หลังจากการกลับบ้านครั้งนั้นฉันทำอะไรไม่ถูก อะไรก็ดูตันไปหมด มืดแปดด้าน ทำได้แค่เป็นกำลังใจให้ครอบครัว อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร ให้ครอบครัวเราผ่านฝันร้าย ๆ ไปได้ด้วยดี ถ้าวันไหนฉันว่างๆ ตื่นเช้า ๆ ก็จะเดินทางไปทำบุญตักบาตรที่วัดแถวมหาวิทยาลัย ทุกอย่างต้องดำเนินต่อไปฉันยังคิดมากเท่านี้ เสียใจเท่านี้ แต่พ่อ แม่ ยาย ละ ท่านจะคิดมากแค่ไหน ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดเห็นจะเป็นกำลังใจนี่แหละ
อะไรร้ายๆก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น ทุกสิ้นเดือน บ้านเราต้องจ่ายทั้งค่าบ้าน ค่ารถยนต์ 2 คัน และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อีกมากมาย เมื่อทางเลือกของชีวิตเรามีไม่มากนัก ทุกคนจึงตัดสินใจขายบ้านจะได้ไปเริ่มชีวิตใหม่ที่ดีกว่านี้ โดยใช้เวลาเกือบครึ่งปีในการประกาศขายบ้าน คนติดต่อก็มีแต่พอจะซื้อก็ไม่ซื้อ บ้านเรามีอายุกว่า 10 ปีได้ ถึงอายุจะเยอะแต่บ้านสภาพดี ร่มรื่น สะอาด น่าอยู่มากเลยแหละ กว่าจะตัดสินใจขายทุกคนเสียดายมาก ฉันตอนแรกก็ไม่ยอมให้ขาย แต่พอได้มานั่งคิดดูดีๆแล้ว มันเป็นของนอกกายทั้งสิ้น หาใหม่ได้ เริ่มใหม่ได้ ฉันจึงไม่ขัดที่จะขายบ้านกลับดีใจที่จะได้ขายแล้วไปเริ่มชีวิตใหม่ดีกว่าเดิม ทุกคนต่างตั้งหน้ารอคอยการขายบ้านแต่ก็เงียบ ตอนนั้นมันเป็นช่วงปิดเทอม 6 เดือนของทางมหาวิทยาลัย ฉันจึงได้เดินทางกลับบ้าน กะว่าจะไปหางานทำ หาเงินช่วยที่บ้านบ้าง แต่พอจะได้ทำก็ตรงกับช่วงสงกรานต์ ยิ่งสงกรานต์ยิ่งคิดถึงบรรยากาศเก่า ๆ ที่บ้านเราสรงน้ำพระร่วมกัน และร่วมกันรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ที่บ้าน ตอนนี้ขนาดจะเจอแม่ต้องนัดไปเจอกันที่สวนสาธารณะเลย เจอกันทีก็แป๋บๆ ฮ่าย(เสียงถอนหายใจ) ชีวิตเรามันต้องเจออไรอีกเยอะ นี่แค่เริ่มต้นเท่านั้น หลังจากอยู่บ้าน 2 อาทิตย์ฉันจึงตัดสินใจเดินทางกลับมาที่มหาวิทยาลัยเพื่อจะมาหางานทำ หลังจากกลับมา 2 วันฉันก็ได้ทำงานที่ร้านกิ๊ฟชอบแห่งหนึ่งในห้างสรรพสินค้า ฉันได้ค่าแรงวันละ 250 บาท มันก็ไม่มากแต่ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย ส่วนเรื่องที่อยู่ฉันต้องไปอาศัยอยู่กับมีนเพื่อนเก่าสมัยมัธยมศึกษา โดยเป็นหอในมหาวิทยาลัย ไม่เสียค่าใช้จ่าย ห้องก็ไม่ใหญ่เท่าไหร่ ฉันนอนที่หน้าตู้เสื้อผ้า และฉันต้องตื่นมาเตรียมตัวไปทำงานทุก 7 โมงเช้า กว่าจะแต่ตัวเสร็จก็ 9 โมง ห้างเปิด 10 โมงแต่ต้องมาเปิดร้านประมาณ 9 โมงครึ่ง หลังจาที่ฉันทำงานได้อาทิตย์กว่า ๆ ก็ได้สนิทสนมกับเพื่อนของมีน ทุกคนน่ารักและอัธยาศัยดีมาก เป็นกันเองสุด ๆ และฉันก็ได้ไปรู้จักอาจารย์ที่ปรึกษาของเพื่อน อาจารย์น่ารักมาก ท่านเป็นคนพูดตรงๆ ให้คำปรึกษาได้ดี
วันหนึ่งฉันเกิดคิดมาก ร้องไห้หนักเลยจะไปหาเพื่อนที่หออาจารย์ เลยโทรศัพท์ให้มีนลงมารับ เมื่อมีนลงมารับฉัน สิ่งแรกที่ถามคือ “เป็นอะไร ?” แล้วมีนก็กอดฉัน ฉันได้แต่ร้องไห้ มีนจึงพาฉันไปที่ห้องอาจารย์ ตอนนั้นทุกคนกำลังทำงานของตัวเอง แต่เมื่อฉันมองไปที่พื้นของห้อง มีพี่คนหนึ่งกำลังนั่งดูไพ่ยิปซี มีนเลยชักชวนให้ฉันไปดู สิ่งที่ฉันคิดคือ ไหน ๆ ก็มาแล้ว ดูไปก็ไม่เสียหายแถมดูฟรีต่างหาก รุ่นพี่ที่ดูให้ฉัน ทักเรื่องราวต่างๆ ของฉันได้แม่นมาก พร้อมกลับบอกฉันว่า “โทรศัพท์ไปหาแม่บ่อยๆ นะ ทุกวันเลยก็ได้ แม่คิดถึงแกมาก” หลังจากที่ฉันได้ยินคำพุดต่างๆที่รุ่นพี่ได้พูดมา มันทำให้ฉันคิดอะไรได้หลายๆ อย่าง หลังจากดูไพ่เสร็จ อาจารย์ก็ได้ให้ข้อคิดกับฉันว่า “เสียใจได้ ร้องไห้ได้ ทำได้ทุกวัน แต่ในขณะเดียวกันต้องคิดไปด้วยว่าจะทำอย่างไรต่อไป สิ่งที่หนูเจอวันนี้มันเล็กน้อยมาก เรายังต้องเจออะไรอีกมาก เชื่ออาจารย์ ” หลังจากอาจารย์พูดเสร็จ ฉันยกมือไหว้และขอบคุณอาจารย์ สิ่งที่ท่านพูดก็จริงมันดูเลยน้อยสำหรับหลายๆคน มีคนที่เจออะไรที่เลวร้ายกว่าเราอีก ฉันรู้สึกดีขึ้นอย่างบอกไม่ถูกเลย หลายวันต่อมา ฉันโทรศัพท์หายายแล้วให้กำลังใจยายว่า “สุขก็แป๋บเดียว ทุกข์ก็แป๋บเดียว เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ” ยายได้นำประโยคนี้ไปบอกให้แม่ฟัง เมื่อแม่ได้ฟังจึงรีบโทรศัพท์มาหาฉันแล้วระบายความในใจออกมาเป็นเสียงเงียบๆ ที่ไม่พูดอะไร มีเพียงเสียงสั่นๆ ที่ดูเหมือนจะร้องไห้ แม่ถามว่า “ลำบากไหม ? อยู่ได้หรือเปล่า ? เดี๋ยวมันก็ผ่านไปแล้ว” หลังจาที่ฉันได้ยินเสียงและคำถามของแม่ ฉันได้เพียงตอบแค่ว่า “ค่ะ” หลังจากการสนทนาทุกครั้ง ฉันจะนั่งร้องไห้ น้ำตาที่ไหลออกมา มันทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้น
เรื่องขายบ้านยังต้องดำเนินต่อไป ส่วนเรื่องรถ เจ้าหนี้เร่งรัดที่จะให้รีบนำเงินมาคืน แล้วขู่ว่าถ้าไม่รีบน้ำเงินมาคืน จะนำรถส่งไปยังประเทศลาว ถ้าเปรียบชีวิตช่วงนี้เป็นเหมือนเทียนเล่มหนึ่งที่ถูกจุด ปัญหาเปรียบเสมือนลม เทียนเล่มนี้ถูกลมพัดเปลวเทียนแรงมาก ไม่รู้ว่าจะต้านแรงลมได้สักเท่าไหร่ แล้วถ้าวันหนึ่งเทียนเกิดดับลงละ สิ่งที่สำคัญที่สุดในช่วงเวลานี้ คือ กำลังใจ หรือที่พึ่งทางใจ แม่ยังคงไลน์มาหาฉันตลอด ๆ คำถามเดิม ๆ ที่ถาม คือ “เหงาไหม ? อยู่ได้หรือเปล่า ? ลำบากไหม ?” แม่คงเป็นห่วงฉันมาก เป็นห่วงฉันเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนไป วันหนึ่งฉันนั่งทำงานอยู่ที่ร้านขายของ พ่อได้โทรศัพท์มาหาแล้วบอกว่า “ลูกสาว รู้แล้วใช่ไหมว่าพ่อได้ย้ายที่ทำงาน อีก2-3วัน นะ พ่อโทรมาแค่นี้แหละ” หลังจากที่พ่อพูดเสร็จพ่อก็ตัดสายไป ฉันได้แต่อึ้ง พูดอะไรไม่ออก มือไม้สั่นไปหมด จนเมื่อมาถึงวันที่พ่อต้องเดินทาง ยายโทรศัพท์มาบอกกับฉันว่า “วันนี้พ่อเดินทาง โทรไปหาพ่อหน่อยนะ” สิ้นการสนทนาโทรศัพท์กับยาย ฉันจึงโทรศัพท์ไปหาพ่อ โทรศัพท์ไปครั้งแรก ไม่รับ ฉันจึงโทรย้ำอีกครั้งหนึ่ง เมื่อพ่อรับโทรศัพท์ ....
พ่อ :: “ฮัลโล่พ่อขับรถอยู่ ! ”
ฉัน :: ถึงไหนแล้ว ? เอาอะไรไปบ้าง ?
พ่อ :: เพิ่งออกจากบ้าน เอามาเฉพาะเสื้อผ้า กับของที่จำเป็น
ฉัน :: แล้วได้เอาเสื้อกันหนาวไปไหม ?
พ่อ :: “ เอามาบ้าง . พ่อไม่อยู่ดูแลตัวเองด้วยนะ ตั้งใจทำงาน ใช้เงินประหยัด ๆ นะ เดี๋ยวถ้ามีโอกาสพ่อจะกลับมาหานะ”
การคุยกันครั้งนี้น้ำเสียงของพ่อ ที่เหมือนจะเข้มแข็งแต่แฝงไปด้วยอาการที่สั่นมาก ขณะที่ฉันคุยโทรศัพท์ น้ำตาของฉันก็ไหลตลอดการคุย เราไม่เคยจะต้องห่างกัน มันคงเป็นเวรกรรมของเราแท้ ๆ
บทสรุปจะเป็นอย่างไรไม่มีใครรู้ แต่ในเมื่อนาฬิกาชีวิตเรายังเดิน ทุกอย่างยังต้องดำเนินต่อไป ของทุกอย่างเป็นของนอกกาย วันนี้เป็นของเรา พรุ่งนี้อาจไปจากเรา ถ้าจะพิจารณาจริงๆแล้ว ขนาดกายเรายังไม่ใช่ของเรา และนับประสาอะไรกับของพวกนั้น วันที่สิ้นลบไปยังไม่สามารถเอาอะไรไปได้ ถึงบ้านเราจะประสบปัญหาต่าง ๆ นานา แต่มันทำให้เราทุกคนมีโอกาสพูดคุยกันมากขึ้น เรียกได้ว่า คุยกันตลอดเวลาเลยดีกว่า ปัจจุบัน
พ่อยังคงทำงานอยู่ที่ต่างจังหวัด ฉันยังโทรศัพท์ติดต่อกับพ่อทุกวัน
แม่ยังอยู่บ้านญาติ ยังไม่สามารถเข้าบ้านได้ แต่อย่างน้อย ฉันก็ได้เจอหน้าแม่บ้าง
ยาย ยังไปทำงานทุกเช้า และยังคอยดูแลบ้าน ยังอบรมหลานสาว หลานชาย
ฉัน ยังคงทำงาน และส่งเงินไปให้ที่บ้าน ยังคอยให้กำลังใจทุกคน
น้อง ยังคงเตรียมตัวที่จะสอบเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษา สู้ ๆ นะ ไอ้น้อง ^^
การมาอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย มันเป็นฝึกฝนให้ฉันต้องทำทุกอย่างเอง ตัดสินใจเรื่องบางเรื่องเอง ดำเนินชีวิตเอง ช่วงแรกๆก็ยังไม่มีเพื่อนที่สนิทด้วย ทำให้ชีวิตมีแค่คณะกับหอ สองที่ พอตอนเย็นก็ซื้อกับข้าวมากินที่ห้องคนเดียว บอกได้เลยว่าเหงามาก บางวันกินไปร้องไห้ไป เพราะคิดถึงที่บ้าน เวลาที่บ้านโทรศัพท์มาหาก็พยายามทำน้ำเสียงให้หนักแน่เพราะกลัวว่าเค้าไม่สบายใจกัน แต่ในเมื่อชีวิตต้องดำเนินต่อไป เหตุการณ์ต่างๆจะคอยสอนให้เราเข้มแข็ง การได้เข้ามาอยู่คณะแห่งนี้ราวกับฉันที่ได้อยู่โรงเรียน เพราะกิจกรรมหนัก เรียนหนัก แต่สิ่งที่ฉันต้องทำตอนนี้คือ หาเพื่อนใหม่ เปิดเรียนวันแรกฉันเรียบร้อยมาไม่ค่อยพูดกับใคร นั่งยิ้มอย่างเดียว จนเพื่อนเข้ามาคุยด้วย ชวนไปกินข้าว ชวนไปเดินห้างสรรพสินค้า
วันหนึ่งหลังจาที่อาจารย์เช็คชื่อ จึงมีเพื่อนผู้ชายเปิดประตูห้องเข้ามาพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงหอบ
“อาจารย์ครับ ผมลานะครับ” ไอ้อ้วนพูดพร้อมกับสีหน้าที่ซีด
“เอ้า ! เป็นอะไรถึงลา ?” อาจารย์ถามกลับ
“รถล้ม ถนนลื่นครับ”ไอ้อ้วนชี้ไปที่หัวเข่า
อาจารย์จึงบอกว่า “รีบไปหาหมอเลย ลา ลา ”
หลังจากจบคาบเรียนฉันและเพื่อนในห้องจึงชวนกันไปเยี่ยมไอ้อ้วน ดูทุกคนตื่นเต้นเป็นพิเศษ เมื่อทุกคนพร้อมเราจึงเดินทางไปโรงพยาบาล ซึ่งอยู่ใกล้ๆมหาวิทยาลัย โดยฉันกับแว่นได้ตกลงกันว่า แว่นจะไม่เอารถมอเตอร์ไซด์ไป จะซ้อนท้ายฉัน เมื่อถึงลูกคลื่นที่สูงบริเวณก่อนถึงโรงพยาบาล แว่นได้ตกจากมอเตอร์ไซด์ และหมดสติไป ฉันตกใจมาก จึงรีบจอดมอเตอร์ไซด์พร้อมกับลงไปช่วยเพื่อน แว่นชักและกัดฟัดตัวเอง ฉันได้เพียงแต่เรียกสติเพื่อนกลับมาและพยายามงัดฟันเพื่อน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เหตุการณ์มันเกิดขึ้นเร็วมาก ดีที่แว่นฟื้นขึ้นมาแล้วทุกอย่างปกติ แค่รักษาตัว 2 อาทิตย์ หลังจาเกิดเรื่องใครจะรู้ละว่าแว่นกลายมาเป็นเพื่อสนิทฉัน
วันเวลาในมหาวิทยาลัยเร็วมาก ผ่านไปสองเดือนหลังจากที่เรียนมหาวิทยาลัย ฉันอ่านเฟสบุ้กของคนหนึ่งที่พยายามบ่นถึงเรื่องราวต่าง ๆ ไม่ใช่ใครที่ไหน น้องชายฉันเอง ฉันจึงตัดสินใจโทรหายายเพื่อขอทราบถึงปัญหาต่าง ๆ เรื่องมีอยู่ว่า “ตอนนี้บ้านของเราประสบปัญหาการเงินอย่างหนัก ทำให้การใช้จ่ายค่อนข้างลำบาก ให้ฉันประหยัดเงินขึ้น ” เมื่อฉันได้ยินฉันก็รู่สึกไม่สบายใจมาก แต่ก็พยายามไม่เก็บมาคิด เมื่อเรื่องนี้ถูกปิดมาเรื่อย ๆ ฉันจึงพยายามถามน้องชายของตนเอง น้องจึงเล่าเรื่องในฟัง “ว่าคนแถวๆบ้านมาหยิบยืมเงินไปเป็นจำนวนมาก ทำให้แม่ต้องไปกู้เงินรายวัน มาหมุนใช้จ่ายภายในบ้าน” เมื่อฉันได้ฟัง จึงตัดสินใจเดินทางกลับบ้านด้วยรถตู้ เมื่อถึงบ้านฉันก็รู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนไป แม่ไม่สามารถเข้าบ้านได้เพราะ พวกรายวันจะมาเก็บเงินทุกวัน แม่จึงต้องไปอาศัยอยู่บ้านญาติ ฉันทำอะไรไม่ได้นอกจากฟังปัญหาต่างๆ จากยาย แล้วเก็บมาคิด เมื่อเดินทางถึงมหาวิทยาลัย อาทิตย์นั้นเป็นช่วงใกล้สอบฉันไม่มีสมาธิที่จะอ่านหนังสือ ห้าทุ่มของวันหนึ่งฉันได้โทรหาเพื่อนเก่าสมัยเรียน นัดเจอกันที่บันไดหน้าหอสมุด สิ่งแรกที่ฉันทำได้ขณะเจอเพื่อนคือ ร้องไห้และโผลเข้ากอด เพื่อนได้แค่ปลอบใจและถามถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ฉันเลยเล่าให้เพื่อนฉันด้วยอาการที่เสียใจหนัก เพื่อนได้แต่ให้คำปรึกษาว่า “เราเป็นเด็กคงทำอะไรไม่ได้ นอกจากตั้งใจเรียน” ฉันไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร หลังจากวันนั้นฉันก็พยายามตั้งหลักให้ตัวเอง พยายามทำกิจกรรมของทางมหาวิทยาลัย เพื่อที่จะทำให้สบายใจมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ แต่แค่นั้นไม่พอ เรื่องดังกล่าวยาวนานมาจนเกือบถึงครึ่งปี บ้านเราต้องทุกทนกับการกระทำของคนที่เราไว้ใจ หนทางเริ่มเหลือน้อย แม่ตัดสินใจเอารถยนต์ไปรีไฟแนช เอารถเก๋งไปจำนำอีกครั้ง แต่ทุกอย่างก็ไม่ดีขึ้น ฉันจึงตัดสินใจเดินทางกลับไปบ้านแต่คืนก่อนเดินทางกลับไป ฉันได้โทรหาแม่ แล้วถามด้วยน้ำเสียที่สั่นว่า “เราเป็นหนี้เท่าไหร่ ?” แม่ของฉันได้เพียงแค่ “ถามทำไม ถามไปแล้วหาเงินมาได้หรอ”ฉันพยายามถามแม่จนแม่บอกมาว่าเป็นหนี้กับคนนั้นเท่าไหร่ คนนี้เท่าไหร่ รวมๆ ก็หลายเกือบ ๆ ล้านได้ เมื่อฉันได้ยินสิ่งแรกที่คิดคือ โหย! ทำไมแม่ไม่เคยบอกเรา กลัวแต่เราไม่สบายใจ รับความทุกข์ไว้คนเดียว และตัดสินใจที่จะไปถามเรื่องเงินกับคนที่ยืมไปด้วยตัวเองรุ่งเช้าฉันได้เดินทางกลับบ้านโดยรถตู้ ระหว่างที่ฉันนั่งรถตู้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ น้ำตาไหลตลอดทาง คิดประติดประต่อเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น เมื่อรถตู้จอดฉันได้นั่งรถประจำทางไปหาพ่อที่ทำงาน พอถึงที่ทำงานของพ่อ (พ่อย้ายที่ทำงานใหม่ จากการทำผลงานในการจับผู้ร้ายที่จี้เด็กผู้หญิง บริเวณหน้าโรงแรมแห่งหนึ่ง) ฉันได้เดินเข้าไปในที่ทำงานพ่อ พร้อมนั่งอยู่เก้าอี้ตรงหน้าแล้วเอามีค้ำใต้คาง และยิ้ม พ่อเงยหน้าขึ้นมาแล้วตกใจ แล้วคำถามแรกที่พ่อถามคือ “กินข้าวยัง ?” สิ่งที่ฉันคิดในใจคือ ขนาดไม่ได้เจอกันนานเกือบ 3 เดือน คำถามแรกยังมาเป็นห่วงเราด้วยคำถามนี้ ฉันจึงตอบว่า “ยัง” พ่อจึงชวนไปกินก๋วยเตี๋ยวข้างๆที่ทำงานของพ่อ พ่อได้ถามถึงการใช้ชีวิตที่มหาวิทยาลัยของฉัน ว่าเป็นอย่างไรบ้าง พ่อและฉันได้นั่งคุยกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งก๋วยเตี๋ยวหมด ต่อด้วยไอศกรีมโบราณ หลังจากทานข้าวเสร็จฉันก็ขอยืมมอเตอร์ไซด์ของพ่อ พร้อมกับอ้างว่าจะกลับไปเอาของที่บ้าน แต่หลังจากที่ฉันไปเอาของเสร็จ ฉันได้เดินไปที่ข้างบ้าน เพราะนี้คือตัวละครสำคัญทีทำให้บ้านเราต้องประสบปัญหาแบบนี้ ฉันยืนมองที่รั้วหน้าบ้านบ้านดังกล่าว ไม่กล้าที่จะเดินเข้าไป แต่เมื่อคิดย้อนกลับไปว่า เรามาที่นี้ทำไม นั้นเป็นแรงสำคัญที่ทำให้ฉันกล้าที่จะเดินเขาบ้านไป
ฉันได้เดินไปถามแม่บ้านประจำบ้านนี้ว่า
“ป้าสมัยอยู่ไหน ? คะ”
แม่บ้านตอบฉันว่า “ไม่อยู่ อยู่แต่ลุงหมาย ด้านในเลย”
ฉันจึงชะโงกหน้าเข้าไปในบ้านแล้วเรียก ชื่อลุงหมาย
“ลุงหมายคะ ลุงหมายอยู่ไหม ?”
ทันใดก็ได้มีผู้ชายคนหนึ่งออกมานั้นคือลุงหมายนั้นเอง ต่อจากนี้ไปจะเป็นบทสนทนาการพูดคุยระหว่างฉันและลุงหมาย
“สวัสดีค่ะ” ฉันพูดด้วยท่าทางที่โมโหและน้ำเสียงแข็งกร้าว
“อ้าว เป็นไงมาไง มีอะไร ?” ลุงหมายพูดด้วยสีหน้าที่แปลกใจ
“พอดี หนูจะมาถามเรื่องเงินคะ คือตอนนี้บ้านหนูประสบปัญหาหนัก เพราะเงินส่วนหนึ่งได้อยู่กับ ป้าสมัย คือตอนนี้ที่บ้านอยากได้คืนแล้ว รบกวนช่วยหน่อยนะคะ” ฉันพูดพร้อมน้ำตาคลอ
“เอ้า ! ตอนนี้ ผมก็พยายามช่วยอยู่นะ เนี่ยก็เจอเหมือนกันไปหยิบยืมมาให้หมด แล้วผมต้องมาใช้คืนให้ ” ลุงหมายพูด
“หรอคะ คือปกติหนูใช้เงินเดือนละ 5000-6000 แต่ตอนนี้ใช้เดือนละ 2000 ไม่ได้โทษใครหรอกนะคะ แต่มันนานไปไหมกับการไม่รับผิดชอบอะไรเลย ?” ฉันพูดด้วยน้ำสียงที่ประชดประชัน พร้อมกับปาดน้ำตา
ลุงหมายเงียบฟังฉันพร้อมกับตอบมาว่า “นั้นเป็นเรื่องของครอบครัวคุณที่ต้องบริหารจัดการ”
สิ่งแรกที่ฉันคิดหลังจากได้ยินคำพูดนี้คือ ก็บอกมาเหอะว่าจะไม่คืน ทำอะไรไม่รับผิดชอบ
หลังจากนั้นลุงหมายยังอ้างต่อว่า “เนี่ย ! ผมก็ต้องขอเงินลูกใช้เหมือนกัน ”
ฉันคิดในใจว่า จะมาบอกทำไม ? คือลูกก็มีเงินเดือน บางทีก็เป็นหน้าที่ที่ต้องดูแลพ่อแม่นิ !
ลุงหมายยังพูดต่ออีกว่า “เดี๋ยวผมบอกป้าสมัยให้นะ”
หลังจากจบคนพูดนั้น ฉันอยากจะผลักให้ลุงหมายล้มลงไปกองกับเพื่อน สำหรับผู้ชายที่ไม่รับผิดชอบการกระทำของครอบครัวตัวเอง แต่สิ่งที่ทำได้คือ เดินออกจาบ้านหลังนั้นไป พร้อมกับคราบน้ำตาและความโมโห หลังจากนั้นฉันก็ได้นำมอเตอร์ไซด์ไปคืนพ่อที่ทำงาน และแล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น แม่โทรมา
“ฮัลโหล่ แม่ ” คำสนทนาแรกของฉัน
“อ้าว ถึงไหนแล้ว ทำไมไม่โทรหาแม่ละ ?” แม่ถามด้วยความสงสัย
“อ๋อ ๆ ไปเอาของมา กำลังจะโทรหาพอดี คะ ? ” ฉันตอบแม่
“ทำธุระเสร็จแล้วนั่งรถมาหาแม่หน่อยสิ ?” แม่ชวน
“ให้ขึ้นรถไปหาที่ไหน ? ” ฉันถาม
“กุมภวาปี ” แม่ตอบฉัน (กุมภวาปี เป็นอีกอำเภอหนึ่งของจังหวัดที่ฉันอยู่)
หลังจากนั้นฉันก็มายืนรอรถที่หน้าที่ทำงานพ่อ พ่อยืนรอส่งฉันขึ้นรถแล้วจึงเข้าไปทำงาน ความรู้สึกต่าง ๆ มันเกิดขึ้นเร็วมาก สิ่งนั้นคือ ความคิดถึงของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ออกจากบ้านมานานนับ 2 ปี แล้วไม่มีโอกาสที่จะกลับบ้าน ขณะอยู่บนรถประจำทางใครจะรู้ว่าความเป็นห่วงของแม่เกิดขึ้นมากมาย นั้นคือ กลัวฉันนอนหลับขณะนั่งรถประจำทางคอยโทรศัพท์เช็ค ไลน์ถามตลอดการเดินทาง จนกระทั่งฉันลงจากรถประจำทาง แม่รออยู่ที่ร้านล้างรถยนต์ฝั่งตรงข้าม ฉันอยากจะวิ่งไปหาแม่ แล้วโผลกอด แต่สิ่งที่ฉันทำได้เพียงแค่เดินไปแล้วยกมือไหว้แม่ และมานั่งคุยกันกับแม่ วันนั้นที่กลับไปจุดประสงค์หลักคือ ไปถามเงิน รองลงมาคือ คิดถึงทุกคนมาก ๆ หลังจากนั้นแม่ก็พาฉันไปกินก๋วยเตี๋ยว ถึงจะไม่หิวฉันก็ต้องบอกว่าหิว เพราะสงสัยแม่ยังไม่กินข้าว ขณะที่นั่งกินก๋วยเตี๋ยวเราไม่ได้คุยอะไรกัน นอกจากแม่พูดว่า “อร่อยไหม ? ราคาก็ถูก 20 บาทเอง แถวบ้านเราไม่มีหรอก ” ฉันได้แต่พยักหน้าและก้มหน้ากินต่อไปจนหมด หลังจากนั้นแม่จึงไปส่งฉันขึ้นรถเพื่อจะเดินทางกลับมหาวิทยาลัย “แม่ถามฉันว่ามีเงินใช้ไหม ?” ฉันยิ้มให้แม่แล้วตอบว่า “มีค่ะ” แม่หยิบเงินออกจากกระเป๋ากางเกงออกมา 400 บาท แล้วบอกว่า “ อ่ะ คนละ 200 เนาะ ” ฉันตอบกลับว่า “ไม่เอาแม่เก็บไว้ใช้เถอะ หนูมีอยู่ ” หลังจากนั้นรถประจำทางก็มา ฉันจึงยกมือไหว้แม่แล้วขึ้นรถไป ฉันเลือกที่จะนั่งแถวหน้า ๆ เพราะจะได้เห็นทาง หลังจากนั้นฉันก็หยิบกระเป๋าเงินออกมาพร้อมกับควักเงินที่ติดตัวออกมา ฉันเหลือเงินอยู่ 100 บาท ซึ่งก็เป็นค่ารถจำนวน 80 บาทแล้ว โหยอาทิตย์นี้เรามีเงินอยู่ 20 บาทเอง แต่ไม่เป็นไร เงินมีได้มันก็หมดได้เหมือนกันแหละ
## รบกวนแนะนำหน่อยค่ะ
ฉันเป็นลูกสาวคนโต ของบ้านที่มีฐานะปานกลาง บ้านเรามีสมาชิก 5 คน มีพ่อ ทำอาชีพ รับราชการ แม่เป็นแม่บ้าน ยาย รับราชการ
ฉัน กำลังเรียนอยู่ที่โรงเรียนหญิงล้วนเอกชนแห่งหนึ่ง ตลอดระยะเวลา 15 ปี ที่นี้สอนอะไรหลายๆอย่างให้ฉัน และน้องชายกำลังเรียนอยู่โรงเรียนเอกชน เราสองคนอายุห่างกัน 2 ปี บ้านเราเป็นบ้านที่อบอุ่นมาก
เมื่อก่อนเรา อาศัยอยู่ที่บ้านพักที่พ่อทำงาน ทุกเช้า ฉันและน้องก็จะขึ้นรถสวัสดิการของพ่อไปโรงเรียนหรือขึ้นรถประจำทางบ้าง ส่วน แม่จะขายน้ำ อยู่ในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ร้านเราเป็นร้านขายน้ำขนาดใหญ่พอสมควร ยายจะมาเปิดร้านแล้วขึ้นรถประจำทางไปทำงานที่ต่างอำเภอ ตอนเย็นทุกคนจะมารวมกันที่นี้ เพื่อมาช่วยกันเก็บร้าน ส่วนใหญ่เราจะมีโอกาสได้ทานข้าวพร้อมตากัน เพราะพ่อจะเป็นพ่อครัวอาหารอีสานคนสำคัญประจำบ้าน
การประกอบอาชีพเป็นแม่ค้าของแม่ ทำให้บ้านเรามีรายได้วันหนึ่งประมาณห้าพันบาท เงินในการค้าขายแต่ละวัน แม่ก็จะนำไปฝาก เพื่อเก็บไว้ให้ลูกไว้สำหรับเรียน หรือไว้ใช้เวลาจำเป็น
วันหนึ่งเมื่อทุกอย่างลงตัว ทุกคนภายในบ้านจึงตัดสินใจ ที่จะมาซื้อบ้านจัดสรร ใกล้ๆที่ทำงานพ่อ บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่ทุกคนต่างรวบรวมเงินที่มี มาซื้อด้วยน้ำพักน้ำแรง แต่ไม่ได้ซื้อเงินสด พ่อกะจะค่อยๆ ผ่อนไปเรื่อยๆ บ้านหลังนี้เป็นเหมือนบ้านจัดสรรชั้นเดียวทั่วไป 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ แต่แม่ซื้อพื้นที่ข้างบ้านเพิ่ม จึงสามารถ สร้างศาลาไว้สำหรับทานข้าว ฟังเพลงได้ และสร้างห้องครัวแบบกระจก ทุกอย่างในห้องครัวทันสมัยมาก เพราะบ้านเราชอบทำอาหารมาก ทุกเย็นเราจะทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน บนโต๊ะอาหาร ท่านทั้ง 3 จะคอยบอกคอยสอนลูก ถึงเรื่องต่างๆ ในการดำเนินชีวิต
“ เวลาทำกับข้าวให้มาช่วยพ่อกับแม่ทำ เพราะจะได้รู้ว่าต้องทำอะไรยังไง จะได้เป็น ” คำสอนของแม่
เราดำเนินชีวิตในลักษณะนี้จะกลายเป็นกิจวัตรประจำวัน เป็นระยะเวลาเกือบ 5 ปี ทุกอย่างผ่านไปเร็วมาก จนกระทั่งวันหนึ่งแม่ต้องเลิกขายน้ำ เนื่องจากมีปัญหาทางสัญญา และห้างจะปรับเปลี่ยนระบบใหม่ ร้านของเราจึงถูกปิดลง ทำให้รายรับของบ้านเราน้อยลง การใช้จ่ายค่อนข้างลำบาก แต่แม่สามารถบริหารได้ แม่จำตัดสินใจเปิดร้านขายของชำแถวๆหมู่บ้าน แต่การขายของชำครั้งนี้ ไม่ค่อยประสบผลสำเร็จนัก เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ จะเป็นคนสนิท จะไม่ค่อยจ่ายเงิน จะเซ็นต์มากกว่า ตอนนี้ฉันและน้องก็โตขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ค่ายใช้จ่ายก็มากขึ้น ตอนนี้ฉันน่าจะเรียนอยู่ประมาณ ม.3 และน้องชายน่าจะเรียนอยู่ ม. 1 เมื่อการขายของชำไม่ประสบความสำเร็จ แม่ก็เลิกไป เมื่อชีวิตคือการดิ้นรน ทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลง ไปตามกาลเวลา แม่พยายามที่จะหางานทำ จึงได้ไปประมูลขายน้ำที่โรงเรียนของน้องชาย ตอนนี้น้องชายฉันเรียนอยู่ ม.4 แม่ได้ขายน้ำที่นี้ กำไลก็ไม่ได้มากนักแต่ได้อยู่ใกล้น้องชาย คอยดูแลเพราะช่วยนี้ก็เริ่มเป็นวัยรุ่นแล้ว นอกจากที่ทำงานแล้วแม่ก็ไม่ค่อยมีสังคมอะไรมาก มีแค่บ้าน กับที่ทำงาน เมื่อเพื่อนมีปัญหา เดินมาหาเรา เราก็พร้อมที่จะช่วยแก้ไข แม่เช่นกัน เมื่อเพื่อนมีปัญหาก็พร้อมที่จะช่วย ทั้งๆที่ตอนนั้นบ้านเราก็ประสบปัญหาทางการเงิน แม่ได้ให้เพื่อนยืมเงินไป ก็เป็นเงินประมาณ 5 หลัก แต่การยืมไม่ใช่แค่ครั้งเดียว มันสะสมจนกระทั้ง 7 หลัก ไม่ใช่เพียงการยืมเงิน รวมถึงการค้ำประกันต่างๆ การยืมเป็นเพียงการยืมทางวาจา อาศัยความจริงใจ เห็นใจเพื่อนคนนั้นเพราะลูกเพื่อนกำลังเรียนมหาวิทยาลัยใกล้จบแล้ว ใจเขาใจเรา เผื่อลูกเราเรียนมีปัญหาจะได้ให้เขาช่วย นี้คงเป็นคำพูดความคิดของแม่ ในเมื่อแต่ก่อนเราฐานะดีทำให้มีเพื่อนมากมาย ทำให้ภาพการมีเงิน มีรถ 2 คัน กระบะ 1 คัน รถเก๋ง 1 คัน มอเตอร์ไซต์ 4 คัน ภาพเหล่านี้ติดตาทุกคน เมื่อให้แต่ละคนยืมไปช่วงเดือนแรก ๆ ก็ส่งดอกคืน เราก็นิ่งนอนใจว่าจะได้เงินคืน แต่เมื่อเข้าเดือนที่ 5 6 ไม่ส่งดอกเบี้ย ไม่โทรศัพท์มา ไม่บอกกล่าว เมื่อเราถามก็บอกว่าไม่มีทำยังกับเราเป็นคนไปขอเงิน เมื่อเกิดปัญหาการเงินที่ไม่คล่องขึ้น ทำให้แม่ต้องตัดสินใจนำรถเก๋งไปจำนำ เป็นจำนวนเงินหลายแสนบาท แต่ปัญหาก็ยังไม่จบเพียงเท่านี้ ทุกอย่างต่างแย่ลง ทุกคนต่างเรียกสติและหันมานั่งคุยกันและหาทางแก้ไข ทำให้ยายต้องไปกู้ยืมเงินออกมาแต่การกู้ครั้งนี้เป็นเพียงครั้งสุดท้ายและ ฉันก็ไม่ทราบว่าด้วยสาเหตุอะไร ทุกอย่างเริ่มกลับมาเป็นปกติแล้วทุกคนคิดว่าเราจะไม่เจอปัญหาแบบนี้อีก
เมื่อฉันอยู่ ม.6 กำลังจะเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งพ่อ กับแม่ จะคอยบอกเสมอว่า “ฉันเป็นความหวังของหมู่บ้าน”( นี่เป็นคำพูดติดปากของบ้านเรา) ทำให้การสอบครั้งนี้รู้สึกกดดัน ผลการสอบคือ ฉันคะแนนไม่ถึง แต่ได้มหาวิทยาลัยร่วมแทน ทั้งๆที่ฉันมีมหาวิทยาลัยให้เลือกถึง 10 มหาวิทยาลัยที่สอบสัมภาษณ์ผ่าน ฉันก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองอยากเรียนอะไร ทุกคนในครอบครัวต่างคอยถามและเป็นกำลังใจให้ฉันเสมอ โดยเฉพาะแม่ที่พูดเสมอว่า “แม่ไม่เคยบอกว่าให้ลูกเรียนนั้นนี้ อยากเรียนอะไรเรียนเลย เอาอันที่จบมา มีงานทำ หาเงินมาเลี้ยงทุกคนได้ก็พอ ตัวเองเป็นคนเรียนตัดสินใจเลย” เมื่อแม่พูดแบบนี้ฉันจนกลับมานั่งคิดว่าจะทำอย่างไรกับชีวิตดี อันนั้นก็ไม่ใช่ อันนี้ก็ไม่ใช่ กลัวไปหมด เพราะที่เลือกมันหมายถึงชีวิตฉันต่อจากนี้ไปอีก 4 ปี หรือไม่ก็จนกระทั่งจบมาทำงาน ฉันได้ปรึกษากับเพื่อนในกลุ่ม จนวันหนึ่งเพื่อนของฉันชักชวนให้ส่งผลงานเข้าโครงการเด็กดีมีที่เรียน ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ปรากฏว่าฉันสอบติด ยายกับแม่จงพาเดินทางไปสอบสัมภาษณ์ บอกไว้ก่อนเลยว่าที่นี้เป็นที่เดียวที่ แม่พาไปเองเลยนะ การไปสอบสัมภาษณ์หลายๆมหาวิทยาลัยที่ผ่านมา ฉันจะเดินทางไปเอง เพราะแม่เคยบอกไว้ว่า “ลูกต้องทำได้ทุกอย่าง เพราะพ่อ กับแม่ไม่ได้อยู่ด้วยจนวันตาย” เมื่อวันประกาศผลสัมภาษณ์มาถึง ปรากฏว่าฉันเป็นเพียงคนเดียวที่ผ่านการสัมภาษณ์ นี้เป็นความภูมิใจก้าวแรก ฉันดีใจมากที่ทำให้ทุกคนในบ้านมีความสุขได้ขนาดนี้ เมื่อใกล้เปิดเรียนในมหาวิทยาลัย ที่บ้านก็ได้เตรียมเงิน เตรียมความพร้อมทุกอย่างในการให้ฉันมาเรียนที่มหาวิทยาลัย ดูท่าทางทุกคนตื่นเต้นกันมาก เมื่อฉันมาเรียนมหาวิทยาลัยได้ 2 อาทิตย์ จาก 16 ปีที่อยู่บ้านตลอด อยู่กับพ่อแม่ตลอด มียายเป็นที่ปรึกษาในทุกๆ เรื่อง การมาเรียนในมหาวิทยาลัยครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปเปลี่ยนไป