๆ จนรู้สึกว่าไม่ใช่ ฉันถึงจะเพิ่งรู้ตัว และมันก็อาจจะสายเกินไป เพราะฉันเลือกเดินเข้าแล้ว ฉันเคยคิดว่าทำไมไม่ลองกลับไปเริ่มต้นใหม่ แต่ความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาอีก ว่าถ้ามัวแต่กลับไปเริ่มต้นใหม่อย่างงี้ทุกๆอย่าง วนไปวนมา เริ่มต้นด้วยความไม่รู้ว่าชอบหรือไม่ แล้วก็จบลงด้วยที่ว่าทนไม่ไหวแล้ว ขอเคลียร์แล้วกลับไปเริ่มต้นใหม่ อย่างงี้นะหรอ ชีวิตเรา
ไม่ละ คราวนี้ฉันอยากจะลองสู้ให้มันเดินไปถึงเส้นชัยกับเขาบ้าง
ทุกครั้งฉันถูกสอนให้ท่องไว้เสมอว่า
"ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน"
แต่วันนี้ฉันชักเริ่มสงสัยแล้วว่า
"งานที่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่วัดคุณค่าของคน ทำให้เรามีความสุขได้จริงๆหรอ ?"