26 มกราคม 2551 06:22 น.
กวีปกรณ์
ท้องทุ่งกว้างก่อนเขียวยอดเรียวหญ้า
ทอดทิ้งกายหลับตามองฟ้านั่น
เมฆเคลื่อนขับบังแสงแห่งตะวัน
สายลมพลันผิวเพลงบรรเลงมา
อัศจรรย์เมฆขาวสกาวฝัน
แต้มแต่งตามสารพันตามสรรค์หา
จากนิทานจากเรื่องเล่าเฝ้าจินตนา
ปราสาทขาวนางฟ้าปรากฎกาย
เพียงครู่สบแสงจ้าตาพร่าหม่น
น้ำตาหล่นรินพลันเพียงฝันหาย
ท้องทุ่งกว้างก้อนอิฐอีกมากมาย
คอนกรีตป่ายบดฟ้าควันพร่ามัว
มวลหมู่เมฆม่านฝันนั้นอยู่ไหน
เที่ยวเสาะหาหนใดตามไปทั่ว
เขม่าร้างไร้ฝันนั้นน่ากลัว
ไม่รู้ตัวตอนนี้อยู่ที่ใด
เสียงหัวเราะรอบกายอยู่รายรอบ
ขับส่งสู่ชายขอบกั้นกรอบให้
คล้ายผูกมิตรมองตาพาเข้าใจ
หมดสิ้นแล้วเยื่อใยในทุกยาม
หยดน้ำตากลั่นจากใจหวาดหวั่น
คนสัมพันธ์อย่างไรอย่าไถ่ถาม
ผองเพื่อนเก่าบอกใบ้จึงได้ความ
โลกเปลี่ยนแปลงยากปรามตามให้ทัน
13 มกราคม 2551 16:48 น.
กวีปกรณ์
สว่างวับวาวแสงแห่งชีวิต
จุดประกายความคิดวิจิตรแจ้ง
ประสบการณ์ล้ำค่าราคาแพง
มาตกแต่งเติมฝันพันนิทาน
คนเราเคยอิสระพันธะผูก
สังคมปลูกความคิดชอบผิดสาน
เริ่มชิงดีชิงเด่นรบรุกราน
ความคิดต่างต่อต้านประหารกัน
กี่ครอบครัวสิ้นไร้แม้ไม้ตรอก
ต้องช้ำชอกช้ำใจจำอดกลั้น
กี่ชีวิตล้มตายอีกกี่วัน
สงครามนั้นนองเลือดล้นลานจินต์
แสงเจ้าวับสว่างวาบต้องดับวูบ
สองพี่นองเหลือเพียงรูปรอยถวิล
ขาดพ่อแม่มอบรัก น้ำตาริน
ญาติพี่น้องหมดสิ้นสายสัมพันธ์
ทุกชีวิตวุ่นวายเกรงวายชีพ
ต้องปากกัดตีนถีบทั้งหวาดหวั่น
หากสายลมสงครามมาประจัน
เพียงวูบเดียวเท่านั้นก็บรรลัย
สองชีวิตพี่น้องต้องลำบาก
แม้เงินฝากถอนมามีค่าไม่
ยุคข้าวยากหมากแพงแล้งน้ำใจ
สังคมท่ามสงครามไหนไม่ต่างเลย
เจ้าหิ่งห้อยวิบวับลงดับวูบ
ไม่เหลือรูปรอยชีวาชีวิตเอ๋ย
ไฟสงครามสว่างแสงกำแหงเย้ย
เจ้าปีกเอยเจ้าปีกบางร้างชีพแล้ว...
2 มกราคม 2551 12:59 น.
กวีปกรณ์
พระคือแสงรุ้งงามสยามชาติ
ส่องรัฐราษฎร์โรจน์รุ่งทั้งกรุงศรี
เทอดพระเกียรติพระวรนารี
พระกรณียกิจนั้นอนันตคุณ
พระคือแสงส่องศาสตร์วาดวิถี
ส่องสว่างกว่าสุรีย์ที่เกื้อหนุน
ส่องปัญญาเสริมสุนทรีย์ด้วยการุณย์
เพื่อผองไทยช่วงชุณห์โชติปรัชญา
พระคือแสงสาดสิ้นแผ่นดินทุกข์
ทรงสาธารณสุขทุกถ้วนหล้า
โครงการแพทย์ พอสว. ทรงสืบมา
พระทรงชุบชีวาประชาไทย
พระคือแสงส่องใจต่อชีวิต
ทรงลิขิตเส้นทางก้าวย่างใหม่
แก่ผองเพื่อนผู้พิการก้าวต่อไป
น้ำพระทัยมิขาดแคลนทุกแดนดิน
ขอแสงรุ้งรุจิงามท่ามสวรรค์
วัฒนา กว่าแจ่มจันทร์ไร้วันสิ้น
พระปิยะนารีรัตน์ราชนครินทร์
สถิตฐานบนลานจินตน์มิสิ้นกาล
ข้าพเจ้าและเหล่าสมาชิกบ้านกลอนไทย น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ
ในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนากรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
26 ธันวาคม 2550 08:52 น.
กวีปกรณ์
ดวงจินต์เจ้าสิ้นไร้ในความหวัง
ดอกโศกบานสะพรั่งยากยั้งไหว
หากรื้อถอนถากถางจนร้างไป
เกรงดอกรักบานใหม่ใจจะชา
เพลิงดอกไม้สว่างหว่างสวรรค์
เพียงราตรีเท่านั้นตามสรรหา
พออาทิตย์ทักทายปลายนภา
ก็โรยราเลือนแสงแข่งสุรีย์
ดวงจินต์เจ้าหวามไหวไปเท่านั้น
ทุกข์เท่าใดทนกลั้นอย่าหวั่นหนี
หลับลงพักผ่อนบ้างหว่างราตรี
อาจพรุ่งนี้สุขสันต์อย่าหวั่นไป
เพลิงดอกไม้สว่างหว่างสวรรค์
เพื่อฉลองเหมันต์อีกวันใหม่
ดอกโศกบานสะพรั่งบนฝั่งใจ
เพื่อต้อนรับสุขใดได้ผลิบาน
ดวงจินต์เจ้าสิ้นไร้ในความหวัง
จงตรองฟังเสียงใจที่ไหวหวาน
ไม่มีหรอกรัตใดอนันตกาล
ไม่มีดอกโศกบานได้นานวัน
22 ธันวาคม 2550 17:28 น.
กวีปกรณ์
เงาจันทร์เจ้าจางหายจากสายน้ำ
แต่คืนค่ำฝั่งคลองคะนองอยู่
ลิเกรำร่ำร้องเหลียวรอดู
จอมโจรโฉดชายชู้เชือดพระจันทฯ (โครพ)
ศาลาไม้ริมฝั่งฝืนพังผุ
เรือหางยาวเสียงดุกระหึ่มลั่น
สร้างคลื่นคลั่งถั่งโถมกระแทกทั้น
เจ้ายังหยัดยืนยันทั้งสั่นคลอน
จันทร์เคยสวยด้วยแต้มตัวกระต่าย
บทเห่กล่อมกลืนหายไปหลายท่อน
"จันทร์เอ๋ยจันทร์จ้าว" กล่อมเจ้านอน
ลืมหมดแล้วบทตอนกลอนนิทาน
ยายหยิบพายแจวหาจันทราหวน
เสียงเครื่องเรือร้องกวนแม้พ้นผ่าน
เงียบสงบจำทิ้งไว้ในวันวาน
คลื่นคลั่งคลานคว่ำเรือลับลงวารี
เสียงละครหลังข่าวยังฉาวฉาย
ลูกหลานยายยังเยาะยิ้มหัวทิ่มเก้าอี้
บทเห่กล่อม "จันทร์เอ๋ย..." ครั้งเคยมี
สิ้นชีวีคนร้องกล่อมท้องน้ำ
ลานลิเกกว้างขวางกลับว่างเปล่า
ดูเงียบเหงากว่าก่อนแม้ตอนค่ำ
ยังมีหลายยายตามาประจำ
ยิ่งนับวันยิ่งช้ำไร้คนชม
ลูกหลานยายยังนิ่งไม่ติงไหว
ด้วยจอแก้วตรึงใจให้สุขสม
ทิ้งนิทานลานลิเกครั้งนิยม
หลงรื่นรมย์ของใหม่ไฮสมาร์ท
ประกาศคั่น ข่าวเด่นประเด็นด่วน
อาร์มสตรองออกป่วนอวกาศ
อพอลโลร่อนรี่เวรี่ฟาสต์
ช่างรุ่งโรจน์เรืองอำนาจมะริกัน
จันทร์จ้าวเอ๋ยเคยแต้มตัวกระต่าย
จนบัดนี้หนีหายจากปลายฝัน
กระต่ายเต้นตื่นตูมตรอมชีวัน
ตามชีวิตวานวันริมฝั่งคลอง