1 ตุลาคม 2555 00:08 น.
กวีปกรณ์
ฝนตกหนักราวน้ำลายหกกระเด็น
ยามนินทาเป็นว่าเล่นเรื่องชาวบ้าน
น้ำท่วมทุ่งผักบุ้งเลยชื่นบาน
ลอยโหลงเหลงทั่วทุกย่านร้านของชำ
พ่อค้าแม่ค้าสะดวกขาย
แต่คนซื้องงแทบตายอยากจะขำ
ข้าวของวางตรงไหนใครจะจำ
หากไม่ใช่ขาประจำเพียงขาจร
ผู้ประกอบการค้าร้านโชว์ห่วย
มิตรไมตรีร่ำรวยหน้าสลอน
การจัดวางสินค้าไร้ขั้นตอน
วาทศิลป์มาก่อนไว้ชอนไช
ขอขอบคุณทุกท่านที่อุดหนุน
ทุกเรื่องราวของคุณการุณให้
ค่ะ/หรือครับ อย่างว่าอย่าพูดไป
สำนวนใช้คุ้นหูที่รู้กัน
อนิจจาร้านค้าว่าโชว์ห่วย
มิตรภาพร่ำรวยให้กล่าวขวัญ
แต่กลับพ่ายสะดวกซื้อหากประชัน
เพราะของชำร้านนั้นเลอะน้ำลาย
29 กันยายน 2555 12:07 น.
กวีปกรณ์
โลกใบหนึ่งสีเทาเขม่าไอเสีย
บางใครร้อนอ่อนเพลียเพราะอบอ้าว
แม้ท่ามกลางฟ้ามืดไม่เห็นดาว
บนทางเท้าเดินเลี่ยงมอเตอร์ไซค์
ยังพอเห็นดวงจันทร์สว่างหม่น
ไม่รู้ฝนจะสาดเสียเมื่อไหร่
หากกางร่มเพราะร้อนแสงหลอดไฟ
ฤดูฝนชั่วโมงใดใครจะเดา
ฉันยืนอยู่บนผืนดินดงป่าปูน
หญ้าคอนกรีตโบกพูนเป็นฐานเสา
กระจกกั้นผนังแบ่งแยกเขาเรา
ชมละครน้ำเน่ายามผ่อนคลาย
อาจจะเป็นเพราะฟ้าไร้แสงดาว
ความใฝ่ฝันของหนุ่มสาวทั้งหลาย
อยากจะเป็นดาราตะเกียกตะกาย
ราวกับเป็นความหมายของชีวิต
โลกยังคงหม่นเศร้าเขม่าไอเสีย
ฝนตกสุดละเหี่ยให้รถติด
บางทีก็ชื่นฉ่ำฝนมลพิษ
บนโลกที่เบี้ยวบิดสีหม่นเทา
29 กันยายน 2555 00:00 น.
กวีปกรณ์
เกินกว่ากฎเกณฑ์ศาสน์ศีลธรรม
อำนาจแห่งถ้อยคำพิพากษา
ยิ่งกว่าการขันแข่งแห่งอัตตา
ต่างค้นหากล่าวอ้างอย่างชอบธรรม
โลกล้วนซึ่งความต่างกลับสร้างกรอบ
แบ่งชนชั้นตามชอบใครสูงต่ำ
ใช้ชีวิตเวียนว่ายไปตามกรรม
ให้ศรัทธาน้อมนำกำลังใจ
แดนใด...นรกหรือสวรรค์
ท่ามหมอกควันหมองหม่นหรือสดใส
ตื่นจากความทุกข์ทนที่พ้นไป
นรกไซร้เพียงน้ำตาความอาวรณ์
หนึ่งชีวิตลิขิตเองตามเพรงกรรม
อดีตจำจดต่างอย่างคำสอน
ผิดหรือถูกถามตนบนทางจร
ชั่งน้ำหนักดูก่อนย้อนทบทวน
บางครั้งผิดพลาดพลั้งหวังแก้ไข
อยากย้อนกาลกลับไปอย่างไห้หวน
เกิดด่างพร้อยรอยบาปกำซาบครวญ
ดุจโซ่ตรวนตรึงตรากว่าสิ้นลม
ตั้งสติเตือนตนบนทางเถื่อน
ทุกข์สุขอาจเยี่ยมเยือนตามเหมาะสม
ผ่านมาแล้วผ่านไปเพียงใจชม
อย่ายึดติดตรอมตรมจมอาจิณ
ไม่มีพิษใดร้ายทำลายขวัญ
ไหนนรก/สวรรค์ล้างให้สิ้น
ทั้งหมดล้วนสร้างกิเลสแก่ชีวิน
ประคองตนสู่แดนดินถิ่นนิพพาน
26 กันยายน 2555 21:47 น.
กวีปกรณ์
ชุ่มชื่นผืนดินกลิ่นหอม
เมฆล้อมแดดร่มพรมฝน
ไอร้อนรวมกลายสายชล
รินรดแห่งหนฝนเอย
กิ่งใบเรียวลู่สู่พื้น
ปลุกตื่นผืนดินแห้งเหย
ตกต้องตามกาลอย่างเคย
มากน้อยเฉลยเชยคลอง
ผุยผงแผกผินบินฝุ่น
หอมกรุ่นกลิ่นดินบึงหนอง
รวงข้าวเขียวชอุ่มอุ้มท้อง
ทุ่งทองอีกในไม่ช้า
ชาวนานุ่งผ้าม่อฮ่อม
ร้องกล่อมพายเรือเทียบท่า
หน้าต่างทางเข้าบ้านนา
น้ำตาท่วมทุ่งยุ้งเรือน
25 กันยายน 2555 01:39 น.
กวีปกรณ์
เรื่องราวในวันวานยังขานขับ
จนกว่าใจจะปรับทนรับไหว
ท่วงถ้อยความเศร้าดังเผาไฟ
สุมทุมท่ัวทรวงในจนใจชา
ตั้งแต่ที่ฉันลาจากไกล
เพราะยิ่งใกล้ยิ่งเจ็บหากพบหน้า
คนที่ใจบอกรักทุกเวลา
เพียงสบตาก็รู้-ดูเปลี่ยนไป
แม้ฉันเองยื่นคำลาขาดจากกัน
และฉันเองที่กล่าวลั่นเกลียดเพียงไหน
แต่กลับเป็นฉันเองที่เสียใจ
หยาดน้ำตาฉันใช้เพื่อยืนยัน
อาจเป็นเพราะรักไม่เคยสิ้นจากใจ
และคือเธอผู้สั่นไหวหัวใจฉัน
คำว่ารักแม้มองไม่เห็นมัน
และเชื่อได้ใจเธอนั้นไม่เคยมี
ฉันจึงต้องอยู่ให้ได้โดยไร้เธอ
เบื่อกับฝันเพ้อเจ้อทุกวันที่-
ร่ำร้องไห้โหยหาหวังว่าดี
ความเย็นชาคือท่าทีที่ปลอบใจ
ความรักที่เหลือก็เพื่อฉัน
พื้นที่เหลือในใจนั้นไว้ฝันใหม่
ส่วนความทุกข์เทียบรอความสุขใด-
ที่จะมากับฟ้าใสในรุ่งเช้า