ทำนอง: พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช คำร้อง: พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ จุดเทียนบวงสรวงปวงเทพเจ้า สวดมนต์ค่ำเช้าถึงคราวระทมทน โอ้ชีวิตหนอล้วนรอความตายทุกคน หลีกไปไม่พ้นทุกข์ทนอาทรร้อนใจ ต่างคนเกิดแล้วตายไป ชดใช้เวรกรรมจากจร นิจจังสังขารนั้นไม่เที่ยงเสี่ยงบุญกรรม ทุกคนเคยทำกรรมไว้ก่อน เชิญปวงเทวดาข้าไหว้วอน ขอพรคุ้มไปชีวิตหน้า ทนทรมานมามากแล้วจะกราบลา หนีปวงโรคาที่เบียดเบียน แสงแววชีวาเปรียบแสงเทียน เปรียบเทียนสิ้นแสงยามแรงลมเป่า ชีพดับอับเฉาเหมือนเงาไร้ดวงเทียน จุดเทียนถวายหมายบนบูชาร้องเรียน โรคภัยเบียดเบียนแสงเทียนทานลมพัดโบย โรครุมเร้าร้อนแรงโรย หวนโหยอาวรณ์อ่อนใจ ทำบุญทำทานกันไว้เถิดเกิดเป็นคน ไว้เตรียมผจญชีวิตใหม่ เคยทำบุญทำคุณปางก่อนใด ขอบุญคุ้มไปชีวิตหน้า ทนทรมานมามากแล้วจะกราบลา แสงเทียนบูชาจะดับพลัน แสงเทียนบูชาดับลับไป
คืนค่ำดวงดาวพราวแพรวพร่าง ไร้ร้างโสมส่องผ่องแสงใส เปล่าเปลี่ยวเดียวดายห้วงหัวใจ มองไปฟากฟ้าคงคล้ายคลึง แม้นมีเทียนแท่งแหล่งกำเนิด ก่อเกิดเปล่งเปลวถ้วนทั่วถึง โน้มน้าวดวงใจใคร่คำนึง นำทางสว่างซึ้งซึ่งชะตา เกิดแก่เจ็บตายมลายจาก ทุกข์ท้อยุ่งยากเหนื่อยหนักหนา สุขแสนปลอดโปร่งโล่งอุรา ล้วนแล้วพึ่งพาจากกฎกรรม กงเกวียนกำเกวียนเวียนวนหมุน เนื่องหนุนการณ์กรรมทุกถลำ คือความประพฤติสนองนำ ดีชั่วเทียนธรรมสาดส่องทาง อัญเชิญบทเพลงพระราชนิพนธ์ " CANDLELIGHT BLUES " ประกอบบทกลอน
ทำนอง: พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช คำร้อง: พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ แดดรอนรอน เมื่อทินกรจะลับเหลี่ยมเมฆา ทอแสงเรืองอร่ามช่างงามตา ในนภาสลับจับอัมพร แดดรอนรอน เมื่อทินกรจะลาโลกไปไกล ยามนี้จำต้องพรากจากดวงใจ ไกลแสนไกลสุดห่วงยอดดวงตา แต่ก่อนเคยคลอเคลียกัน ทุกวันคืนรื่นอุรา ต้องอยู่เดียวเปลี่ยววิญญาณ์ เหมือนดังนภาไร้ทินกร แดดรอนรอน หากทินกรจะลาโลกไปไกล ความรักเราคงอยู่คู่กันไป ในหัวใจคงอยู่คู่เชยชม แดดรอนรอน หมู่มวลภมรบินลอยล่องตามลม คลอเคล้าพฤกษาชาติชื่นเชยชม ชมสมตามอารมณ์ล่องเลยไป ลิ่วลมโชย กลิ่นพรรณไม้โปรยโรยร่วงห่วงอาลัย ยามสายัณห์พลันพรากจากดวงใจ คอยแสงทองวันใหม่กลับคืนมา แต่ก่อนเคยคลอเคลียกัน ทุกวันคืนชื่นอุรา ต้องอยู่เดียวเปลี่ยววิญญาณ์ เหมือนดังนภาไร้ทินกร โอ้ยามเย็น จวบยามนี้เป็นเวลาสุดอาวรณ์ ยามไร้ความสว่างห่างทินกร ยามรักจำจะจรจากกันไป
สุริยาอ่อนแสงแรงล้า จวบจนเวลาสูญสิ้นแสง ลุล่วงวิถีที่สำแดง โพล้เพล้เข้าแทรกแซงนภา ราตรีคืบคลานมาประดับ โสมส่องแสงทาบทับเวหา มวลหมู่สรรพสิ่งได้เวลา หวนคืนกลับมาสู่ลำเนา ลมไล้ลอยโชยชายพายพัด มิสงัดโสตสำเนียงเสียงป่าเขา หรีดหริ่งเรไรร้องบรรเทา เงียบเหงาคลอเคล้าความเพลิดเพลิน ธรรมชาติงดงามตามวัฏจักร หมุนเวียนมิพักมิขัดเขิน เพิ่มลดกฎเกณฑ์การณ์ดำเนิน เชื้อเชิญให้หวงแหนในธรรม อัญเชิญบทเพลงพระราชนิพนธ์ " LOVE AT SUNDOWN " ประกอบบทกลอน
เมื่อเล่นได้กติกาก็น่าเล่น พอไม่เป็นดั่งใจจึงใคร่บ้า ที่เคยชูเคยชี้กติกา กระทั่งศาลยังด่าน่าตกใจ คนดีดีที่ไหนใครจะพูด เหมือนใช้ตูดแทนปากขากใส่ กติกามาก็กติกาไป กลับว่าไม่มีเส้นเห็นสันดาน คนไทยไทยอย่าไทไปแต่ชื่อ เหตุผลคือกติกากล้าหาญ ดูประวัติดูที่มาเป็นอาจารย์ บรรทัดฐานค้นหาพิจารณาคน ไหว้คนดีมีปัญญาเจอหน้าไหว้ เห็นคนโกงเมื่อไหร่อย่าสับสน อย่าได้ไหว้เงินตราพวกหน้าทน ที่โกงจนวิปลาสขาดสำนึก
ตั้งแต่เล็กจนโตเป็นผู้ใหญ่ ทำอะไรคนเดียวอยู่เสมอ ให้อิจฉาคนคู่ที่เจอะเจอ รอชะเง้อสักคนมาเข้าใจ และแล้ววันหนึ่งเจอจิ้งจกทัก ตกใจนักเรื่องร้ายหรือไฉน เดินดุ่มสะดุดล้มกับอะไร เอ๊ะทำไมเคืองขัดอยู่ที่ตา มืดมนวนเวียนปัดไม่ออก เหมือนหมอกฟุ้งลอยปกคลุมหนา ขยี้ย้ำยิ่งสาหัสอนิจจา ใครตรงหน้าพ่นไอรักทักทาย อยู่เดียวเปลี่ยวใจมานานเนิ่น ต้องเผชิญกับรักแล้วสหาย โสดสนิทบริสุทธิ์พังทลาย ความรักกรายล่วงล้ำทำชำเรา เหม่อมองล่องลอยคอยฝักใฝ่ คราวนี้แล้วใช่ไหมจะหายเหงา รักเอ๋ยมิคุ้นเคยหรือมัวเมา คราวนี้เลิกเหี่ยวเฉา...รักเข้าตา...
ทำนอง: พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช คำร้อง: พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ ร่วมกับ ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร ได้ยินเสียงแว่วดังแผ่วมาแต่ไกลไกล ชุ่มชื่นฤทัยหวานใดจะปาน ฟังเสียงบรรเลงขับเพลงประสาน จากทิพย์วิมานประทานกล่อมใจ ใกล้ยามเมื่อแสงทองส่อง ฉันคอยมองจ้องฟ้าเรืองรำไร ลมโบกโบยมาหนาวใจ รอช้าเพียงไรตะวันจะมา เพลิดเพลินฤทัย ฟังไก่ประสานเสียงกัน ดอกมะลิวัลย์อวลกลิ่นระคนมณฑา โอ้ในยามนี้เพลินหนักหนา แสงทองนวลผ่องนภา แสนเพลินอุราสำราญ หมู่มวลวิหคบินผกมาแต่รังนอน เฝ้าเชยชิดช้อนลิ้มชมบัวบาน ยินเสียงบรรเลงดังเพลงขับขาน สอดคล้องกังวานซาบซ่านจับใจ
อาทิตย์ส่องแสงแจ้งฟากฟ้า นกกาโบยบินว่อนเวหน แมกไม้บานแบ่งกลิ่นสุคนธ์ เวียนวนหมู่ภมรร่อนลอย ส่ำสัตว์เริงร่าในป่ากว้าง แสงสางเตือนตื่นจากง่วงหงอย มวลหมู่สรรพสิ่งทั้งราบ-ดอย คล้ายคอยแสงเจิดจ้าสำแดง ชีวิตหลากหลายในโลกหล้า ล้วนแล้วพึ่งพาสุรีย์แสง ดำเนินท่วงท่าเปลี่ยนปรับแปลง วนเวียนตามฤทธิ์แรงแสงธรรม อัญเชิญบทเพลงพระราชนิพนธ์ " Near Dawn " ประกอบบทกลอน