20 ธันวาคม 2549 04:27 น.
กวีปกรณ์
โทรทัศน์บอกเล่าข่าวสารวันใหม่ในยามเช้า สลับกันกับโฆษณาสินค้า และประชาสัมพันธ์อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ใคร ๆ คงคิดอย่างนั้น "ชิน" กลับบอกผมอีกอย่างหนึ่ง บอกให้ผมลองหยุดหายใจเพื่อเงียบไม่ให้ส่งเสียงใด ๆ ออกมารบกวนการทำงานของระบบโสตประสาท "เฮ้อ...!!" เสียงนี้เล็ดลอดเข้ามาอย่างแผ่วเบา คล้าย ๆ กับจะสิ้นเรี่ยวแรงระหว่างกำลังเดินทางมายังหูของผม ใช่ครับ เสียงนี้คือเสียงถอดถอนใจด้วยความเหนื่อยล้า แต่จะมาจากที่ใดหล่ะ เมื่อผมกำลังนั่งรับประทานอาหารเช้าพร้อมกับการจดจ้องหน้าจอโทรทัศน์เพื่อรับข่าวสารที่กาคาบข่าวอย่างโทรทัศน์จะบอกเล่าได้ ใช่...ผมอยู่คนเดียว...ภายในห้องพักที่กำลังปรับอุณหภูมิให้อุ่นขึ้นตามการแรเงาของแสงที่กำลังขับไล่ความมืดให้หนีไปอีกซีกหนึ่งของโลก มีบางความมืดที่หนีความร้อนของแสงไม่ทัน ก็จะพยายามหลบซ่่อนอยู่ตามมุมมืด ไม่ว่า จะซอกตึก หลังม่าน ในกล่อง ตู้เย็น ตู้เสื้อผ้า ตู้เก็บของ ฯลฯ เท่าที่ตัวเองจะคิดได้ว่าจะหลบหนีแสงที่ส่องสว่างนั้นได้ และกลับมายึดพื้นที่บนโลกใบนี้เพื่อสร้างความพรั่นพรึงในยามดึกของโลกอีกครา
ผมยังคงเงียบและพยายามฟังเสียงนั้นอีกครั้งหนึ่ง ตามคำบอกเล่าของโทรทัศน์ที่พยายามแปลงเสียงตัวเองให้เหมาะสมเพื่อให้ตรงกับเพศของผู้ประกาศ นักพากย์ นักแสดง ตัวการ์ตูน ตัวตลก อีกมากมายล้านแปด ...หรือแม้แต่ตัวประหลาดที่มันจะจินตนาการหรือลอกเลียนได้
"...เฮ้อ...!!" ผมได้ยินอีกครั้งหนึ่ง ผมยืนยันกับตัวเองในใจ
ผมพยายามหาที่มาของเสียงโดยพยายามจับที่มาของเสียงนั่น แต่ก่อนที่ผมจะตามเสียงนั้นออกไป ผมขอรับประทานอาหารมื้อแรกแห่งวันหยุดนี้ก่อน
บางทีผมก็อดชื่นชมผู้สรรค์สร้างสิ่งประดิษฐ์มหัศจรรย์อย่างโทรทัศน์นี้ไม่ได้ ก็แม้จะเป็นเครื่องมืออิเล็คทรอนิคที่รับประทานไฟฟ้าเพื่อใช้เป็นแรงให้การฟื้นฝอยเรื่องราวที่ล่องลอยอยู่ในอากาศบนโลกมาบอกเล่าก้าวสิบให้ฟังอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เอ...ผมชักไม่แน่ใจแล้วหละสิครับ ว่าจะใช้คำว่ารู้จักเหน็ดเหนื่อยดีหรือไม่ เอาเป็นว่า ผมขอเปลี่ยนเป็น... แม้จะเป็นเครื่องมืออิเล็คทรอนิคที่รับประทานไฟฟ้าเพื่อใช้เป็นแรงให้การฟื้นฝอยเรื่องราวที่ล่องลอยอยู่ในอากาศบนโลกมาบอกเล่าก้าวสิบให้พวกเราได้ฟังเท่าที่มันจะค้นหาได้ เก่งไหมหละครับ สำหรับผมขอยกนิ้วให้ว่าเก่ง
หลังจากมื้อเช้าหมดไป ผมยังคงทิ้งทุก ๆ อย่างไว้บนโต๊ะหน้าโทรทัศน์ที่เหมือนเดิมที่สุด เพราะผมคิดว่า เสียงถอนหายใจคงไม่ได้มาจากอาหารเช้าที่เพิ่งหมดไปแน่ ๆ หากเป็นเช่นนั้นแล้วผมคงได้ยินเสียงแห่งความเจ็บปวดและก่นด่าระหว่างปรุงอาหาร หรือถ้าหากผมหรือใครบางคนปรุงไม่สุกคงจะได้ยินเสียงเหล่านั้นระหว่างบดเคี้ยวก่อนจะกลืนลงคอก็เป็นได้
ผมเงียบแทบจะหยุดหายใจไปนานพอสมควรกว่าจะได้ยินเสียงเดิมอีกครั้ง ผมทราบแล้วหละว่ามันมาจากไหน "ชิน" เพื่อนสนิทของผม ใคร ๆ มักจะคิดว่าเขาเป็นคนขวางโลกแต่ผมว่าไม่นะ เขาแค่ชอบนำเสนอความคิดแปลก ๆ ให้ผมเพื่อไม่ให้ชินว่าความคิดของตัวเองถูกต้อง (รวมไปถึงความคิดของคนอื่น ๆ ด้วย) ผมกำลังเดินไปตามทางที่เสียงนั้นเดินทางมา
บนเส้นทางเดียวกันกับที่เสียงเดินทางมายังหูของผม (คงไม่มีใครแย้งผมหรอกนะครับว่า เดินทางมายังปาก ตา จมูก ลิ้น คิ้ว ผิวหนัง หรือแม้กระทั่งสิว ยิ่งโดยเฉพาะสิว เพราะอาจจะเกิดเป็นปัญหาในการฟังของคนหน้าใส ผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและบำรุงผิว จนทำให้ต้องเลิกใช้ และส่งผลไปยังผู้ผลิตสินค้าให้ต้องออกมาโวยเพราะขาดทุน ที่แย่กว่านั้นเศรษฐกิจอาจซบเซา เพราะเกิดการประท้วงชุมนุมให้แก้ไขหรือยุติการให้ข้อเท็จจริิงที่ผมกำลังพูดอยู่นี้ได้ คุณ ๆ ก็รู้การประท้วงส่งผลมากมายขนาดใน)
ผมคิดถึงชิน ชินมักจะสอนให้ผมคิดแตกต่าง ผมไม่รู้ว่าทำไม แต่เขาคงไม่ได้ต้องการให้ผมกลายเป็นนักอัจฉริยะ ผู้ประดิษฐ์ จนใคร ๆ ยกย่องหรอก
ชิน เป็นชายทีชอบคิดและทำให้สิ่งที่ใคร ๆ ไม่คิดว่าจะทำ เพราะคิดว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งผิด เช่น เขามักจะใช้มือซ้ายจับซ้อม เพื่อฝึกให้มือทั้งสองข้างได้ทำหน้าที่เท่า ๆ กันไม่น้อยหน้ากัน จนกลายเป็นทักษะ หรือการพยายามเชื่อว่าสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ไม่มีในโลก เช่น กา คือ นกพิราบสึดำ ซึ่งผมก็เคยคิดอย่างนั้น
ชิน เป็นคนสนุกชอบเล่าและสอนสิ่งต่าง ๆ ที่รู้มาให้เพื่อน ๆ ได้เฮฮาอยู่เสมอ เพราะบางครั้งคำพูดของเขามันยากที่จะเชื่อได้ว่ามีจริงหรือไม่ หรือเป็นไปได้จริงหรือไม่ เอาเป็นว่าสมองพวกผมทำงานหนักยิ่งกว่าการชมภาพยนตร์สยองขวัญเพื่อความบันเทิง โดยต้องคิดตามไปตลอดว่า ใครคือฆาตกร หรือผีจะออกมาตอนไหน หรือผีมีจริงไหม อะไรทำนองนี้
ผมหยุดระหว่างทางเพราะเริ่มไม่มั่นใจว่า สิ่งที่ส่งเสียงร้องนั้นจะขยับเคลื่อนตัวได้หรือไม่ แล้วมันจะมีสัมผัสที่ไวหรือเปล่าว่าผมกำลังตามต้นเสียงนั้นอยู่ ผมจึงค่อย ๆ เงียบเสียงจนหน้าแทบแดงเพราะกลั้นหายใจอีกครั้ง "...เฮ้อ...!!" ที่มาของเสียงมาจากห้องน้ำซึ่งตำแหน่งที่ผมยืนอยู่ตรงนี้ก็ไม่ห่างเลย อีกแค่เพียงสองก้าวก็จะถึงประตูห้องน้ำแล้ว ผมค่อย ๆ ย่องทีละครึ่งก้าวเพราะกลัวว่าตัวเองจะตื่นเต้นที่ได้เจอต้นกำเนิดเสียงนั้น (กลัวครับ...ผมกลัว ขอสารภาพ)
คำสอนของชิน มักจะทำให้เพื่อนขำ ๆ อย่างที่บอกไปแล้วว่ามันยากที่จะเชื่อ หรือเชื่อได้ยาก แต่คำพูดนึงที่ชินมักจะบอกผมก็คือ "เรื่องที่เขาเล่าจะไม่สนุกเลย ถ้าเอ็งคิดว่าเอ็งไม่ชินกับมัน" ผมงงครับ จริง ๆ ผมงง ก็เรื่องที่เขาเล่านั้นมักจะเกี่ยวกับเรื่องหมูหัวเราะได้ (อันนี้ไม่รู้เขาเอามาจากไหน) หรือเรื่องเจ้าดิ๊กกี้ หมาของชินที่เพิ่งขโมยกระดูกบนโต๊ะอาหารที่พยายามสั่นหัวเพื่อโกหกว่าตนเองไม่ได้เอาไปทั้ง ๆ ที่ปากยังเลอะน้ำซุปอยู่
อย่าเพิ่งงงครับ ตอนแรกผมก็เป็นอย่างคุณ ๆ นี่แหละ แต่ทว่าลองคิดดูให้ดีสิครับ เรื่องที่เราชิน คือเรื่องอะไร ตอกแรกผมก็คิดอยู่นาน จนเพิ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้เองครับว่า เรื่อง หมา หมู หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เรารู้ เรามักชินกับมัน และเชื่อว่าสิ่งแปลก ๆ ไม่มีในโลก และไม่มีทางเกิดได้ สิ่งนี้แหละที่ทำให้เรื่องของชินสนุก เพราะเขามักเล่าเรื่องที่เราชินและเชื่อว่ามันเป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ (ตอนแรกผมถ้ามันพิสูจน์ทุกที แต่ก็ไม่เห็นจะมีสักครั้งที่เป็นไปได้ทั้งหมูหัวเราะ หรือหมาโกหก) แต่ผมก็ชอบนะคำพูดหรือเรื่องที่เขาเล่ามักทำให้ผมหัวเราะขึ้นมาเมื่อคิดถึงเสมอ และครั้งนี้ก็เช่นกัน
ตายละซี... ผมยืนอยู่ข้างอ่างอาบน้ำและกำลังเลื่อนม่านเพื่อดูว่ามีสิ่งใดซุกซ่อนอยู่ระหว่างรอยพับของม่านใสหรือเปล่า แต่ผมหลุดหัวเราะไปเมื่อสักครู่นี้ ทำอย่างไรดีหละ... ผมพยายามปลอบใจตัวเองว่าสิ่งที่กำลังตามหาอยู่นั้นคงไม่ได้ยินเสียงผม หรือเป็นสิ่งที่ขึ้ตกใจหรอก ผมจึงตัดสินใจกลั้นหายใจอีกครั้ง... "...เฮ้อ...!!" ผมได้ยินมันยังอยู่และตอนนี้จับทิศทางไม่อยู่เสียแล้ว ไม่เป็นไรเอาไงเอากัน ผมก้าวขาอีกข้างออกไปนอกอ่างอาบน้ำและเอื้อมมือเพื่อปิดประตูพร้อมล๊อคอย่างเบามือที่สุด
อากาศในห้องน้ำเรื่องอบ คงเพราะผมอยู่ในนี้นานเกินไป ผมดูนาฬิกาข้อมือตัวเอง เข็มสั้นและเข็มยามหยุดอยู่กับที่เพื่อบอกเวลาผม นี่ผ่านไปเกือบ 20 นาทีแล้วหรือเนี่ย ทำไมยังหาไม่เจอ ผมคิดว่ามันต้องตัวเล็กและใสจึงพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะหาแต่นี่ก็นานเกินไปแล้ว ผมเริ่มเหนื่อยและบอกตัวเองว่า พอเสียที ซึ่งผมเองมักจะชินกับการค้นหาของไม่เจอ แต่พอผมนึกคำของ "ชิน" ขึ้นมาก็ทำให้ผมคิดว่าครั้งนี้แหละผมต้องหามันให้เจอ อย่ายอมแพ้ แต่ด้วยอากาศที่ร้อนทำให้ผมต้องการล้างหน้าล้างตาและคลายร้อน ผมจึงเปิดฝาและจุุ่มมือที่เปียกลงในถังน้ำสำรองอย่างเงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วลูบตามใบหน้าและลำคอ มันทำให้ผมสดชื่นขึ้นได้พอสมควร ผมยืนมองตัวเองหน้ากระจกและคิด
...แล้วต้นเสียงนั้นจะอยู่ตรงไหน... ไม่เป็นไรลองกลั้นหายใจอีกครั้ง ที่ผ่านมาผมกลั้นหายใจไม่นาน และแต่ละครั้งผมก็ได้ยินเสียงนั้นเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น หากครั้งนี้ทำให้นานหน่อยคงทำให้ผมได้ยินเสียงนั่นเพิ่มจำนวนครั้งขึ้น
ความเงียบเข้าครอบคลุมในห้องน้ำนี้อีกครั้ง... ....................................................................................................... ผมมองหน้าตัวเองในกระจกเริ่มแดงขึ้น แต่ผมก็ยังไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย ผมกลั้นอีกต่อไป ตาก็เหลือบไปมองนาฬิกาข้อมือที่กุมหน้าอกไว้ นี่จะผ่านไปสองนาทีแล้ว จนร่างกายบอกตัวเองว่าไม่ไหว ครั้งนี้ผมพยายามสุดความสามารถแล้ว แต่หาไม่เจอคงไม่เป็นไร และการตามหาครั้งนี้ผมก็ไม่รู้ว่าจะเจอไหมด้วยซ้ำ เพราะเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยพบและเห็นมันเลย เอาเป็นว่าผมให้อภัยตัวเอง หากมีครั้งหน้าเราค่อยเริ่มใหม่ก็ได้
เวลาผ่านไปเกือบสามนาที ผมเงยหน้าและมองตัวเองในกระจก
"...เฮ้อ...ออ เฮ้อ!!! เฮือก เฮ้อ..."
...........!!!!!!!!!!!!....................
เสียงนั้น... ผมได้ยิน... ผมมั่นใจ..
แต่ผมก็เลิกที่จะค้นหาแล้ว ผมจำได้ว่าผมได้บอกไปแล้วว่ายอมแพ้ ไม่ใช่ว่าผมไม่เจอนะว่าสิ่งนั้นคืออะไรกัน ผมไม่ได้ตะลึงงันจนบอกไม่ถูกด้วย ที่สำคัญผมไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งไว้เป็นปริศนาให้คุณคิดต่อเลย สาบานเถอะให้ตายเลยเอ้า ในเวลานี้ผมรู้เพียงอย่างเดียวว่าที่ผมไม่บอกผมไปเพราะ..."ผมอายคุณ"
19 ธันวาคม 2549 02:57 น.
กวีปกรณ์
น้ำตาของผมกำลังไหลบ่าออกจากดวงตาคู่หนึ่งซึ่งครั้งหนึ่งผมเคยหลับนิทราในครรภ์ของมารดา ผมไม่เคยรู้ว่าความสุขเป็นอย่างไร ผมไม่เคยรู้ว่าความทุกข์เป็นอย่างไร
"สุข" เพื่อนสนิทของผมเดินกำลังเดินเข้ามาหาผมใกล้ ๆ แต่ก็พลาดเสียแล้ว เขาสะดุดรากไม้แห่งความเจ็บปวดนั่นทำให้เขาจุกอย่างไม่สามารถลุกขึ้นได้ภายใน 10 วินาที คล้ายกับว่าเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่ยาวนาน จนกระทั่ง "ทุกข์" ที่กำลังมองผมอย่างประหม่าว่าจะเข้ามาทักผมดีหรือไม่ (จริง ๆ แล้ว ผมก็ไม่รู้ว่าผมรู้จักกับ "ทุกข์" ตั้งแต่เมื่อไหร่) แต่เขาก็กลับกล้าและแซงหน้า "สุข" เพื่อมาทักผมก่อนที่ "สุข" จะลุกขึ้นได้จากพื้นดินที่กำลังรองรับความจุกจน "สุข" ต้องนิ่วหน้า (ผมละสงสัยจริง ๆ เลยว่าตอนนั้น "สุข" เป็นอย่างไรบ้าง แต่ผมก็เห็นเจ้านั่นแอบยิ้มเล็ก ๆ คล้ายกับว่าดีใจทุกครั้งที่เจ็บตัว)
"ร้องไห้ทำไม" -ทุกข์- ทักผมอย่างเคย ห้วน ๆ สั้น ๆ ทั้ง ๆ ที่ผมก็พอจะสนิทกับ
-ทุกข์-พอสมควร (แม้ผมจะจำไม่ได้ว่าผมรู้จัก-ทุกข์-เมื่อไหร่
แต่ผมก็ดีใจที่ได้รู้จักกับเขา มันเป็นมิตรภาพที่มีมานาน ผมขอ
ประมาณแล้วกันว่า ผมคงรู้จักเขาตั้งแต่จำความได้กระมัง)
ผมนั่งนิ่งน้ำตาไหลไม่ตอบ ตามองไปข้างหน้าคล้ายว่า อากาศที่ลอยอยู่ข้างหน้าช่างสวยงามเหลือเกิน
"มีเรื่องให้ทุกข์ใจอะไรหรือเปล่า? แต่ข้าจำได้ว่าข้าหาโอกาสมาทักเจ้าอยู่นานแล้ว แต่ก็ไม่กล้าเข้ามา เกรงว่าจะทำลายบรรยากาศแห่งความปลาบปลื้มสุขใจจนน้ำตาเจ้าไหล เจ้าก็รู้นี่หว่า ที่ข้าเข้ามาทักทายเจ้าแต่ละครั้งเพราะว่าเกรงว่าเจ้าจะสุขจนเคยชินไปซะ นั่นจะทำให้เจ้าเสียใจเสียยิ่งกว่าเสียใจอีกหากข้าไม่มาทักทาย และนำของฝากแห่งความโศกศัลย์มาให้"
ผมนั่งนิ่ง แม้จะได้ยินเสียงของทุกข์ที่แว่วมาสองหู แต่ผมก็ไม่เหลียวไปตามเสียงนั้น
"แล้วเจ้ามีอะไรจะให้ข้าช่วยหรือเปล่า...บลา ๆๆๆๆๆๆๆ" ทุกข์พูดไปเรื่อย ๆ ภายใน 10 วินาทีนั้นช่างยาวนาน จน-ทุกข์-เริ่มเหนื่อยที่จะกระตุ้นให้ผมสำนึกถึงความรู้สึกในยามนั้นว่าจะทุกข์ หรือสุขใจ ทุกข์ก็กล่าวลาจากไปเมื่อเหลียวไปเห็นว่า-สุข-กำลังค้ำตัวเองจากแรงดึงดูดของโลกได้สมดุลย์พอที่จะก้าวมาทักทายผม
"งั้นข้าลาก่อนนะ" -ทุกข์-กล่าว ส่วนผมถอนหายใจ
อีกแล้ว... ผมคิดและถอนหายใจ...
ความสุขวิ่งเข้ามาหาผมอย่างรวดเร็ว และเงียบเชียบจนผมไม่รู้เลยว่าเขามายืนข้างผมเมื่อไหร่ กว่าจะรู้ก็เมื่อได้ยินเสียงแห่งความปิติของ-สุข-หัวเราะออกมาทักทายผมอย่างสุภาพและอ่อนโยน
"สวัสดีเพื่อนรัก เหมือนเราจะไม่ได้เจอกันนานแล้วนะ... สบายดีหรือเปล่า... แม้เราจะมาไม่ทันแต่ก็รู้ว่า-ทุกข์-เพิ่งผ่านแซงหน้าเรามาทักนายเสียก่อน..." -สุข- บอกเล่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อสักครู่เท่าที่เขาจะสังเกตได้ ก็ทุกทีที่เขายิ้มตาของเขามักจะยิ้มจนตี่เล็กทำให้มองอะไรแทบไม่เห็น (ผมเคยสังเกต...ก็บอกแล้วว่าเขาคือเพื่อนสนิทของผม)
น้ำตาของผมแห้งลงแล้ว แต่ก็ยังแอบกลืนสะอื้นลงคอ สีหน้าของผมนิ่งเฉยและไม่ตอบอะไรเลย เหมือนผมไม่รู้จัก-สุข- เพื่อนที่เคยมิตรรักของผม
สุขทำหน้าฉงน และนั่งเล่าเรื่องแห่งความสุขไปเรื่อย ๆ เพื่อคิดว่าผมจะหันกลับมาสนทนากับเขาบ้างสักนิด
เปล่าเลย... ผมนั่งสงบนิ่งหลับตาลง จนกระทั่งเขาจากไป แต่ก็ไม่ลืมของฝากนั่นคือความสดชื่นฝากเอาไว้ แล้วจากไปเพราะผมไม่มีทีท่าว่าจะหันมาสนใจ เสียงหัวเราะและบทเพลงที่เขาเปล่งเสียงเพื่อเรียกความสนใจ (จะว่าไปแล้ว-ทุกข์-และ-สุข-เป็นมิตรผู้ไม่เคยลืมของฝากเลย เวลามาเยี่ยมเยียน) แต่-สุข- ก็จากไปด้วยรอยยิ้ม
น้ำตาของผมแห้งไปแล้ว...
ผมเก็บความลับเอาไว้ ไม่บอกให้-สุข-หรือ-ทุกข์-สังเกตได้ว่าผมรู้สึกอย่างไร รู้เพียงอย่างเดียวก็คือ ในยามนั้นผมได้คำตอบแล้วว่า ของขวัญ แห่งมิตรผู้สนิทสนมในอารมณ์ของผมไม่ได้มีค่าแต่อย่างไร
เมื่อผมยิ้ม หยดน้ำตาแห่งความโศกศัลย์ที่-ทุกข์-นำมาทิ้งไว้เคียงข้างจะมีค่าขึ้นมาทันที
และเมื่อผมสะอื้นไห้ รอยยิ้ม แห่งความปิติที่-สุข-นำมามอบให้ผมก็จะมาค่าขึ้นมาไม่แพ้กัน
ทุกคนคงกำลังสงสัยว่า ที่ผมร้องไห้นั้นคืออะไร เปล่า... ไม่มีอะไรเลย
ผมเพียงแค่ตั้งคำถามว่า "น้ำตาหยดแรกที่ผมรินออกมา เมื่อผมคลอดจากครรภ์ของมารดา เวลานั้นผมกำลังทุกข์หรือสุข" ผมจึงทดลองร้องไห้ออกมา เพื่อรำลึกความรู้สึกนั้น ผมสัมผัสได้เพียงแต่ความว่างเปล่า คำตอบที่ผมได้ตอนนี้ก็มีเพียง "น้ำตานั้นมาพร้อมกับลมหายใจแห่งชีวิต เพื่อบอกกับตัวเองให้พร้อมรับและเรียนรู้กับมิตรภาพแห่งความเป็นมายาของโลกเสียทีกระมัง" นี่ละมัง คำตอบที่ผมครวญถามความในใจครานั้น
17 ธันวาคม 2549 08:09 น.
กวีปกรณ์
ดึกแล้ว นาฬิกาตั้งโต๊ะยืนยันกับความมืดและการทักทายของเหล่าดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์น้อยใหญ่ ดาวเทียม ฯลฯ ด้วยการลงท้ายตัวเลขที่บอกนาทีด้วยตัวอักษรย่อภาษาอังกฤษว่า pm ข้อมือของผมยังคงเคาะแป้นพิมพ์ตามจังหวะของคำแต่ละคำ การกระทำเหล่านั้นเป็นไปตามคำสั่งของสมองและความชำนาญจากการฝึกฝนสนทนาทางโปรแกรมแชทบนอินเทอเน็ตบ่อยครั้งสมัยเรียนมัธยมต้น
ถ้วยชาที่ตั้งใจจะอยู่เคียงข้างแล็บท๊อบของผมกำลังเย็นลงอย่างรวดเร็ว คล้ายกำลังหลับไป เนื่องจากขี้เกียจอยู่เป็นเพื่อนแล๊บท๊อบที่กำลังทำงาน จึงพยายามขับไล่ความอุ่นของชาในถ้วยให้เย็นชืดลง จนเป็นสาเหตุให้ผมไม่หยิบยกมันเพื่อดื่มชาที่ไร้ความอุ่นและเสียรสชาดอร่อยไปเพื่อจะได้ไม่ต้องตกใจตื่นขึ้นมากลางคัน ที่ผมรู้ว่าถ้วยชาผมเริ่มขี้เกียจก็เนื่องจากไอร้อนที่เคลื่อนไหวคล้ายอำลาได้ซ่อนตัวไปในความว่างเปล่าของอากาศจนผมไม่อาจมองเห็นในเวลาผ่านไปเพียงไม่กี่นาที อากาศภายนอกกำลังปรับอากาศภายในห้องพักของผมเย็นลง ผมยังคงพิมพ์คำต่อไปไม่หยุดด้วยเนื่องจากสมองกำลังร้อยกรองดนตรีกานท์อย่างโลดแล่นในโลกแห่งจินตนาการ
เรื่องที่กำลังร้อยกรองอยู่นั้นเป็นเรื่องที่ผ่านไปไม่นาน ผมจำได้ว่าไม่นาน เพราะเพิ่งผ่านไปไม่กี่วัน ที่ผมจำได้ว่าผ่านมานานหรือไม่นานนั้นอาจเป็นเพราะว่าผมจำเหตุการณ์เหล่านั้นได้ดีกว่าเหตุการณ์ที่ผ่านนานมาแล้วเป็นปี ๆ ใช่...คงจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ...เรื่องนี้ผมขอผมยืนยัน
เสียงเพลงที่คลออยู่ในอากาศคล้ายจะรบกวนความคิด แต่เปล่าเลย มันทำหน้าที่รบกวนความเงียบงันภายในห้องพักของผมได้เป็นอย่างดี บางทีผมก็คิดว่าเพลงที่ผมเปิดอยู่นั้นทำหน้าที่มากกว่าการรบกวนความเงียบ อย่างเป็นต้นว่า เสียงเหล่านั้นทำให้ผมรู้สึกว่าผมยังคงมีชีวิตอยู่ แต่ไม่แน่ใจว่าจะมีชีวาหรือไม่ หรืออาจจะมีชีวาหรือไม่มีชีวิต หรืออาจจะเป็นทั้งสอง ผมไม่แน่ใจ ถ้าเป็นอย่างนั้นคงจะเป็นการสร้างสติสตังให้ผมได้ว่าผมกำลังมีชีวิต แทนการลืมไปว่าตัวเองกำลังหายใจในบางครั้งบางครา แต่บางเวลาผมก็เผลอลืมไปว่ากำลังฟังเพลงที่รบกวนอากาศ จนต้องแอบฮัมเพลงคลอเบา ๆ เพื่อชื่นชมน้ำเสียงตนเองเล็กน้อย เพื่อเป็นการบอกตัวเองว่ากำลังมีชีวิตแทนการเตือนตัวเองว่ากำลังหายใจ หรือฟังเพลง
ก็บางครั้งผมไม่อาจรู้ว่ากำลังตื่นหรือว่าฝันไป หากจะให้ผมหยิกตัวเองเพื่อพิสูจน์ ผมก็อยากจะบอกว่าผมไม่ใช่พวกมาโซคิส(พวกที่ชอบความเจ็บปวด ตรงกันข้ามกับ ซาดิส คือ พวกที่ชอบเห็นหรือทำคนอื่นเจ็บ) ซะด้วยสิ และอีกอย่างถ้าผมกำลังหลับและฝันอยู่จริง ๆ ผมคงไม่อยากสะดุ้งตื่นขึ้นมาขณะแต่งกลอนอยู่ในฝันหรอกน่า บ่อยครั้งไปที่ผมฝันและแอบขโมยความคิดของตัวเองในฝันมาแต่งเป็นเรื่องราว (รู้แล้วอย่าแอบหลับเพื่อไปฝันบอกผมในความฝันเชียวนะ ไม่งั้นจะไม่เล่าต่ออีก...ความลับใหญ่เชียวหละ)
เอาเป็นว่าตอนนี้ผมก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดีว่าผมกำลังตื่นหรือว่าฝัน เพราะบางทีเสียงเพลงที่กำลังคลอเบา ๆ อาจจะเป็นเพลงจากวิทยุที่ผมลืมปิดก่อนนอนก็เป็นได้ ซึ่งก็บ่อยเสียด้วยสิ ดังนั้นแล้ว ผมขอแอบซุ่มอยู่เงียบ ๆ ในกรอบความคิดที่ติดอยู่ระหว่างความฝันและการตื่นเพื่อขอดูบทกลอนที่สมองของผมกำลังกรองร้อยอยู่อย่างนี้ต่อไปดีกว่า
...พวกคุณสัญญานะว่าจะไม่ส่งเสียงดัง เพราะตอนนี้ผมกำลังต้องการสมาธิ เพื่อจะได้แต่งกลอนอยู่ เอ๊ะ...!!หรือเพื่อขโมยความคิดของตัวเองในฝันอยู่ เอาเถอะยังไงก็ช่าง ถ้าไม่อย่างนั้นผมอาจจะตื่นมาพร้อมกับอารมณ์เคือง ๆ ที่ยังขโมยร้อยกรองบทนั้นไม่สำเร็จ ที่สำคัญที่สุดคุณอาจจะอดอ่านร้อยกรองฝีมือผมในวันต่อไปก็ได้... ผมเตือนคุณแล้วนะ...
29 กันยายน 2549 06:37 น.
กวีปกรณ์
"เราไม่เคยมีนวนิยายหรือหนังที่มีตัวละครเกย์แล้วก็มีบทบาทอยู่ในเรื่องโดยไม่เกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศของเขา ยกเว้นแต่ตัวละครประเภทตลกตามพระตามนางเท่านั้น"
จากคำกล่าวของ นิธิ เอียวศรีวงศ์ (๒๕๔๑) เห็นชัดว่า นวนิยายหรือละครที่เกี่ยวกับรักร่วมเพศชายนั้นมีอยู่น้อย หรืออาจกล่าวให้เห็นภาพที่ชัดเจนนั้น คือ นวนิยาย ละคร หรือแม้แต่ภาพยนตร์ที่นำเสนอเกี่ยวรักร่วมเพศชายนั้นมีอยู่ แต่บุคคลทั่วไปไม่อาจเข้าถึง หรือไม่ต้องการเข้าถึง เพราะเรื่องรักร่วมเพศนั้นยังถือว่าเป็นเรื่องใหม่และยากแก่การยอมรับของคนกลุ่มใหญ่ ภาพที่นำเสนอออกมาเพียงน้อยนิดจึงเป็นการสร้างภาพให้สังคมยอมรับและเข้าใจในเชิงสร้างอิทธิพลให้เหนือกว่าโดยจัดให้ตัวละครที่เป็นรักร่วมเพศมีบทบาทที่น่าตลกขบขัน ไม่สามารถเทียบเท่าบทบาทของพระนาง
เมื่อนวนิยายที่นำเสนอเรื่องราวของกลุ่มคนที่มีรสนิยมรักร่วมเพศชายนั้น ได้ถูกนำเสนอโดยสร้างให้ตัวพระและตัวนางของเรื่องเป็นชายทั้งคู่ จึงเป็นที่สนใจแก่วงการนวนิยายเป็นอย่างมาก เพราะเนื้อหาที่นำเสนอนั้นได้ให้ความสำคัญแก่กลุ่มคนรักร่วมเพศชายมากกว่าอดีตที่เป็นเพียงตัวรอง ตัวประกอบ หรือที่แย่ไปกว่านั้นคือตัวตลกที่สร้างสีสันให้แก่นวนิยายปกติ
เสน่หาอินทนิล แม้จะเป็นเพียงเรื่องสั้น แต่ก็ถือได้ว่า เรื่องสั้นนี้มีตัวละครเอกของเรื่องเป็น ชายรักร่วมเพศ ที่ผู้แต่งได้นำเสนอนั้นได้สะท้อนความจริงบางประการให้ผู้อ่านเข้าใจว่า "รักร่วมเพศ" ไม่ได้ซุกซ่อน แต่อยู่รอบตัวทุก ๆ อย่างปฎิเสธไม่ได้ไม่ว่าอาชีพใดก็ตาม มากกว่านั้นยังสะท้อนมุมมองทางสังคมในด้านลบของคนรักร่วมเพศ โดยสะท้อนความคิดด้านมืดของ "คณิต" ชายรักร่วมเพศ ที่มีอารมณ์รุนแรงและซุกซ่อนอยู่ภายในจิตใจดังเช่น ความคับแค้นจนถึงขั้นอยากที่จะฆ่า พิมพร จากความคิดที่จะผลักเธอตกบันไดและการพยายามฆ่า บุตรชายของพีระ แต่ถึงกระนั้นผู้แต่งก็ไม่ได้พยายามสร้างมุมมองอันเป็นด้านลบให้แก่ตัวละครเอกนี้เพียงคนเดียว แต่ได้สร้างให้เห็นภาพของความเป็นคนที่เท่าเทียมกันในสังคมได้เป็นอย่างดี ดังเช่น การสะท้อนให้เห็นว่าคนเราก็มีทั้งสองด้านทั้งดีและร้าย จากเหตุการณ์อันแสดงถึงการขาดความรับผิดชอบของพีระต่อบุตรชายที่คนรักเก่าของเขาได้ให้กำเนิด ในท้ายเรื่อง
แม้ว่าเรื่องเสน่หาอินทนิลจะไม่ได้ดำเนินเรื่องอย่างน่าตื่นเต้นจนน่าติดตามมากนัก แต่การพรรณนาบรรยากาศ และความคิดในจิตใจของ คณิต กลับทำให้ผู้อ่านอยากรู้และชวนอ่านมากขึ้น อีกทั้งการดำเนินเรื่องแบบตัดสลับระหว่างความคิด เหตุการณ์ในอดีตและปัจจุบันสลับกันไปมา ย่อมแสดงให้เห็นถึงฝีมือและเร้าจินตาการให้แก่ผู้่อ่านได้ดีทีเดียว เพราะการทิ้งประเด็นสำคัญอันก่อให้เกิดคำถามแก่ผู้อ่าน ดังเช่น เสียงของเด็กที่แทรกในห้วงความคิด หรือเหตุการณ์ที่คณิตกำลังลงมือพรากวิญญาณไปจากชีวิตของเด็กน้อยผู้ไร้เดียงสา เป็นต้น ซึ่งอาจทำให้ผู้อ่านจินตนาการและตีค่าความเป็นมนุษย์ที่มีต่อ คณิต ตั้งแต่ต้น กลับเป็นสิ่งที่ผิดคาดและกลับเห็นใจในการกระทำของคณิตที่เป็นไปด้วยความรักเสียมากกว่า เนื่องจากการคลี่คลายเรื่องในตอนจบคือ การแสดงให้เห็นความเลวและความเห็นแก่ตัวของพีระ เสียมากกว่า
การใช้สัญลักษณ์เกี่ยวกับการแสดงความรู้สึกและความเป็นตัวตนของตัวละครเอกอย่าง คณิต โดยใช้ ดอกอินทนิล นั้น ก็ถือเป็นประเด็นสำคัญของเรื่องไม่แพ้กัน หากคำว่า ชาวดอกไม้ คือคำเรียกเพศที่สามอย่างคณิตแล้ว คณิต คงเป็นดอกไม้หนึ่งเดียวนั่นคือ ดอกอินทนิลที่กำลังคลี่กลีบสีม่วงเศร้าซึ่งจะบานออกในช่วงหนึ่งของปีเท่านั้น ความสัมพันธ์ของเรื่องที่เกี่ยวกับช่วงเวลาที่คณิตมากรุงเทพและระยะที่ดอกอินทนิลบานนั้น คล้ายกับการสอดคล้องกันเพื่อตอบคำถามว่าเสน่หาอินทนิลนั้น คืออะไร เพราะดอกอินทนิลที่คณิตผูกพัน ดังบทบรรยายฉากและความรู้สึกของคณิตที่ว่า
"ภายใต้ความเศร้าเหล่านั้นมีความงดงามซ่อนอยู่ เป็นความสุข เป็นความหวัง บางครั้งคณิตเก็บช่ออินทนิลไปปักไว้ที่ห้อง เขารู้สึกมีความสุขทุกเช้าเมื่อลืมตาขึ้นมาพบว่ามันยังคลี่กลีบสวยงามอยู่บนหัวเตียง"
นอกจากจะทดแทนความเป็นตัวตนและความคิดของ คณิต ยังอาจแสดงถึงความรักที่ซุกซ่อนอันเป็นความลับแห่งความสัมพันธ์ระหว่าง พีระและคณิต นั่นเอง โดยสีม่วงเศร้าและการคลี่กลีบดอก และการที่เขานำมาปักไว้ที่ห้องคือ การพยายามที่จะเผยความรู้สึกให้พีระได้รู้ และการที่กลีบดอกเฉา เหี่ยวและแห้งไป ก็คือ ความผิดหวังจากความรัก แต่เมื่อเขาได้ฉุกคิดจากคำตักเตือนของพิมพร ก็กลับทำให้เขาได้ยุติเรื่องนี้ลง นอกจากนั้นจากการบรรยายความรู้สึกที่มีต่อดอกอินทนิลก็สะท้อนให้เห็นถึงความคิดของเขาที่บอกโดยนัยว่า "ปฏิเสธ" ดังที่ว่า "...พีระไม่ชอบดอกอินทนิลนัก เขามักพูกเสมอว่าช่ออินทนิลดูเศร้าเกินไป..."
เสน่หาอินทนิล จึงเป็นเรื่องสั้นที่มีความราบเรียบอันซุกซ่อนประเด็นที่ผู้แต่งกำลังสร้างให้สังคมยอมรับและเข้าใจในความรู้สึกของ เพศที่สาม มากขึ้น และกลวิธีที่ผู้แต่งได้สร้างการหักมุม นั่นก็คือความพยายามหักล้างการเข้าใจผิดที่สังคมรักต่างเพศที่เป็นใหญ่ในสังคมเข้าใจผิดมาตลอดว่า กลุ่มคนรักร่วมเพศ มักจะมีอารมณ์รุนแรง ขาดสติยั้งคิด หรือเป็นกลุ่มคนที่มีความประพฤติเลวทราม ไร้คุณค่า ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ความราบเรียบของเรื่องเสน่หาอินทนิล เป็นการต่อต้านความเข้าใจผิดบางประการของสังคมอย่างเรียบง่ายและไม่รุนแรง ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสามารถของผู้แต่งได้ดีอีกด้วย
8 กันยายน 2549 06:51 น.
กวีปกรณ์
เมื่อคืนนี้ผมได้เปิดกระเป๋าสะพายใบหนึ่งซึ่งไม่ได้หยิบมาใช้นานประมาณ ๒-๓ อาทิตย์ เมื่อผมได้ล้วงลงไปเพื่อจะหยิบของที่ยังคงค้างไว้ไม่ได้เอาออกมา เพื่อจะได้นำคอมพิวเตอร์พกพาใส่ลงไปแทนที่ มือของผมได้สัมผัสกับกระดาษแผ่นหนึ่งซึ่งพับอยู่ เมื่อหยิบขึ้นมาดู ความทรงจำเมื่อสองสามอาทิตย์ก่อนก็ได้ไหลย้อนกลับสู่สมองของผมได้ทันที
ฉันอยู่ที่นี่ แม่เหียะในหมู่บ้านหลังเขา คำ ๆ นี้เหมือนพยายามบอกอะไรกับผม ใช่มันเป็นอย่างนั้น เมื่อผมได้อ่านข้อความข้างใน ยิ่งทำให้ผมเข้าใจความรู้สึกผูกพันของผู้คนในชุมชนนั้นต่อถิ่นฐานบ้านเกิดของเขาได้เป็นอย่างดี ในวันที่ผมได้รับแผ่นพับใบนี้ เป็นวันที่ผมได้เข้าไปร่วมรับการอบรมเพื่อพัฒนาการเขียนข่าวสิ่งแวดล้อม และสถานที่ที่ผมได้ไปสังเกตการณ์ เพื่อเก็บข้อมูลมาเพื่อนำเสนอข่าวสิ่งแวดล้อม ก็คือ บ้านแม่เหียะใน แห่งนี้
แม่เหียะใน อยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่เพียง ๑๐ กิโลเมตร และตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติสุเทพ-ปุย พวกคุณคงสงสัยถึงว่าทำใมพวกเขาถึงสามารถอาศัยอยู่ในเขคอุทยานแห่งชาตินี้ได้ คำตอบก็คือ แท้จริงแล้วบรรพบุรุษของเขาได้เข้าไปอาศัยอยู่ ณ ที่แห่งนั้น ตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ และก่อนที่ผืนป่าแห่งนี้จะได้รับการประกาศว่าเป็นเขตอุทยานแห่งชาติในปี พ.ศ. ๒๕๒๔ นั่นเอง เมื่อผมได้เข้าสู่เขตชุมชนแม่เหียะในนี้ ความร่มรื่นของผืนป่าทำให้ผมรู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก เมื่อผมได้พบกับป้ารัตน์ เพื่อนของเธอและลูกชายของเขาอีกคนหนึ่ง คำตอบที่ผมไม่ต้องถามเลยก็คือ ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในเขตผืนป่าแห่งนี้ไม่เคยที่จะทำลายผืนป่า หรือแม้แต่ระบบนิเวศน์ของธรรมชาตินี้เลย มากไปกว่า
นั้นพวกเขากลับร่วมดูแลและรักษาผืนป่า อันเป็นบ้านและถิ่นกำเนิดของพวกเขาเองอีกด้วย พวกคุณที่กำลังอ่านคงกำลังสงสัยว่าแล้วผมจะทำข่าวอะไรเกี่ยวกับ บ้านแม่เหียะใน แห่งนี้ คำตอบก็คือ พวกเขากำลังถูกบุกรุก และคุกคามจากอำนาจรัฐ โดยการจะนำเขตชุมชนและผืนป่าใกล้เคียงซึ่งเป็นเขตอุทยานแห่งชาตินี้ไป เพื่อพัฒนาเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติแห่งหนึ่งของงหวัดเชียงใหม โครงการนั้นก็คือ อุทยานช้าง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการไนท์ ซาฟารี
ป้ารัตน์กล่าวทั้งสีหน้าที่ไม่ค่อยดีว่า ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในที่แห่งนี้ไม่เคยเรียกร้องอะไรเลยจะมีก็เพียงเรื่องไฟฟ้าที่ขอไปหลายต่อหลายครั้งแล้ว ซึ่งก็ถูกปฏิเสธเพียงด้วยถ้อยคำซ้ำ ๆ อย่างเช่น ชาวบ้าน และครัวเรือนที่อาศัยอยู่ในชุมชนบ้านแม่เหียะในนี้มีน้อยไม่คุ้มต่อการลงทุน หรือไม่ก็เพราะ พวกเขาอาศัยอยู่ในเขตอุทยานไม่มีนโยบายพัฒนาเรื่องไฟฟ้าเข้าสุ่เขตผืนป่า คำตอบเหล่านี้ถ้าคิดให้ดีแล้วจะพบว่า ชาวเขาที่อาศัยอยู่ในที่ไกลแสนไกลกลับมีไฟฟ้าใช้ แต่ชุมชนแห่งนี้ซึ่งห่างจากตัวเมืองเพียง ๑๐ กิโลเมตรเท่านั้นกลับไม่มีและไร้การดูแล เรื่องสาธารณูโภคขั้นพื้นฐานนี้ได้อย่างไร ป้ารัตน์ยังบอกอีกว่า ที่จำเป็นต้องขอเรื่องไฟก็เพราะว่า เด็ก ๆ จำเป็นจะต้องใช้เพื่อการศึกษาเรียนรู้ และทัน
กับโลกภายนอกก็เพียงเท่านั้น ซึ่งก็จริงอย่างที่ป้ารัตน์ว่าจริง ๆ เพราะเมื่อผมสำรวจความเป็นอยู่ของชุมชนนี้ก็เห็นว่า ชาวบ้านนั้นไม่ได้เดือดร้อนเรื่องใด ๆ เลย เพราะน้ำก็ใช้ประปาดอย หรือน้ำประปาธรรมชาติที่ได้จากน้ำตกตาดหมาไห้ ในผืนป่าแห่งนี้เอง อาหารการกินชาวบ้านก็สามารถหาพืชผักจาก รั้วหรือไม่ก็เก็บเอาตามป่า เช่น หน่อไม้และเห็ดนานาชนิดที่มีจำนวนมากในฤดูฝน เป็นต้น เพียงเท่านี้ก็ทำให้เห็น แล้วว่าสมาชิกในชุมชนแม่เหียะในนี้ ไม่เดือดร้อนเรื่องการประกอบอาชีพ เพื่อหารายได้มากมายมาใช้จ่ายให้สิ้นเปลีองเลย แล้วคำอ้างของการสร้างอุทยานช้างเพื่อสร้างอาชีพให้กับพวกเขานั่นเองนั้น ดูไม่มีน้ำหนักเพียงพอเลย สิ่งที่ผมคิดก็คือ คงเพราะอำนาจเงินที่ใคร ๆ ต่างอยากได้มากกว่าแต่ใคร ๆ นั้นก็กลับไม่ใช่ชาวบ้านแห่งนี้ท่กำลังถูกบุกรุก
วันนั้นผมได้เดินขึ้นไปตามเส้นทางของท่อประปาฝายน้ำล้นของโครงการไนท์ ซาฟารี ผมเห็นว่าแท้จริงแล้วรัฐนั่นเองกำลังทำลายธรรมชาติ และเป็นผู้บุกรุกผืนป่า เพราะจากภาพการขุดถางป่าเพื่อการสร้างเขื่อน และแนวเส้นทางเพื่อฝังท่อน้ำประปาธรรมชาตินั้นทำให้สูญเสียผืนป่า อีกทั้งยังเป็นการทำลายระบบนิเวศน์ เพราะเมื่อผมมองไปตามนิ้วชี้ของลุงผู้นำทาง สีของต้นไม้กลับซีดลงไม่สดใสแตกต่างจากผืนป่าส่วนใหญ่ได้เลย ลุงผู้นำทางได้บอกว่านั่นเป็นเพราะโครงการไนท์ ซาฟารี ได้ทำการขุดน้ำบาดาล ดังนั้นปริมาณน้ำที่เคยมีจึงลดลงไป ป่าที่เคยชุ่มชื่นจึงกลับแห้งลงงไป
เมื่อผมได้ถามถึงเรื่องการสร้างอุทยานช้าง ว่าหากมันเกิดขึ้นจริงแล้ว ชาวบ้านจะย้ายไปอยู่ที่ไหน จะโดนขับไล่ออกจากฝืนป่าบ้านเกิดนี้หรือไม่อย่างไร คำตอบของพวกเขานั้นก็คือ ไม่ทราบ และไม่ต้องการจะย้ายไปที่ไหน เมื่อคุยเป็นระยะเวลาหนึ่งผมก็ได้ทราบข้อมูลที่มากขึ้นก็คือ ชาวบ้านที่อยู่
อาศัยในผืนป่าแห่งนี้ ไม่มีโฉนดที่ดีนแต่อย่างใด ทั้ง ๆ ที่เคยยื่นเรื่องขอไปหลายต่อหลายครั้งก็ไม่ได้อยู่ดี ชาวบ้านหลายคนต่างบอกว่าไม่อยากที่จะย้ายไปอยู่ที่อื่น เพราะบรรพบุรุษ ปู่ ย่า ตา ทวดของพวกเขานั้นได้อาศัยอยู่ที่นี่มานานแล้ว ความผูกพันกับผืนป่าก็มีมาก เพราะพวกเขาไม่ใช่เพียงพึ่งพาป่าไม้เพียงอย่างเดียว แต่พวกเขาก็ได้ตอบแทนด้วยการปลูกป่าทดแทน กับการที่ได้ขุดถางไปเพื่อใช้เป็นแหล่งทำมาหากิน และอย่างน้อยพวกเขา ก็คือทุกคนในชุมชนแห่งนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ปกป้องผืนป่าแห่งนี้นั่นเอง
จากอดีตเคยเป็นเช่นไร ปัจจุบันก็จะยังคงอยู่คงเดิมเช่นนั้น จะแตกต่างไปก็คือมีถนนที่สะดวกต่อการเดินทางมากขึ้น เห็นอย่างนี้แล้วทุกคนคงอยากจะลองมาสัมผัสชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชนแห่งนี้บ้างหรือยัง นอกจากความเป็นกันเองของชาวบ้านที่ยิ้มแย้มแล้ว ที่ท่องเที่ยวก็มีหลายที่เลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นน้ำตกตาดหมาไห้ ที่กล่าวมาแล้วข้างต่น ก็ยังมีน้ำตกผาเงิบ น้ำตกผาลาด ลำห้วยแม่เหียะหลวง ซึ่งพวกเขาจะพาลัดเลาะไปตามลำธารที่มีน้ำใสไหลเย็นตลอดปีแห่งนี้ไปจนถึงน้ำตกผาลาด ที่ทุกคนจะได้เล่นสไลเดอร์ธรรมชาติ อีกทั้งยังมีถ้ำถึงสองแห่ง ได้แก่ ถ้ำกิ่วกอก และถ้ำผาลับเวียงให้ได้สำรวจและผจญภัยอีกด้วย
คงน่าเสียดายไม่น้อยหากความเป็นอยู่และผืนป่าของที่นี่ต้องสูญเสียไปจากการสร้างอุทยานชา้ง เมื่อผมพลิกอ่านจนถึงหน้าสุดท้าย พวกเขายังทิ้งข้อความไว้ให้อ่านซึ่งผมก็เห็นใจไม่น้อย เพราะข้อความเหล่านั้นได้สะท้อนถึงปัญหาอันน่าเห็นใจที่พวกเขาต้องเผชิญ
แต่เธอจ๋า เห็นทีเธอต้องรีบมาก่อนที่บ้านฉันจะกลายเป็น
อุทยานช้าง ถึงตอนนั้นฉันยังไม่รู้เลยว่าฉันและชาวบ้านที่นี่
จะไปอยู่ที่ไหน ถ้าเธอเจอเขา คนที่คิดอยากทำอุทยานช้าง
เธอช่วยบอกเขาทีได้ไหมจ้ะ ฉันคิดว่าพวกเขาอาจจะลืม
ลืมว่าฉันอยู่ที่นี่ บ้านแม่เหียะในหมู่บ้านหลังเขา