อยู่คนเดียวเที่ยวไปใจว่างเปล่าถึงเคยเหงาหงอยบ้างก็จางหายจนเธอมาปลุกฝันปั้นนิยายด้วยมากมายหลายหลากฉากระทึกจึงนิยามความเป็นเธออย่างเผลอไผลด้วยหลายนัยใหม่เก่าเรารู้สึกจากการคิดทบทวนหวนย้อนนึกที่ผนึกลึกลงความทรงจำเธอเป็นคนแสนดี คนขี้เล่นไม่ว่างเว้นล่อหลอกหยอกให้ขำเป็นคนที่ถักทอช่อดอกคำเป็นลำนำคิดฮอดให้กอดชมเป็นแรงบันดาลใจ คนในฝันเป็นทั้งผู้รังสรรค์ฝันสวยสมเป็นคนคอยปลอบปลุกยามทุกข์ตรมเป็นผ้าห่มกาพย์กลอนอันอ่อนโยนเป็นคู่ซ้อมแบดมินตัน อันเข้าขาเป็นเงาะล่อรจนาด้วยท่าโขนทำใบ้แบบแลบลิ้นปลิ้นตาโปนเป็นทโมนพาย่องเที่ยวส่องนกทั้งเป็นความอบอุ่นอันคุ้นยิ่งให้แอบอิงอุ่นไอในอ้อมอกช่วยคลายหนาวคราวสั่นจนงันงกไออุ่นปกหัวใจด้วยไมตรีเป็นกำลังแรงใจในวันล้าเป็นแสงจ้าสีทองส่องวิถียามงกเงิ่นเดินบนถนนกวีเป็นความฝันแสนดีที่สวยงามเป็นอื่นใดย่อยปลีกอีกก็ได้ที่ว่างไว้ตรงนี้มีคำถามถ้าจะเป็นใดต่อ เติมข้อความ...................................................................................................................................................................................
ยังมีเยื่อสายใยไมตรีจิตดึงหัวใจใกล้ชิดยามมิตรห่างห่วงพะวงส่งไปไม่เคยจางอวยพรให้พลางพลางระหว่างพะวงหวังให้เธอพ้นผ่านช่วงงานหนักอุปสรรคหักยุ่ยเป็ยผุยผงให้เธอได้ชูคออย่างทระนงยืนดำรงคงที่ไม่มีซวนฝากห่วงใยข้นเข้มไปเต็มที่เจือหวังดีปลอบปลุกแทรกทุกส่วนให้การก้าวไปข้างหน้าที่ท้าทวนมิมีใดก่อกวนชวนละวางอุปสรรคชีวีมีกระแสชวนให้แพหัวใจไหลลงล่างการต่อสู้คู่ควรเดินสวนทางไปท่ามกลางคลื่นเห่ทะเลชีวิตยามพัวพันงานใดในสนามนั่นคล้ายกับสงครามที่ตามติดอย่าห่วงหลังตั้งใจไปพิชิตสำเร็จกิจมิตรข้างหลัง...ก็ยังรอ
ฉันรู้จักเธอดี "คนขี้เล่น"ไม่วายเว้นเล่นสนุกทุกวันวี่ฉันเชื่อมาเสมอเธอแสนดีแต่ชอบอำทำทีตีหน้าตายอย่าเลยอย่ามายั่วให้หัวปั่นเรื่องจะยั่วหัวฉันนั้นอย่าหมายฉันมีมุมซุ่มแอบอย่างแยบคายเพทุบายตื้นไปไม่ได้กินกลอนรัก(คน)กลกลอนอำนำเสนอเพราะว่าเธอรู้ทันฉันใจหินที่สำคัญฉันฟังมาจนชาชินพูดอีกสักร้อยลิ้นก็ชินชาหรือเป็นเพราะเป้าหมายมิใช่ฉันเล่นเย้าหยอกหลอกปั่น(หัว)ใครกันหนาหรือเพราะเธอนั้นเห็นฉันเป็นปลาตายน้ำตื้นขึ้นมา หรือว่าไร ?หมายสวรรค์ฉันผ่านยานอวกาศหากมิเป็นวิทยาศาสตร์ อาจเหลวไหลเพราะรู้ว่าสวรรค์นั้นแสนไกลฝันพาไปไม่ถึง...หากพึ่งพานั่งอ่านไป ไยหัว ตัวสับสนกลอนรักคน คนรักใคร ใจปุจฉาเขียนให้งง คงเล่นกล ค้นปัญญา"แอบเห็นตา ขี้เล่น เต้นระยิบ"
ตุณตาผิดคาด ต้นหัวผักกาดปลูกไว้ใกล้บ้านในช่วงเวลา ไม่ช้าไม่นานทั้งใบทั้งก้าน โตวันโตคืนเป็นผักกาดยักษ์ ใครเห็นใครทักทำหน้าตาตื่นคุณตาดึงฉุด มันสุดขัดขืนกี่ครั้งยังยืน ต้นอยู่บนดินมันไม่ขยับ ก็ต้องบังคับคุณตาอยากกินยายถอนไม่หลุด เหมือนฉุดแท่งหินเมื่อหลานได้ยิน รีบมาช่วยดึงหลานไปตามหมา หมาตามแมวมาหนูอีกตัวหนึ่งต่างรวมพลัง ฉุดรั้งขังขึงฮุยเล ! ดึง ดึง ฮุยเล! ฮุยเล!ต้นผักกาดยักษ์ ขยับขยักหลุดมา ฮาเฮคุณยายยินดี ไม่มีรวนเรคุณตาโมเม เชิญอยู่ร่วมงานหัวผักกาดยักษ์ กลับกลายเป็นผักบนโต๊ะอาหารอร่อยเอร็ด เสร็จรับประทานก่อนกลับไปบ้าน อิ่มท้องทุกคน
ดั้นด้นมาที่นี่กระวีกระวาดเพือโอกาสหัวใจอาจใฝ่อาจฝันมิใช่เพื่อถูกบีบจนตีบจนตันเพราะมิรับสัมพันธ์พิลั่นพิลึกไม่อาจยอมรับรักพิพักพิพ่วนโดยกระบวนรู้จักกระอักกระอึกเห็นเพียงชื่อหรืออกระทกระทึกความรู้สึกของใครปานไฟปานฟืนจะสร้างรักควรยื่นคำชื่นคำชมแทนการใช้อารมณ์มาข่มมาขืนจะคบใครจริงจังให้ยั่งให้ยืนมิควรฝืนจนมิตรระอิดระอาบรรยากาศการพบควรอบควรอุ่นความเมตตาการุญมีคุณมีค่าการหมายปองครองคู่ใช่ปูใช่ปลาอันซื้อหาที่ชอบมาครอบมาครองเขียนกลอนรักจงใจให้ไหวให้หวานให้ผู้อ่านเอมอิ่มชวนยิ้มชวนย่องมิได้แถมแก้มอิ่มให้ลิ้มให้ลองแค่ร้อยกรองสะกิดต้องจิตต้องใจรักเถิดรักบทกวีที่สร้างที่สรรค์แต่อย่าฝันละเมอจนเผลอจนไผลแม้กลอนจะอบอุ่นละมุนละไมแต่มิใช่หัวใจละไมละมุน....................................กลบทสะบัดสะบิ้ง มีข้อบัญญัติเพิ่มจากกลอนทั่วไปคือ1)กำหนดให้ช่วงหลังของกลอนแต่ละวรรคมี 4 คำ2)ใน 4 คำนั้น ให้คำที่ 1 กับ 3 ซ้ำกัน และให้คำที่ 2 กับ 4 เป็นสัมผัสอักษร3)ให้คำท้ายของช่วงกลาง สัมผัสสระกับคำที่ 2 ของช่วงหลัง ในแต่ละวรรคของกลอนอ้างอิง ใน กลบทศิริวิบุลกิตติ์ และ จารึกวัดพระเชตุพนฯ