ชีวิตข้าอาภัพอัปภาคย์เพราะมีปากมีเสียงเถียงไม่ได้ถูกมนุษย์ตราหน้าว่าอย่างไรต้องจำใจจำยอมน้อมหัวรับเรียกไอ้ตูบ ไอ้ด่าง หรือนางดอกนามกระจอกสรรหามาโขกสับขึ้นอีไอ้ได้ฟังใจพังยับเขาถมทับบีฑาข้าทำไมพอเกิดความเอ็นดู อุ้มชู โอ๋พอโมโหเตะข้า ..อย่ามาใกล้!ถึงเป็นหมาข้านี้มีหัวใจเหตุผลใดใช้ข้ารองอารมณ์ใช่เลี้ยงข้าอ้วนพี หรือดีเด่พอเกเร กักขฬะ ก็จะข่มเพียงให้เศษอาหาร ทานอาจมแถมทับถม "เศษข้าวปลาหมาชอบกิน"พอมีเนื้อเอื้อมาแล้วข้าเลือกมิกระเดือกข้าวปลาก็ว่าหมิ่นใช้น้ำคำทำร้ายป้ายมลทินเป็น "หมาสิ้นกตัญญูไม่รู้คุณ"ลำเลิกอย่างปวดร้าว "หลงคาวเนื้อ"ลืมข้าวเหลือจานเก่าที่เขาขุนครั้นกินข้าวจานเก่าเขางงงุนว่าโง่เขลาเต่าตุ่นขุนสิ้นเปลืองผิดตรงไหนที่กำเนิดเกิดเป็นหมาจึงชั่วช้าจัญไรไปทุกเรื่องหรือว่าข้าหอนเห่าให้เขาเคืองจึงวางเขื่องเหยียดหยามประณามกันแม้ข้าซื่อถือตรงเฝ้าจงรักข้าก็มักได้ยินคำหมิ่นหยันว่า "คนซื่อเหมือนหมา "ด่าแดกดันข้างงงันมนุษย์สุดบรรยายยิ่งข้าสร้างวีรกรรม...ทำเท่าไหร่มิมีใครนิยามเทิดความหมายแม้จะพลีชีวารักษานายก็เพียง "ตายอย่างหมา" ค่าไม่มี
บ้านนี้คนมากมายทั้งชายหญิงร่วมบ้านจริงแต่คล้ายมิใช่บ้านมีที่ให้แอบหลบหรือพบพานทุกคนวาดวิมานเป็นงานประจำที่รู้จักทักทายคล้ายมิรู้จักแต่ก็มักคอยกันวันยังค่ำเจอก็เฝ้าเย้าหยอกหรือหลอกอำบ้างก็ทำเมินเมินจนเกินไปบ้านนี้แม้นแดนสวรรค์คนฝันเฟื่องยกเอาเรื่องร้อยพันมาฝันใฝ่จะยกเมฆเสกฝันนั้นอย่างไรยังมีใครบางคนทนให้ดาวบ้านนี้คือสวรรค์ฉันเคยเสกมีพระเอกแสนดีขี่ม้าขาวให้เป็นผู้รังสรรค์ฝันสกาวสร้างเรื่องราวเธอ-ฉันวันเราเจอแต่น้ำใจน้ำจิตใช่คิดฝันความผูกพันรู้สึกดีมีล้นเอ่อทุกทุกสิ่งที่เกิดล้วนเลิศเลอยิ่งกว่าเจอใครใครในโลกจริงจึงได้เขียนบันทึกเพื่อนึกย้อนด้วยอาวรณ์อาลัยอย่างใหญ่ยิ่งในความสุขทุกห้วงช่วงพักพิงคราแอบอิงพิงฝันสวรรค์ใจ
เธอคือคนสำคัญในวันนี้วันที่สีเบื้องหน้าฟ้าสว่างวันที่เมฆสีเทานั้นเบาบางจนมองเห็นเส้นทางกลางพงไพรจักจั่นเริ่มบรรเลงเพลง "ไม่เหงา"ลมแผ่วเบาเกินไล้ใบไม้ไหวดอกหญ้ามีความหวังกำลังใจจะสู้ภัยในเส้นทางอย่างอดทนเคยซบร่างบางเฉียบเขาเหยียบย่ำเคยต้อยต่ำกว่าดินทรายมาหลายหนจะหยัดร่างโผล่หัวเป็นตัวตนจะยืนต้นพ้นตมสังคมกวีแม้อยู่ห่างร่างกายมิได้ชิดเพราะต่างมีชีวิตเกิดผิดที่แต่ในฝันนั้นเหมือนเพื่อนที่ดีเหมือนดนตรีกล่อมกมลคนซึมเซาเหมือนสายฝนปนลมพรมยอดหญ้าที่อ่อนล้าซีดเซียวคลายเหี่ยวเฉามีเรี่ยวแรงแข็งขืนยืนสั่นเทาด้วยยังเมาทรมานที่ผ่านไปจะยืนตรงทรงกายในภายหน้าด้วยเมตตาปรานีที่เธอให้มิถึงคอยประคองปกป้องภัยเพียงมีใจให้อิงอุ่น...เป็นบุญแล้ว
จะทำความเข้าใจใครคนหนึ่งให้ลึกซึ้งทุกประเด็นเป็นเรื่องใหญ่แค่มองผาดมองเผินเพลินเพลินไปหรือเข้าใจถูกต้องอย่างถ่องแท้ตาเรามีจงลองมองดูเถิดมองให้เกิดภาพชัดถนัดแน่มองให้เห็นภาพนั้นไม่ผันแปรมีข้อแม้บางคราตาหลอกตนหูเรามีไว้ฟังทั้งสองหูมีสองรูเปิดรับเสียงสับสนต้องหูไวหูผึ่งจึ่งทันกลยินทุกหนไม่ควรด่วนหูเบามือเรามีบางโอกาสอาจสัมผัสใช้จับวัดเล็กใหญ่อย่างไรเล่ามีโอกาสจงสัมผัสจับวัดเอาแต่ยามใช้มือเราต้องเบามือและยังมีสมองตรองพินิจว่าถูกผิดท้วงติงว่าจริงหรือหรือว่าหูมารยาหรือตาปรือหรือว่ามือกลับกลอกบอกสิ่งใดยังต้องมีความอยากที่มากล้นจึงเกิดความอดทนจะค้นไขถ้าความอยากมากพอมิท้อใจพากเพียรไปแม้ความยากจะมากมายถ้าหากอยากเข้าใจอาจไม่ยากถ้าไม่อยากเข้าใจคงไม่ง่ายบางคนอยากเข้าใจใครสักรายจนวันตายยังไม่เข้าใจเลย
ความรู้สึกที่ใจไหลทะลักเมื่อทั้งเก็บก็หนักกักไม่ไหวอาจมิมีสารัตถะ สาระใดเพียงส่วนเกินภายในไหลออกมาเป็นอารมณ์ไหลหลากจากผู้เขียนซึ่ง พากเพียรกรองความตามปรารถนาด้วยถ้อยคำวิจิตรผิดธรรมดาอันอาจพาผู้อ่านสะท้านสะเทือนโดยความคิดสอดคล้องจากสองฝั่งยามอยู่ในภวังค์ดังเป็นเพื่อนแต่ต่อมาภารกิจก็บิดเบือนเมื่อเสมือนบทกวี...มีชีวิตเป็นอิสระจะหาคนที่ทนอ่านและเข้าใจวิญญาณการลิขิตเห็นหน้ากันและกันวันเพ่งพิศเอมอิ่มเอมเปรมจิตยามคิดลาใต้ม่านฝนหม่นสลัวชั่วเปล่าเปลี่ยวในบางเสี้ยวภวังค์จิตอนิฏฐา*ในอ่อนแอแพ้โลกโชคชะตาแม้แต่คราสุขสันต์นั้น...บางทีอะไรหนอที่จะสว่างวาบและกำซาบอาบเข้มได้เต็มที่เท่าอยู่ในอ้อมแขนเพื่อนแสนดี"บทกวีโอบคุณละมุนละไม"( * ไม่น่าพอใจ )