เรากำลังนั่งชมทัศนียภาพของทะเลยามบ่าย อยู่บนศาลาคนเหงาใต้ร่มสนซึ่งเป็นชื่อศาลาที่ฉันตั้งเอง เพราะฉันชอบมานั่งเหงาอยู่ที่นี่เป็นประจำ แต่วันนี้่มีเขาอยู่ด้วย ท่ามกลางแสงแดดบ่ายแก่ ๆ ซึ่งไม่ยอมลดราวาศอกให้กับสายฝนหล่นปรอย ๆ เลย แสงแดดอาบน้ำสวยงามอย่างประหลาด ทันใดนั้นรุ้งสองตัวก็ปรากฎขึ้นอย่างชัดเจนเหนือพื้นน้ำสีครามของทะเล" ดูรุ้งซิคะ สวยจัง วันนี้มีสองตัวด้วย" เสียงพูดค่อนข้างตื่นเต้นของฉันทำให้เขามองตามทันที" ดูตัวล่างก่อนซิ สีอะไรอยู่ล่างสุด " เขาถาม" สีม่วงค่ะ ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง ไม่ต้องมาลองภูมิเลยฉันท่องมาตั้งแต่ชั้นอนุบาล"" แล้วดูรุ้งตัวบนซิ สีอะไรอยู่ล่างสุด " เขาต้องมีสิ่งที่อยากให้ฉันรู้แน่ ๆ เพราะเขาเรียนวิทยาศาสตร์มามากกว่าฉัน ฉันจึงหันไปพิจารณารุ้งตัวบน" รุ้งตัวบนแถบสีแดงอยู่ล่างสุด กลับกันกับตัวแรก แปลกจังนะคะ ไม่เคยสังเกตเลย " ฉันตอบพร้อมบ่นไปในตัว ว่าฉันปล่อยให้เรื่องที่ควรรู้นี้ ผ่านตาไปได้อย่างไร"อาจเป็นเพราะเราไม่ค่อยได้เห็นรุ้งสองตัวพร้อมกันบ่อย ๆ แม้แต่รุ้งตัวเดียวบางทีก็เห็นไม่ครบเจ็ดสี " เขาไม่อธิบายว่าเพราะบางแถบสีของรุ้งกลืนกัน แต่เมื่อเห็นฉันยังไม่ละสายตาจากรุ้งจึงถือโอกาสพูดต่อว่า "ที่จริงรุ้งเกิดได้มากกว่าสองตัวในเวลาเดียวกันแต่ในธรรมชาติเราเห็นได้เท่านี้ "" แล้วที่เห็นมากกว่าสองตัว เห็นมาจากที่ไหนคะ"" ในห้องทดลอง " เขาตอบหน้าตาเฉยแต่รุ้งนั้นพาใจฉันย้อนเข้าสู่ปัญหาระหว่างฉันกับเขาจนได้ ฉันเป็นคนที่บูชาความรักถ้าฉันรักใครแล้วจะให้เปลี่ยนใจเป็นเรื่องที่แสนยาก ฉันเคยเขียนบทกวีนี้ให้เขา"แม้จะเกิดต่างศักดิ์หากรักมั่นเรื่องการต่างชนชั้นใช่ปัญหามิควรใช้วาที ตีราคาเพราะคุณค่าความรัก...ศักดิ์เท่ากัน"ด้วยหัวใจรักอันเต็มเปี่ยม ที่ไม่มีวันยอมให้ใครมาพรากความรักของฉัน ด้วยเหตุผลน้ำเน่าเรื่องความต่างศักดินา เหมือนยังอยู่ในยุคเจ้าขุนมูลนายอย่างเด็ดขาดระบบศักดินาถูกยกเลิกไปตั้งนานแล้ว อย่าเอาเรื่องนี้มาเป็นกำแพงกั้นเราอีกเลย ยิ่งเขาชอบใช้คำพูดเปรียบเปรย ว่าเขาเหมือนกระต่ายหมายจันทร์ด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ฉันน้อยใจรู้สึกเหมือนเขากำลังบอกเลิกทางอ้อม โดยใช้คำพูดที่ชี้ว่า ปราการที่กั้นเขาออกจากฉันนั้นคือศักดินา" เห็นรุ้งแล้วเศร้าค่ะ" ฉันพูดเบา ๆ ทอดสายตาฝ่าม่านฝนปรอยๆ กลางแสงแดดอ่อนของยามบ่ายภายนอกอย่างหวั่นไหว ฉันพูดประโยคนั้นแล้วก็นิ่งไปนาน เพราะรู้สึกตีบตันจนพูดไม่ออก นานจนเขารู้สึกผิดปกติ" คิดอะไรอีกหล่ะ " เขาถามน้ำเสียงจริงจัง" ฉันกำลังกลัวค่ะ " ฉันตอบเสียงเหมือนจะร้องไห้ "กลัวว่าเรื่องของเราจะเป็นเหมือนเรื่องรุ้ง " คำพูดที่จะพูดต่อถูกกลืนลงไปในคอ" เรื่องเป็นยังไง เล่ามาก่อนสิ ถึงจะบอกได้ว่าเหมือนหรือเปล่า " เขาพูดพร้อมกับมองหน้าฉันนัยน์ตาอย่างนั้นบอกว่าฉันไม่มีทางเลี่ยงเลย" เรื่อง รุ้งกินน้ำ ค่ะ ตามความเชื่อของชาวอาทิวาสี ชนดั้งเดิมในแคว้นอัสสัม""ในประเทศอินเดีย " เขาต่อคำพูดของฉันอย่างคนมั่นใจในคำพูดเต็มที่" ค่ะ ครั้งนั้น เจ้าชายภาคนภา ซึ่งอยู่บนฟากฟ้าได้ก้มมองลงมาเห็นความสวยสดงดงามของเมทินีดล เธอเกิดความพิศวาส จึงยื่นหัตถ์แห่งความรักลงมาประทานให้เมทินีดลก็ตอบสนองความรักอย่างเต็มอกเต็มใจ จึงตกลงนัดกันจะเข้าสู่พิธีวิวาห์ค่ะ"" แต่ต้องรอฤกษ์ใช่ไหม ? " เขาถามเพราะเป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าการแต่งงานต้องหาฤกษ์หายาม"เมื่อผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายปรึกษากับโหราจารย์แล้ว จึงเลือกเอาเวลาเที่ยงคืนเป็นเวลามงคลอุดมฤกษ์เพื่อประกอบพิธีวิวาห์ค่ะ""การแต่งงานไม่ว่ายุคไหน เป็นงานใหญ่เสมอ ทั้งสองฝ่ายคงเตรียมงานอย่างใหญ่โตมโหฬารละซี" เขาเสริมอย่างคนที่รู้จักโลกเป็นอย่างดี" ทั้งเจ้าบ่าว เจ้าสาว เตรียมเสื้อผ้าอาภรณ์อย่างวิจิตร สำหรับเจ้าสาวนอกจากเตรียมทั้งเครื่องทองรูปพรรณ เพชรนิลจินดา แล้ว เธอยังร้อยกรองพวงมาลัยขึ้นด้วยบุปผานานาพรรณเพื่อเตรียมไว้คล้องคอ ให้แก่เจ้าบ่าวเมื่อขบวนแห่เจ้าบ่าวมาถึง ค่ะ"ฉันอธิบาย แต่เมื่อเห็นเขาฟังโดยไม่แสดงความคิดเห็นใด ๆ ฉันจึงถือโอกาสอธิบายต่อ"เพราะการเตรียมงานอย่างเอิกเกริกนี้เอง พวกพ่อค้า แขกเหรื่อจากหัวเมืองต่างก็เดินทางมาเพื่อวัตถุประสงค์ของตน แต่ทำให้มนุษย์เกิดความวิตกอย่างยิ่ง เพราะตระหนักดีว่า เมื่อผ่านพิธีแต่งงานแล้ว เมทินีดลจะต้องย้ายไปอยู่กับภาคนภาเบื้องบน ค่ะ""แล้วมนุษย์ทำยังไง ?" เขาถาม"พากันไปเฝ้าเทวดา ขอให้ช่วยขัดขวางพิธีแต่งงานนี้ค่ะ""ตามเคย มนุษย์พออับจนเข้าจริง ๆ ก็ต้องพึ่งเทวดา" เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ฉันตีความหมายไม่ได้ว่าเห็นใจมนุษย์หรือบ่น"เทวดาท่านเวทนามนุษย์ค่ะ เพราะท่านมองเห็นชะตากรรมของมนุษย์มาตลอดไหนจะต้องเผชิญกับความวิปริตผิดธรรมชาติของฤดูกาล ไหนจะดินฟ้าอากาศที่ร้อนหนาวหนักหนาสาหัสสากรรจ์แล้วจะต้องเจอกับสภาพที่ฟ้า-ดิน ปลีกตัวไปหาความสุขด้วยการแต่งงานเสียอีก ท่านจึงวางแผนการช่วยเหลือมนุษย์ทันที " ฉันหยุดพูดไปดื้อ ๆ"ไม่เล่าต่อได้ไหมคะ ? "" เทวดาไม่ได้ทำอะไรร้ายแรง ไม่ใช่เหรอ " เขาทั้งเดาและถามในประโยคเดียวกัน"ถึงคืนวันที่นัดแต่งงาน ขบวนเจ้าบ่าวก็แห่แหนลงมา ระหว่างนั้นสังคีตของดนตรีปี่พาทย์ก็บรรเลงขับกล่อม คณะปุโรหิตาจารย์ต่างก็ร่ายมนต์ เพื่อความสวัสดิมงคลอยู่ภายในห้องที่จะจัดพิธีเจ้าสาวก็ถือพวงมาลัยรอ บรรดาเทวดาก็เตรียมลงมือทำตามแผนอยู่เหมือนกัน คือพระวิษณุทรงจำแลงเป็นไก่แจ้ ซุ่มคอยอยู่บนหลังคาบ้านของเจ้าสาว ""เทวดาจะทำอะไร ? " เขาถามเพราะฉันอาจเล่าช้าไม่ทันใจ" พอได้เวลาฤกษ์มงคล ขบวนแห่เจ้าบ่าวย่างเข้าเขตบ้านเจ้าสาว ไก่แจ้จำแลงก็ส่งเสียงขัน เอ้ก-อี-เอ๊ก- เอ๊ก ! ความโกลาหลอลหม่านก็เกิดขึ้น แขกเหรื่อต่างอุทานเป็นเสียงเดียวกันว่า จวนสว่างแล้วนี่ เลยเวลาเที่ยงคืนแล้ว หมดเวลาที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวจะได้แต่งงานกันเสียแล้ว ! แขกเหรื่อต่างพากันกลับ เทวดาเข้ามาห้อมล้อมอุ้มเจ้าบ่าวกลับคืนสวรรค์ ""เทวดาเล่นแรงไปนะนี่ " เขาออกความความเห็น"เมทินีดลยืนคว้าง น้ำตานองหน้า มือถือพวงมาลัยค้างอยู่ในท่าที่เตรียมจะคล้องคอให้เจ้าบ่าว " แม้ฉันพยายามพูดด้วยเสียงปกติ แต่รู้สึกเหมือนอะไรติดคอ ทำให้เขารู้สึกได้"อ้าวแล้วกัน จะเป่าปี่เสียแล้ว " เขาบ่นฉัน กึ่งปลอบ"ไม่เล่าต่อก็ได้นะ " คราวนี้เขาเป็นฝ่ายโอนอ่อนเห็นใจฉัน" เจ้าสาวผู้ค้างการวิวาห์ร้องไห้ปานจะขาดใจ แต่ทุกอย่างสายไปหมดแล้ว เพราะอุดมมงคลฤกษ์ ได้ผ่านไปแล้วอย่างมิมีวันคืนหลัง เธอจึงใช้ความพยายามครั้งสุดท้ายเหวี่ยงพวงมาลัยที่ถืออยู่ ขึ้นไปบนฟ้าสุดแรงเกิด พวงมาลัยแห่งพิธีวิวาห์ลอยขึ้นไปสวมคอภาคนภาผู้เป็นเจ้าบ่าวได้พอดิบพอดี ค่ะ""ไม่น่าให้ฤกษ์ยามมาเป็นอุปสรรคอย่างนี้เลย" เขาบ่น"เดี๋ยวนี้คู่แต่งงานทุกคู่ก็ยังถือฤกษ์ถือยามกันอยู่นี่คะ" ฉันแย้ง"นั่นนะซี " เขาพูดอย่างที่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรมากกว่านี้"คู่รักคู่นี้รักกันเหลือเกิน แม้จะไม่ได้แต่งงานกัน ยามไหนที่ภาคนภากำลังรำลึกถึงเมทินีดล เธอจะสวมพวงมาลัยเจ็ดสีอันสดสวยวิจิตรนั้น แล้วร้องไห้ จนน้ำตาไหลรินลงต้องกายเมทินีดล เป็นเครื่องหมายแห่งความเศร้าสลดของฟ้าสูง-แผ่นดินต่ำ ค่ะ และคำพูดนี้จะยังคงอยู่ชั่วนิรันดร ตราบใดที่คุณยังคิดว่าคุณเป็นกระต่าย " ฉันจบเรื่องเศร้านั้นด้วยวกเข้ามาสู่เรื่องของเรา และทันได้เห็นเขาหลบสายตาฉันแสดงว่าไม่มีข้อโต้แย้งอวสาน อวสาน อวสาน
"จิตในห้วงจินตนาออกมาเห็น พระจันทร์เพ็ญเด่นดวงในห้วงฝันกระต่ายร่ายสำนวนชวนชมจันทร์ และเป็นฉันที่สมควร...ถูกชวนชมกลางสายลมพรมพร่างน้ำค้างฉ่ำ หวานลำนำค่ำวันจันทร์สวยสมฟังกระต่ายร่ายมนต์จนหลงลม มานั่งชมจันทร์เพ็ญเป็นเพื่อนเธอ""คืนนี้พระจันทร์สวยเหลือเกิน "ฉันนั่งหลังอิงโคนต้นไม้ แหงนมองพระจันทร์ด้วยดวงตาว่างเปล่า ข้อความเหล่านั้นเป็นการหวนนึกถึงอดีต ที่เคยทำให้ฉันมานั่งอยู่ตรงนี้ ในบรรยากาศคล้ายคืนนี้ โดยมีเขานั่งอยู่เคียงข้าง พระจันทร์คืนนั้นสวยงามอย่างที่สุดจนฉันอดไม่ได้ จึงเผลอพึมพำประโยคนั้นออกมา แม้ว่าความจริงเรานั่งอยู่ในบรรยากาศของคืนวันเพ็ญเท่านั้น ดวงตาของเราไม่ค่อยได้แหงนมอง เพื่อจะซึมซับความงามของดวงจันทร์เท่าไหร่เลย แม้แต่ภูมิทัศน์ท้องทุ่งรอบกายที่ควรจะดึงดูดสายตาจนไม่อาจจะละไปได้ ก็ไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร สายตาของเรามักจะหันมาจับจ้อง อยู่ที่คู่สนทนาเสียมากกว่า แม้ว่าแสงสว่างอันเลือนรางใต้เงาไม้ที่เรานั่งหลบอยู่ เหมือนอายแสงจันทร์กระจ่างนั้น ทำให้เราแทบมองไม่เห็นหน้าเห็นตาซึ่งกันและกัน แต่ในยามนั้นแสงสว่างไม่มีความจำเป็นแต่อย่างใดเพราะเราคุยกันด้วยหัวใจมากกว่า"ไม่น่าเชื่อเลยว่าเราจะมีโอกาสมานั่งชมจันทร์ด้วยกัน" ฉันเอ่ยเบา ๆ คล้ายรำพึง" ที่ไหนมีพระจันทร์ ที่นั่นย่อมมีกระต่าย" เขาพูดต่อจากประโยคของฉัน"แล้วกระต่ายก็ไม่เคยหยุดคิดว่าตัวเองต้อยต่ำ " ฉันต่อประโยคของเขาด้วยการคิดในใจฉันอยากถามเหลือเกินว่า กระต่ายที่ออกมากระโดดโลดเต้นตะกายพระจันทร์อยู่นี้ คิดอย่างไร รักพระจันทร์หรือเปล่า แต่ฉันก็เป็นคนแปลกเสมอ แม้มีความอยากรู้เกิดขึ้นบ่อย ๆ แต่มักไม่ค่อยชอบถาม มักจะหาคำตอบเอาจากการประเมินของตนเองคืนนั้นก็เช่นกัน ใจฉันคงประเมินแล้วจึงรู้สึกอบอุ่นขณะที่นั่งอยู่กับเขา ก่อนที่ใจฉันจะคิดเตลิดไปถึงเรื่องอื่น ฉันก็ดึงสมาธิคืนมาได้ คืนนี้เขาชวนฉันมาชมจันทร์ ฉันต้องดึงหัวใจให้อยู่ในประเด็น ฉันเงยมองพระจันทร์อีกครั้งแล้วพูดเบา ๆว่า"พระจันทร์เป็นเทพบุตรรูปงามอรชรอ้อนแอ้นในนิยายโบราณของชาวอินเดีย"ฉันหยุดเว้นจังหวะ มองหน้าเขา ว่าเขาพร้อมที่จะชมจันทร์ไปกับฉันแล้วหรือยัง"อะไร " เขาคงงงและฉันคิดว่าเขามีเครื่องหมายคำถามอยู่ในสายตาด้วย"ก็คุณชวนมาชมจันทร์ ฉันกำลังเริ่มชมค่ะ " ฉันตอบด้วยอารมณ์ขัน ๆ"งั้นชมต่อไป " เขาประชดซึ่งเข้าทางฉันพอดี"พระจันทร์มีชายา 27 นาง ซึ่งเป็นพี่น้องกันและเป็นธิดาของท้าวทักษประชาบดี ""อันนี้ชมพระจันทร์ หรือตำหนิ " เขาขัด"แต่พระจันทร์ทุ่มเทความรักให้นางโรหิณี ชายาที่ 4 จนละเลยชายาอื่น ๆ ""ทำไมหล่ะ ""ก็ธรรมดาของบุรุษย่อมหลงรูปโฉมสะคราญ "ฉันตอบและเหน็บไปในตัว"แต่นางมีคุณสมบัติดีด้วยคือมีกิริยามารยาทเรียบร้อย ไม่มีความโลภ พระจันทร์จึงเกิดความลำเอียงและใครไม่รู้กล่าวไว้ว่า ครอบครัวใดสตรีหาความสุขมิได้ ครอบครัวนั้นย่อมพินาศหายนะ ครอบครัวใดสตรีสุขกายสบายใจ ครอบครัวนั้นย่อมรุ่งเรื่องไพบูลย์""งั้นครอบครัวนี้มีปัญหาแน่เลย " เขาเสริม"ชายาทั้ง 26 พากันไปร้องห่มร้องไห้กล่าวโทษที่พระจันทร์ทำให้พวกนางทุกข์ระทม ขอให้บิดานางซึ่งเป็นผู้ทรงตบะฌานลงโทษพระจันทร์ ค่ะ " ฉันตอบ แล้วเล่าต่อ" พระจันทร์จึงถูกสาปให้เป็นโรคร้ายร่างกายผ่ายผอมลงทุกวัน และจะต้องตายหลังจากถูกคำสาป 15 วัน แสงสว่างในตัวก็จะดับไป หลังจากถูกคำสาปพระจันทร์ก็เริ่มป่วยกะทันหัน ผอมแห้งลงอย่างผิดหูผิดตา 14 วันผ่านไป ร่างกายเธอก็เหลือเพียงเส้นเรียวเล็ก ๆ ส่องสลัวอยู่ในฟากฟ้า ""ทายว่าต้องมีคนช่วย " เขาพูดเป็นเชิงถาม"นางโรหิณีตระหนักแล้วว่าวันรุ่งขึ้น พระจันทร์จะต้องถึงกาลกิริยาแน่ หลังจากนั้นโลกมนุษย์และสรวงสวรรค์ก็จะมืดมิด นางจึงไปขอร้องชายาทั้ง 26 ให้ไปเยี่ยมพระจันทร์เมื่อพวกนางได้เห็นสภาพของพระจันทร์ ความโกรธก็หายไป จึงพากันไปเฝ้าบิดา ""ให้ถอนคำสาปละซี""ไม่ใช่ค่ะ สาปแล้วคืนไม่ได้ แต่พ่อก็ใจอ่อนกับลูกเสมอ ท่านจึงสาปต่อจากครั้งที่แล้วว่าในวันรุ่งขึ้นพระจันทร์จะค่อย ๆ ฟื้นคืนชีพ ร่างกายจะค่อย ๆ เจริญขึ้น พร้อมกับทวีแสงสดใส ครั้นครบ 15 วัน ร่างกายก็แข็งแรงดังเดิม หมุนเวียนอยู่เช่นนี้เรื่อยไป ""แล้วไงอีก ""ระยะที่พระจันทร์เจริญเติบโดสว่างไสวขึ้น เรียกว่าข้างขึ้น หรือ ศุกลปักษ์ อ่านว่าสุก-กละ-ปัก ค่ะ ""แล้วข้างแรมหล่ะ""คือระยะที่ดวงจันทร์ร่อยหรอมืดมัวลง เรียกว่า กัณหปักข์ อ่านว่า กัน-หะ-ปัก ค่ะ""ชมพระจันท่ร์เสียละเอียดยิบเลยนะ สมกับที่ชวนมาชมจันทร์จริง ๆ" เขาประชด"ยังไม่หมดค่ะ คืนวันเพ็ญในหน้าหนาวเมื่อพระจันทร์อยู่สูงเหนือศีรษะ จะเห็นพระจันทร์เป็นสีเงิน แต่ในฤดูร้อนจะเห็นพระจันทร์สีเหลืองนวลเหมือนที่กวีชอบพรรณนา ค่ะ ""เพราะอะไรเหรอ ?"เพราะเรามองผ่านความหนาบางของชั้นบรรยากาศไม่เท่ากันค่ะ""ชมพระจันทร์จบแล้วยัง ""จบแล้วค่ะ " ฉันตอบ ทั้งที่ได้ยินเสียง บทพระราชนิพนธ์เรื่อง"มัทนะพาธา" ชัดเจนอยู่ในสมองชัยเสน : พะจีว่าจะรักยืด................บจางจืดสิเนหาสบถให้ละต่อหน้า..........พระจันทร์แจ่ม ณ เวหนมัทนา : พระกล่าวอ้างพระจันทร์นี้.....ชะรอยทีมิชอบกลชัยเสน : เพราะเหตุใดละหน้ามน ?มัทนา : ..................................................เพราะเดือนนั้นมิมั่นคงณ ข้างขึ้นสิหงายแจ่ม...........กระจ่างสดและกลดทรงณ ข้างแรมบเห็นองค์..........พระจันทร์เจ้า ณ ราตรี.รู้สึกเหมือนมีสายลมพัดมาแผ่ว ๆ บรรยากาศทุกอย่างช่างเหมือนเดิม เพียงแต่คืนนี้"ข้างขึ้น บ เห็นองค์ กระต่ายน้อย ณ ราตรี " มีฉันนั่งรำพึงถึงพระจันทร์เพียงคนเดียว" พะจีว่าจะรักยืด บจางจืดสิเนหา" อยากถามพระจันทร์เหลือเกินว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนชวนใครไปนั่งชมจันทร์ด้วยหรือเปล่า มีน้ำสองสามหยดหล่นลงบนมือฉัน ฉันพลิกมือเช็ดกับเสื้อที่สวมอยู่ แล้วลุกเดินออกจากโคนต้นไม้อย่างเดียวดายอวสาน อวสาน อวสาน
บางครั้งบางคราคำพูด หรือข้อความที่ฝากมาว่า "คิดถึง" จากคนบางคน ก็มีค่าในความรู้สึกเหมือนดอกไม้บาน ที่เขายื่นให้มาประดับในหัวใจ และน่าแปลกที่ดอกไม้ชนิดนี้เมื่อได้รับมาแล้วมักไม่ค่อยเหี่ยว แถมเราก็ชื่นชมดอกไม้นี้ไม่เคยเบื่อจึงเก็บเอาไว้เป็นอย่างดี อย่างที่เรียกว่าเก็บสะสมเหมือนของหวงทีละดอก ทีละดอกแล้วก็มักเอาออกมาชื่นชมบ่อย ๆ เวลานั่งมองดอกไม้เหล่านี้ภาพวันที่เขายื่นให้ ก็กลับมายืนยิ้มให้เห็นพร้อมกับดอกไม้ทุกครั้ง วันนี้ก็เช่นกันนอกจากฉันหยิบเอาดอกไม้ออกมาชื่นชมแล้ว ฉันลองเอามาเรียงลำดับดู ว่าได้ดอกไหนก่อน และได้มาทั้งหมดกีดอกแล้ว ภาพเหล่านั้นจึงย้อนมาให้ฉันได้ยิ้มทักทายอีกครั้ง ก่อนถึงวันที่ฉันได้รับดอกคิดถึงช่อใหญ่ที่ทำให้ฉันรู้สึกประทับใจอย่างไม่รู้ลืมฉันมัวแต่ประทับใจเสียจนลืมบันทึกวันเวลา ที่ได้รับดอกคิดถึงครั้งแรก หลังจากเราคุยกันมาจนพอใจแล้ว เขาปิดฉากการสนทนาวันนั้นด้วยการหยอดคำว่า "คิดฮอด"แบบทีเล่นทีจริง แต่ฉันก็พอใจ โธ่! ก็เพิ่งเป็นดอกแรกที่ทำให้หัวใจฉันอมยิ้มฉันจึงรับมาหน้าตาเฉย และแอบนำมาเก็บไว้อย่างดี จนป่านนี้ฉันยังไม่เคยบอกเขาเลยว่าดอกคิดถึงดอกแรกนั่นยังอยู่ แม้คนให้ ยื่นให้แบบทีเล่นทีจริงแต่ฉันรับจริง ๆด้วยรู้สึกว่าดอกไม้ดอกนี้ มีความหมายต่อความรู้สึกของฉันมากมาย คุณอยากทราบไหมคะว่าดอกคิดถึงดอกนี้สีอะไร เป็นดอกไม้สีชมพูอ่อน ๆ สดใส สวยน่ารักที่สุดในโลก ความน่ารักนั่นเหมือนมนต์ดลใจจนทำให้ บทกวีเริ่มไหลจากใจฉันด้วยชื่อ"คุณค่าอยู่ที่รู้สึก" ที่ฉันรู้ว่าฉันจะไม่มีวันยอมแลกดอกไม้ดอกนี้ด้วยสิ่งมีค่าใด ๆ"คงมิใช่เพชรพลอยค่าร้อยล้าน ทำให้ใจเบิกบานหวามหวานได้สิ่งมิอาจตีค่า ราคาใด ก็ยิ่งใหญ่ในรู้สึกเมื่อทึกทักแค่พูดเล่นนิดนิดว่า "คิดฮอด" ใจก็กอดไว้ในอ้อมถนอมหนักเหนี่ยวไว้อย่างเหนียวแน่นหวงแหนนัก เพื่อพิงพักตักตวงทวงอุ่นไอ "ดอกคิดถึงเป็นดอกไม้ที่มีเสน่ห์ ใครนำมาเก็บไว้ในหัวใจ ถ้าได้น้ำได้ปุ๋ยที่เหมาะสมมาเป็นเวลาพอสมควรแล้วก็จะออกรากฝากต้นขึ้นในใจ คอยเวลาที่จะชูใบออกดอกต่อไป ฉันเรียกต้นดอกไม้นี้ว่า "ต้นผูกพัน" แต่ระยะแรกที่ยังอยู่ในวัยของต้นกล้ามองครั้งใดก็รู้สึกใจหาย เห็นแต่ภาพใบผูกพันเหี่ยวเฉา ทำท่าว่าอาจจะอยู่ได้ไม่นานจนเพื่อนคนหนึ่งของฉัน ซึ่งคอยสังเกตต้นผูกพันของฉันเหมือนกันเขาให้ความเห็นว่าพื้นดินในหัวใจของฉันขาดปุ๋ย จึงปลูกผูกพันไม่ขึ้น แต่ฉันก็ยังถนอมอยู่เหมือนเดิม ฉันไม่อยากให้ต้นผูกพันตาย แต่ถ้าต้นผูกพันตายไปจริง ๆ ฉันก็ปลอบใจตัวเองว่าฉันไม่ได้หมดสิ้นเสียเลยทีเดียว แม้ไม่มีต้น ผล เนื้อ เหลือให้เห็น แต่ก็ยังเหลือตำนานเอาไว้จดจำ และเหลือบทกวี " ความผูกพัน" เอาไว้อ่าน บังเอิญเทวดาท่านคงสงสารฉัน จึงได้ส่งข้อความข้ามฟ้ามาว่า "ช่วงนี้ยังยุ่งมาก รอก่อนนะ " ซึ่งเป็นปุ๋ยชั้นดีที่ช่วยชุบชีวิตเฉาของต้นผูกพันให้สดชื่นขึ้นมาทันทีแต่ก็ยังกังวลอยู่ดี ว่าต้นผูกพันอาจจะมีชีวิตอยู่ไม่ยืนยาว ฉันจึงสะท้อนความรู้สึกนั้นออกมาเป็นบทกวีชื่อ "ความกังวล" ซึ่งเพื่อนคนเดิมอีกนั่นแหละที่ได้เห็น ความกังวลของฉัน เขาจึงเตือนฉันด้วยความหวังดีว่า ต้นผูกพันเป็นไม้ยืนต้น ฉันควรคิดให้ดีเพราะเมื่อปลูกแล้ว ฉันจะต้องดูแลรักษาไปอีกเนิ่นนาน ฉันรับฟังแต่ก็ยังปล่อยให้ต้นผูกพันเติบโตต่อไป ฉันจะถอนทิ้งได้ยังไง ในเมื่อฉันปลูกมาอย่างพากเพียร และยังไม่ทันเห็นเลยว่าเมื่อเติบโตแล้วจะสวยสดงดงามปานใด แต่ถ้าถึงตอนที่ต้นผูกพันเติบโตแล้วกลายเป็นต้นไม้ที่ไม่สวย ฉันก็ไม่เสียใจ เพราะขณะที่ฉันเฝ้าดูการเจริญเติบโตของต้นผูกพันนั้น ฉันได้เก็บเกี่ยวความสุขสดชื่นจากการเฝ้ามอง ไว้เป็นเสบียงหล่่อเลี้ยงหัวใจยามรู้สึกขาดแคลนอย่างเพียงพอแล้วต่อจากนั้น ฉันแทบจะลืมความกังวลไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อเขากล่อมฉันด้วยนิทานที่ฉันชื่นชอบหลายต่อหลายเรื่อง จนทำให้ฉันกลับเป็นเด็กหญิง ผู้เพลิดเพลินไปกับโลกนิทานที่ฉันเองก็ชอบแอบเข้าไปท่องโลกส่วนนี้ตามลำพัง มาตั้งแต่วัยอนุบาลจนกระทั่งบัดนี้ ตอนนี้มีเขาเข้าไปอยู่ในโลกนิทานกับฉันด้วย สนุกสนานอย่าบอกใคร ดีกว่าไปท่องโลกนิทานคนเดียวเป็นไหน ๆ เขาเองก็ชอบให้ฉันนั่งฟังนิทานอยู่ใกล้ ๆ วันหนึ่งขณะกำลังนั่งฟังนิทานอยู่เพลินๆเขาก็ยื่นดอกคิดถึงอีกดอกหนึ่งมาให้ฉันพร้อมกับบทกวี"อบอุ่นในคุณค่า"ความสวยงามของดอกคิดถึงดอกนี้ ทำให้ฉันลืมนิทานไปเลย ดอกนี้สีชมพูเข้มกว่าเดิม เรานั่งมองดอกคิดถึงดอกนั้นด้วยกัน แล้วเขาก็โทษว่าเพราะฉันทำให้เขา "เคลิ้ม"ดอกคิดถึงดอกนี้จึงมีสีเข้มกว่าเดิม แต่ฉันไม่ยอมรับผิดคนเดียวเด็ดขาด ฉันจึงบอกว่าเราต้องรับกันคนละครึ่ง เพราะเขาก็ทำให้บทกวี "คิดฮอด " ไหลออกมาจากใจฉันเหมิอนกันมิรู้ใคร ไหนประดิษฐ์คำ "คิดฮอด" ล่องเล็ดลอดม่านฟ้าฝากมาถึงวันดอกแก้วบานรับดอกพลับพลึง บัวในบึงหน้าบ้านละลานตาวันฟ้าสวยอวยโชคดอกโมกขาว บานพริ้งพราวน้าวใจใสเริงร่าสวยตระการบานเบ่งแข่งผกา วันชลาฉ่ำเย็นเกือบเป็นไอคล้ายหูแว่วคำหวานจากม่านฟ้า ลอยลมมาเข้าหูเหมือนอยู่ใกล้มิรู้เป็นถ้อยทิพย์กระซิบใคร ดอกหัวใจไหวบานหวานละมุนแสงทองทิพย์กระซิบมาว่าหายเหงา สายลมเบาเย้าหยอกบอกอบอุ่นความรู้สึกไหวตื่นชื่นอรุณ หอมกลิ่นกรุ่นอุ่นไอดอกไม้บานเมื่อคุณค่าของคำทำใจอิ่ม เคยเงียบเงียบหงิมหงิมก็ยิ้มหวานจะส่งมากี่หนก็ลนลาน กอดไว้ปานของหวงแนบทรวงตนหมู่ดอกโมกดอกแก้วแถวหน้าบ้าน สดสวยเปล่งเบ่งบานปานได้ฝนหัวใจหวานปานเคล้าเสาวคนธ์ ดัง "คิดฮอด " สอดกล แนบมนตราทั้งฉันและเขาจึงคล้าย ๆ อยู่ในอารมณ์ "เคลิ้ม" พอ ๆ กัน จนฉันลืมไปว่า ในห้วงเวลาที่ฉันนั่งฟังนิทานอยู่นั้น ต้นผูกพันก็โตวันโตคืนไปพร้อมๆกันด้วย จนความผูกพันนั้นทำให้เราใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น ถึงกับกล้าหาญชาญชัยแอบไปเที่ยวงานวัดกันสองต่อสอง ขณะที่คนอื่นๆเขาไปเที่ยวงานวัน "สุนทรภู่" แต่ เขากลับพาฉันไปนั่งชิงช้าสวรรค์ ฉันไม่กล้าบอกเขาว่าฉันยังไม่เคยนั่งชิงช้าสวรรค์สักครั้งเลย กลัวนะ แต่อยากเอาใจเขามากกว่าก็เลยเดินตามต้อย ๆ ไปขึ้นชิงช้าสวรรค์แต่โดยดี ช่วงที่นั่งอยู่บนชิงช้าสวรรค์ด้วยกัน เขายังแกล้งทำให้ฉันปั้นหน้าไม่ค่อยถูกอีกด้วย เมื่อ จู่ ๆ ก็ถามฉันว่า ถ้าชิงช้าเจ้ากรรมนั่นเกิดไปค้างเติ่งอยู่บนสวรรค์ ฉันจะทำยังไง เขาบอกให้ฉันลองจินตนาการ ฉันจะจินตนาการยังไงฉันก็ไม่มีวันบอกเขาหรอก แต่ที่แน่ ๆ ฉันไม่กลัวชิงช้าสวรรค์อีกแล้ว เพราะถ้าฉันติดอยู่บนนั้นก็ติดอยู่กับเขา ไม่ได้ติดอยู่คนเดียวเรื่องชิงช้าสวรรค์นั่น เป็นเพียงเหตุการณ์ที่เขาสมมุติให้ฉันคิดเล่น ๆ เท่านั้น แต่เหตุการณ์จริงก็คือฉันไปเที่ยวทะเล ก็ที่ "หาดบางสน" ที่ฉันเคยพบเขาครั้งแรก แต่คราวนี้ฉันไปคนเดียว นั่งมองชายหาดก็เห็นภาพเขาเดินมา มองเกาะก็คิดว่าเขาอาจจะอยู่ที่นั่น เห็นเรือแล่นมาก็คิดว่าเขาคงอยู่บนเรือ แต่พอทำใจยอมรับได้ว่า เที่ยวนี้ฉันมาคนเดียว เขาไม่ได้มาด้วย ก็นั่งหนาวอยู่บนชายหาด แล้วอานุภาพของต้นผูกพัน ก็มีมนต์ดลให้ผ้าห่มกลอนอันอบอุ่นเหินฟ้ามาห่มฉันจนได้ แม้จะอยู่ไกลแค่ไหนความอาทรก็ส่งมาถึงเสมอ ฉันจึงซุกในผ้าห่มกลอนอย่างอบอุ่น และฝาก "ขอบคุณผ้าห่ม" ไปกับสายลม อาจเป็นเพราะเราต้องอยู่ไกลกัน อาจเป็นเพราะเขาว้าเหว่ หรืออาจเป็นเพราะ .............คิดได้อีกหลายอย่างคราวนี้มีดอกคิดถึงส่งมาให้ฉันเป็นช่อเลย พร้อมด้วยบทกวีชื่อ "คิดฮอดนำแหน่"*รุ่งอรุณกรุ่นกลิ่น Winter ผ่าน Snowdrop ขาวบานตระการเหลือคิดถึงใครไออุ่นเคยจุนเจือ Daffodil เหลืองเรื่อดุจเนื้อทองMagnolia ขาว-ม่วงงามพวงพุ่ม ใจร้อนรุ่มใคร่พบประสบสองดุจ Daisy ติดดินใครผินมอง เธอเผ่าผอง Rose กุหลาบฤาทาบทันจึ่งเพียงเพ้อเผลอปลอบเป็น Poppy สอดแซมสีทาทุ่งผดุงฝันHyacinth กลิ่นหอมย้อมชีวัน Lavender ผูกพันหอมฉัน-เธอผูกอุราบุปผาไทยดอกไม้เทศ Opened gate แห่งหทัยใฝ่เสนอมอง Foxglove, Bluebell เปลี่ยวละเมอ พลอยพร่ำเพ้อเหม่อคิดลิขิตคำหาก Forget Me Not "คิดฮอด" แน่ เปี่ยมดวงแดเอ่อท้นจนถลำฝาก Tullip, Iris จุมพิตนำ แสนชื่นฉ่ำส่งคิดถึงซาบซึ้งทรวง*ฉันนั่งมองช่อคิดถึงช่อนี้อย่างตื่นตา แอบยิ้มอยู่คนเดียวทั้งชอบดอกไม้ทุกดอกที่เขาส่งมา ทั้งรักเนื้อหาที่มาพร้อมกับดอกไม้ ทั้งซาบซึ้งตรึงใจในน้ำใจของคนเขียนที่พากเพียรไปหาดอกไม้มากำนัล ฉันเรียกดอกไม้ช่อนี้ว่า "ช่อคิดถึง" เพราะฉันแน่ใจว่ากว่าเขาจะรวบรวมดอกคิดถึงมาประดิดประดอยจนเป็นช่อคิดถึงที่แสนงดงามอย่างนี้ได้คงไม่ง่ายเลยแน่ใจได้เลยว่า ชั่วชีวิตนี้ฉันจะไม่มีวันได้รับช่อคิดถึง ที่สวยงามอย่างนี้จากใครอีกแล้วความรู้สึกที่ฉันมีให้ช่อคิดถึงช่อนี้จึงพิเศษอย่างยิ่ง" ช่ อ คิ ด ถึ ง ซึ่ ง เ จ า ะ จ ง ส่ ง ม า ใ ห้จ ะ ก อ ด ไ ว้ ใ น ฝั น อั น แ ห น ห ว งทั้ ง เ นื้ อ ห า ค่ า คุ ณ อุ่ น แ ด ด ว งดั่ ง จิ ต ห้ ว ง คิ ด ถึ ง พึ ง จำ น งเ ป็ น ช่ อ ด อ ก คิ ด ถึ ง ซึ่ ง วิ เ ศ ษห อ ม ด อ ก เ ท ศ ค ว า ม คิ ด จิ ต ค น ส่ งจ ะ เ ป็ น ช่ อ คิ ด ถึ ง ซึ่ ง ยื น ย งใ ห้ พ ะ ว ง คิ ด ถึ ง อ ยู่ . . . มิ รู้ ลื ม"อวสาน อวสาน อวสาน*.....* ประพันธ์โดยคุณประหยัด พันธะศรี
"เสร็จสมบูรณ์เสียที สำหรับการประดิษฐ์ของขวัญชิ้นพิเศษนี้ "ฉันรำพึงกับตนเองอย่างโล่งอก หลังจากการอัพโหลดหนังสืออิเล็กทรอนิกส์กวีนิพนธ์ "อวสานในโลกฝัน" ซึ่งเป็นตอนจบของหนังสือกวีนิพนธ์ชุดในโลกฝันขึ้น www.ebooks.in.th เสร็จเรียบร้อยแล้ว ใครๆก็รู้จักของขวัญและเคยได้รับของขวัญชิ้นเล็กบ้างใหญ่บ้าง กันมาแล้วทั้งนั้น คงรู้ความหมายของคำว่า "ของขวัญ" ดี ว่าของขวัญคือ สิ่งของที่ให้แก่กันเพื่อเป็นการถนอมขวัญ หรือ เพื่ออัธยาศัยไมตรี หรือเพื่อแสดงความยินดีในวาระสำคัญ ๆเช่น ของขวัญวันเกิด ของขวัญปีใหม่ ฯลฯ แต่ของขวัญที่ฉันให้เขาไม่ได้มีความหมายในทำนองนี้เสียทีเดียว เพราะของขวัญชิ้นนี้ แม้ฉันมอบให้เขาโดยตรง แต่เป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ สัมผัสได้เพียงทางสายตาและรับรู้ได้เพียงทางสายใจเท่านั้น ส่วนฉันมอบให้เขาในโอกาสพิเศษใด เพื่อเหตุผลใดนะหรือ ก็ยากจะบอกให้ชัดเจนได้อีก ดู เหมือนฉันกำลังต้อนตัวเองให้จนมุมกับการให้คำตอบนี้ อาจจะต้องพึ่งท่านผู้อ่าน ช่วยสรุปในประเด็นอันเป็นปัญหาเหล่านี้ด้วยฉันจำได้แม่นยำว่าวันนั้นเป็นวันที่ 14 กุมภา วันวาเลนไทน์ ซึ่งเป็นวันแห่งความรัก ที่หนุ่มสาวยุคนี้รอคอยและตื่นเต้นกันนักหนา ฉะนั้น วันนี้คงต้องมีใครสักคน นำกลอนรักซึ้ง ๆ ขึ้นเว็บ เนื่องในโอกาสนี้แน่ ๆ ฉันจึงตื่นแต่เช้า ด้วยเหตุผลสองประการคือ เพื่อจะอ่านกลอนที่ฉันเพิ่งนำขึ้นเว็บthaipoem กับอ่านกลอนใหม่ของเพื่อน ๆ ที่ขึ้นเว็บในวันนี้ เมื่อฉันเข้าเว็บและอ่านผ่านมาถึงกลอน ชื่อ "ความรักแห่งวันมาฆบูชาและวาเลนไทน์ "มีบทหนึ่ง เขียนว่า"หากฉันเป็นนักกล่าวสุนทรพจน์คำสวยสดจะค้นขุดขึ้นอุดหนุนเหมือนน้ำมันเกยหาดสะอาดละมุนขอผลบุญโปรดปกปัก...ฉันรักเธอ "*ฉันรู้สึกสะดุดใจ ในวรรคที่เขียนว่า "เหมือนน้ำมันเกยหาดสะอาดละมุน"เข้าอย่างจัง ทั้ง ๆ ที่ฉันก็รู้ว่าเนื้อความของกลอนบทนี้ เขาแปลมาจากบทกวีต่างชาติ แต่ขัดแย้งกับความจริง ที่ฉันประสบอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันตั้งแต่เล็กจนโตเพราะฉันเป็นคนที่เติบโตมากับชายหาด และเคยกำจัดคราบน้ำมันอันเป็นปัญหาสำคัญอย่างหนึ่ง ในหลาย ๆปัญหาของชายหาด น้ำมันเป็นสิ่งที่ขจัดได้ยากมาก จึงตัดสินใจว่า ยังไง ๆ ฉันก็จะต้องแสดงความคิดเห็นต่อข้อความนี้แต่การแสดงความคิดเห็น ต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งนั้น จะต้องมีข้อมูลอันเป็นข้อเท็จจริง มีเหตุผล และเป็นไปในทางสร้างสรรค์ ซึ่งฉันก็มีชัดเจนอยู่แล้วและการแสดงความคิดเห็นนั้น ต้องมีวัตถุประสงค์ด้วย เช่นเพื่อตั้งข้อสังเกตเพื่อสนับสนุน เพื่อโต้แย้ง หรือเพื่อประเมินค่า ของฉันก็ควรเป็นการแสดงความคิดเห็นเพื่อ โต้แย้ง แต่จะโต้แย้งเขาหรือใคร หรือข้อความใด ก็ต้องคิดอีกว่าต้องใช้สำนวนโวหาร ให้เหมาะสมกับเรื่อง ใช้ถ้อยคำที่สื่อความหมายได้ตรงตามอารมณ์ และความรู้สึก ข้อสำคัญอย่างยิ่งอีกอย่างหนึ่งในการแสดงความคิดเห็นก็คือ "หลีกเลี่ยงการใช้ถ้อยคำที่แสดงอารมณ์รุนแรง" ฉันต้องคิดอยู่นาน ว่าจะให้ความเห็นอย่างไรดี เขาจึงจะไม่รู้สึกสะเทือนใจ ในที่สุดก็เลือกใช้สำนวนโต้แย้งแบบอ่อย ๆ ว่า"น้ำมันเกยหาดสะอาดตรงไหนเหตุผลไม่ลงตัวมั่วหน่อยหน่อยกำจัดแล้วยังทิ้งคราบทาบเป็นรอยคนชายหาดกวาดบ่อย...ลิ้นห้อยทุกที"เมื่อเขียนความคิดเห็นนี้ขึ้นโต้แย้งเขาในเว็บ ฉันก็เห็นข้อความ ในกลอนที่ฉันโต้แย้งนั้นเปลี่ยนไป เป็น "เลิกล่องเรือขึ้นหาดสะอาดละมุน" ทำให้ฉันต้องแอบยิ้ม แสดงว่าเขายอมรับความคิดเห็นของฉันโดยดุษณีต่อจากนั้นฉันและเขาก็กลายมาเป็น คู่โต้ความคิดเห็นกันในแทบทุกกลอนที่มีผู้นำขึ้นเว็บ แทรกการเหน็บแนมกันบ้างพอหอมปากหอมคอ แต่ไม่ได้สร้างความรู้สึกขุ่นข้องหมองใจแต่อย่างใด กลับตรงกันข้าม ฉันรู้สึกมีความสุขอย่างยิ่งในการโต้ตอบกับเขา บางครั้งเราก็เขียนกลอนชมกันไปมา ซึ่งล้วนแต่เป็นการสร้างความรู้สึกที่ดีต่อกันเพิ่มขึ้น และกระตุ้นให้ฉันสร้างจินตนาการที่ดีต่อเขา จนเมื่อฉันนำกลอนชื่อ "หนึ่งในบันทึก" ซึ่งมีเนื้อกลอนตอนหนึ่งเขียนว่า"กลัวเธอจะหายไปในความว่างเป็นอดีตซีดจางร้างสีสันรายละเอียดยิบย่อยหลุดลอยพลันแม้ยังเหลือส่วนสำคัญอันทรงจำจึงเขียนกลอนทุกวันเพื่อบันทึกเก็บทุกความรู้สึกที่ดื่มด่ำเก็บเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยด้วยถ้อยคำแม้แนมเหน็บเก็บงำกันจำจาง"ขึ้นเว็บ เขาได้เข้ามาแสดงความประสงค์ ไว้ในการแสดงความคิดเห็นต่อกลอนสำนวนนี้ของฉันว่า"อยากอยู่ในบันทึกความนึกคิดอยากอยู่ในลิขิตประดิษฐ์ถ้อยอยากอยู่ในจินตการวิมานลอย..........................................*ฉันจึงตกลงใจทันทีว่าต่อไป ฉันจะบันทึกความนึกคิด หรือความรู้สึกที่ฉันมีต่อเขาโดยการจินตนาการ เพื่อนำขึ้นเว็บให้เขาอ่าน ปรากฎว่าเขารับความรู้สึกนั้นได้และจินตนาการไปกับฉันด้วย จึงเป็นช่วงที่ฉันเขียนกลอนอย่างสนุกสนานและมีความสุขมากเพราะเนื้อหากลอนแบบฝันๆนั้น มีเขาอยู่เป็นเพื่อนตลอดเวลา รู้สึกเหมือนเป็นช่วงชีวิตพิสดารแม้ไม่มีร่างกาย แต่ความรู้สึกสัมผัสได้ สลับกับการแสดงความคิดเห็นโต้ตอบกันในเชิงหยอกล้อเอาอกเอาใจ เมื่อเขียนกลอนมาได้พอประมาณฉันเห็นว่าต้องหาวิธีรวบรวมเอาเฉพาะกลอนที่เขียนถึงเขาออกมาต่างหาก แทนที่จะปล่อยให้อยู่ปะปนกับกลอนอื่น ๆ บนเว็บ และวิธีเดียวที่จะให้เขา ได้อ่านเนื้อหาทั้งหมดที่ฉันเรียบเรียงแล้ว คือต้องพิมพ์เป็นเล่มโดยฉันเลือกทำเป็นอีบุ๊ก ฉันจึงได้ผันตัวเองมาเป็นผู้ผลิตอีบุ๊กโดยพระเจ้าของหัวใจเป็นผู้สั่งให้ทำอีกอย่างหนึ่งฉันตั้งชื่อหนังสือกวีนิพนธ์อีบุ๊กเล่มนี้ว่า "ในโลกฝัน" เพราะทุกสิ่งสำหรับฉันล้วนเหมือนฝันไปทั้งหมด ตั้งแต่การเริ่มมีความสัมพันธ์กับเขา จนกระทั่งหนังสือสำเร็จออกมาเป็นเล่ม เมื่อนำ "ในโลกฝัน" ขึ้น www.ebooks.in.th และเขาเข้าไปอ่านแล้วฉันก็ได้รับข้อความกลับมาว่า"ได้อ่านในโลกฝันแล้วครับ รู้สึกทั้งปลื้มทั้งเขินปนกัน ขอบคุณมากครับที่ทำอีบุ๊กได้สวยงามและน่าอ่านมาก ขอชื่นชมด้วยใจจริงครับ... "เท่านี้ก็พอแล้วสำหรับฉัน เพราะสิ่งที่ฉันได้แถมมาจากความรู้สึกอิ่มใจก็คือมิตรภาพที่เพิ่มขึ้น และยังดำเนินต่อไป.................................................................................................................แม้ในโลกฝันเล่มหนึ่งจะจบไปแล้ว กลอนที่ฉันเขียนขึ้นเว็บต่อจากนั้น ก็ยังอยู่ในแนวเดิม บางกลอนก็เขียนถึงความรู้สึกที่ดีต่อเขา ที่มีแต่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ช่วงหนึ่งเขาหายไปไม่มีกลอนขึ้นเว็บ ฉันรู้สึกใจหายไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ เหมือนมีอะไรบางอย่างบอกฉันว่า นอกจากเขาหายไปเพราะอาจจะมีเหตุผลอันจำเป็นแล้ว เขาอาจอยากห่างจากฉันด้วย ซึ่งฉันคิดว่าฉันเข้าใจ เพราะฉันเองก็เคยคิดว่าถ้าทำได้ฉันเองก็อยากห่างไปเหมือนกัน แต่ฉันยังทำไม่ได้ กลอนที่ฉันเขียนในช่วงนี้จึงคล้ายมีความหม่นปนอยู่ด้วย เช่นกลอน "ความรู้สึก ""ความรู้สึกมากมายจึงตายดับเมื่อคนรับ รู้สึกนั้น มิหวั่นไหวความรู้สึกซึ้งซึ้งจึงตายไวเมื่อเธอไม่ยอมรับประคับประคอง"และ กลอน "ความห่างเหิน""แต่เจ้าความห่างเหินเดินมาแล้วและมีแววห่างเหินจะเดินหน้ากอดกลมเกลียวเหนียวหนับกับเฉยชาเราหลบตาหน้าหมองก้มมองดิน"ความรู้สึกที่บอกตัวเองว่า เขาอาจอยากออกห่างจากฉันตรงกับเนื้อความในบทกลอนชื่อ"กรงนกแก้ว" ที่เขานำขึ้นเว็บในช่วงต่อมาซึ่งสื่อในทำนองว่า เมื่อนกออกจากกรงไปแล้วเขาต้องการปิดกรง ซึ่งตรงกับช่วงที่ฉันกลับไปเยี่ยมบ้านที่ต่างจังหวัดพอดีเมื่อกลับมาฉันจึงถามเขาว่า จะปิดกรงนานเท่าไหร่ เขาตอบคำถามของฉันด้วยกลอนบทนี้"คงปิดกรงนกแก้วมิแล้วเสร็จใจมิเข็ดเผ็ดร้อนอาวรณ์หนักประตูกรงคงกระเด็นคราเห็นรักสุดห้ามหักแม้ผลักนกยังวกคืน "*เราจึงกลับมาเขียนกลอนที่แสดงความห่วงใยกันเหมือนเดิม และเพิ่มขึ้น จนเพื่อน ๆที่เขียนกลอนขึ้นเว็บหลายคนรู้สึกได้ บางคนเริ่มห่วงใยฉัน คิดว่าฉันกำลังมีความรักกับบุรุษผู้ไร้ร่าง ฉันไม่รู้หรอกว่าอะไรคือสิ่งที่เรียกว่าความรัก แต่ฉันรู้ว่าฉันมีความรู้สึกที่ดีต่อเขา อยากให้เขามีความสุข สบายใจทุกครั้งที่เราสื่อสารกัน ซึ่งฉันคิดว่าเป็นสิ่งที่ควรมีให้แก่กัน ฉันรวบรวมกลอนบันทึกความรู้สึกที่มีให้เขาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆจนเกือบจะทำเป็นเล่มได้อีกแล้วแต่บังเอิญมีปัญหาบางประการจากเว็บ ทำให้เราทั้งคู่อัพกลอนขึ้นเว็บไม่ได้ และติดต่อกันไม่ได้ นานทีเดียว จนฉันคิดว่าเราคงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว ฉันจึงต้องเขียนตอนจบของหนังสือในโลกฝันเล่มที่สองตามลำพังหนังสือเล่มนี้จึงจบลงด้วยกลอนของฉัน ชื่อ ที่พึ่งคนไกล"เหลือเพียงความคิดถึงที่พึ่งได้ยามสิ้นไร้สื่อสารการติดต่อยามที่ต่างห่างไกลจนใจท้อมิอาจขอพึ่งพิงสิ่งอื่นเลย"..............................................................................................................เมื่อเรากลับมาอัพกลอนขึ้นเว็บได้ตามปกติ ฉันได้บอกเขาว่า ฉันจะเขียน ในโลกฝันอีกหนึ่งเล่มซึ่งเป็นเล่มที่สามและเป็นตอนจบ"แต่จะเขียนได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่า คุณมีความสามารถทำให้ฉันฝันได้แค่ไหน "นั่นคือคำพูดของฉันว่าจะทำสำเสร็จหรือไม่ เขาเป็นองค์ประกอบสำคัญ เขารับรู้ในข้อนี้ ฉันจึงสร้างจินตนาการต่อจากบทกลอนของเขาบ้าง จากการแสดงความคิดเห็นของเขาบ้าง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นความรู้สึกที่ดีระหว่างเรา สำหรับฉันเป็นความรู้สึกที่แท้จริงด้วยมิใช่จินตนาการเพียงอย่างเดียว จนทำให้เพื่อนที่กำลังจับตาความสัมพันธ์ของเราอยู่รู้สึกผิดปกติ ถึงกับแสดงความคิดเห็นในเชิงตำหนิเรา เหมือนเขาคิดว่าเรากำลังทำผิดทำนองคลองธรรมที่มากกว่าการเขียนกลอน ซึ่งถ้าเป็นทางกายกรรมแล้วเป็นไปไม่ได้แน่นอน แต่ถ้าเป็นมโนกรรมฉันก็ยังไม่ยอมรับอยู่ดี ว่าความรู้สึกชอบพอใคร หรือรู้สึกมีความสุขเมื่อได้คบหากับใครจะต้องมโนกรรมที่ผิด เพราะความรู้สึกของใจเป็นสิ่งที่ห้ามไม่ได้ ยิ่งในการเขียนกลอนรักด้วยแล้วก็ต้องเขียนให้ผู้อ่านรู้สึกว่าเรารักเขาจริง ๆเมื่อฉันต้องการให้หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มจบเรื่องในโลกฝัน เขาก็ให้ความเห็นว่าไม่ควรจบแบบ " Happy ending" เพราะถ้าฉันต้องการจะเขียนต่อภายหลัง จะเขียนต่อยาก" งั้นฉันจะเขียนให้ฉันนั่งร้องไห้ตอนจบค่ะ""ต่างคนต่างร้องไห้ไม่ดีหรือ" เขาแย้งแต่ฉันไม่ได้ตอบ เพราะถ้าจะเขียนตอนจบให้เขาร้องไห้ เขาจะต้องเป็นผู้เขียนเองฉันจึงเลือกเขียนตอนอวสานในโลกฝันด้วยบทกลอนชื่อ "ตอนจบ" ซึ่งมีข้อความบางตอนที่ฉันเป็นคนร้องไห้สบตากับความว่างพลางยิ้่มปร่าคล้ายน้ำตาหล่นแถมบนแก้มใส...........................................เก็บเอาไว้ให้จิตหวนคิดถึงใครคนหนึ่งที่เคยเอ่ยคำหวานว่า คิดถึงคงไม่หายคลายตามกาลฉันคิดค้าน หากใจเราไม่คลายถ้ามีใจผูกพันกันลึกซึ้งความคิดถึงตรึงใจคงไม่หาย"ความคิดถึงตรึงมั่นตราบวันวาย"คือถ้อยคำสุดท้ายให้จดจำแต่เมื่อหนังสือที่ฉันเขียนจบเรียบร้อยแล้ว ฉันจึงได้เห็นกลอน "ห่วงบ่วงใจ"ของเขาขึ้นเว็บ ซึ่งมีข้อความบางตอนทำให้ฉันรู้สึกเศร้าอีกครั้ง"แอบคิดถึงซึ้งใจจิตไหวหวั่นฤาผูกพันมั่นหมายเกินถ่ายถอนเสน่หาอาลัยใจรอนรอนเฝ้าอาวรณ์อ่อนไหวมัดใจจำพระพายพลิ้วปลิวผ่านซ่านซึ้งจิตฝากลิขิตถึงคนก่นร้องร่ำใครบางคนหม่นทรวงร่วมบ่วงกรรมทุกคืนค่ำย้ำเยือนยากเลือนลา"*คุณคิดว่าเขาร้องไห้หรือเปล่าคะ แต่ฉันร้องไห้อีกหนึ่งรอบตอนนี้ฉันสรุปได้แล้วว่า ความหมายของ "ของขวัญ" ที่ฉันมอบให้เขาคือ กวีนิพนธ์จากความรู้สึกดีดีที่ฉันมีต่อเขา มอบให้ในโอกาสที่ พระเจ้าบันดาลให้เรามาพบและสร้างความสัมพันธ์พิเศษต่อกันขึ้นมา เพื่อให้เขารับรู้ ถึงความรู้สึกอันแท้จริงและสวยงามที่ฉันมีต่อเขา เป็นของขวัญชิ้นพิเศษที่เกินกว่าพิเศษใด ๆ เพราะเป็นของที่มีชิ้นเดียวในโลกที่ฉันต้องใช้เวลาทั้งชีวิตในการประดิษฐ์ของขวัญชิ้นนี้ เพราะนอกจากต้องใช้ความรู้ความสามารถปัจจุบันในการสร้างแล้ว ยังต้องพึ่งพาประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาทั้งหมดในอดีตด้วย ทั้งยังเป็นของขวัญที่ไม่มีวันเน่าเสีย จะยืนยงอยู่ต่อไปตราบนานเท่านาน ถ้าเขาเปิดอ่านครั้งใดก็จะรู้ว่า ความรู้สึกที่ฉันมีให้เขายังคงที่ไม่มีวันเปลี่ยนเหมือนกลอนสองบทนี้"คำที่เขียนยืนยันในบันทึกคือรู้สึกดีดีที่มอบให้เพื่อย้ำว่าช่วงกาลที่ผ่านไปเคยมีใครในชีวิตพิสดารหากวันใดวันหนึ่งคิดถึงฉันเป็นของขวัญมอบให้เธอไว้อ่านให้เหมือนย้อนสู่ฝันแห่งวันวานที่มีมนต์ทนทานเหนือกาลเวลา"ที่ฉันเขียนไว้ใน "ของขวัญแด่เธอ "อ ว ส า น อ ว ส า น อ ว ส า น(หมายเหตุ * ประพันธ์โดยคุณประหยัด พันธะศรี )
พูดถึงกลิ่นก็มีเพียงสองประเภทคือ กลิ่นอันพึงประสงค์และกลิ่นไม่พึงประสงค์ที่จมูกสัมผัสอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่วันนี้ฉันกำลังพูดถึงกลิ่นชนิดพิเศษซึ่งอาจมีบางคนเท่านั้นที่สัมผัสได้ ขออย่าคิดว่าฉันเป็นมนุษย์พันธุ์พิเศษหรืออ้างอุตริอย่างที่นักหลอกลวงทั้งหลายเขาหลอกกันเล่น แต่เป็นเรื่องที่ฉันถูกหลอกโดยที่ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไม และเพราะอะไรจึงต้องหลอกฉัน หรือเขาไม่ได้หลอกแต่ฉันคิดไปเองบางคนคงเคยทราบแล้วว่า ฉันเป็นทายาทเจ้าของโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งในต่างจังหวัด เดิมมีโรงเรียนชายล้วนสอนระดับมัธยมต้นและปลาย และโรงเรียนสตรีสอนตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงมัธยมต้น ซึ่งอยู่ห่างออกไปคนละฝั่งของตัวเมืองเมื่อฉันเรียนจบมาทำงาน จึงเปิดสอนสายอาชีวะเพิ่มต้อนรับฉัน โดยแบ่งพื้นที่จากโรงเรียนชายเดิมไปครึ่งหนึ่ง จึงเป็นโรงเรียนสองโรงอยู่ในบริเวณเดียวกันในบริเวณเดียวกันนี้มีบ้านพักครูอยู่สี่หลัง รวม กับบ้านฉันอีกหนึ่งซึ่งระเห็จจากบ้านที่เคยอยู่เดิมมาสร้างหลังเล็ก ๆ ขึ้นใหม่ในบริเวณโรงเรียน ฉันจึงทำหน้าที่ทุกตำแหน่งในโรงเรียนเพราะกินนอนอยู่ที่นั่น และบุตรเล็ก ๆของครูที่นี่ทุกคน ก็ไปเรียนระดับชั้นอนุบาลที่โรงเรียนสตรีโดยมีรถตู้ของฉันบริการรับส่งให้ฟรี เพื่อครูมิต้องทิ้งหน้าที่ไปรับส่งลูกหลานช่วงเช้า-เย็นปกติเวลารถจะไปรับเด็ก ๆ ตอนเลิกเรียน ซึ่ง เด็กอนุบาลเลิกเรียนประมาณบ่ายสามโมง แต่นักเรียนระดับอื่นยังไม่เลิก ฉันจะนั่งรถไปด้วยคล้ายทำหน้าที่พี่เลี้ยงเด็กไปในตัว วันไหนคนขับรถที่มีอยู่สองคนไม่ว่างเพราะติดงานอื่น ครููในโรงเรียนที่ขับรถได้ก็จะขับแทน เพราะเราอยู่กันแบบพี่น้อง วันนี้คนขับรถของฉันจึงเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนอาชีวะ เราไปรับเด็ก ๆเหมือนวันอื่น ๆ ตามปกติ เมื่อนั่งรถกลับจะถึงอาคารตึกสี่ชั้นของโรงเรียนอาชีวะ ก่อนที่จะถึงส่วนที่เป็นโรงเรียนมัธยมชายและบ้านพักครู ฉันนั่งข้างคนขับมองขึ้นไปบนระเบียงตึกอาคารเรียนชั้นสามขณะรถกำลังจะเลี้ยวจากถนนใหญ่ เข้าถนนหน้าตึกอาคารเรียน เห็นนักเรียนอาชีวะกลุ่มใหญ่ ทั้งชายและหญิงกำลังมุงดูอะไรสักอย่าง หลายคนเอาผ้าเช็ดหน้าปิดจมูกปิดปาก ก่อนรถจะผ่านเข้าไปบนถนนหน้าตึกอาคารเรียนนั้น มีแนวคูระบายน้ำขนานกับรั้วโรงเรียน พอรถเลี้ยวเข้าช่วงที่เป็นถนนตัดผ่านคูน้ำ ฉันก็ได้กลิ่นเหม็นอย่างรุนแรงวูบมาเข้าจมูก เพราะรถที่ฉันนั่งเป็นรถตู้โฟล์คสวาเกนรุ่นเก่าไม่มีแอร์ เวลานั่งจึงต้องเปิดหน้าต่างรถเสมอ" กลิ่นอะไร เหม็นจัง " ฉันบ่นกึ่งถาม พร้อมกับส่ายตาดูในคูน้ำสองข้างรถก็ไม่มีแม้แต่หมาตายสักตัว ทั้งที่คิดว่าแม้จะมีหมาตายในคู ก็ไม่น่าจะเหม็นเข้ามาในรถได้ขนาดนี้ พวกเด็ก ๆ เขาก็เล่นกันตามปกติ ไม่ได้สนใจสิ่งที่ฉันพูด"หนูตายมังครับ" ผอ. พูด ฉันไม่ได้พูดต่อแต่ใจคิดว่าขนาดหมาตายยังไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะไม่มีซากให้เห็น แล้วยิ่งบอกว่าเป็นหนูตายตัวกระจิ๊ดอะไรจะเหม็นรุนแรงและไกลขนาดนั้น เหมือนกลิ่นนั้นจงใจเข้าจมูกฉันโดยตรงเลยทีเดียว แล้วรถก็ผ่านเข้าไปจอดหน้าบันไดตึกที่ฉันเห็นเด็กมุงกันเมื่อสักครู่"ผมขอขึ้นไปดูเด็กกลุ่มนั้นก่อนนะครับ " ผอ.พูดแล้วเปิดประตูรถลงไปฉันยังคงนั่งอยู่ในรถกับเด็ก ๆ ฉันเองก็อยากรู้ว่าเด็กอาชีวะกลุ่มนั้นทำอะไร ตอนนี้ฉันลืมเรื่องกลิ่นเหม็น ที่เข้าจมูกเมื่อรถผ่านคูนั่นแล้ว และกลิ่นนั่นก็หายสนิทแล้วจากจมูกฉันผอ. เดินขึ้นบันไดตึกไป ฉันมองตาม เห็นเขาไปพูดอะไรบางอย่างกับเด็กกลุ่มนั้น และมีอาจารย์อีกสองคนมารับฟังอยู่ด้วย ฉันก็เลยหมดความสนใจคิดว่าเขาสั่งงานการตามปกติ แล้วเขาก็กลับลงมาขับรถพาฉันกับเด็ก ๆ ไปส่งที่บ้านพักตามปกติโดยไม่ได้พูดอะไรหลังจากโรงเรียนเลิกแล้วในเย็นวันนั้น ฉันจึงมีโอกาสถามเขา เขาเล่าให้ฟังว่าเมื่อเขาเดินขึ้นบันไดตึกไปถึงชั้นสอง มีกลิ่นเหม็นอย่างรุนแรงเหมือนกลิ่นศพเน่าสวนลงมา เขาเดินไปถึงเด็กกลุ่มนั้น มีเด็กคนหนึ่งยังนอนไม่ได้สติ และเด็กคนนี้คือต้นตอของกลิ่นเหม็นที่เพื่อน ๆ ต้องเอาผ้าปิดจมูก ที่ฉันมองเห็นจากรถ ซึ่งระยะทางจากที่เด็กคนนั้นอยู่ กับตอนที่ฉันได้กลิ่นเหม็นอย่างรุนแรง ขณะเมื่อยังนั่งอยู่ในรถก็ไกลกันพอสมควร ที่กลิ่นประหลาดจากเด็กคนนั้นไม่ควรจะไปถีง เมื่อ ผอ.ซึ่งเป็นเจ้าของสถานที่เดินขึ้นไป กลิ่นที่อยู่ในตัวเด็กคนนั้นก็ออกและสวนลงบันไดลงมา แต่เด็กยังไม่ได้สติ ส่วนกลิ่นหายไปแล้ว เขาจึงสั่งให้ครูทำพิธีกรรมบางอย่าง ที่เป็นความเชื่อของผู้คนถิ่นนี้ แล้วเด็กคนนั้นก็หายเป็นปกติ"ไม่น่าเชื่อเลย" ฉันพูด อย่างที่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรมากกว่านั้น"พอดี วันนี้เป็นวันบุญข้าวประดับดินครับ " เขาบอก ซึ่งฉันไม่เคยรู้เพราะฉันเติบโตมาจากหลายจังหวัด ชุมพร นครศรีธรรมราช กรุงเทพ ฯ ได้อยู่ที่นี่น้อยมากคนลาวและไทยอิสาน มีความเชื่อถือสืบต่อกันมา แต่โบราณกาลแล้วว่ากลางคืนของเดือนเก้าดับคือวันแรมสิบสี่ค่ำเดือนเก้า (ประมาณเดือนสิงหาคม) เป็นวันที่ประตูนรกเปิด ยมบาลจะปล่อยให้ผีนรกออกมาเยี่ยมญาติในโลกมนุษย์ ในคืนนี้คืนเดียวเท่านั้นในรอบปี จึงนำข้าวปลาอาหารคาวหวาน ผลไม้ หมากพลูบุหรี่ อย่างละเล็กละน้อย แล้วห่อด้วยใบตอง ทำเป็นห่อเล็ก ๆ นำไปวางตามโคนต้นไม้ใหญ่ หรือตามพื้นดินบริเวณรอบ ๆ เจดีย์หรือโบสถ์ เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว เรียกว่าบุญเดือนเก้าหรือบุญข้าวประดับดินมีเรื่องเล่าไว้ในพระธรรมบทว่าญาติของพระเจ้าพิมพิสารกินของสงฆ์ เมื่อตายแล้วไป เกิดในนรก ครั้นพระเจ้าพิมพิสารถวายทานแด่พระพุทธเจ้าแล้ว มิได้อุทิศให้ญาติที่ตาย กลางคืนพวกญาติที่ตายมาแสดงตัวเปล่งเสียงน่ากลัวให้ปรากฏใกล้พระราชนิเวศน์รุ่งเช้าพระองค์ได้เสด็จไปทูลถามพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทูลเหตุให้ทราบ พระเจ้าพิมพิสารจึงถวายทานอีกแล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้ญาติที่ตายไปแล้วจึงได้รับส่วนกุศลนั้น