30 มิถุนายน 2555 02:14 น.
กวีปกรณ์
ผมไม่รู้เลยว่า ผมหลงใหลดวงจันทร์มานานเท่าไหร่ แต่เท่าที่ผมเคยถามตัวเอง นึกย้อนไปถึงภาพวันวานวัยเยาว์ เด็กชายร่างเล็กที่ชีวิตเต็มไปด้วยเรื่องราวร้อยพันปัญหาของครอบครัว กำลังแหงนมองไกลออกไปสุดขอบฟ้า ช่วงเวลาที่ตะวันกำลังจะลับลาไกลฉาบไว้ด้วยแสงสีทองส่งท้าย นั่นกลับไม่ใช่สิ่งที่เค้าสนใจเลย หากแต่เป็นดวงจันทร์เสียมากกว่า จันทร์สีเงินที่กำลังพ้นขอบฟ้าในค่ำนั้น
ความงามของดวงจันทร์ยิ่งแจ่มชัดสวยงามขึ้นเมื่อความมืดยิ่งเข้าครอบครองน่านฟ้า ราวกับว่ายิ่งมืดเท่าไหร่ดวงจันทร์ก็ยิ่งสว่างไสวมากขึ้นเท่านั้น เรื่องเล่าเกี่ยวกับกระต่ายไม่เคยแว่วผ่านในจินตนาการของเด็กชายคนนี้มาก่อนที่เขาจะได้หนังสือชุดใหญ่ที่รวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับโลกไว้เพียงคร่าวๆ ไม่เพียงแค่เรื่องราวเกี่ยวกับโลกใบนี้เท่านั้น แต่ยังทอดผ่านไกลออกไปนับปีแสง ไกลกว่าระยะทางจากโลกกับดวงจันทร์เสียอีก หากจะถามว่าบนดวงจันทร์นั้นมีกระต่ายอยู่หรือไม่ คำตอบที่ดีที่สุดที่เด็กชายคนนี้จะจินตนาการได้ นั่นคือ เขาเห็นใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยเมตตากำลังมองลงมาที่เขามากกว่า เขาเชื่ออย่างนั้น ถึงหนังสือพวกนั้นจะได้ไขกระจ่างเกี่ยวกับเรื่องราวบนดวงจันทร์ แม้กระทั่งตอกย้ำว่าคนสามารถไปเหยียบย่ำเพื่อปักธงอาณานิคมแห่งมนุษยชาติเป็นผลสำเร็จ แต่นั่นก็ไม่อาจทำลายจินตนาการเล็กๆ ของเด็กชายคนนี้ได้ทั้งหมด
ความเชื่อในใจของเขาช่างต่างไปจากผู้คนรอบตัว นั่นอาจจะเป็นเพราะ หนังสือเกี่ยวกับพระคริสต์ที่เค้าเคยได้อ่าน ในยามที่ยากจะข่มตาหลับในค่ำคืนที่ไม่รู้ว่าจะยาวไกลแค่ไหน ภาพของพระเยซูที่ตรึงบนไม้กางเขนกลับเป็นภาพที่เขาเก็บไว้ในใจ และทาบไว้บนดวงจันทร์ที่ส่องแสงเงินเย็นนั้น ความรู้สึกเกี่ยวกับศาสนาของเด็กคนนี้เริ่มแตกต่างออกไปจากครอบครัวมากขึ้น นับวันเขายิ่งคลุกอยู่กับหนังสือกองโตเหล่านั้น ราวกับว่าทั้งหมดนั่นจะช่วยให้เขาไขกระจ่างในเรื่องราวของชีวิต
นับตั้งแต่นั้นเขาไม่รู้หรอกว่า ภาพของชายที่มีใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยเมตตานั้นคือใครกันแน่ นั่นอาจจะเป็นใครสักคนที่จะทำให้ชีวิตของเขาอบอุ่นขึ้นมาได้บ้าง
เวลายี่สิบปีผ่านไปอย่างช้าๆ แต่ทว่ารวดเร็วเหลือเกินเมื่อมองย้อนกลับไป ผมไม่รู้เลยว่าทุกวันนี้ผมมองไปที่ดวงจันทร์แล้วเห็นอะไร รู้เพียงแต่ว่าแสงเงินเย็นสบายตานั้นทำให้ผมมีความสุขทุกครั้ง ยิ่งคืนไหนจันทร์เต็มดวงด้วยแล้ว ราวกับว่าคืนนั้นจะมีอะไรพิเศษคอยผมอยู่เสมอ แม้ว่ามันจะเป็นเพียงเตียงนอนกับผ้าห่มอุ่นและเครื่องดื่มสีแดงดีๆ ที่กระตุ้นให้เลือดไหลเวียนทั่วร่างดีขึ้นสักสองสามแก้วก่อนนอน แค่นั้นก็พิเศษที่สุดแล้ว ยิ่งได้ฟังเพลงบัลลาดเพราะๆ ดนตรีรักทำนองทึมๆ ผสานกับบรรยากาศภายในห้องนอนที่ตกแต่งแบบกอธิกแล้ว มันคือความสุขที่พอจะหาได้ง่ายๆ และไม่ไร้ซึ่งเรื่องยุ่งที่ยากแก้ชวนเวียนหัว
คืนนี้เช่นกัน เป็นคืนที่พระจันทร์เต็มดวง ถามถึงเวลาในตอนนี้น่าจะประมาณสองทุ่มครึ่งเล็กน้อย เพราะก่อนหน้าที่ผมจะเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นเพื่อปล่อยเวลาให้ผ่านไปตามจังหวะของอักษรที่บนหน้าตักผม เสียงนาฬิกาเรือนใหญ่ที่ตั้งระหว่างโถงทางเดินได้ตีครั้งหนึ่งเพื่อส่งสัญญาณให้ทราบของการมาวนกลับมาที่ตำแหน่งสามสิบนาทีอีกครั้งของเข็มยาวหลังจากเข็มสั้นได้บอกเวลาสองทุ่มได้สักพักใหญ่
แต่น่าแปลกที่เสียงสุนัขจรจัดในวัดและบริเวณริมป่าไผ่ใกล้ทางน้ำไกลหลังบ้านของผมกลับส่งเสียงเห่าหอนชวนโหยหวนเร็วกว่าเวลาประจำของมัน ปกติแล้วน่าจะสักราวๆ ตีสองกว่าที่บรรดาสุนัขจรจัดหนุ่มๆ จะหอนเห่าชวนน่ารำคาญหากตื่นขึ้นมาในเวลานั้น อากาศที่นี่ในเดือนพฤศจิกายนก็ไม่ได้แตกต่างจากเดือนอื่นๆ นัก อาจจะแค่เย็นลงบ้างจนชวนเหว่ว้าในบางวัน ถึงจะอย่างนั้นผมก็ชินชากับการอยู่คนเดียวมาเป็นเวลาเกือบสิบปีแล้ว และมันจะเป็นอย่างนั้นต่อไป ผ้าห่มค่อยๆ เลื่อนไหลตกลงไปกองกับพื้นหน้าโซฟา อาจจะเพราะกางเกงนอนผ้าแพรที่ผมสวมในคืนนี้ที่ไม่จับกับผ้าห่มผืนบาง แต่ก็ช่างเถอะ ผมปล่อยมันไว้อย่างนั้น กองอยู่บนรองเท้าสลิบเปอร์ ใช่ผมยกเท้าขึ้นมานั่งชันเข่าคู้ตัวอ่านบทความเกี่ยวกับตำนานภูตผีและปีศาจต่างๆ ในอีกซีกโลก ไม่ใช่เพราะผมสนใจเรื่องราวสยองขวัญ แต่เป็นเพราะผมมีบางเรื่องที่สนใจเกี่ยวกับความตายที่ยังโลดแล่นอยู่บนโลกอย่างอัศจรรย์เหนือธรรมชาติ อากาศเริ่มเย็นลงจนเท้าและใบหูของผมค่อยๆ เย็นลงตาม ผ้าห่มที่กองบนพรมถูกหยิบขึ้นมาคลุมกายเช่นเดิม ผมเริ่มจิบเครื่องดื่มสีแดงเข้มนั้นเล็กน้อยอีกครั้ง มันช่วยให้ร่างกายของผมอุ่นขึ้น เสียงลมพัดแรงขึ้นจนผลักบานประตูระเบียงปิดจนเสียงดังลั่น ผมสะดุ้งเล็กน้อย แต่ก็อีกนั่นแหละ การอยู่คนเดียวมานานนั้นสอนให้ผมรู้จักควบคลุมกับอาการหวาดกลัวและวิตกกังวลกับสิ่งที่เราไม่รู้ โดยเฉพาะกับเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้อย่างประตูบานนั้น
ลมเริ่มพัดแรงขึ้นและท่าทีจะโถมแรงขึ้น สภาพอากาศช่วงหัวค่ำก็ไม่ได้อบอ้าวหรือมีทีท่าว่าจะมีฝนหรือพายุสักนิด จะว่าไปเราจะถืออะไรกับธรรมชาติ ความไม่แน่นอนมันคือธรรมดาผมคิดอย่างนั้น ขณะที่ผมเดินตรงออกไปเพื่อจะปิดล็อกประตูระเบียง แต่ยิ่งเข้าใกล้ระเบียงเท่าไหร่ยิ่งรู้สึกว่าเสียงสุนัขเห่าหอนเมื่อเกือบสองชั่วโมงที่ผ่านมา แว่วย้อนกลับมาตามแรงลมนั้น อากาศเริ่มเย็นลงอีก สถานการณ์ไม่ปกติแบบนี้เริ่มสั่นคลอนความมั่นใจของผมเพิ่มขึ้นทุกนาทีก็ว่าได้ นาฬิกาตีบอกเวลาห้าทุ่ม เสียงนั่นทำให้ผมเสียขวัญไม่น้อย และยิ่งเสียงกระถางต้นไม้หน้าบ้านล้มลงแตก ผมยิ่งมั่นใจมากขึ้นเลยว่านี่ไม่ใช่คืนปกติที่คนไม่ปกติอย่างผมจะทนฝืนความรู้สึกเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้อีกต่อไป
หลังจากปิดล็อกประตูระเบียง ผมลองเลิกม่านข้างประตูที่พอจะมองเห็นเหตุการณ์บริเวณหน้าบ้านได้ ภาพเบื้องล่างเต็มไปด้วยสุนัขโทนสีดำเทาเห่าหอนอย่างโหยหวน แต่จำนวนมากขนาดนั้นน่าจะส่งเสียงดังก้องไปทั่วบริเวณชุมชนละแวกนี้ได้เลยทีเดียว ซึ่งเมื่อผมมองไปยังบ้านฝั่งตรงข้ามกลับไม่เห็นทีท่าของความหวั่นใจของผู้คนที่อยู่ในบ้านนั้นเลย ใช่ ผมจำเป็นต้องใช้คำเรียกพวกเขาอย่างนั้น เพราะผมไม่ค่อยให้ความคุ้นเคยและเป็นมิตรกับพวกเขาจนใช้คำว่า เพื่อนบ้าน ได้ ผมพยายามมองไปยังกระถางต้นไม้ที่ล้มลงเพื่อหาสาเหตุ บางทีอาจจะเป็นสุนัขเหล่านั้นมากกว่าแรงลมก็เป็นได้ คืนนี้เป็นคืนจันทร์เต็มดวง จึงง่ายที่ผมพยายามมองหากระถางที่แตกแต่กลับไม่พบ นอกจากสุนัขสีเทาเงินที่กำลังยืนแหงนมองมายังบานหน้าต่างที่ผมยืนอยู่จนรู้สึกว่านัยตาสว่างราวกับแสงจันทร์กำลังสบตากับผมอยู่ นั่นนับเป็นสุนัขที่มีลักษณะสวยงามมาก หากทว่าในสถานการณ์เช่นนี้ผมกลับรู้สึกสั่นไหวภายในความรู้สึกราวกับถูกคุกคามจากความไม่ปกติเหล่านี้ ผมปิดม่านลงทันที พยายามข่มความรู้สึกให้กลับเป็นปกติและบอกกับตัวเองว่าก็แค่สุนัขที่ไล่ตามกัน เพราะอาจเป็นช่วงผสมพันธุ์ของพวกมันก็ได้
ผมพาตัวเองกลับมายังห้องนั่งเล่น คั่นหน้าบทความที่อ่านค้างไว้ เสียงนาฬิกาบอกเวลาตีหนึ่ง นั่นทำให้ผมแปลกใจมากทีเดียว เพราะช่วงเวลาที่ผมสบตากับสุนัขตัวนั้นก็เพิ่งจะห้าทุ่มได้ไม่นาน หากเวลานี้เป็นเวลาตีหนึ่งเท่ากับว่าผมยืนสบตากับมันนานเกือบสองชั่วโมงเลยทีเดียว ผมวางแก้วเครื่องดื่มสีเลือดลงบนโต๊ะข้างโคมไฟ แสงกระทบกับสิ่งที่อยู่ในแก้วกระตุ้นให้ผมยกดื่มรวดเดียวเสียจนหมดจากนั้นจึงล้มตัวลงนอนไปพร้อมกับภาพของสุนัขเหล่านั้น โดยเฉพาะสุนัขตัวนั้นที่สบตากับผมนานเสียจนลืมเวลารอบกายไปจนสิ้น