29 กันยายน 2549 06:37 น.

บทวิจารณ์เรื่องสั้น เสน่หาอินทนิล

กวีปกรณ์

"เราไม่เคยมีนวนิยายหรือหนังที่มีตัวละครเกย์แล้วก็มีบทบาทอยู่ในเรื่องโดยไม่เกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศของเขา ยกเว้นแต่ตัวละครประเภทตลกตามพระตามนางเท่านั้น" 

          จากคำกล่าวของ นิธิ เอียวศรีวงศ์ (๒๕๔๑) เห็นชัดว่า นวนิยายหรือละครที่เกี่ยวกับรักร่วมเพศชายนั้นมีอยู่น้อย หรืออาจกล่าวให้เห็นภาพที่ชัดเจนนั้น คือ นวนิยาย ละคร หรือแม้แต่ภาพยนตร์ที่นำเสนอเกี่ยวรักร่วมเพศชายนั้นมีอยู่ แต่บุคคลทั่วไปไม่อาจเข้าถึง หรือไม่ต้องการเข้าถึง เพราะเรื่องรักร่วมเพศนั้นยังถือว่าเป็นเรื่องใหม่และยากแก่การยอมรับของคนกลุ่มใหญ่  ภาพที่นำเสนอออกมาเพียงน้อยนิดจึงเป็นการสร้างภาพให้สังคมยอมรับและเข้าใจในเชิงสร้างอิทธิพลให้เหนือกว่าโดยจัดให้ตัวละครที่เป็นรักร่วมเพศมีบทบาทที่น่าตลกขบขัน ไม่สามารถเทียบเท่าบทบาทของพระนาง 

	เมื่อนวนิยายที่นำเสนอเรื่องราวของกลุ่มคนที่มีรสนิยมรักร่วมเพศชายนั้น ได้ถูกนำเสนอโดยสร้างให้ตัวพระและตัวนางของเรื่องเป็นชายทั้งคู่ จึงเป็นที่สนใจแก่วงการนวนิยายเป็นอย่างมาก เพราะเนื้อหาที่นำเสนอนั้นได้ให้ความสำคัญแก่กลุ่มคนรักร่วมเพศชายมากกว่าอดีตที่เป็นเพียงตัวรอง ตัวประกอบ หรือที่แย่ไปกว่านั้นคือตัวตลกที่สร้างสีสันให้แก่นวนิยายปกติ 

	เสน่หาอินทนิล แม้จะเป็นเพียงเรื่องสั้น แต่ก็ถือได้ว่า เรื่องสั้นนี้มีตัวละครเอกของเรื่องเป็น ชายรักร่วมเพศ ที่ผู้แต่งได้นำเสนอนั้นได้สะท้อนความจริงบางประการให้ผู้อ่านเข้าใจว่า "รักร่วมเพศ" ไม่ได้ซุกซ่อน แต่อยู่รอบตัวทุก ๆ อย่างปฎิเสธไม่ได้ไม่ว่าอาชีพใดก็ตาม มากกว่านั้นยังสะท้อนมุมมองทางสังคมในด้านลบของคนรักร่วมเพศ โดยสะท้อนความคิดด้านมืดของ "คณิต" ชายรักร่วมเพศ ที่มีอารมณ์รุนแรงและซุกซ่อนอยู่ภายในจิตใจดังเช่น ความคับแค้นจนถึงขั้นอยากที่จะฆ่า พิมพร จากความคิดที่จะผลักเธอตกบันไดและการพยายามฆ่า บุตรชายของพีระ แต่ถึงกระนั้นผู้แต่งก็ไม่ได้พยายามสร้างมุมมองอันเป็นด้านลบให้แก่ตัวละครเอกนี้เพียงคนเดียว แต่ได้สร้างให้เห็นภาพของความเป็นคนที่เท่าเทียมกันในสังคมได้เป็นอย่างดี ดังเช่น การสะท้อนให้เห็นว่าคนเราก็มีทั้งสองด้านทั้งดีและร้าย จากเหตุการณ์อันแสดงถึงการขาดความรับผิดชอบของพีระต่อบุตรชายที่คนรักเก่าของเขาได้ให้กำเนิด ในท้ายเรื่อง

	แม้ว่าเรื่องเสน่หาอินทนิลจะไม่ได้ดำเนินเรื่องอย่างน่าตื่นเต้นจนน่าติดตามมากนัก แต่การพรรณนาบรรยากาศ และความคิดในจิตใจของ คณิต กลับทำให้ผู้อ่านอยากรู้และชวนอ่านมากขึ้น อีกทั้งการดำเนินเรื่องแบบตัดสลับระหว่างความคิด เหตุการณ์ในอดีตและปัจจุบันสลับกันไปมา ย่อมแสดงให้เห็นถึงฝีมือและเร้าจินตาการให้แก่ผู้่อ่านได้ดีทีเดียว เพราะการทิ้งประเด็นสำคัญอันก่อให้เกิดคำถามแก่ผู้อ่าน ดังเช่น เสียงของเด็กที่แทรกในห้วงความคิด หรือเหตุการณ์ที่คณิตกำลังลงมือพรากวิญญาณไปจากชีวิตของเด็กน้อยผู้ไร้เดียงสา เป็นต้น ซึ่งอาจทำให้ผู้อ่านจินตนาการและตีค่าความเป็นมนุษย์ที่มีต่อ คณิต ตั้งแต่ต้น กลับเป็นสิ่งที่ผิดคาดและกลับเห็นใจในการกระทำของคณิตที่เป็นไปด้วยความรักเสียมากกว่า เนื่องจากการคลี่คลายเรื่องในตอนจบคือ การแสดงให้เห็นความเลวและความเห็นแก่ตัวของพีระ เสียมากกว่า

	การใช้สัญลักษณ์เกี่ยวกับการแสดงความรู้สึกและความเป็นตัวตนของตัวละครเอกอย่าง คณิต โดยใช้ ดอกอินทนิล นั้น ก็ถือเป็นประเด็นสำคัญของเรื่องไม่แพ้กัน หากคำว่า ชาวดอกไม้ คือคำเรียกเพศที่สามอย่างคณิตแล้ว คณิต คงเป็นดอกไม้หนึ่งเดียวนั่นคือ ดอกอินทนิลที่กำลังคลี่กลีบสีม่วงเศร้าซึ่งจะบานออกในช่วงหนึ่งของปีเท่านั้น ความสัมพันธ์ของเรื่องที่เกี่ยวกับช่วงเวลาที่คณิตมากรุงเทพและระยะที่ดอกอินทนิลบานนั้น คล้ายกับการสอดคล้องกันเพื่อตอบคำถามว่าเสน่หาอินทนิลนั้น คืออะไร เพราะดอกอินทนิลที่คณิตผูกพัน ดังบทบรรยายฉากและความรู้สึกของคณิตที่ว่า
	
           "ภายใต้ความเศร้าเหล่านั้นมีความงดงามซ่อนอยู่ เป็นความสุข เป็นความหวัง บางครั้งคณิตเก็บช่ออินทนิลไปปักไว้ที่ห้อง เขารู้สึกมีความสุขทุกเช้าเมื่อลืมตาขึ้นมาพบว่ามันยังคลี่กลีบสวยงามอยู่บนหัวเตียง"

 นอกจากจะทดแทนความเป็นตัวตนและความคิดของ คณิต ยังอาจแสดงถึงความรักที่ซุกซ่อนอันเป็นความลับแห่งความสัมพันธ์ระหว่าง พีระและคณิต นั่นเอง โดยสีม่วงเศร้าและการคลี่กลีบดอก และการที่เขานำมาปักไว้ที่ห้องคือ การพยายามที่จะเผยความรู้สึกให้พีระได้รู้ และการที่กลีบดอกเฉา เหี่ยวและแห้งไป ก็คือ ความผิดหวังจากความรัก แต่เมื่อเขาได้ฉุกคิดจากคำตักเตือนของพิมพร ก็กลับทำให้เขาได้ยุติเรื่องนี้ลง นอกจากนั้นจากการบรรยายความรู้สึกที่มีต่อดอกอินทนิลก็สะท้อนให้เห็นถึงความคิดของเขาที่บอกโดยนัยว่า "ปฏิเสธ" ดังที่ว่า "...พีระไม่ชอบดอกอินทนิลนัก เขามักพูกเสมอว่าช่ออินทนิลดูเศร้าเกินไป..." 

	เสน่หาอินทนิล จึงเป็นเรื่องสั้นที่มีความราบเรียบอันซุกซ่อนประเด็นที่ผู้แต่งกำลังสร้างให้สังคมยอมรับและเข้าใจในความรู้สึกของ เพศที่สาม มากขึ้น และกลวิธีที่ผู้แต่งได้สร้างการหักมุม นั่นก็คือความพยายามหักล้างการเข้าใจผิดที่สังคมรักต่างเพศที่เป็นใหญ่ในสังคมเข้าใจผิดมาตลอดว่า กลุ่มคนรักร่วมเพศ มักจะมีอารมณ์รุนแรง ขาดสติยั้งคิด หรือเป็นกลุ่มคนที่มีความประพฤติเลวทราม ไร้คุณค่า ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ความราบเรียบของเรื่องเสน่หาอินทนิล เป็นการต่อต้านความเข้าใจผิดบางประการของสังคมอย่างเรียบง่ายและไม่รุนแรง ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสามารถของผู้แต่งได้ดีอีกด้วย				
8 กันยายน 2549 06:51 น.

พวกเขาอยู่ที่นั่น... บ้านแม่เหียะใน

กวีปกรณ์

เมื่อคืนนี้ผมได้เปิดกระเป๋าสะพายใบหนึ่งซึ่งไม่ได้หยิบมาใช้นานประมาณ ๒-๓ อาทิตย์ เมื่อผมได้ล้วงลงไปเพื่อจะหยิบของที่ยังคงค้างไว้ไม่ได้เอาออกมา เพื่อจะได้นำคอมพิวเตอร์พกพาใส่ลงไปแทนที่ มือของผมได้สัมผัสกับกระดาษแผ่นหนึ่งซึ่งพับอยู่ เมื่อหยิบขึ้นมาดู ความทรงจำเมื่อสองสามอาทิตย์ก่อนก็ได้ไหลย้อนกลับสู่สมองของผมได้ทันที

	ฉันอยู่ที่นี่ แม่เหียะในหมู่บ้านหลังเขา คำ ๆ นี้เหมือนพยายามบอกอะไรกับผม ใช่มันเป็นอย่างนั้น เมื่อผมได้อ่านข้อความข้างใน ยิ่งทำให้ผมเข้าใจความรู้สึกผูกพันของผู้คนในชุมชนนั้นต่อถิ่นฐานบ้านเกิดของเขาได้เป็นอย่างดี ในวันที่ผมได้รับแผ่นพับใบนี้ เป็นวันที่ผมได้เข้าไปร่วมรับการอบรมเพื่อพัฒนาการเขียนข่าวสิ่งแวดล้อม และสถานที่ที่ผมได้ไปสังเกตการณ์ เพื่อเก็บข้อมูลมาเพื่อนำเสนอข่าวสิ่งแวดล้อม ก็คือ บ้านแม่เหียะใน แห่งนี้

	แม่เหียะใน อยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่เพียง ๑๐ กิโลเมตร และตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติสุเทพ-ปุย พวกคุณคงสงสัยถึงว่าทำใมพวกเขาถึงสามารถอาศัยอยู่ในเขคอุทยานแห่งชาตินี้ได้ คำตอบก็คือ แท้จริงแล้วบรรพบุรุษของเขาได้เข้าไปอาศัยอยู่ ณ ที่แห่งนั้น ตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ และก่อนที่ผืนป่าแห่งนี้จะได้รับการประกาศว่าเป็นเขตอุทยานแห่งชาติในปี พ.ศ. ๒๕๒๔ นั่นเอง เมื่อผมได้เข้าสู่เขตชุมชนแม่เหียะในนี้ ความร่มรื่นของผืนป่าทำให้ผมรู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก เมื่อผมได้พบกับป้ารัตน์ เพื่อนของเธอและลูกชายของเขาอีกคนหนึ่ง คำตอบที่ผมไม่ต้องถามเลยก็คือ ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในเขตผืนป่าแห่งนี้ไม่เคยที่จะทำลายผืนป่า หรือแม้แต่ระบบนิเวศน์ของธรรมชาตินี้เลย มากไปกว่า
นั้นพวกเขากลับร่วมดูแลและรักษาผืนป่า อันเป็นบ้านและถิ่นกำเนิดของพวกเขาเองอีกด้วย พวกคุณที่กำลังอ่านคงกำลังสงสัยว่าแล้วผมจะทำข่าวอะไรเกี่ยวกับ บ้านแม่เหียะใน แห่งนี้ คำตอบก็คือ  พวกเขากำลังถูกบุกรุก และคุกคามจากอำนาจรัฐ โดยการจะนำเขตชุมชนและผืนป่าใกล้เคียงซึ่งเป็นเขตอุทยานแห่งชาตินี้ไป เพื่อพัฒนาเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติแห่งหนึ่งของงหวัดเชียงใหม โครงการนั้นก็คือ อุทยานช้าง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการไนท์ ซาฟารี 

	ป้ารัตน์กล่าวทั้งสีหน้าที่ไม่ค่อยดีว่า ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในที่แห่งนี้ไม่เคยเรียกร้องอะไรเลยจะมีก็เพียงเรื่องไฟฟ้าที่ขอไปหลายต่อหลายครั้งแล้ว ซึ่งก็ถูกปฏิเสธเพียงด้วยถ้อยคำซ้ำ ๆ อย่างเช่น ชาวบ้าน และครัวเรือนที่อาศัยอยู่ในชุมชนบ้านแม่เหียะในนี้มีน้อยไม่คุ้มต่อการลงทุน หรือไม่ก็เพราะ พวกเขาอาศัยอยู่ในเขตอุทยานไม่มีนโยบายพัฒนาเรื่องไฟฟ้าเข้าสุ่เขตผืนป่า คำตอบเหล่านี้ถ้าคิดให้ดีแล้วจะพบว่า ชาวเขาที่อาศัยอยู่ในที่ไกลแสนไกลกลับมีไฟฟ้าใช้ แต่ชุมชนแห่งนี้ซึ่งห่างจากตัวเมืองเพียง ๑๐ กิโลเมตรเท่านั้นกลับไม่มีและไร้การดูแล เรื่องสาธารณูโภคขั้นพื้นฐานนี้ได้อย่างไร ป้ารัตน์ยังบอกอีกว่า ที่จำเป็นต้องขอเรื่องไฟก็เพราะว่า เด็ก ๆ จำเป็นจะต้องใช้เพื่อการศึกษาเรียนรู้ และทัน
กับโลกภายนอกก็เพียงเท่านั้น ซึ่งก็จริงอย่างที่ป้ารัตน์ว่าจริง ๆ เพราะเมื่อผมสำรวจความเป็นอยู่ของชุมชนนี้ก็เห็นว่า ชาวบ้านนั้นไม่ได้เดือดร้อนเรื่องใด ๆ เลย เพราะน้ำก็ใช้ประปาดอย หรือน้ำประปาธรรมชาติที่ได้จากน้ำตกตาดหมาไห้ ในผืนป่าแห่งนี้เอง อาหารการกินชาวบ้านก็สามารถหาพืชผักจาก รั้วหรือไม่ก็เก็บเอาตามป่า เช่น หน่อไม้และเห็ดนานาชนิดที่มีจำนวนมากในฤดูฝน เป็นต้น เพียงเท่านี้ก็ทำให้เห็น แล้วว่าสมาชิกในชุมชนแม่เหียะในนี้ ไม่เดือดร้อนเรื่องการประกอบอาชีพ เพื่อหารายได้มากมายมาใช้จ่ายให้สิ้นเปลีองเลย แล้วคำอ้างของการสร้างอุทยานช้างเพื่อสร้างอาชีพให้กับพวกเขานั่นเองนั้น ดูไม่มีน้ำหนักเพียงพอเลย สิ่งที่ผมคิดก็คือ คงเพราะอำนาจเงินที่ใคร ๆ ต่างอยากได้มากกว่าแต่ใคร ๆ นั้นก็กลับไม่ใช่ชาวบ้านแห่งนี้ท่กำลังถูกบุกรุก

	วันนั้นผมได้เดินขึ้นไปตามเส้นทางของท่อประปาฝายน้ำล้นของโครงการไนท์ ซาฟารี ผมเห็นว่าแท้จริงแล้วรัฐนั่นเองกำลังทำลายธรรมชาติ และเป็นผู้บุกรุกผืนป่า    เพราะจากภาพการขุดถางป่าเพื่อการสร้างเขื่อน และแนวเส้นทางเพื่อฝังท่อน้ำประปาธรรมชาตินั้นทำให้สูญเสียผืนป่า อีกทั้งยังเป็นการทำลายระบบนิเวศน์ เพราะเมื่อผมมองไปตามนิ้วชี้ของลุงผู้นำทาง สีของต้นไม้กลับซีดลงไม่สดใสแตกต่างจากผืนป่าส่วนใหญ่ได้เลย ลุงผู้นำทางได้บอกว่านั่นเป็นเพราะโครงการไนท์ ซาฟารี ได้ทำการขุดน้ำบาดาล ดังนั้นปริมาณน้ำที่เคยมีจึงลดลงไป ป่าที่เคยชุ่มชื่นจึงกลับแห้งลงงไป 
	เมื่อผมได้ถามถึงเรื่องการสร้างอุทยานช้าง ว่าหากมันเกิดขึ้นจริงแล้ว ชาวบ้านจะย้ายไปอยู่ที่ไหน จะโดนขับไล่ออกจากฝืนป่าบ้านเกิดนี้หรือไม่อย่างไร คำตอบของพวกเขานั้นก็คือ ไม่ทราบ และไม่ต้องการจะย้ายไปที่ไหน เมื่อคุยเป็นระยะเวลาหนึ่งผมก็ได้ทราบข้อมูลที่มากขึ้นก็คือ ชาวบ้านที่อยู่
อาศัยในผืนป่าแห่งนี้ ไม่มีโฉนดที่ดีนแต่อย่างใด ทั้ง ๆ ที่เคยยื่นเรื่องขอไปหลายต่อหลายครั้งก็ไม่ได้อยู่ดี ชาวบ้านหลายคนต่างบอกว่าไม่อยากที่จะย้ายไปอยู่ที่อื่น เพราะบรรพบุรุษ ปู่ ย่า ตา ทวดของพวกเขานั้นได้อาศัยอยู่ที่นี่มานานแล้ว ความผูกพันกับผืนป่าก็มีมาก  เพราะพวกเขาไม่ใช่เพียงพึ่งพาป่าไม้เพียงอย่างเดียว แต่พวกเขาก็ได้ตอบแทนด้วยการปลูกป่าทดแทน กับการที่ได้ขุดถางไปเพื่อใช้เป็นแหล่งทำมาหากิน และอย่างน้อยพวกเขา ก็คือทุกคนในชุมชนแห่งนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ปกป้องผืนป่าแห่งนี้นั่นเอง 

	จากอดีตเคยเป็นเช่นไร ปัจจุบันก็จะยังคงอยู่คงเดิมเช่นนั้น จะแตกต่างไปก็คือมีถนนที่สะดวกต่อการเดินทางมากขึ้น เห็นอย่างนี้แล้วทุกคนคงอยากจะลองมาสัมผัสชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชนแห่งนี้บ้างหรือยัง นอกจากความเป็นกันเองของชาวบ้านที่ยิ้มแย้มแล้ว ที่ท่องเที่ยวก็มีหลายที่เลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นน้ำตกตาดหมาไห้ ที่กล่าวมาแล้วข้างต่น ก็ยังมีน้ำตกผาเงิบ น้ำตกผาลาด ลำห้วยแม่เหียะหลวง ซึ่งพวกเขาจะพาลัดเลาะไปตามลำธารที่มีน้ำใสไหลเย็นตลอดปีแห่งนี้ไปจนถึงน้ำตกผาลาด ที่ทุกคนจะได้เล่นสไลเดอร์ธรรมชาติ อีกทั้งยังมีถ้ำถึงสองแห่ง ได้แก่ ถ้ำกิ่วกอก และถ้ำผาลับเวียงให้ได้สำรวจและผจญภัยอีกด้วย
	
          คงน่าเสียดายไม่น้อยหากความเป็นอยู่และผืนป่าของที่นี่ต้องสูญเสียไปจากการสร้างอุทยานชา้ง เมื่อผมพลิกอ่านจนถึงหน้าสุดท้าย พวกเขายังทิ้งข้อความไว้ให้อ่านซึ่งผมก็เห็นใจไม่น้อย เพราะข้อความเหล่านั้นได้สะท้อนถึงปัญหาอันน่าเห็นใจที่พวกเขาต้องเผชิญ 

		แต่เธอจ๋า เห็นทีเธอต้องรีบมาก่อนที่บ้านฉันจะกลายเป็น
                   อุทยานช้าง ถึงตอนนั้นฉันยังไม่รู้เลยว่าฉันและชาวบ้านที่นี่
                   จะไปอยู่ที่ไหน ถ้าเธอเจอเขา คนที่คิดอยากทำอุทยานช้าง
                   เธอช่วยบอกเขาทีได้ไหมจ้ะ ฉันคิดว่าพวกเขาอาจจะลืม 
                   ลืมว่าฉันอยู่ที่นี่ บ้านแม่เหียะในหมู่บ้านหลังเขา				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกวีปกรณ์
Lovings  กวีปกรณ์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกวีปกรณ์
Lovings  กวีปกรณ์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกวีปกรณ์
Lovings  กวีปกรณ์ เลิฟ 1 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงกวีปกรณ์