19 พฤษภาคม 2550 11:48 น.
กวีปกรณ์
ห้วงเวหาหากแม้นเหมือนแผ่นผา
เสียงกระดิ่งดังว่าแว่วหวานไหว
จากห้วงมหาสมุทรสุดแสนไกล
ฉันเฝ้าใฝ่คอยนางแอ่นเจ้าหวนคืน
เหมือนหนึ่งห้วงแห่งกาลที่ผ่านพ้น
สิ่งทุกข์ทนที่ใจจำกล้ำฝืน
กาลกำหนดพรากเธอไปไม่ยั่งยืน
จำกล้ำกลืนกับความเงียบยะเยียบเย็น
เรื่องภายนอกนั้นอย่างไรไม่อาจรู้
ม่านหมอกหนายากฝ่าดูจนรู้เห็น
จึงมิอาจทราบข่าวความอยู่เป็น
ดังถ้อยคำถูกซ่อนเร้นถูกเว้นวาง
เธอไม่อาจบอกกล่าวด้วยการณ์ใด
เสียงกระดิ่งแกว่งไกวไร้เสียงสร้าง
ฉันจึงจำปวดร้าวด้วยเปล่าว้าง
ถอดถอนใจดวงคว้างล้างอารมณ์
ผืนภาพความฝัน
คนนั้นคง เปิดหน้าต่างดังใจสม
จากบานแรกถึงสุดท้ายท่ามสายลม
พัดพร่างพรมพลิ้วผ่านบนลานใจ
อนาคตเฉกเช่นปีกจักจั่น
ยามโบยบินบางเบาและโปร่งใส
แต่มิอาจคาดการคะเนใด
หรือทนรอการร่ำไห้ของใครสักคน
ฉันปล่อยเธอจากไปไกลพันลี้
ครวญคำนึงหนึ่งนาทีแทบหมื่นหน
เหลือเพียงภาพอันเงียบงันและอึงอล
บ้างขุ่นข้องหมองหม่นมนมืดดำ
อาจบางทีรักจากพรากแสนไกล
มิอาจคงคู่ใจยามกลืนกล้ำ
ฉันปล่อยเธอจากไป ที่ได้ทำ
ณ สุดฟ้าสุดน้ำแผ่นดินใด
เสียงเพลงพิณแผ่วผินยังยินอยู่
อยากจักรู้ร่ายบรรเลงจากถิ่นไหน
ยากคาดเดาแม้ดับดิ้นหรือสิ้นใจ
ฉันจักใช้ทั้งชีวิตให้คิดครวญ
บนหยาดน้ำตาครารินร่วง
ฉันก้าวย่างย่ำล่วงห้วงไม้สวน
เพื่อเสาะหาดอกไม้สีขาวล้วน
มองทั่วถ้วนไม่เห็นให้ชมเชย
บนเบื้องฟ้าฝนโปรยโรยดอกไม้
รดโลมไล้ ดวงจินต์เริ่มนิ่งเฉย
จักกี่ฝนหมอกหนาวไม่หนาวเลย
คงรอคนคุ้นเคยมาเผยตัว
สวมเสื้อขาวชุ่มชื่นด้วยชื้นฝน
จึงโปร่งจนเห็นรักเธอถ้วนทั่ว
เธอหยาดรักร้อยฝนใช่หม่นมัว
ร่ายกวีพรมทั่วหัวใจกัน
ดอกบัวแบ่งบานบนธารใส
ภาพมองคล้ายเรือใบล่องแล่นฝัน
การรอคอยคงดำเนินชั่วกัปกัลป์
ด้วยยังไร้ร่างนั้นหันหวนคืน
จวบจนกาลนี้
ดอกไม้ที่เธอกล่าวผลิดอกดื่น
กลายเป็นความเปล่าว่างแห่งวันคืน
ที่ผ่านพ้นหากฟื้นความทรงจำ
18 พฤษภาคม 2550 10:19 น.
กวีปกรณ์
"คืออะไรหนอความรัก"
อยากประจักษ์แจ้งจินต์สิ้นสับสน
หลายอารมณ์รู้สึกซ่อนอ้อนกมล
อยากยินยลความรักบ้างสักครา
ห้วงอารมณ์อันอ่อนไหว
หลอกตัวเองว่าใจเจ้าแกร่งกล้า
แท้ที่จริงกลับสะอื้นรื้นน้ำตา
ร้าวอุราอารมณ์ต้องตรมตรอม
จากกาลนี้จวบกาลไหน
ฉันจักไขว่คว้ารักมาถนอม
อาจเจ็บบ้างบางคราครั้งยังยินยอม
ขอให้รักร้อยอุ่นอ้อมมาโอบใจ
แต่ไม่รู้ว่าสักกี่คราครั้ง
ที่พ่ายพลั้งพลาดกลรักจนได้
รัก หรือเจ้านิยมนักหักหทัย
แล้วเสพสุขบนทุกข์ใคร ใช่ไหมรัก
เมื่อแรกเริ่มเรียนรู้
คล้ายสร้อยสุขสวมคล้องดั่งทองถัก
อารมณ์อ้อนอ่อนไหวดวงใจนัก
ยากห้ามหักรู้สึก เพียงนึกคิด
เจ็บเจียนจนจะสิ้นใจ
มิเคยคิดเภทภัยคนสนิท
รักร้ายรุกล้ำช้ำบาดพิษ
ตาบอดใบ้มืดมิด...ด้วยพิษรัก
ฤๅ รักเพียงคำนิยามลวง
ทุกถ้อยท่วงที่กล่าวราวกับดัก
ให้อารมณ์อ่อนไหวใคร่ทายทัก
แล้วจึงหักหาญจินต์ให้สิ้นไป
ทุกค่ำคืนที่เคลื่อนคล้อย
ฉันเพียงฝันเลื่อนลอย คอยคว้าไขว่
ด้วยยังหวังหมายรักมาพักไว้
ท่ามดวงใจในนิทราท่ามราตรี
"ฤๅ รักคือความฝันที่มั่นคง"
ฉันปลอบปลงดวงใจเพียงเท่านี้
ความขื่นขมอ่อนไหวในใจมี
หวังจบลงสักที...หากมีรัก
13 พฤษภาคม 2550 15:33 น.
กวีปกรณ์
สงครามขุ่นแค้นบนแผ่นหล้า
สนุกคิดเข่นคร่า อกข้าขื่น
อยากลี้หนีหายจากปลายปืน
ยามนี้หยัดยืนด้วยฝืนกาย
แหงนมองหมู่นกเจ้าผกผิน
จากถิ่นเถื่อนทางร้างจุดหมาย
สันติ เสรี เริ่มวอดวาย
ถนนทุกสายระบายชาด
ครวญใคร่ใฝ่ปองมองปีกเจ้า
เหลียวเงาของตนใต้เบื้องบาท
ร่างเทาทาทับราวกับวาด
กายธาตุที่แท้เพียงแค่คน
ใคร่แขนแทนปีกบินหลีกโลก
ท่ามโศกสงครามทุกคราหน
แล้วกู่ก้องร้องไกลในเบื้องบน
บอกใบ้หมู่ชนอย่าหม่นใจ
สอยขนเส้นบางสร้างความหวัง-
สันติภาพ ตราบยังยืนหยัดไหว
อย่าคิดแค่อยากจงจำไว้
ขยับสองแขนไป...สร้างได้เอง
2 พฤษภาคม 2550 16:55 น.
กวีปกรณ์
ทั้งชีวิตเพียงเงาเคล้าเคียงข้าง
เหมือนหมอกหม่นห่มร่างยามคว้างฝัน
ชีวิตนี้จักเหงาเท่าไรกัน
ฤๅ กับดักอดีตนั้นกักกั้นใจ
คอยซุกซ่อนฝันและหวังฝังลงพื้น
ปลอบตัวเองทุกคืนคงได้ใช้
ที่ผ่านมาเพียงผลัดวันประกันไป
ค่อยคลายร้างหว่างใจในทรงจำ
ที่มาดหมายหมดล้วนคือหวนคืน
ย้อนรักฟื้นสู่จินต์จนสิ้นช้ำ
คงยากย้อนหากร้างทางรักนำ
ให้พ้นผ่านคืนค่ำอันกล้ำกลืน
ก่อนนั้นเคยลองแหงนมองฟ้า
กลับสิ้นแสงดาราอันดาษดื่น
ยังย้ำคอยมองหาทุกคราคืน
น้ำตารื้นร่ำไห้ไม่เห็นดาว
บอกตัวเองอีกครั้งอย่าพลั้งพ่าย
แม้ลมร้ายลวงใจให้เหน็บหนาว
บนฟ้านั่นคงมีแสงอันแจ้งพราว
ขอสักครั้งห้วงหาวร้าวเหลือใจ
จักค้นหาคนนั้นที่ฝันถึง
จุดความฝันหวานซึ้งสว่างไสว
จุดความหวังส่องทางอย่างเปลวไฟ
จนอบอุ่นกรุ่นละไมในดวงจินต์
ขอจุดหมายปลายทางที่สร้างรัก
คือจุดพักสุดท้ายคลายโศกสิ้น
มอบคำรักหนักแน่นดั่งแผ่นดิน
ก่อนดวงแดดับดิ้นด้วยชินชา
2 พฤษภาคม 2550 02:16 น.
กวีปกรณ์
ดุ่มเดินด้วยสงบสง่างาม
ขวาก้าวนำซ้ายตามตั้งสติ
มองไกลในกรอบสมาธิ
ช่างชวนชื่นเปรมปิดิ์ศิรวาท
หมู่มารมุ่งร้ายอยู่รายรอบ
เพ่งพิศดำริชอบประดุจปราชญ์
ละไว้เว้นวางทางพินาศ
ตามรอยเบื้องบาทพระศาสดา
ดั่งอรุณเรืองรองของวันใหม่
กาสาวพัตรห่มใจใครถ้วนหน้า
เพียงรอยบิณฑบาทย่ำมา
สร้างรอยแห่งศรัทธาตามย่ำไป
จึงเปรียบประหนึ่งผู้ชนะ
แม้ว่าจะสักกี่ทางที่ย่างใกล้
ต่างเคารพนบน้อมเพรียบพร้อมใจ
สักการะกราบไหว้ในบัดดล