27 ตุลาคม 2551 09:59 น.
KIRATI
เตือน....(น้องตอนบ้าเลือด)
หนึ่งสติ สมาธิ จิตสงบ สองปัญญา ที่สยบ จบปัญหา
สามสมอง ที่ตริตรอง มองศรัทธา สี่วาจา ว่าถนอม ยอมไมตรี
ถือโทสะ แลโมหะ เป็นโทษา เปล่งวาจา สามหาว คำบัดสี
หยามโวยวาย ใคร่ผลาญ รานฤดี เปล่งวจี วาจา ฆ่าหัวใจ
จงดูก่อน ย้อนใจ ใครที่ฟัง มีความหลัง ชิงชัง ต่อกันไหม
วลีเสียด เหยียบนาบ ทาบหทัย เอาสะใจ แค่ตนถูก ละผูกพัน
ไม่คุ้มเลย น้องเอย เจ้าน้องยา วันเวลา จะจดจำ คำทุกขันธ์
ติดสมอง จมอยู่ลึก นึกทุกวัน กว่าจะล้าง ลบมัน ก็ยากเย็น
ให้ลืมเลือน ก็เตือนตอก บอกใจผิด หมายสนิท ชิดใจ ก็ยากเข็ญ
ลุแก่โทษ โมหะ คำเลือดเย็น มิควรเป็น เพราะโทษะ โมหะพาล
21 ตุลาคม 2551 16:19 น.
KIRATI
เมื่อร่ายนิ้ว พลิ้วพรม บนเส้นสาย
สดับคล้าย ดั่งมนต์ ให้ยลเสียง
บรรเลงเพราะ เสนาะโสต โอดสำเนียง
สะกดเพียง เสียงกีตาร์ ที่พาเพลิน
เพียงพานิ้ว พลิ้วผ่าน สะท้านจิต
ยิ่งเพ่งพิศ ยิ่งติดตรึง จึงสรรเสริญ
เมื่อกรีดสาย ดั่งร่ายมนต์ จนเพลิดเพลิน
เสียงดำเนิน เชิญสดับ ด้วยจับใจ
เหมือนถูกมนต์ ดลสะกด ให้นิ่งอยู่
แล้วเพ่งดู ที่ปลายนิ้ว เคลื่อนพลิ้วไหว
ดั่งระบำ ที่รำร่าย ได้ว่องไว
ช่างจับใจ ระบำนิ้ว พลิ้วงดงาม
คนดนตรี คีตะ กีตาร์เสียง
สร้างสำเนียง เสียงบรรเลง เพลงประสาน
เพราะฝึกฝน ทนฝึกซ้อม ย่อมชำนาญ
จึงเชี่ยวชาญ ด้านภาษา ศาสตร์ดนตรี
20 ตุลาคม 2551 09:50 น.
KIRATI
หิ่งห้อยรำพัน
เปลวแสง สุริยา ส่องฟ้า
อำภา พราวพร่าง เฉิดฉาย
รุ่งกระจ่าง สว่าง พร่างพราย
ดั่งหมาย หล่อหลอม ชีพชนม์
สรรพสัตว์ มวลหมู่ น้อยใหญ่
จะเกริกไกร รึไร้ค่า แห่งหน
ล้วนรับ อานิสงค์ ทุกตน
เพียงพึ่งผล ยลแสง แห่งศรัทธา
สุริยง คงแรง แสงบรรเจิด
คงกำเนิด เชิดแรง แสงจ้า
ประคับประคอง ชุบหลอม ชีวา
คู่อำภา เพียงรักษา ชีพคง
แต่ฉันเป็น ได้เพียง ดั่งหิ่งห้อย
ด้วยแรงจ้อย แสงน้อย ไร้ประสงค์
บรรเจิดฟ้า มิได้ดั่ง สุริยง
ได้อยู่คง แค่พาจิต คิดชื่นตา
มิอาจเอื้อม ใจกล้า เกินจะหวัง
จะเป็นดั่ง สุริยะ ที่เฉิดฟ้า
จึงเพียงแซม แรงแสง แห่งดารา
กระพริบพา ราตรีพราว เป็นดาวดิน
จึงควรคู่ อยู่พราว กับดาวพื้น
ในกลางคืน ส่องแรง แสงเฉิดฉิน
กระพริบพราว วาววับ เมื่อโผบิน
เป็นแสงศิลป์ บินร่าย ใต้ลำพู
20 ตุลาคม 2551 08:59 น.
KIRATI
ธิปไตย ไหนเล่า
เพียงจะยล ยินยอม ไขจิต
ที่ควรคิด หทัยเพียง ไขข้อง
ประหนึ่งเพียง มองจิต คิดเห็น
ที่จิตเป็น ธิปไตย ไหนเล่า
ธิปไตย ประชา เสรี
แต่ฤดี กลับมีธรรม ขานไข
ตรองในจิต ลึกแท้ เพียงอยู่ยง
หยั่งคง ลงลึกราก แท้ ภักดี
ทุรชนคงอ้างผิด เพียง อำมาตย์
อธิปราช มิอาจมี หากเสมอ
ตรองในจิต มิเห็นดี ด้วยชอบ
คงระบอบไซร้ อยู่ได้คงไว้ มิเห็นฤา
เพียงจะยลยินยอม บอกจิต
ใจหมู่มวลเรา อยู่ติด จงรัก
ภักดี ด้วยจิต คิดเสมอ ถวาย
แต่กายเหล่ามี เสรีไซร้ มิได้อย่างไร ฤา
20 ตุลาคม 2551 08:44 น.
KIRATI
หยาดฝนที่พรมพร่าง สู่เบื้องล่างกองขยะ
อบอวลกลิ่นจนจัก แสลงทนจนแทบบ้า
กองสูงเป็นภูเขา กลิ่นคละเคล้าเน่าโชยมา
มิเชื่อในสายตา ณ เบื้องหน้า ที่ได้เจอ
เบื้องหน้า คือเด็กน้อย ที่ชะรอย คอยชะเง้อ
คุ้ยเขี่ย หวังเพียงเจอ สิ่งที่เธอ คิดว่าดี
มีค่า เกินจะทิ้ง มันคือสิ่ง คนหน่ายหนี
คงทิ้ง เพราะว่ามี ดีกว่านี้ จึงทิ้งมัน
แต่เธอ กลับมองเห็น กลับมองเป็น ตรงกันข้าม
ใครหนอ ช่างใจดำ มิรู้ความ ทิ้งลงคอ
อย่างเช่น ตุ๊กตา ที่ใฝ่หา โอ้ใครหนอ
ทิ้งเจ้า ได้ลงคอ จึงจะขอ รับต่อมา
มือกำ ถุงพลาสติก อีกแขนหนีบ เจ้าตุ๊กตา
ฮัมเพลง เดินเรื่อยมา ด้วยแววตา น่าเอ็นดู
อีกมือ คอยคุ้ยค้น ละเลงจน ดินเลอะหู
น้องจ๋า พี่เฝ้าดู พี่อดสู ในใจจัง
ในสิ่ง ที่ไร้ค่า คือมหา สมบัติคลัง
ของทิ้ง ที่คนชัง กลับเป็นดั่ง ชีวิตใคร
นี่หรือ คือใต้ฟ้า ที่ใครว่า ฟ้าเดียวไว้
นี่หรือคือ ธิปไตย ที่ใครๆคิดว่าดี
ภายใต้ฟ้าเดียวกัน ฉันมองมัน ดีกว่านี้
แกร่งแย่ง เอาแต่ดี โอกาสมี มันหายไป
มองเพียง ที่ตัวเรา อาจคิดเอา ว่าสดใส
แต่ขอ ลองมองไป ด้วยหัวใจ ให้รอบตัว
จะพบ ความฟอนเฟะ ที่มันเละ มืดสลัว
ชีวิต ที่มืดมัว สังคมมั่ว ที่เกิดมี
สังคม อันยาวไกล หากเดินไป ต่อจากนี้
กี่คน ที่จะมี แค่วิถี ที่เศษปลาย
การเมือง ในบ้านเรา มันแสนเน่า นานเหลือหลาย
ขอจง อย่ามองไป แค่หัวใจ ที่ระอา
ผ่านเหตุ การณ์เรียกร้อง ที่คนมอง แค่เพียงว่า
เป็นเรื่อง ชวนระอา กรุณา ถามหัวใจ
ครั้งนี้ มิเหมือนก่อน ไม่เหมือนตอน ครั้งไหนๆ
ครั้งนี้ เรียกร้องไป การเมืองใหม่ ไม่ใช่พาล
เราเพียง ควรต้องคิด ถึงชีวิต ของลูกหลาน
การเมือง ที่พบผ่าน มันถึงกาล ต้องเปลี่ยนแปลง
การเมือง ที่เราฝัน ต้องไม่ทำ อย่างแอบแฝง
การเมือง ต้องสำแดง ชนเข้มแข็ง ไม่ยากจน
เด็กน้อย กองขยะ เราลืมละ เลยทุกข์ทน
อีกฝั่ง ของไทยชน ที่อับจน เพราะการเมือง