15 มิถุนายน 2550 19:43 น.
กวีปกรณ์
ลมผ่านผิวเพลงไผ่หว่างไพรสันต์
ท่ามจันทร์แจ่มจ้าเวหาหาว
หมอกเมฆน้อยคอยล้อเคล้าคลอดาว
กลางค่ำคืนยืดยาวคราวรัตติกาล
ท่วงทำนองพ้องบ้างเป็นบางครั้ง
ยามฟังเฝ้าคำนึงถึงคำขาน
คล้ายคำหยอดออดอ้อนน้องนงคราญ
สำเนียงหวานแว่วยินจนสิ้นคืน
ท่ามจันทร์แจ่มแจ้งแสงเงินส่อง
ยามจ้องยากยั้งจินต์ถวิลฝืน
ตกต้องกระทบหยาดน้ำตารื่น
ดุจดั่งหมื่นดาราร่วงลาจันทร์
ถ้อยคำครวญคอยเฝ้าเจ้าแจ้งน้อง
ยามเจ้ามองเดือนเพ็ญลอยเด่นฝัน
คำคิดถึงคอยฝากยามจากกัน
เพียงเจ้านั้นเคียงข้างหว่างดวงใจ
6 มิถุนายน 2550 01:46 น.
กวีปกรณ์
ถ้อยกวีกังวานสานความคิด
ส่วนผสมภาษิตสร้อยอักษร
ก่อเกิดกานท์กาพย์ฉันท์ดั้นโคลงกลอน
บางบทซ่อนใส่กลกว่าจนทาง
วรรณรสวรรณลักษณ์วรรควิเศษ
ทุกข์เทวษว้างเศร้าถูกเร้าสร้าง
สุขสวัสดิ์ดังยินดุริยางค์
สะเทือนบ้างสะท้านทรวงห้วงอารมณ์
ปลุกความคิดจิตสำนึกในชนชาติ
น้ำคำหยาดหยดจินต์สิ้นขื่นขม
สรรค์สร้างสุขสันติภาพเพื่อสังคม
หยดพิรุณรินพรมห่มขวานทอง
รสละเมียดละเลียดลิ้มละไมอ่าน
ท่วงคำกาญจน์กล่อมเกลาเราทุกผอง
ใช่สัมผัสผ่านถ้อยที่ร้อยกรอง
แต่ตะกองกอดขวัญด้วยบรรจง
เพียงพิเคราะห์ค่อยพินิจคิดตรองไตร่
สานสัมผัสเพียงใจใช่จุดประสงค์
กนกกานท์เลื่อมลักษณ์จักธำรง
หยัดยืนยง คำหยาด ชาติกวี
5 มิถุนายน 2550 01:28 น.
กวีปกรณ์
เติบโตแต่ต่ำต้อยค่อยเตาะแตะ
ผ่านเรื่องยากเยอะแยะยิ่งใหญ่
เกรอะกรังฝุ่นฟุ้งคละคลุ้งใจ
ปัดเปื้อนเท่าไรไม่ออกดี
ด้วยใช้ชีวิตไม่คิดก่อน
หมกมุ่นวงจรค่อนบัดสี
แชทชั่ว-มั่วเซ็กส์ เด็กอับปรีย์
หวิดเอาชีพพลีให้กลีกาม
ผิดพลาดพ้นผ่านจึงปรับแก้
ตั้งใจแน่วแน่ แท้อย่าถาม
จึงตั้ง 'กวีปกรณ์' เพื่อซ่อนนาม
หวังแต่งกลอนให้ติดตามเพื่อสอนคน
ผ่านมาพบเวบไซต์ไทยโพเอ็ม
เติมเต็มความฝันอีกคราหน
เริ่มร่างร้อยลักษณ์อักษรกล
เรียนรู้สู้ทนทำตามคิด
เริ่มจากกาพย์ฉบังเมื่อครั้งนั้น
เรียบเรียงชีวิตฉันสำนึกผิด
ปลดปลงช่างสั้นนักชีวิต
หวังตั้งเข็มทิศที่บิดเบือน
ผู้อ่านนิยม ชม ไม่ชอบ
บางใครปลุกปลอบประหนึ่งเพื่อน
สอนการร้อยกรองด้วยตักเตือน
แวะทักทายเยี่ยมเยือนบนเรือนกลอน
จากวันนั้นจวบวันนี้
อายุกว่าสองปีถือยังอ่อน
เขียนเรื่องสั้นบ้างเป็นบางตอน
ครั้งอารมณ์สะท้อนสะเทือนจินต์
เขียนเรื่องรักปะปนระคนปรัชญ์
ด้วยกำหนัดในรักยากหักสิ้น
คงเพราะปุถุชนคนเดินดิน
หากชีวิตไม่ดับดิ้นยากยินยอม
4 มิถุนายน 2550 02:15 น.
กวีปกรณ์
ฉันอาจดูดื้อรั้นไม่อ่อนหวาน
นิสัยเด็กวันเมื่อวานผ่านมาสอง
แต่งตัวตามสมัยไม่ชวนมอง
ยามจับจ้องไม่จับจินต์เพียงชินตา
โลกทั้งใบใหญ่กว้างกว่าที่เห็น
โลกของฉันที่เป็นให้เร้นหา
ลองแวะเวียน ขุดค้น สนทนา
จักพบความเหว่ว้าเป็นวังวน
ทำแข็งขืนยืนเท่ให้เก๋ไก๋
เขาชักชวนก็ไปในทุกหน
ทั้งที่จริงไม่ทันหรอกหลากเล่ห์กล
หวังเพียงพบสักคนมาค้นใจ
ยืนแออัดยัดเยียดจนเบียดแน่น
โยกย้ายตามจังหวะแดนซ์แทนร้องไห้
กระดกดื่ม-สูบนิด ผิดอะไร
โลกหมุนไวเวียนหัวกว่ามัวเมา
เคยไขว่คว้าความอบอุ่นอยู่ที่ไหน
โลกกว้างใหญ่จนใจมันเงียบเหงา
ทำแต่งานมองแต่เงินจนเมินเรา
โลกของฉันหม่นเทา-เศร้าเพราะใคร
ที่แท้จริงตัวฉันนั้นอ่อนหวาน
ทรมานกับอารมณ์ด้วยอ่อนไหว
เพราะโลกกว้างกว่ากว้างเกินเข้าใจ
ฉันจักก้าวทางใดได้เท่าทัน
19 พฤษภาคม 2550 11:48 น.
กวีปกรณ์
ห้วงเวหาหากแม้นเหมือนแผ่นผา
เสียงกระดิ่งดังว่าแว่วหวานไหว
จากห้วงมหาสมุทรสุดแสนไกล
ฉันเฝ้าใฝ่คอยนางแอ่นเจ้าหวนคืน
เหมือนหนึ่งห้วงแห่งกาลที่ผ่านพ้น
สิ่งทุกข์ทนที่ใจจำกล้ำฝืน
กาลกำหนดพรากเธอไปไม่ยั่งยืน
จำกล้ำกลืนกับความเงียบยะเยียบเย็น
เรื่องภายนอกนั้นอย่างไรไม่อาจรู้
ม่านหมอกหนายากฝ่าดูจนรู้เห็น
จึงมิอาจทราบข่าวความอยู่เป็น
ดังถ้อยคำถูกซ่อนเร้นถูกเว้นวาง
เธอไม่อาจบอกกล่าวด้วยการณ์ใด
เสียงกระดิ่งแกว่งไกวไร้เสียงสร้าง
ฉันจึงจำปวดร้าวด้วยเปล่าว้าง
ถอดถอนใจดวงคว้างล้างอารมณ์
ผืนภาพความฝัน
คนนั้นคง เปิดหน้าต่างดังใจสม
จากบานแรกถึงสุดท้ายท่ามสายลม
พัดพร่างพรมพลิ้วผ่านบนลานใจ
อนาคตเฉกเช่นปีกจักจั่น
ยามโบยบินบางเบาและโปร่งใส
แต่มิอาจคาดการคะเนใด
หรือทนรอการร่ำไห้ของใครสักคน
ฉันปล่อยเธอจากไปไกลพันลี้
ครวญคำนึงหนึ่งนาทีแทบหมื่นหน
เหลือเพียงภาพอันเงียบงันและอึงอล
บ้างขุ่นข้องหมองหม่นมนมืดดำ
อาจบางทีรักจากพรากแสนไกล
มิอาจคงคู่ใจยามกลืนกล้ำ
ฉันปล่อยเธอจากไป ที่ได้ทำ
ณ สุดฟ้าสุดน้ำแผ่นดินใด
เสียงเพลงพิณแผ่วผินยังยินอยู่
อยากจักรู้ร่ายบรรเลงจากถิ่นไหน
ยากคาดเดาแม้ดับดิ้นหรือสิ้นใจ
ฉันจักใช้ทั้งชีวิตให้คิดครวญ
บนหยาดน้ำตาครารินร่วง
ฉันก้าวย่างย่ำล่วงห้วงไม้สวน
เพื่อเสาะหาดอกไม้สีขาวล้วน
มองทั่วถ้วนไม่เห็นให้ชมเชย
บนเบื้องฟ้าฝนโปรยโรยดอกไม้
รดโลมไล้ ดวงจินต์เริ่มนิ่งเฉย
จักกี่ฝนหมอกหนาวไม่หนาวเลย
คงรอคนคุ้นเคยมาเผยตัว
สวมเสื้อขาวชุ่มชื่นด้วยชื้นฝน
จึงโปร่งจนเห็นรักเธอถ้วนทั่ว
เธอหยาดรักร้อยฝนใช่หม่นมัว
ร่ายกวีพรมทั่วหัวใจกัน
ดอกบัวแบ่งบานบนธารใส
ภาพมองคล้ายเรือใบล่องแล่นฝัน
การรอคอยคงดำเนินชั่วกัปกัลป์
ด้วยยังไร้ร่างนั้นหันหวนคืน
จวบจนกาลนี้
ดอกไม้ที่เธอกล่าวผลิดอกดื่น
กลายเป็นความเปล่าว่างแห่งวันคืน
ที่ผ่านพ้นหากฟื้นความทรงจำ