26 ตุลาคม 2555 01:56 น.
กวีปกรณ์
แสงอาทิตย์ทอสาดวาดโค้งรุ้ง
ชายจรจัดนั่งปรุงหุงอาหาร
จึงก่อไฟเติมฟืนอย่างเชี่ยวชาญ
แล้วแย้มยิ้มสำราญเบิกบานใจ
ชาวบ้านต่างตื่นเต้นเป็นต้องมุง
บ้านก็ร้างเรือนยุ้งหามีไม่
เป็นหนึ่งคนแปลกหน้าจากแดนไกล
เพียงเสื่อผืนหม้อใบเอาไรกิน
ชายต่างถิ่นทนหิวจนนิ่วหน้า
จึงตอบกลับไปว่าข้าต้มหิน
ต้องต้มน้ำให้เดือดโดยหม้อดิน
รสชาติแสนอร่อยลิ้นชวนลิ้มลอง
เสียงหม้อต้มเดือดปุดไอผุดพวย
สองนักชิมรุดช่วยปันสิ่งของ
หนึ่งกะหล่ำ หนึ่งเกลือ มือประคอง
แล้วโห่ร้องรอประเดี๋ยวให้เคี่ยวแซม
ผักจึงต้มพร้อมเกลือช่วยเจือรส
หนึ่งนักชิมลองซดรสปะแล่ม
อีกคนถือทัพพีมีสิทธิ์แจม
ออกความเห็นกล้อมแกล้มก็รสดี
ต้มหินจืดจึงออกรสออกชาติ
สามนักปรุงล้อมบาตรแบ่งครบที่
ส่วนคนอื่นยื่นเครื่องปรุงหุงทันที
หย่อนเนื้อนั้นผักนี้แล้วหรี่ไฟ
แล้วมื้อเย็นหม้อดินต้มหินร้อน
ต่างแบ่งสรรปันป้อนด้วยช้อนไห
ชายต่างถิ่นปูเสื่อหนุนหมอนใบ
ชาวบ้านไซร้อร่อยลิ้นสิ้นเครื่องปรุง
บ้านนั้นมีสิ่งนั้นปันสิ่งนี้
ชวนอร่อยรสดียามที่หุง
รู้จัดสรรปันส่วนล้วนอิ่มพุง
แล้วตะวันก็พับรุ้งสู่รุ่งวัน
25 ตุลาคม 2555 02:46 น.
กวีปกรณ์
ลำดับจับต้นไปจนปลาย
เริ่มเช้าเข้าสายจนบ่ายค่ำ
วนเวียนเปลี่ยนแปลงตามแรงกรรม
มูลเหตุชี้นำกระทำการ
รักดีหามจั่วอย่ามัวท้อ
รักชั่วหัวหมอหามเสาบ้าน
คบบัณฑิตฝึกตนจนชำนาญ
คบคนพาลพาไปแต่ในตม
ว่ายวนชลสินธุ์ไม่สิ้นสุด
ดำผุดดำว่ายร่ำไห้ห่ม
กว่าพ้นผิวน้ำแบ่งบานชม
บางบัวหักล้มเสียจมดิน
แม้พ้นผิวน้ำจนงามหอม
ภู่ผึ้งกลับตอมไม่หยุดสิ้น
ใต้น้ำปูปลาก็หากิน
จนกว่าชีวินจะสิ้นไป
สงสารแสนโศกสุดสงสาร
กว่ารู้ตื่นเบิกบานดวงมานไสว
ต้องเวียนตายว่ายเกิดอีกเพียงไร
จึงเข้าถึงธรรมใหัใจนิพพาน
24 ตุลาคม 2555 08:44 น.
กวีปกรณ์
อันนินทากาเลลิเกฉาว
ตอกไข่เขียนข่าวคอยใส่สี
มุสาวาทา เวรมณี
ท่องได้ถือว่าดีออกถมไป
ต่อความให้ยาวสาวก็ยืด
พอฟังชืดก็เพิ่มช่วยเติมให้
ความจริงบวกลบจบเข้าใจ
มันง่ายเกินไปให้หารคูณ
"จะดีเหรอ" "จริงไหม" "ใช่หรือเปล่า"
"เรื่องมันยาว..." แต่ก็เล่าเริ่มจากศูนย์
ปากจึงเริ่มปราศัยน้ำใจเพิ่มพูน
จนจบบริบูรณ์ "อย่าพูดไป"
แล้วเหล่าลูกขุนก็ขึ้นแท่น
ลงคะแนนถูกผิดเริ่มคิดให้
ศาลเตี้ยจึงตั้งระวังไว
พิพากษากันไปตามใจตัว
พอนักข่าวสมัครเล่นตกเป็นข่าว
เรื่องสั้นสั้นเล่ายาวจนปวดหัว
แท้จริงแค่น้ำกลิ้งบนใบบัว
น้ำก็วิ่งไปทั่วบนบัวใบ
พอไอแดดแผดแรงน้ำแห้งลง
ความเขียวกลับยังยงอย่าสงสัย
ธรรมดา ธรรมชาติ ช่วยสอนใจ
ยากคนใดหลีกพ้นเตือนตนเอง
19 ตุลาคม 2555 15:52 น.
กวีปกรณ์
ความรู้สึกเคลื่อนไหวในภวังค์
โลกเป็นได้ดั่งหวังเมื่อพบเห็น
มองท้องฟ้าสีฟ้าจนกว่าเย็น
แล้วความมืดก็เปลี่ยนเป็นราตรี
ขับรถออกจากบ้านระหว่างค่ำ
หมื่นดาวแกล้งกระพริบทำแล้วเปลี่ยนสี
ปรับเร่งเสียงวิทยุเพิ่มทันที
ฟังเพลงแจ๊สคืนนี้สุนทรีย์รมณ์
ถนนเคยคับแคบรถคับคั่ง
สายฝนสาดรถดังฟังขื่นขม
กลับคืนนี้เปลี่ยนไปพาใจชม
แม้โลกไม่ได้กลมอย่างที่คิด
จอดรถหยุดตามช่องแล้วลงเดิน
บรรยากาศพาเพลินคืนวิจิตร
ท่ามแสงจันทร์เย็นใจไร้อาทิตย์
จิบเบียร์ดื่มสักนิดพอเย็นใจ
ดอกหญ้าไหวเคลื่อนบ้างตามทางลม
เด็กน้อยวิ่งสะดุดล้มแล้วยิ้มให้
นักดนตรีบรรเลงเพลงถัดไป
แล้วโลกก็เคลื่อนไหวไปตามกาล
18 ตุลาคม 2555 17:40 น.
กวีปกรณ์
ตั้งคำถามทบทวนชวนสงสัย
ความจริงเป็นเช่นไรไยสับสน
สิ่งที่ทำที่เห็นเพียงเล่นกล
ยากสัมผัสตัวตนของคนใด
แล้วจึงลองตรองตรึกสำนึกตัว
สรรพสิ่งหลอมมอมมัวเมื่อหวั่นไหว
เพ่งอัตตามองตนว่าเป็นใคร
กลับปรุงแต่งตนใหม่ให้อัตตา
อ้างตนเป็นเช่นนั้นฉันคนนี้
ยึดถือสิ่งที่มีที่ค้นหา
เพียงวูบหนึ่งสิ่งเร้าโรมรันมา
ใจก็ไหวไปว่าน่าจะเป็น
สิ่งที่เคยคิดทำอีกคำพูด
เปรียบดังหวูดรถไฟของเด็กเล่น
อ้างเหตุผลกลใดไม่ละเว้น
แล้วบีบเค้นตัวตนทนทำตาม
ความมุ่งมาดปรารถนาแห่งชีวิต
ความสำเร็จวิจิตรใดเฝ้าใฝ่ถาม
คือเปลวเพลิงร้อนใจในทุกยาม
จนกว่าตนครั่นคร้ามจึงห้ามใจ
จริงแท้เป็นเช่นไรไม่อาจตอบ
ทุกเหตุผลมีกรอบอันบางใส
ลบอัตตาแล้วตรองมองว่าใคร
ตอบแต่สิ่งสะท้อนใดที่ได้มอง