8 กรกฎาคม 2550 13:28 น.
กวีปกรณ์
ที่ว่างเว้นห่างให้คิดถึง
ถักถ้อยเสนาะซึ้งแสนหวาน
ร้อยรวมเรื่องราวแห่งวันวาน
ผสานผสมอารมณ์รัก
ดื่มด่ำดื่นดาวพราวไสว
ระยิบยับจับใจจนประจักษ์
ดุจดาวดวงใหญ่แสนไกลนัก
เพียงเพชรพวงภักติ์พริ้งแพรวพราว
เคยไกลว่าตามองหาเห็น
รักเร้นไร้คนเคียงคืนหนาว
คราพบกลับพรากผ่านบางคราว
มองดาวเด่นแสงจึงแจ้งจินต์
ลมหนาวคราวฝนฟ้าหม่นหมอง
กลายท่วงทำนองไม่สุดสิ้น
อาจแทรกโศกไว้ในฝนริน
คลายรักผกผินโผบินไป
คิดถึงถ่ายทอดอ้อนออดเหงา
ถึงเขาถึงเธอเสมอไหม
"ฟังสิเสียงร้องของดวงใจ
มิเคยหยุดไหวได้สักครา"
3 กรกฎาคม 2550 07:27 น.
กวีปกรณ์
รอยทรงจำยากเลือนคงเตือนอยู่
ครั้งความรักเคียงคู่คอยปลอบขวัญ
อกเจ้าเอ๋ยเคยสุขทุกคืนวัน
มาวันนี้เปลี่ยนผันหวั่นอาลัย
คนกำลังลาจากยากยั้งหยุด
อีกสิ้นแล้วแรงยุดยื้อฉุดไหว
จะสั่งเสียรารั้งหรืออย่างไร
เมื่อเลือกแล้วจากไกลจนใจลา
ยอมจำใจจำนนจำทนทุกข์
ภาพความสุขหลอนใจเพ้อใฝ่หา
กลายเพียงใครคนหนึ่งซึ่งคุ้นตา
ยอมเจียนเจ็บจนกว่าจะชาชิน
ทนท้อแท้, เหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้า
รอจนกว่าดวงใจเจ้าดับดิ้น
ที่อยู่ได้ด้วยน้ำตาพร่างพรมจินต์
หากไม่เหลือแล้วคงสิ้นดวงวิญญาณ
2 กรกฎาคม 2550 07:56 น.
กวีปกรณ์
ตะวัน วาดฝันวางบนทางเท้า
ดวงตาเศร้าโศกสั่นด้วยหวั่นหวาม
ทางที่เลือกเกลือกกลั้วมั่วคาวกาม
หลายคนหยามหยันเย้ยเปรยเปรียบเดน
ก้าวที่กล้ากลัดหนองลำพองไว้
หยาดน้ำตารินไหลไร้คนเห็น
สายฝนหลั่งหลัวฟ้าเมื่อคราเย็น
เมฆสลัวซ่อนเร้นเล่นแสดง
ถูกตีค่าราคาตัวเพียงชั่วครั้ง
ถูกยึดยั้งเหยียบย่ำซ้ำกลั่นแกล้ง
ถูกโกงกัดกินเนื้อเหงื่อน้ำแรง
ถูกสาปแช่งจากคนยังทนทำ
เป็นผู้ชายป้ายเหลืองในเมืองหลวง
ใครต่อใครจับล้วง ลูบ ขยำ
ขึ้นข่มขี่ขืนใจจนระกำ
แม้ศักดิ์ศรีบอบช้ำก็กล้ำกลืน
ลืมตาตื่นแต่จันทร์ ตะวันเห็น
เช้ากลับมืด สายกลับเย็น จำเป็นฝืน
อาหารเช้ากินยามเย็นเช่นทุกคืน
ใครนิทราข้าตื่นต้องเลี้ยงตัว
เงินเก็บออมอดไว้ใช้ยามแก่
อีกส่วนส่งให้แม่จากลูกชั่ว
สักวันจักหยิบฝันอันหมองมัว
ตราบวันนี้ค้นทั่วสลัวลาง
ยังสิ้นแสงแห่งตะวันส่องฝันฟ้า
สายฝนหล่นรินมาแม้ฟ้าสาง
น้ำตาหยดลดกลางระหว่างทาง
ไร้แม้แสงส่องสว่างจางแสงจันทร์
ตะวัน ดับด่าวดิ้นจนสิ้นชีพ
เจ้าจำปีปลิดกลีบอันลีบฝัน
แกร่งกล้ากลับละโหยร่วงโรยพลัน
สูญสิ้นแล้วแสงนั้นอนันตกาล...!!!
30 มิถุนายน 2550 19:33 น.
กวีปกรณ์
พุทธองค์ทรงตรัสจัดจำแนก
หมวดหมู่คนควรแยกออกสี่เหล่า
ตามสติปัญญาค่าหนักเบา
จงไตร่เอาควรคู่เช่นหมู่ใด
อุคฆติตัญญู ผู้ฉลาด
ผู้ซึ่งปราศความเขลาสิ้นสงสัย
ตั้งสติอ่าน,ฟังอย่างตั้งใจ
ก็ผลิบานดอกได้ไสวงาม
วิปจิตัญญู ผู้ใฝ่เรียน
แม้พากเพียรมิเข้าใจจึงไต่ถาม
เพื่อคอยข่มเขลาไว้ไม่ลุกลาม
จึงเบิกบานตื่นตามยามแจ้งจินต์
เยยะ ประเภทผู้รู้บ้าง
หวังเสริมสร้างปัญญาปัญหาสิ้น
ให้แบ่งบานผ่านพ้นสายชลริน
ไร้กิเลสกัดกินหมดสิ้นไป
ปทปรมะ ผู้โง่เขลา
ปัญญาเบายากแจงแสดงได้
มิอาจโผล่พ้นน้ำด้วยทางใด
จำจมในปลักตมทับถมลง
"ยากจักแจ้งแสดงธรรม"
25 มิถุนายน 2550 07:56 น.
กวีปกรณ์
กล่อมกรุงปรุงสมัยจนไกลโศก
ประโลมโลกร้อยเครื่องเฟืองอักษร
ประชาชื่นรื่นรมย์นิยมกลอน
บางบทสอนแทรกคติตำหนิเตือน
ทุกท่วงถ้อยคล้อยตามด้วยหวามไหว
คอยขัดเกลากล่อมใจจนไกลเถื่อน
บทนิราศคลาดนางช่างสะเทือน
น้ำตาเปื้อนปริ่มนองท่วมสองตา
สรรค์นิทานสานนิทราจนล้าหลับ
เหน็ดเหนื่อยกับการท่องไปในโลกหล้า
ผจญภัยใจมนุษย์สุดคณา
ช่างคดเคี้ยวเกรี้ยวกว่าชลาลัย
เป็นต้นแบบบทเรียนให้เขียนอ่าน
สร้างสืบสานวรรณศิลป์มิสิ้นสมัย
บิดาแห่งวรรณรสร้อยกรองไทย
ก้องเกียรติไกรสุนทรภู่ครูกวี