22 สิงหาคม 2551 23:16 น.
กวีปกรณ์
มีบางใครค่อนขอดคนกวี
เช้าบ่ายเย็นค่ำทีไม่มีสาร
ชมยอดหญ้าโยกระบำคือทำงาน
หยดหมึกผลาญกระดาษว่าง สร้างอะไร
แต่ละถ้อยแต่ละคำย้ำอารมณ์
วรรณศิลป์หุ้มห่มสัญญะใส่
อ่านไพเราะเสนาะหูหาเข้าใจ
อุดมการณ์ซ่อนไว้ภัยความคิด
แล้วยกตนข่มท่านคนอ่านถ้อย
ว่าต่ำด้อยกว่าตนชนอภิสิทธิ์
ด้วยรอยเปื้อนหยาดหมึกอัมฤทธิ์
อภิเษกชีวิตด้วยอักษรา
มีบางใครยกตน คนกวี
เอาขี้ริ้วสามสีขึ้นคลุมหน้า
อคติครอบคลุมคล้ายกะลา
ผลงานตนบังตาน่าละอาย
24 กรกฎาคม 2551 12:24 น.
กวีปกรณ์
คล้ายคล้ายโลกงดงามอีกยามครั้ง
คล้ายคล้ายใจเต้นดังร้องเพลงได้
คล้ายคล้ายเพียงหลับตาพาฝันไป
ด้วยเพราะใครคนหนึ่งช่างตรึงตรา
เพียงช่วงหนึ่งมองมาพาหวั่นไหว
โลกทั้งใบหยุดหมุนเมื่อพบหน้า
จึงลองยั่วยวนยิ้มพิมพ์สนทนา
ก็หลงมนต์เสน่หาในนาที
ไม่รู้รักเข้าตาเวลาไหน
จึงมองโลกกว้างใหญ่ไปทุกที่
จากที่เคยเล็กแคบค่อนพอดี
เพียงตัวเองที่มีก็พอใจ
กลายเป็นคนตัวเล็กเล็กเพียงเล็กเล็ก
มีมุมมองเหมือนเด็กโลกสดใส
จะแตกต่างก็เพียงเสียงหัวใจ
กลับเหว่ว้าหวามไหวไม่เหมือนเดิม
อยากเชิญใครสักคน "หนึ่งคนนั้น"
มาร่วมร้อยสัมพันธ์สั้นต่อเพิ่ม
ด้วยความเหงาเย้าใจให้สั่นเทิ้ม
มาช่วยเติมที่ว่างให้ว้างวาย
โลกจะคับจนแคบหรือแบบไหน
ก็ด้วยรักเติมให้ไม่ห่างหาย
อีกด้วยเพราะ "ที่รัก" เคียงข้างกาย
อาจคล้ายโลกงดงามอีกยามครั้ง
12 พฤษภาคม 2551 03:27 น.
กวีปกรณ์
มีหลายคำความหมายในหนังสือ
เมื่อครั้งนั่งอ่านถือในมือทั้งสอง
'ความรัก' 'ความทุกข์' 'สุขสมปอง'
'ความลิงโลด' 'หยิ่งผยอง' ของชีวิต
ยามอ่าน 'คำ'สวยงามตามเข้าใจ
กลับไม่ใช่ความงดงามวิจิตร
ที่สมควรประจักษ์แจ้งด้วยแสร้งคิด
อยากประสบพินิจในรสความ
ตั้งแต่โตเติบใหญ่ก็เพียงร่าง
แต่ปัญญายังว้างสร้างคำถาม
ให้เทียมทันร่างกายอันพรายงาม
ด้วยเรียนรู้คำความทุกเขตตอน
ที่ทำได้ง่ายดายคือลอกเลียน
ด้วยความเพียรเรียนรู้ที่ครูสอน
เป็นปรัชญาว่าไว้ในบทกลอน
ให้ท่องอ่านอักษรก่อนผจญ
บ้างแนะนำสุนทรีย์แห่งชีวิต
บ้างบอกทางบอกทิศลิดสับสน
บ้างฝึกหัดการงานหาญสู้ทน
ให้ฝึกฝนก่อนเผชิญเดินลำพัง
กลายการงานอาชีพ ชื่นบันเทิง
ลวงละเลิงเราไว้ในคุมขัง
ด้วยหลงลืมชีพนี้ไม่จีรัง
ทุกข์สุขใดประดังดั่งเคยเรียน
อักษรศาสตร์เสี้ยมคนดลด้วยศิลป์
ปลุกเร้าจินต์จากสัมผัสครั้งหัดเขียน
จากความคำตำรามากเราพากเพียร
วรรณศิลป์สุดวิเชียรช่วยเปลี่ยนชน
จึงรู้เท่ารู้ทันอีกรู้ทิศ
แห่งหนทางชีวิตหากฝึกฝน
จะงดงามเกิดได้แต่ใจตน
อักษรศาสตร์สร้างคนสร้างชีวิต
11 พฤษภาคม 2551 20:21 น.
กวีปกรณ์
ท่ามทะเลแห่งทรายฉันอยู่นี่
อีกครั้งที่ต้องจากพรากเรือนบ้าน
ติดกายเพียงอาวุธยุทธการ
อีกเข็มทิศใช้ทานทางทิศใด
ฉันเริ่มต้นตามแผนการเรียบง่าย
มือกุมจี้ห้อยคลายคำนึงได้
แต่ตะวัน สายลมโกรธหรือไร
จึงโถมแรง,ร้อนให้ยากใครทาน
จะล้มลุกกี่ครั้งอีกกี่ครั้ง
มีอ้อมแขนเหนี่ยวรั้งยั้งจนผ่าน
ด้วยพี่ชายน้องสาวเราพบพาน
ผู้กล้าร่วมอุดมการณ์ลาญอริชน
ท่านนายพลว่าอย่างไรรับผิดชอบ
เพื่ออะไรช่วยตอบเติมฉงน
ที่สั่งให้หาญกระทำย้ำทุกคน
ท่านนายพลถูกหรือไม่ที่ให้ทำ
ล้วนหลากคนสงสัยคอยใฝ่ถาม
กี่พันนามหนุ่มน้อยพลอยระส่ำ
กับระเบิด ควันพิษฤทธิ์ระยำ
อีกถ้อยคำสาปส่งให้ล้มลง
ฉันไม่อาจอยู่ได้ในทางนี้
ด้วยมากมีความสงสัยกว่าฝุ่นผง
ความสับสนดุจทรายให้งายงง
ยากดำรงอยู่ได้ในสงคราม
พวกผู้คนค้นหาคราค้นพบ
แล้ววิ่งหลบซ่อนกายจากปลายหนาม
เพียงเบื้องหน้าเพียงฉันพยายาม
ต้องยื้อยุดความตายทำลายเรา
บนผืนน้ำผืนทรายกลายอนุสรณ์
คือเลือดร้อนสงครามความขลาดเขลา
หยาดหยดเลือดบรรพชนทนทุกข์เร้า
ที่สงครามคือพระเจ้าฉันเฝ้าทน
เสียงแห่งโลกฉันยินเพียงเสียงระเบิด
เร้าแรงใจให้เกิดทั้งสับสน
ฉันสัญญาท่ามสงครามคอยคำรน
จะต่อสู้อยู่ทน, เพื่อคนใด?
17 เมษายน 2551 09:49 น.
กวีปกรณ์
เพียงพริบตาต้องใจจนไหวหวาม
จินต์คล้อยตามติดตรึงคำนึงหา
จากปิดใจซ่อนรักทุกครั้งมา
กลับคราวนี้อยากคว้ามาแนบใจ
รู้ว่าห่างกันไกลเกินใฝ่ฝัน
แต่ยืนยันยากยั้งเพราะอ่อนไหว
ด้วยเสน่ห์เป็นที่รักของใครใคร
จะเหลือที่บ้างไหนให้แก่กัน
เปล่าบังคับขัดขืนด้วยหมื่นถ้อย
หรือคารมนับร้อยให้พลอยฝัน
หมายเพียงมิตรภาพอาบสัมพันธ์
เพื่อนเท่านั้นเพียงเท่านี้ที่รอคอย
อาจดวงตาประตูใจบนใบหน้า
หรือรอยยิ้มพิมพ์ตาเพียงนิดหน่อย
ชวนหลงใหลหลงรักไม่ใช่น้อย
ที่แตกต่างจากร้อยแห่งพลอยชน