2 สิงหาคม 2554 16:01 น.

ผี กะ เทพ

KIRATI


ผี .... มีอยู่สามผี....ผีผลัก ผีปอบ ผีสิง....
เทพมีอยู่สามเทพ....เทพผู้ให้ชีวิต เทพผู้ครองชีวิต และเทพผู้ปลิดชีวิต

เราทุกคนมี ผีอยู่กับตัว...และอยู่รอบๆตัว...
ผีผลัก...คือผีที่คอยทำสิ่งต่างให้เราเจ็บ...เราทุกข์...
ผีปอบ...คือผีที่คอยกัดกินสังขาร ร่างกายของเรา...ในทุกขณะ...แม้เราจะตั้งอยู่บนความผาสุก
ผีสิง....คือผีที่คอยรบกวนจิตเรา...ให้หวั่นไหว...สั่นคลอน...เป็นทุกข์ ตลอดเวลา...

ส่วนเทพ....
เทพผู้ให้ชีวิต...คือเทพลิขิต...เทพผู้เป็น บิดา มารดา...ปู่ ย่า ตายาย....
เทพผู้ครองชีวิต...คือเทพอารักษ์...เทพผู้ครองคู่ เทพมิตร...ศิษย์อาจารย์ ตลอดจน เทพผู้รักษา...จิต และ สังขาร...
เทพผู้ปลิดชีวิต...คือเทพพญายม....ตลอดจน องค์เทวทูต...นรก และสวรรค์...

เรา...มิอาจพ้นได้ หลีกได้ จาก เหล่า บรรดาผีๆ...ที่อยู่รายรอบ...
ผีผลักอาจบันดาล ให้เราพลาดพลั้ง เกิดเหตุอันเป็นทุกขเวทนา...เป็นได้ทั้งเหตุการณ์ และเชื้อไข้มากมาย
ผีปอบคอยกัดกินเรา...จากภายใน...เป็นได้ทั้ง...พยาธิ ปรสิต ความผิดปกติที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด...
ผีสิง...คือสิ่งที่เราคิด เราย้ำ เราทำ ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า...เฉาตน หม่นหมอง...เพราะถูกผีสิงใจ...ให้เป็นไป...

ส่วนเทพ....คิดเข้าใจได้โดยง่าย....
มนุษย์ นั้น...เสื่อมจากการรับ...แม้การรับนั้น...จะน้อยนิด เป็นไปตามกาละ แห่งเวลา...
ความเสื่อมก็ยังคง ค่อยๆ กัดกิน...ร่ายกาย...ไปจนถึงกาลเน่าสลาย...
เมื่อมนุษย์...มุ่งใจ...พึงใจ  ต่อเทพผู้ให้ชีวิต และเทพผู้ครองชีวิต...ผลดี...คือการให้....??? 
การให้....เมื่อเราให้มากกว่ารับ...ผลก็คือการชะลอความเสื่อม...โดยปริยาย.....
การให้....ที่เจือจาร ไปถึง ธารแห่งกรรม...ถึงเทพผู้ปลิดชีวิต...ย่อมถือเป็นการสำแดงเมตตา...บารมี...
รู้พร้อม ถึงพร้อม ด้วยกรรมแห่งตน....

เพียงแค่จิตรู้  ใจรู้....เหตุแห่งทุกข์....รู้ที่สลาย...รู้ที่ดับความกังวล...
ผลแห่งการรู้...ย่อมอุ้มชู....ดวงจิต....ให้สงบ....
นั้นแหละคือความสุข....จร้า...อิอิ


				
1 สิงหาคม 2554 14:22 น.

เล็ดลอดหลบหนี ตอน ๑

KIRATI


เล็ดลอดหลบหนี....คำๆนี้ วันนี้แล้วที่จะได้รู้ว่าเป็นยังไง...
แสงอาทิตย์ร่ำไรๆ ตอนใกล้ค่ำ เสียงนกหวีดดังขึ้น ปรี้ดดดด ปรี้ดๆ ปรี้ด...เฮ้....
สิ้นเสียงเฮ้ของกำลังพลทุกนายที่เข้ารับการฝึก...เสียงพรึบๆก็วิ่งกรูกันไปที่ต้นเสียง
พลันอีกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นทันควัน...
หน้ากระดานห้าแถวปิดระยะ ม้าเยี่ยว...(ไอ้ม้าเยี่ยวนี่ มันรวบมาจากคำว่ามาหาข้าพเจ้า)
กำลังพลที่ตัวสูงโยง ก็วิ่งไปหยุดตั้งต้นเป็นคนหัวแถว ตะโกนนับ อึ้ง ส้อง สั้ม สี่ ห้า แล้วคนที่เหลือก็วิ่งกรูกันไปต่อแถวไปทางด้านข้างด้านซ้ายของคนหัวแถว พร้อมกับยกมือขวาเท้าสะเอวปลายมือทิ้งดิ่งลงข้างล่าง หน้าก็สะบัดไปทางขวา...มองอกคนถัดไปจากคนที่ยืนติดกับเรา ครูฝึกก็วิ่งมาที่หัวแถว เดินเลียบแถวมองหน้าเรา ปากก็ตะโกน ใครเห็นหน้าครูหลบไป ๆๆ ตะโกนซ้ำๆ เดินไป....จนสุดแถว...นิ่งงง.... หัวแถว... นับ...  อึ้ง ส้อง สั้ม สี่ ห้า หก เจ็ด ไปจนถึง สี่สิบ
ทุกอย่างพลันสงบลง ....เงียบกริบ..
สองร้อยนายยยย เข้าแถวหน้ากระดานนนน แค่ห้าแถวววว  ใช้เวลาไป สิบเจ็ดวินาที....จะไปทำอะไรแดกกก....ทั้งหมด.....หมอบบบบ.... เสียงพรึบพรับๆล้มตัวลงหมอบแนบไปกับพื้นด้วยความรวดเร็ว    ยึดพื้นท่าเตรียมมมม... ทุกคนเริ่มตะเกียกตะกายหาที่วางมือวางไม้จัดท่าจัดทางเตรียมยึดพื้น พอเงียบเสียงปุ๊บก็เปล่งเสียงพร้อมกัน เตรียม   ยี่สิบครั้ง  แล้วเสียงทวนคำสั่งของสองร้อยเสียง ก็ขานรับพร้อมๆกัน  ยี่สิบครั้ง .......ปฏิบัติ สิ้นเสียงคำสั่ง...ทุกนายก็เริ่มยึดพื้น พร้อมๆกันโดยการนับ อึ้ง ส้อง สั้ม สี่ ห้า หก เจ็ด ไปจนถึง ยี่สิบ   ทั้งหมด ลุก....จั๋ดแถว  เฮ้... นิ่ง..... ฟังเรียกแถว แล้วผู้ช่วยครู ก็วิ่งงงง..ไปไกลๆ....ไปตะโกนอยู่ลิบ....หน้ากระดานแถวเดี่ยว ปิดระยะ ม้าเยี่ยว เราก็วิ่งงงง...ไปทำแบบเดิมๆ...แล้วก็จบที่ ครูฝึกไม่พอใจ สั่งทำโทษอีก...ทำอยู่อย่างนี้เป็นสิบๆเที่ยว...เล่นซะเหงื่อตกเป็นลิตรๆ...
       พอไร้แสงอาทิตย์ ท้องฟ้ามีแต่แสงดาวระยิบระยับ เสียงหริ่งเรไร เริ่มร้องระงม....ตรงหน้าตอนนี้มีเพียงแสงไฟหน้ารถสองตันครึ่ง เอ็ม ๓๕ เอ ๑ เท่านั้น ที่สาดแสงพอให้เห็นอากัปกิริยาของกลุ่มบรรดาครูฝึก ซึ่งตอนนี้...มีหลายคนที่กำลังบรรจุเครื่องกระสุนใส่อาวุธที่มีทั้ง ปืนกลเอ็ม ๖๐ (แบบที่แรมโบ้ชอบถือไล่ยิง) ปืนเล็กยาว เอ็ม ๑๖ เอ ๑  ในแถวยังคงนิ่งเงียบอยู่ในท่าตรง...ทุกคนรอฟังคำสั่ง ว่าจะอะไรต่อไป...
ต่อไปไปๆๆๆๆ....เสียงผ่านเครื่องขยายเสียงเป็นเสียงเอ็คโคดังขึ้น จะเป็นการฝึกฝึกๆๆๆ  การเล็ดลอดหลบหนีหนีๆๆๆ จากสถานการณ์สมมติมุดๆๆ  คือคือๆ พวกคุณทุกคนคนๆๆๆ  ตกเป็นเฉลยศึกศึกๆๆ ของข้าศึกศึกๆ ....ซึ่งๆๆๆๆๆ พวกคุณทุกคนคนๆๆๆ จะต้องหลบหนีหนีๆๆ ออกจากที่คุมขังขังๆ แล้วกลับไปยังที่ฐานที่ตั้งตั้งๆ ให้ทันเที่ยงคืนของคืนนี้นี้ๆๆ....ขอบอกก่อนว่าว่าๆๆ ถ้ากลับเข้าฐานหลังเที่ยงคืนคืนๆๆ หน่วยที่เราใช้พื้นที่เป็นฐานที่ตั้งการฝึกฝึกๆๆ เขาจะปล่อยปล่อยๆๆ สุนัขสงครามครามๆๆๆ เพราะฉะนั้นๆๆๆ...หากใครกลับฐานไม่ทันทันๆๆ...หรือโดนหน่วยข้าศึกสมมติมุดๆๆ จับได้ๆๆๆๆ จะถูกริบเสื้อผ้าผ้าๆๆ ให้เดินกลับฐานในรุ่งเช้าเช้าๆๆๆ เพื่อรับโทษต่อไปไปๆๆๆ 
 
         ผู้ฝึกลงจากแสตน...ปุ๊บ...ไฟหน้ารถก็ดับ...เสียง ปัง!!!  ก็ดังขึ้นเป็นระยะ....ปรากฏเป็นแสงพุ่งเป็นสายขึ้นสูงสู่ท้องฟ้า สามลูก ....แล้วก็กลายเป็นลูกไฟสีส้ม ไปลอยสูงๆ ค่อยๆ ร่วงลงสู่พื้น...แล้วเสียงปืนกลก็ดังขึ้น แบบไม่ยั้ง...ปังๆๆๆๆ ไม่แค่เสียงดังเท่านั้น ...ดันมีแสงพุ่งจากด้านหลังของแถว เป็นร้อยๆสาย ...เสียงตะโกน แข่งกับเสียงปืนกล...ยังไม่ไปอีก...ไปๆๆๆ...วิ่งๆๆๆ...วิ่งให้เงียบ จับได้...กูจับแก้ผ้าให้หมด.... เท่านั้นแหละ ทุกคนก็แตกกันไป ไม่ผิดกับผึ้งแตกรัง ผมก็วิ่งสุดชีวิต... เท่าที่รู้มาก่อนเข้ารับการฝึก คือเราต้องหนีไปพร้อมกับบั๊ดดี้ของเรา แล้วกลับเข้าฐานพร้อมกันให้ได้ แต่ในใจ คิดไปวิ่งไปว่า...ทำไมเขาไม่บอกอะไรให้มันมากกว่านี้หน่อย....ฐานอยู่ไหน???...แล้วนี้คือการฝึก แล้วไอ้แสงที่พุ่งแว๊บๆเป็นร้อยๆสายเมื่อกี้ มันคือลูกกระสุนส่องวิถีของจริงรึเปล่า??? แล้วบั๊ดดี้ผมมันอยู่ไหน...???

ในขณะที่วิ่ง ที่คิดอยู่...แสงจากพลุส่องแสงเริ่มลดแสงลง ดับไปทีละดวง จนเหลือดวงสุดท้ายที่ใกล้แตะพื้นเต็มที...เสียงปืนกลยังดังอยู่ไม่หยุด...ตอนนี้...ผมวิ่งห่างออกมาจากจุดที่เริ่มวิ่ง...มากพอแล้ว....แสงจากพลุส่องแสง...ดับสนิทแล้ว...ไม่มีแสงอะไรเลยที่พื้นดิน...ไม่ว่าจะมองไปทางไหน....มองไม่เห็นแม้แต่มือที่แบอยู่ตรงหน้า....เสียงดังจากปืนกลเริ่มดังใกล้เข้ามาอีก...ผมต้องไปให้ไกลจากตรงนี้...ต้องกลับฐานให้ได้ภายในสี่ชั่วโมงครึ่ง...เพื่อจะได้ไม่ต้องโดนจับแก้ผ้าและรับโทษตอนเช้า...แต่...ตอนนี้...มันมืด ไม่ใช่แค่แปดด้าน ไม่ใช่แค่ความคิด มันมืดตึบไปหมด... 

และแล้ว...พลุบบบบ...อั๊กกกก......ผมจุกพูดไม่ออกกก....อ๊ากส์....ผมร่วงตกลงมาเอาหน้าลงกระแทกกับพื้นดินขรุขระ 
ผมนอนนิ่งๆรอให้หายจุก...เสียงปืนเงียบไปแล้ว...ผมพยายามพลิกตัวนอนหงาย......ท้องฟ้าสวยเหลือเกิน...ดวงดาวสวยมาก...ค่ำคืนในที่ที่มืดมิด...ดวงดาวสวยเหลือเกิน...ผมเริ่มหายจุก...พอได้ๆ...สายตาผมเริ่มปรับเข้าทีเข้าทาง พยายามทั้งมองทั้งคลำหา...อะไรก็ได้ อะไรก็ได้ จริงๆ...ผมคลำไปเจอเหมือนต้นไม้ อ่ะ ไม่ใช่ต้นไม้ มันเหมือนเสา...ท่อนขนาดลำแขน...ผมคลำขึ้นไปเรื่อยๆ ...พระช่วย!!! ตรงปลายเสาถูกตัดบากเป็นปากฉลาม...ผมตกลงมาใกล้ความตายแค่สองศอก...ใจผมเริ่มกลัว...ผมคลำลม ควานคว้าไปอีกทาง ไม่อยากเชื่อ!!! ผมเจอไอ้เสาแบบเดียวกันอยู่ทางซ้ายห่างไปแค่ช่วงตัว...ผมตกลงมาตรงกลางระหว่างความตาย...ใจเริ่มคิดว่า...มันที่ไหน??..ทำไมมีไม้ตัดบาก?? ยังมีอีกกี่ต้น??...รึนี่คือหลุมดักสัตว์ ความอึดอัดเริ่มทวีมากขึ้น เพิ่มขึ้น ผมลุกขึ้น ใช้คอมแบตเตะแกว่งไปมา ดูว่ามีอะไรอยู่ตรงหน้าบ้าง...ผมเดินไปจนแน่ใจว่า...มันไม่ใช่หลุมดักสัตว์ มันจะอะไรก็ช่าง...ผมเดินออกจากที่นั้น ช้าๆ...

เสียงปืนกล ยังดังเป็นระยะ เริ่มนับเป็นนัด นัด ได้...ในใจก็คิดตำหนิวิธีการฝึกของบรรดาครูฝึก...ที่น่าจะให้ข้อมูล รึ แค่บอกหน่อยก็ได้ ก็ยังดีกว่าไม่รู้เลย ว่า...ต้องไปทางไหน...

เสียงลมพัดไหวๆ ปนมากับเสียงเรไร...พอดีเจอกิ่งไม้ เลยได้พอคลำทางต่อไปได้...พอมีแสง...ผมก็หมอบลง...นิ่งเงียบมองดูว่า...มันคืออะไร เพื่อนๆรึพวกข้าศึกสมมติ นี่ถ้าผมปะกับข้าศึกสมมติ ผมมีสิทธิ์ป้องกันตัวรึไม่??? แย่งอาวุธได้รึไม่??? เพราะเขาไม่บอกอะไรเลย ในหัวผมจึงเต็มไปด้วยคำถามเป็นพันๆคำถาม...
				
Calendar
Lovings  KIRATI เลิฟ 71 คน

วฤก

โคลอน

เชษฐภัทร วิสัยจร

เพียงพลิ้ว

อัลมิตรา

ฤกษ์ ชัยพฤกษ์

ผู้หญิงไร้เงา

แทนคุณแทนไท

กุ้งหนามแดง

แมงกุ๊ดจี่

ประภัสสุทธ

รการต์

พฤหัส กฤษชยรักษ์

บินเดี่ยวหมื่นลี้

ร้อยฝัน

pigstation

หิ่งห้อยน้อยใจ

ลักษมณ์

มนต์กวี

สองตุลา

ท่องเมฆา

ก้าวที่...กล้า

กวีปกรณ์

ดอกบัว

เฌอมาลย์

ว.มหรรณวา

เปเป้ซังแม่มู๋ผู้เดียวดาย

ครูพิม

คอนพูทน

สายธารน้ำใจ

ก่องกิก

คีตากะ

ขุนศรี

พิมญดา

ยาแก้ปวด

ทิพย์โนราห์ พันดาว

บนข.

กันนาเทวี

กิ่งโศก

ไหมแก้วสีฟ้าคราม

ครูกระดาษทราย

แก้วประภัสสร

KIRATI

จอมปราชญ์แดนอาคเนย์

คืนแรมสามค่ำหน้าร้อน

ห้าเจ้าจอม

**.. เช่นรวีโชติ..**

แกงเขียวหวาน

มวลภมร

ดาวศรัทธา

cicada

เปลวเพลิง

หญิงบ้า

เ ที ย น ห ย ด

din

เบยองจุน

สีเมจิก

นักสืบไร้ชื่อ

ชากร

บุญพร้อม

พาดกลอน

แย้ม ไกลวันเกิน

แม่น้ำในฟ้า

Arm

Jackie

ไผ่ลู่ลมม

ศรีปาด เฟสเก่าโดนระบบลบเฉยเลย

ศุทธิกมล

Prayad

Parinya

จิ๊กจ้า

  KIRATI
ไม่มีข้อความส่งถึงKIRATI