20 มิถุนายน 2554 07:16 น.
KIRATI
มองทาร์ซาน ไต่เต้า เถาวัลย์
โหนไข่เห็นเป็นมัน แผล็บห้อย
โดดเกาะกิ่งผลุบผัน พลาดตก อกพลอย
จนไข่แตก หยับย้อย ไข่น้อย อดเจียว
เจนจะเจียว ไข่ให้ ทาร์ซาน
ทานก่อนไปทำงาน รุ่งเช้า
โดนเจนด่า รบราญ แหลกแน่ หนอเรา
พรางก่อกลัว ใจเร้า จึ่งร้อง ตะโกน
ปากปูดโปน กู่ก้อง พงไพร
เรียกเหล่าเสือสาใน ป่าท้น
สัตว์น้อยใหญ่แสนไกล ยินเพรียก เรียกตน
เดินวิ่งวนแหวกพ้น อยู่หน้า ทาร์ซาน
ซานขอใจ ไข่บ้าง ใครมี
ใครมั่งหนอ ยอมพลี ไข่ให้
จงวางไข่ ทันที มอบกล่อง ดวงใจ
จะมิลืม...คุณไซร้ ไข่นี้ จดจำ
ช้างงาดำ...ย่างเยื้อง เยืองกาย
เจ้าโห่เรียก เพรียกพราย พวกข้า
เพียงขอไข่...สหาย ในป่า ฤา นา
เดี๋ยวตืบเละ เลยถ้า โห่ร้อง อีกที...
19 มิถุนายน 2554 20:18 น.
KIRATI
เมื่อความรักลอยมา...น้ำตาหลั่ง
ลอยตามหลัง...ไล่กวดตำรวจจ๋า
มาช่วยจับรักไล่...ให้ไกลตา
โดนไล่ล่า...หลอกหลอนนอนยังเจอ
ศรรักหักปักอก...นรกเรียก
ใจปวกเปียกเปรอะรัก...หนักอกเพ้อ
เหมือนลูกชิ้นปิงปอง...ร้องละเมอ
เพราะเส้นเอ่อกดทับ...ดับคาชาม
รักลอยไล่...ใกล้ตัวหัวใจพล่าน
อุ้งมือมาร...ก่อภาพเสียววาบหวาม
โอบแน่นชิด...ติดรถสะกดตาม
ไล่เอาความ ถามไถ่...จนใจกลัว
เป็นโสดทรง...คงคานมานานแท้
เพราะพ่ายแพ้พิษรัก...ดักเด็ดหัว
โสดนอนกว้างถ่างขา...คราพลิกตัว
ไม่ต้องกลัว...ใครถีบ ติดกำแพง
ไม่ต้องคอยน้อยใจ...ใครคล้อยจิต
บ่นเป็นพิษ...พาลข่ม อารมณ์แล้ง
ต้องคอยชี้พิกัด...จัดสำแดง
เส้นรุ้งแวง...ที่อยู่ ดูเธอทำ
คำก็รัก...นักหนาชีวาพี่
ปลอกคอมี...ไม่ใส่เดี๋ยวใครขำ
แค่ด้ายขาด...พลาดเผลอ โดนเธอยำ
(เมื่อ)โสด หมดกรรม ฟาดเคราะห์...สะเดาะทรวง
@@@@@
รักเหมือนโซ่ลามตรวน...รวนเรเล่ห์
ถ่วงทะเล...ลอยคลื่น บ่ ชื่นสรวง
บ่ แคล้วจ่มใจทรุด...หยุดแดดวง
เรียมแปรปวง...นาถนุชดุจแม้นมาร
หมายเพียงนอก...ออกเรือนเหมือนสิงห์ก่น
แลลับชน... พลันอ่อนอ้อนสังขาร
คำเกียร์มัว...ตัวแล้แต่โบราณ
สืบทอดกาล...ผ่านยุคทุกรุ่นมี
เป็นรักลอยถ้อยโถม...กระโจมแจ้ง
หักคำแพง...เรียมพจน์ประณตศรี
ด้วยสากเงื้อกะเบือพุ่ง...มุ่งชีวี
โอ้รักนี้...นามขวัญภรรยา
แม้นแรมร้างห่างเธอ...ให้เพ้อคิด
เสียจริต...คลาดค้ำ...ที่ล้ำค่า
เพราะคุ้นเคยเอ่ยเสียงสำเนียงมา
จึงนิทราฟังเสียง...จำเรียงรั
แม้นโหวกเหวกเฉกเช่น...เป็นนกแขวก
ลำโพงแตกพอไกล...ก็ไร้ขวัญ
เหมือนขาดร้อยถ้อยรัก...จำหลักวัน
ให้เงียบงัน...เกิดเหงาและเศร้าครวญ
โอ้...ทรามวัยไกลเจ้า...ก็เหงาคิด
เคยแนบนิทรากรน...บนอกหวน
นิ่มเนื้อหนุนอุ่นหัวแม่ยั่วยวน
ต้องแรมรวนร้างจิต...คิดถึงจัง...
19 มิถุนายน 2554 20:07 น.
KIRATI
ละห้วยธาร...ละหานแก่ง วนาแหล่งนทีรัย
ระรอกหลั่นสนั่นไหว กระแทกส้ายกระจายฟอง
ระวีแสงสำแดงพุ่ง ระเรืองรุ้งวะรุ่งรอง
ประดุจเพชร(ชะ)เกร็ดกรอง ประกายฟ้าฉมาชม
ระเรื่อยยล...ประดลดั่ง เสมอฝั่งพิลาสพรม
วิมานแมนก็แสนสม จะเปรียบใช่พิไลแล
เมลืองงามอร่ามท้า ระเมียรว่าสิงามแท้
ภิรมย์เพลินจำเริญแผ่ บ่ ล่องเล่น บ่ เห็นคำ
ชโลมจิตพินิจมั่น จะสุขอันสราญล้ำ
นิยามธรรม(มะ)ชาตินำ ประเทืองสุดมนุษย์มี
วนาพรรณอนันต์บท มหัคฆโคตร(ตระ)เนาศรี(คำแสลง)
ประโยชน์ล้ำธำรงที ผิ ธารา ณ ป่ายัง
อุดมมั่นนิรันดร บ่ ถากถอนอุทก-วัง
ชิตะภัยประลัยพลั้ง มหัตกาฬระบานเมือง
19 มิถุนายน 2554 19:59 น.
KIRATI
ปรับที่นั่งหลังมาลัยไขสวิทช์
สตาร์ทติดคาดเข็มขัดเหยียบคลัทช์หมาย
เร่งรอบจัดอัดเกียร์หนึ่งบึ่งกระจาย
ล้อฟรีส่าย กลิ่นยางกรุ่นไหม้ฝุ่นควัน
ศูนย์ถึงร้อยในหกวินาทีกว่า
ทะยานฟ้า มาตามหา แม่จอมขวัญ
หักหลบนก ไปวกใหม่ ใกล้ตาวัน
เบียดพระจันทร์ ปาดดาวเทียม ไปเยี่ยมเธอ
มองหน้าปัดอัดเกือบพันเครื่องมันร้อน
เลยต้องผ่อนร่อนกินลมชมเมฆเพ้อ
เมฆครวญคร่ำคำรามร้องก้องละเมอ
เหมือนคอยเก้อเลยร้องไห้จ่ายน้ำตา
เปียกกระจกเปิดที่ขัดปัดน้ำฝน
มืดมัวหม่นสลัวมองหมองทั่วฟ้า
เข็มทิศชี้ไปที่ไหน...ไม่นำพา
ดับไฟหน้า...แล้วหรี่ตา หาที่ลง
มองที่หมายไร้ที่เห็น...ที่เป็นพื้น
ดินแห้งผืนให้พอจอด...รอดประสงค์
คืบก็น้ำศอกก็น้ำ...สีครามดง
ไม่แคล้วคง...ต้องลงจอดบนดวงดาว
ดาวดวงนั้น...ชื่อนิรันดร์สวรรค์สร้าง
แลรูปร่างคล้ายคัมภีร์...ปกสีขาว
พื้นอ่อนนุ่มสาวหนุ่มยิ้ม...ช่างพริ้มพราว
สวมชุดยาว...เดินขวักไขว่อยู่ไปมา
จึงเอื้อนคำ...ถามที่นี่มันที่ไหน
ไร้คำใคร...จะตอบคำ ถามที่ว่า
พลันเสียงหนึ่งซึ่งอยู่ไกลจากสายตา
ตอบกลับมา ว่าที่นี่ คือฉิมพลี
เจ้าหลับในตอนขับรถ...ชนฟุตบาท
ถ้าถึงฆาต...ดวงเจ้าขาด...มิอาจหนี
จงจดจำ คำข้าไว้ ให้ดีดี
วินาที...ง่วงอย่าขับ เดี๋ยวหลับใน
ส่วนเส้นฆาต ชาตะเจ้า เราจะต่อ
แค่หนึ่งข้อ ...เราจะขอ...เจ้าได้ไหม
ได้เจ้าค่ะ...แต่หนึ่งข้อ ... ขออะไร
เจ้าต้องไป...ไถ่ชีวิต ดวงจิตโค
โคกระบือ หรือ โคบาล เล่าท่านพี่
โคโยตี้ ที่ยั่วยวน กวนโมโห (ประชดๆ)
โคตัวไหน ไม่มีเขา ...เอาเบอร์โทร
โคลัมโบ...ร่ำเบียร์สิงห์ ก็ยิ่งมี
ดูเหมือนเจ้า...จะเมาหลับ...แล้วขับด้วย
เราจะช่วย ดีหรือเปล่า...เจ้าคนนี้
ปล่อยไปขับ...รึจับฝัง...ขังฉิมพลี
อย่างไหนดี...หนอพี่น้อง ลองเขียนมา
อันรถรา พาเราไป ได้สองจุด
ณ ปลายสุด สายชีวิต คงสิทธิ์ค่า
ไม่หายใจ ก็ใจหาย ปลายศรัทธา
ประมาทท่า...พาถึงจุด...หยุดหายใจ
ล้อแตะพื้นเท้าแตะดินชีวินอยู่
ทั้งล้อคู่ และล้อสี่...มีกฎใช้
หมวกกันน็อกล็อคเข็มขัดนิรภัย
เว้นขับใจ...ไล่จับรัก ขับไปเลย
19 มิถุนายน 2554 19:46 น.
KIRATI
กรรไกร...ไร้คมคู่ มิอาจดู...เป็นกรรไกร
ขลิบคม...ลงผืนใด มิอาจสับ..เพียงฉับมอง
ตะเกียบ...เพียงหนึ่งเดียว ด้ามเรียวเรียว...เกี่ยวคีบของ
จิ้มล้วง...จ้วงก็มอง ว่าสังเวช เวทนา
คู่ราง ทางรถไฟ สองรางไส...ไกลหนักหนา
หนึ่งราง...วางเอกา แล่นเป็นชาติ...มิอาจจร
นกน้อย...คล้อยหนทาง ขยับร่าง...กางปีกร่อน
สองปีก...ฉีกทางจร นกคงตก...อกแตะดิน
หลากบท...กฎการเป็น ยกเรื่องเน้น...เห็นสองชิ้น
เดินเรื่อง...เรืองระบิล เกิดสิ่งสรรค์ มั่นคงมี
ขาดหนึ่ง...ซึ่งควรอยู่ ความเป็นคู่...รู้วิถี
วิธี...ใช้ใคร่มี ธรรมชาติ...อำนาจเป็น
มีซ้าย...และมีขวา มีสองบ่า...สองตาเห็น
ไหล่แกน...แขนขาเป็น รยางค์คู่...อยู่กับกาย
เพื่อเอื้อ...เพื่อแบ่งรับ เพื่อโถมทับ...จับมั่นหมาย
เพื่อกด...บดกระจาย เพิ่มทวิ...ทวีแรง
เมื่อตรอง...มองเรื่องคู่ พินิจกู่...รู้แสวง
แกร่งกล้า...ค่าสำแดง แห่งการอยู่...เป็นคู่กัน