วันนี้ที่โรงเรียนของฉันจัดพิธีทำบุญเลี้ยงพระเนื่องในวันเกิดของโรงเรียน ซึ่งที่จริงคือวันที่เราอยากทำบุญร่วมกับบุคลากรและเด็ก ๆในโรงเรียนนั่นเอง เรามักหาโอกาสทำบุญเลี้ยงพระบ่อย ๆ เพื่อมิให้ลืมบรรยากาศการทำบุญแบบไทย ๆ และให้นักเรียนคุ้นเคยกับพิธีกรรมทางศาสนาจริง ๆ ตั้งแต่การจัดเตรียมพิธี กิจกรรมในระหว่างที่พิธีกรรมดำเนินไปและแน่นอนที่พิธีต้องจบด้วยการทำน้ำพระพุทธมนต์และการประพรมน้ำมนต์ให้ทุกคนรู้สึกถึงความชุ่มฉ่ำทั้งตัวและหัวใจจากการได้ทำบุญ หลังจากพระสงฆ์กลับไปแล้ว ครูกลุ่มหนึ่งก็เข้าไปห้อมล้อมดูว่าน้ำตาเทียนที่หยดลงในขันต์น้ำมนต์ส่วนที่แบ่งไว้นั้นลอยเป็นตัวเลขใด ซึ่งทำให้ฉันรู้สึกว่าเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระฉันคิดเช่นนั้นจริงๆ เพราะฉันเติบโตมาด้วยการเลี้ยงดูแแบบใช้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ตั้งแต่จำความได้การมองท้องฟ้า มองเมฆ ของฉัน ก็เพื่อจะดูว่า ฝนจะตกหรือไม่ ลมมาจากทิศไหน จะมีพายุหรือเปล่า ไม่เคยได้ยินใครคุยกันว่าดูเมฆคล้ายเลขอะไร และไม่เคยเห็นคนที่อยู่แวดล้อมฉันซื้อหวยหรือสลากกินแบ่งเลย จนกระทั่งฉันเรียนจบมาทำงานในจังหวัดหนึ่งทางภาคอิสาน จึงได้ยินและชินกับภาพที่ฉันเอ่ยถึง และยังได้ยินการทำนายฝันเป็นตัวเลขแทบทุกวัน แต่คงไม่ใช่เฉพาะจังหวัดที่ฉันอยู่หรอก ตามข่าวจากหนังสือพิมพ์ความเชื่อลักษณะนี้มีอยู่ทั่วไปครั้งหนึ่งจำได้ว่าเป็นตอนเที่ยงของวันที่ 15 เดือนตุลาคม มีรถตู้มาจอดที่หน้าบ้านของฉัน ชื่อข้างรถเป็นวิทยาลัยพละศึกษาแห่งหนึ่ง มีคนในรถพอประมาณ แล้วคนที่เปิดประตูรถลงมาก็คือเพื่อนฉันเอง เธอทำงานอยู่ที่วิทยาลัยพละศึกษาแห่งนั้น" แดงน้อย ไปเที่ยวคำชะโนดกันเถอะ " เธอชวน" ไปทำไม " ฉันถาม" วันนี้วันที่ 15 นะ เพื่อน ๆ เขาอยากไปกัน " ฉันได้ยินคำตอบนั้นก็เข้าใจทันทีจึงเพียงแต่เดินขึ้นรถไปกับเพื่อนฉันเข้าใจได้ทันทีว่าคณะนี้ไป "หาหวย" ที่เพื่อนมาชวนฉันไปด้วยเพราะเธอสนิทสนมกับฉันและรู้ว่าฉันชอบการนั่งรถไปเที่ยวกับเธอจะเป็นที่ไหนก็ได้ แต่สถานที่ ที่รถกำลังจะพาเราไป ทำให้ฉันต้องย้อนคิด จึงเป็นเรื่องสนทนาระหว่างฉันกับเพื่อนในระหว่างนั่งรถป่าคำชะโนด หรือ เมืองชะโนด หรือ วังนาคินทร์คำชะโนด ตั้งอยู่ในพื้นที่ 3 ตำบลคือ ตำบลวังทอง, ตำบลบ้านม่วง และตำบลบ้านจันทร์ ใน อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานีเป็นป่าที่มีลักษณะเหมือนเกาะขึ้นอยู่กลางทุ่งนา เต็มไปด้วยต้นชะโนด ซึ่งเป็นพืชจำพวกปาล์ม ความยาวประมาณ 200 เมตร ป่าคำชะโนดเป็นสถานที่ ๆ ปรากฏในตำนานพื้นบ้านเป็นสถานที่ ๆ เชื่อว่า เป็นที่สิงสถิตของพญานาคและสิ่งลี้ลับต่าง ๆ บ่อยครั้งที่ชาวบ้านในละแวกนั้นจะพบเห็นชาวเมืองชะโนดไปเที่ยวงานบุญพระเวท รวมถึงหญิงสาวที่มายืมเครื่องมือทอผ้าอยู่เป็นประจำ และเมื่อเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในที่ราบลุ่มแม่น้ำโขงรวมถึงที่อำเภอบ้านดุง แต่น้ำก็ไม่ท่วมบริเวณคำชะโนด เมื่อระดับน้ำลดลง คำชะโนดก็ยังคงอยู่เช่นเดิมตามตำนานกล่าวไว้ว่า มีพญานาคอยู่สองตนได้ปกครองเมืองหนองกระแส โดยครึ่งหนึ่งเป็นของ สุทโธนาค (พญาศรีสุทโธ) ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นของ สุวรรณนาค ทั้งสองปกครองเมืองอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข แต่มีข้อตกลงกันอยู่ว่า ถ้าเมื่อฝ่ายใดออกไปล่าสัตว์หาอาหารอีกฝ่ายหนึ่งจะต้องไม่ไป เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดการกระทบกระทั่งกัน และเมื่อฝ่ายที่ออกไปล่าสัตว์หาอาหารมาได้นั้น ให้นำมาแบ่งกันอย่างละครึ่งเมื่อถึงคราวสุวรรณนาคได้ออกไปล่าสัตว์หาอาหารได้เนื้อช้างมา จึงนำเนื้อช้างที่ได้แบ่งให้สุทโธนาค พร้อมทั้งนำขนของช้างไปยืนยันว่าเป็นเนื้อช้างจริง อีกครั้งที่สุวรรณนาคออกไปล่าสัตว์หาอาหารอีก ครั้งนี้ได้เม่นมาเป็นอาหาร จึงได้นำเนื้อเม่น และขนของเม่นไปมอบให้แก่สุทโธนาคเหมือนเช่นเคย แต่สุทโธนาคกลับแสดงความไม่พอใจ เพราะเมื่อดูจากขนของเม่นที่มีขนาดใหญ่กว่าขนของช้าง ปริมาณเนื้อที่ได้ก็ควรมีมากกว่าเนื้อของช้างแต่ปริมาณเนื้อนั้นกลับมีน้อยกว่ามากนัก จึงคิดว่าสุวรรณนาคไม่มีความซื่อสัตย์ ฝ่ายสุวรรณนาคพยายามอธิบายอย่างไรก็ไม่เป็นผล จึงเกิดสงครามระหว่างสุทโธนาค และสุวรรณนาคพระอินทร์ได้ทราบเรื่อง จึงหาวิธีการที่จะทำให้พญานาคทั้งสองนั้นหยุดทำสงครามกันโดยให้พญานาคทั้งสองสร้างแม่น้ำขึ้นคนละสาย ถ้าใครสร้างได้ถึงทะเลก่อนจะให้ปลาบึกขึ้นอยู่ในแม่น้ำนั้น เมื่อได้ยินเช่นนั้น สุทโธนาคก็ได้สร้างแม่น้ำมุ่งไปทางทิศตะวันออกของหนองกระแส และด้วยความที่สุทโธนาคมีนิสัยใจร้อน เมื่อพบเจอภูเขากั้นทางแม่น้ำก็จะทำการหลบหลีก โค้งไปโค้งมา จึงเกิดเป็น แม่น้ำโขง (โค้ง) ส่วนทางฝ่ายสุวรรณนาคนั้น ได้ทำการสร้างแม่น้ำขึ้นทางทิศใต้ของหนองกระแส สุวรรณนาคมีความละเอียด และใจเย็น แม่น้ำที่สร้างขึ้นจึงมีความตรงกว่าแม่น้ำทุกสาย ได้แก่ แม่น้ำน่านสุทโธนาคเป็นผู้ที่สร้างแม่น้ำได้เสร็จก่อน จึงมีปลาบึกขึ้นอยู่ในแม่น้ำโขงเพียงแห่งเดียวและเมื่อเป็นเช่นนั้น สุทโธนาคก็ได้ขอทางขึ้น-ลง ระหว่างเมืองบาดาล กับเมืองมนุษย์ไว้อีก3 แห่งหนึ่งในนั้นก็คือ คำชะโนด ซึ่งมีต้นชะโนดขึ้นเป็นสัญลักษณ์ ให้สุทโธนาค พร้อมบริวารสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ (พญาศรีสุทโธ) และตั้งบ้านเมืองปกครองอยู่ที่คำชะโนดได้เมื่อข้างขึ้น 15 วัน อีก 15 วันข้างแรม ให้กลายเป็นนาค อาศัยอยู่เมืองบาดาล (พญานาคราชศรีสุทโธ)“เกาะคำชะโนดนี้เป็นเกาะที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ โดยการสะสมของซากพืชซากไม้ที่ทับถมกันมาเป็นเวลาหลายร้อยปีในแอ่งแห่งนี้ จากเศษผง ซากพืชซากไม้จนกลายเป็นดินในที่สุดปัจจุบันมีความหนาอยู่ที่1-3 เมตร รากของต้นชะโนดที่แผ่ออกไปในแนวนอนทำหน้าที่เกาะเกี่ยวกันช่วยพยุงเกาะแห่งนี้ให้ลอยน้ำได้”เมื่อไปถึงพวกเราทั้งหมดก็ลงจากรถ เดินไปบนทางไม้แคบ ๆ ฉันคิดไปตลอดทางว่า การมาอย่างนี้่ไม่เกิดประโยชน์อะไร แต่สำหรับฉันได้ประโยชน์แน่นอนเพราะจุดประสงค์ของฉันไม่เหมือนคนอื่น ฉันได้ดูต้นชะโนดของจริงที่เคยอ่านว่ามีอายุกว่าสองพันปี ขณะเข้าไปใกล้ก็รับรู้ถึงความเย็นของอากาศบริเวณนั้น ฉันไปก้มมองน้ำใสแจ๋วในบ่อ ขณะที่คนอื่น ๆ เขาไปทำตามกรรมวิธีของแต่ละคน ฉันยอมรับว่าตัวเองรู้สึกคล้ายดูหมิ่นการกระทำเหล่านั้นว่าพวกเขาช่างงมงาย จึงแยกตัวออกมา ยืนอยู่ใกล้ต้นชะโนดต้นหนึ่ง เห็นแป้งสีขาวที่คงมีชาวบ้านมานำมาทาไว้ตรงใกล้ ๆ โคนต้น ฉันก้มลงมองพร้อมกับคิดว่า"จะดูซิว่าเขาทาแป้งที่ต้นไม้แล้วเป็นยังไง แป้งเขามีไว้ทาหน้านะ "สิ่งที่ฉันไม่เคยคิดว่าจะเห็น ปรากฏเป็นรอยเส้นสีน้ำตาลอยู่บนพื้นแป้งสีขาว เรียงกันจากบนลงล่าง เป็นตัวเลขสามตัวชัดเจน ฉันอ่าน สองสามครั้งตัวเลขนั้นก็ยังอยู่ ฉันจึงเดินไปเรียกเพื่อนฉันมาดูอีกคน เพราะคิดว่าฉันอาจตาฝาด เมื่อเพื่อนมาอ่านก็ยังเห็นตัวเลขเหมือนกัน **กับฉัน ฉันจึงเชื่อแล้วว่าวีธีการที่ฉันเคยคิดว่าไม่มีวันเป็นตัวเลขขึ้นมาได้ เกิดขึ้นได้จริง แต่ต้องเป็นจังหวะที่ตนจะมีโชคด้วยจึงจะเห็นได้ และคิดว่าเจ้าของแป้งที่ทาไว้คงไม่ได้เห็นเหมือนฉันหรอก อย่างไรก็ดีการเห็นนี้ก็เป็นความลับระหว่างฉันกับเพื่อนเท่านั้น เพราะเราเห็นตรงกันว่าเราไม่ควรบอกคนอื่น แม้จะเห็นตัวเลขก็ไม่มีหลักประกันใดว่าพรุ่งนี้ลอตเตอรี่จะออกเลขท้ายด้วยเลขที่ฉันเห็น ฉันไม่อยากเป็นนักต้มตุ๋นเที่ยงวันรุ่งขึ้นคือวันที่หวยออก ฉันออกจากบ้านไปหาเพื่อนคนเดิมพร้อมกับเงินหนึ่งร้อยบาทสำหรับซื้อหวยใต้ดิน แต่ต้องให้เพื่อนเป็นคนพาไปซื้อเพราะฉันไม่เคยซื้อเลยไม่รู้ว่าเขาขายกันที่ไหน เราพากันไป สำหรับฉันแล้ว หนึ่งร้อยบาทมันมากสำหรับการเสียเงินทิ้งแล้ว เพราะไม่คิดว่าจะถูก แต่เมื่อได้เห็นตัวเลขก็อยากจะลองดูว่า คำชะโนด ให้แม่นหริอเปล่า ขณะกำลังจะให้คนขายเขียนโพยให้ ไม่รู้เพื่อนฉันคิดยังไง"อย่าซื้อเลย ไม่ถูกหรอก "ฉันเป็นคนตามใจเพื่อนอยู่แล้ว ไม่ซื้อก็ไม่ ซื้อ ก็พากันกลับบ้าน พอราวห้าโมงเย็นก็ได้ยินข้างบ้านคุยกันเรื่องหวยออกแล้ว ฉันถามว่าออกเลขอะไร เขาบอกมาคือตัวเลขที่ฉันไม่ได้ซื้อนั่นเอง แสดงว่า คำชะโนด แม่น แต่ฉันยังไม่มีโชค หรือเพียงแต่อยากบอกฉันว่าก่อนดูถูกดูหมิ่นใคร คิดให้ดีเสียก่อน แต่อย่างไรก็ดี เมื่อฉันจะมีโชคบางทีก็ยั้งไม่อยู่เมื่อปรากฏว่าอีกหนึ่งเดือนต่อมา ฉันถูกรางวัลใบกำกับภาษี ครั้งที่ 66 วันที่ 16 ธันวาคม2548 (ตรวจสอบได้จากกูเกิล) ชดเชยการไม่ซื้อหวยในเดือนก่อนนั้น ซึ่งเป็นรางวัลที่มีมูลค่ามากกว่าถูกหวยถึงหนึ่งเท่า ถึงอย่างไรก็ต้องขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งคำชะโนดที่ทำให้รู้ว่าบางอย่างที่คิดว่าไม่มีจริง นั้นเป็นสิ่งที่มีจริง** ด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ จังหวะที่ฉันเห็นเส้นเปลือกไม้โผล่เป็นตัวเลขบนพื้นแป้งสีขาว ต้องเป็นจังหวะที่ลงตัวพอดี ของ ปริมาณแป้งที่ทาไว้ ปริมาณแป้งที่หลุดร่อน แรงลมมุมการมอง องศาที่ก้มมอง แสง เวลาของการมอง โชค ทุกอย่างต้องลงตัวพอดี ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นง่าย ๆ และฉันก็ไม่เคยไปที่นั่นอีกเลย เพราะไม่เชื่อว่าจังหวะที่จะลงตัวพอดีอย่างนั้นจะเกิดขึ้นอีก
ฉันรู้สึกเหมือนไม่ค่อยสบายหายใจอึดอัดมาหลายวันแล้ว โดยไม่รู้สาเหตุจนต้องถามตัวเองว่า เราควรจะไปหาหมอหรือยัง ถ้าไปจะบอกอาการว่าอย่างไร จะบอกว่าหายใจไม่ทั่วท้อง หรือรู้สึกเหนื่อย ๆ ดี เช้านี้ก็เช่นกันแม้จะตื่นนอนใหม่ก็ไม่รู้สึกสดชื่น กำลังคิดว่าหลังจากอาบน้ำอาบท่า รับประทานอาหารเช้าแล้ว อาจจะนอนต่ออีกสักพัก ก็พอดีได้ยินเสียงกริ่งโทรศัพท์บ้านดังขึ้น เพราะฉันไม่ใช้โทรศัพท์มือถือ ใครนะโทรมาแต่เช้าฉันเพิ่งเปลี่ยนเบอร์โทรใหม่ได้แค่เดือนเดียวและเพิ่งบอกไปกับเพื่อนเพียงคนเดียวเมื่อสักสองสัปดาห์ก่อน"สวัสดีค่ะ ""ยายแดงน้อย" เสียงปลายสายเรียกชื่อฉัน ฉันจำเสียงเขาไม่ได้หรอกเพราะนานทีปีละหนเขาจึงจะโทรมา แต่ฉันจำได้ว่ามีคนเดียวที่ยกให้ฉันเป็นญาติผู้ใหญ่ ด้วยการเรียกชื่อนี้เขาเป็นเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงที่เรียนโรงเรียนเดียวกับฉันมาตั้งแต่ชั้นประถม เพิ่งจะแยกไปเรียนคนละที่เมื่อฉันเข้ามาเรียนที่กรุงเทพ จนฉันเรียนจบแล้วมาทำงานที่อุดรธานีเราไม่เคยเจอกันอีกเลย จนล่วงเลยมาเป็นสิบปี เขาจึงโทรศัพท์มาหาฉันแล้วเล่าให้ฉันฟังว่าแม้ฉันจะไม่อยู่บ้าน แต่เขาก็พยายามเดินทางผ่านบ้านฉันเสมอเพราะคิดถึงฉัน และบอกว่าเขาชอบฉันมาตั้งแต่ชั้น ม.1 บอกอะไรต่อมิอะไรมากมาย ฉันจึงเขียนกลอนจากคำบอกเล่าของเขาไว้เป็นที่ระลึกดังนี้เธอให้ใจฉันแต่ต้นเป็นคนแรกตั้งแต่แตกเนื้อหนุ่มซุ่มรักฉันยังรักยืดรักทนจนปัจจุบันและยังฝันถึงบ้างในบางคราวความรู้สึกของใจใครอาจข่มถ้าช่วยห่มให้ใจเธอไม่หนาวหรือช่วยต่ออายุลุยืนยาวยอมเป็นสาวในฝันอันสุนทรซึ่งเป็นโลกส่วนตัวชั่ววูบแวบที่ทั้งแอบปิดบังทั้งซุกซ่อนแม้มิทำร้ายใจใครเดือดร้อนแต่ต้องซ่อนต้องปิดให้มิดเม้นความรู้สึกซึ่งสงวนไม่ควรเปิดเพราะอาจเกิดปัญหาถ้าพูดเล่นสิ่งที่ผิดโดยนัย ไยประเคนยั่วพระเณรเถรชีไม่ดีนะ"ได้เบอร์โทรมายังไงคะ เพิ่งจะให้เพื่อนไปรายเดียวเอง " ฉันทำเสียงระรื่นเพื่อกลบเกลื่อนอาการไม่สบายของตัวเอง"ผมไปร่วมงานวันเกิดเพื่อนคนหนึ่ง จึงได้เบอร์นี้มาจากเพื่อนของเพื่อนอีกทีเขาจดต่อ ๆ กันมา นี่ตั้งใจฟังนะ เรื่องนี้สำคัญ ผมไม่ได้พูดเล่น " เสียงเขาดุฉันกลาย ๆ เมื่อได้ยินเสียงระรื่นที่ฉันตอบไป ฉันรู้สึกได้ถึงน้ำเสียงจริงจังนั้น รุ้สึกห่วงคนที่บ้านขึ้นมาทันทีจึงตั้งใจฟังอย่างที่เขาบอกเขาเล่าว่าเมื่อคืนนี้ เขาฝันแต่เป็นความรู้สึกว่า เหมือนฝันนั้นเป็นจริง ในฝันนั้นเขาเห็นฉันเดินไปกับเพื่อนคนหนึ่งที่ตายไปเมื่อหลายปีมาแล้ว กำลังเดินไปตามทางในป่าที่ทึบมากเขาจึงเรียกฉันไว้ แล้วถามว่าฉันจะไปไหน ฉันตอบเขาว่าจะไปกับเพื่อนคนนั้น เขาบอกว่าไม่ให้ฉันไป ฉันยังไปไม่ได้เพราะเขาอยากได้เบอร์โทรของฉัน ฉันต้องกลับไปจดเบอร์โทรศัพท์ให้เขาก่อน แล้วถ้าอยากไปเขาจะเป็นคนไปส่ง ฉันจึงหยุดเขียนเบอร์โทรให้เขา ปล่อยให้เพื่อนที่ตายแล้วคนนั้นเดินไปก่อน เมื่อฉันเขียนเบอร์เสร็จ เพื่อนที่ตายคนนั้นก็หายไปแล้ว ฉันจึงยังยืนอยู่กับเขา เขาตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกห่วงฉันมาก จนต้องโทรมาบอก และเขาจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เพื่อนที่ตายแล้วคนนั้นด้วย ฉันก็บอกเขาว่าจะทำเหมือนกัน พร้อมกับขอบคุณเขาที่ช่วยเรียกฉันไว้ ด้วยความรู้สึกว่าเขาช่วยชีวิตฉันจริง ๆหลังจากนั้นเขาก็ถามฉันว่าสบายดีหรือเปล่า เมื่อฉันบอกว่าสบายดี เขาจึงสบายใจขึ้นนี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเช้าวันศุกร์ ฉันวางโทรศัพท์ลง แล้วคิดว่าจะบอกเรื่องนี้กับใครดีถ้าบอกกับคนที่รักฉัน พวกเขาก็จะพากันเป็นห่วง ฉันจึงเลือกเล่าเรื่องนี้ให้คนข้างบ้านฟังโดยคิดว่าถ้าฉันจะต้องตายอยากให้ใครสักคนได้รับรู้จะได้บอกต่อกับคนที่บ้านของฉันบ่ายวันเสาร์ มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ฉันคว้าโทรศัพท์มาแนบหู" มีใครส่งข่าวบอกแล้วยัง" เสียงที่ฉันได้ยินเมื่อวานถาม คราวนี้ฉันจำเสียงได้จึงย้อนถามไปว่า"มีอะไรหรือ ""ตอนนี้ผมอยู่ที่บ้านเธอนะ ตั้งใจฟังดี ๆ "เขาเล่าว่าเขามาจากหาดใหญ่เมื่อคืน กลับมาบ้านเขาซึ่งอยู่ใกล้กับบ้านฉัน เมื่อเช้านี้น้องชายของฉันเอาเรือเร็ว (speed- boat ) ซึ่งเป็นของเล่นชิ้นโปรดออกทะเล ตามปกติเขาออกไปเล่นเป็นประจำ และจะกลับเข้าฝั่งประมาณเก้าโมงเช้า แต่วันนี้มีคนเรือประมงที่ลอยลำอยู่นอกชายฝั่งเอาเรือเร็วมาฝากไว้กับชาวประมงชายฝั่ง โดยที่เรือนั้นว่างเปล่า ไม่มีน้องชายของฉันแล้ว ทุกคนที่บ้านรวมทั้งชาวบ้านช่วยกันออกตามหา ถ้าตกน้ำตกท่าจะต้องลอยขึ้นฝั่งแต่วันนั้นทั้งวันไม่มีวี่แวว ที่บ้านฉันไม่ส่งข่าวบอกฉัน เพราะไม่อยากให้ฉันเดินทางกลับไปแต่ฉันรู้แล้ว วันรุ่งขึ้นฉันจึงกลับไปบ้าน ซึ่งต้องใช้เวลานั่งรถไฟทั้งวันทั้งคืนจึงจะถึงบ้านเราทำทุกอย่างแค่เพียงหวังจะพบร่างเท่านั้น เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ก็หมดแรงตามหา แม่ซึ่งเข้มแข็งผิดปกติในช่วงที่กำลังตามหาน้อง ล้มป่วยลงทันทีเมื่อเราทุกคนหมดหวังแม้แต่จะเห็นร่างของน้องฉันอยู่กับแม่ประมาณสิบวัน ก็ต้องเดินทางกลับมาทำงาน วันที่เดินทางกลับฉันนั่งรถไฟตู้สุดท้ายพอรถเริ่มเคลื่อนออกจากสถานี ฉันหันไปมองที่ชานชลาแล้วฉันก็ต้องกะพริบตาอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจ ก็ยังเห็นเขา...เพื่อนคนที่ตายไปแล้วที่เพื่อน ๆ ทุกคนบอกว่าเมื่อยังมีชีวิตอยู่เขาชอบฉัน ยืนอยู่ที่ชานชลาด้วยสีหน้าเอิบอิ่ม ที่ฉันรู้สึกได้ทันทีว่าเขามีความสุขมากอย่างที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้ฉันคิดในใจทันทีว่า"เอาน้องฉันไปแล้วมีความสุขนะ" นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันเห็นเขาหลังจากนั้นเราทุกคนไม่มีใครพูดถึงน้องอีก พยายามทำเป็นลืม เพราะเรารู้ว่าถ้าเอ่ยออกมาสักคำแม่จะสะเทือนใจ จึงพยายามหากิจกรรมให้ไม่มีเวลาว่าง ให้สมองคิดแต่เรื่องอื่นพอดีที่บ้านฉันเปิดเป็นร้านขายของจิปาถะ มีลูกค้ามาทำให้แม่ไม่ว่างตลอดวัน แต่ถึงกระนั้นแม่ก็ยังเวียนเข้าออกโรงพยาบาลอีกหลายครั้ง จนเวลาช่วยเยียวยาความรู้สึกได้บางส่วนแต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะแม้เวลาจะผ่านไปสองสามปีแล้ว แม่ก็ยังไม่ยอมลงไปเดินเล่นที่ชายหาด ทั้งที่แต่ก่อนแม่เคยลงไปทุกวัน แม้แต่ฉันเองถ้าลงไป ฉันก็อดที่จะมองหาไม่ได้แล้วก็ถามตัวเองว่าน้องไปอยู่ที่ไหนนะไม่ว่าความจริงหรือความฝัน มันเกิดขึ้นพัวพันกัน จนฉันแยกมันออกจากกันไม่ได้บางทีฉันจึงคิดว่าความฝันนั้นคือความจริงเพราะเป็นสิ่งที่ฉันสัมผัสได้ด้วยตา ด้วยความรู้สึกแต่ฉันไม่อยากฝันแบบนี้อีกแล้ว
สำหรับผู้เลือกข้อ 28. เธอไม่คลานเข้าไปในเรือเธออยู่ริมชายหาดแต่ยังกังวลและสงสัยว่าช่วงน้ำขึ้นจะมีคลื่นซัดขึ้นมาถึงหรือไม่ เธอกินมะพร้าวประทังชีวิต และเหนื่อยเกินกว่าจะเดินสำรวจเกาะนั้นต่อไป เธอได้ใช้พลังงานทั้งหมดในการพยายามหาอาหารประทังชีวิต เธอสงสัยว่าเธอจะได้รับการช่วยชีวิตหรือไม่ ในที่สุด เธอก็เหนื่อยจนเกินกว่าจะปกป้องตนเอง หลายปีต่อมานักสำรวจพบกระดูกของเธอในทรายอวสานสำหรับผู้เลือกข้อ 29. เธอแนะให้ซุ่มโจมตีหัวหน้าสนใจความคิดการซุ่มโจมตีของเธอ เพราะไม่เคยทำมาก่อน พอดวงอาทิตย์ขึ้น กลุ่มของเธอจะกระจายออกไปแอบหลังก้อนหินและพุ่มไม้ข้างทางระหว่างสองหมู่บ้านนั้น ถ้าศัตรูเข้ามา เผ่าของเธอจะจู่โจมจากที่ซ่อนอยู่แทงศัตรูก่อนที่พวกเขาจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ฝ่ายของเธอจะชนะสงครามนำความสงบมาให้หมู่บ้านของพวกเขาเธอเป็นฮีโร่ ชาวหมู่บ้านให้เพชรทองแก่เธอ และช่วยเธอหาทางไปหมู่บ้านเป็นมิตร ที่เธอสามารถรอเรือสักลำที่จะพาเธอกลับบ้านอวสานสำหรับผู้เลือกข้อ 30. เธอแนะให้จู่โจมศัตรูก่อนหัวหน้าไม่ชอบที่เธอพูด เขาโกรธ ชาวเกาะจึงมัดเธอไว้กับเสาแล้วพูดว่าพวกเขาจะเผาเธอเมื่อกลับมาจากสงคราม เมื่อพวกเขาจากไป เธออยู่ตามลำพังรอตลอดวัน เธอขยับตัวไม่ได้ หมดหวังขณะตะวันจะลับขอบฟ้ามีเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจ คนแปลกหน้ากลุ่มใหม่เข้ามาในหมู่บ้านคือเผ่าที่เป็นศัตรู พวกเขาชนะสงคราม เขารีบแก้มัดให้เธอหัวหน้าพูดว่า "นักโทษของพวกเขาคือมิตรของพวกเรา"สองสามวันต่อมาพวกเขาช่วยเธอหาทางไปหมู่บ้านที่เป็นมิตรที่เธอจะรอเรือพาเธอกลับบ้านอวสานสำหรับผู้เลือกข้อ 31.เธอคุยกับคนพวกนั้นแล้วบอกเขาเรื่องสมบัติคนพวกนั้นจับมือเธออย่างตื่นเต้น " สมบัติอยู่ที่ไหน ? " พวกเขาถามเธอรู้สึกว่าเธอไม่มีทางเลือกต้องพาพวกเขาไปที่นั่น พวกเขาผลักเธอออกไปอีกข้างหนึ่งแล้วคว้าหีบสมบัติหยิบเอาอย่างละโมบ เธอไปซ่อนอยู่ในพุ่มไม้ทันใดนั้นขบวนของชาวเกาะก็ปรากฏขึ้น พวกเขาจับชายพวกนั้นพาไปพร้อมกับส่งเสียงคำรามโห่ร้องเธอถูกทิ้งไว้ตามลำพัง แต่เห็นแผนที่วางอยู่บนพื้น เธอใช้แผนที่นั้นหาทางไปหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ ที่เธอจะได้อาหารและที่หลับนอนวันต่อมาเธอถูกนำลงเรือไปที่เกาะหนึ่งซึ่งมีเรือจากอเมริกามาจอด ในที่สุดเธอก็ได้กลับบ้านในขณะที่ในกระเป๋ายังเต็มไปด้วยเพชรพลอยมีค่าอวสานสำหรับผู้เลือกข้อ 32. เธอคุยกับคนพวกนั้นแต่ไม่บอกเขาเรื่องสมบัติคนพวกนั้นประหลาดใจมากที่เห็นเธอ และยิ่งประหลาดใจมากขึ้นเมื่อได้ฟังเรื่องการผจญภัยแปลก ๆ ของเธอ พวกเขาถามเธอว่า เธอรู้เรื่องที่ซ่อนสมบัติหรือไม่ เธอบอกว่าเธอไม่รู้หัวหน้าพูดว่า "มันไม่มีประโยชน์ เราถูกโกง ไม่มีสมบัติที่ถูกฝัง เอาละเธอไปกับเรา แล้วเธอจะพบทางกลับบ้าน"เธอตามเขาไปไกลกว่าหนึ่งไมล์ เหนื่อยจนเกือบไปต่อไม่ได้ แต่ในที่สุดก็มาถึงอ่าว จึงเรียงแถวไปลงเรือยนต์ลำใหญ่ที่จอดอยู่ สองวันให้หลังเธอก็มาถึงเกาะหนึ่งเรือเข้าจอดเทียบท่า ชายพวกนั้นบอกทางไปสนามบินให้เธอ ขณะที่เธอกล่าวลาเพชรเม็ดหนึ่งร่วงจากกระเป๋า พวกเขาจึงค้นเอาเพชรพลอยทั้งหมดไปจากเธอสาปแช่งเธอ เธอจึงวิ่งหนีไป และแม้ว่าต่อจากนั้นเธอได้กลับถึงบ้านแต่เธอก็เสียใจที่ไม่สามารถนำของมีค่าจากเกาะชูการ์เคนกลับมาได้อวสานสำหรับผู้เลือกข้อ 33. เธอซ่อนตัวอยู่เงียบ ๆเธอคงซ่อนตัวอยู่ ผ่านไปครู่หนึ่ง คนพวกนั้นก็จากไป เธอยังอยู่ที่นั่น สงสัยว่าเธอจะกล้าไปเอาเพชรอีกหรือไม่ ทันใดนั้นก็มีชาวเกาะจำนวนหนึ่งโผล่พรวดออกมาจากหมู่ไม้ พวกเขาพาเธอกลับไปที่แคมป์ หัวหน้าออกมาพูดกับเธอ" เธอเป็นคนซื่อสัตย์ เราคอยดูเธอ เห็นว่าเธอไม่ได้เอาสมบัติไป""แต่ฉันเอาไป " เธอพูด" นั่นเธอเป็นคนซื่อสัตย์จริง ๆ ที่ยอมรับ เธอเก็บสมบัตินั่นไว้ก็ได้ " เขาพูดยิ้ม ๆ"มันไม่มีความหมายกับเรา เพชรพลอยของเราคือดาวในท้องฟ้าและคลื่นระยิบระยับในทะเล"วันต่อมาชาวเกาะนำเธอไปที่หมู่บ้านที่เธอจะคอยเรือพาเธอกลับบ้านได้อวสานสำหรับผู้เลือกข้อ 34. เธอเลือกข้อเสนอแรกชาวเกาะพาเธอไปตามทางลงอ่าว พวกเขาพาเธอลงเรือไปที่อีกเกาะหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลนัก ที่เธอจะลงเรือกลับไปอเมริกาได้ พวกเขาอวยพรให้เธอกล่าวอำลาแล้วกลับไปยังหมู่บ้านที่มีทรัพย์สมบัติของพวกเขาอวสานสำหรับผู้เลือกข้อ 35. เธอเลือกข้อเสนอที่สองเธอเอาเพชรเม็ดใหญ่ที่หัวหน้าให้ใส่กระเป๋ากางเกงแล้วมุ่งเข้าไปในป่าดูเหมือนไร้ความหวัง ผ่านไปครู่ใหญ่เธอก็กลับไปหาหัวหน้าคนนั้น บอกเขาว่าเธอหาทางออกไม่เจอ"เราจะบอกเธอ " หัวหน้าพูด "แต่เธอต้องพิสูจน์ตัวเอง"พวกเขาใช้ผ้าปิดตาเธอแล้วพาเธอเดินขึ้น-ลงภูเขาหลายครั้ง จนในที่สุดเธอรู้สึกว่ามีทรายอยู่ใต้ฝ่าเท้า เธออยู่ใกล้มหาสมุทร พวกเขารอจนกระทั่งเธอหลับ เมื่อตื่นขึ้นพบว่าตัวเธอนอนอยู่บนเนินทราย ด้านหลังเป็นหาดทรายลาดนุ่ม ด้านหน้าเป็นทุ่งหญ้าสูงไปจนถึงภูเขาหิน เธอหิวและกระหาย แต่ไม่มีสัญญาณของสิ่งมีชีวิตอยู่ที่นั่น เธอมองออกไปที่มหาสมุทร ไม่มีอะไร มีแต่น้ำสีฟ้าไม่มีสิ้นสุด เธอโดดเดี่ยว เธอรู้แล้วว่าเธออยู่ที่กระแสน้ำพัดเธอมาขึ้นฝั่งครั้งแรกบนเกาะชูการ์เคน(ย้อนกลับไปเลือกตัวเลือกของตอนที่ 1. ข้อ 1. หรือ ข้อ 2...... )สำหรับผู้เลือกข้อ 36. เธอขี่หลังเต่าต่อไปในทะเลเธอขี่หลังเต่าห่างออกไปจากชายฝั่งทันใดนั้นเต่าก็ดำดิ่งลงในน้ำ ทิ้งเธอไว้กับเกลียวคลื่นที่โถมไปมา เธอไม่เห็นเต่าตัวนั้นอีกเลย เห็นแต่ฉลามมหึมาว่ายตรงมาที่เธอ แล้วมันก็กินเธอเป็นอาหารมื้อเย็นอวสานสำหรับผู้เลือกข้อ 37. เธอกระโดดลงจากหลังเต่าตัวนั้นเธอกลิ้งลงจากหลังเต่าตัวนั้น แล้วยืนดูมันว่ายออกไปในทะเล เธอเดินขึ้นบนหาดเข้าไปในพุ่มไม้ เธอกระหายและหิวมาก(ย้อนกลับไปอ่านตอนที่ 4. สำหรับผู้เลือกข้อ 2.เธอเดินต่อไปเพื่อมองหาน้ำจืด......... )สำหรับผู้ที่เลือกข้อ 38. เธอยังอยู่บนหลังเต่า(ย้อนขึ้นไปอ่านต่อสำหรับผู้เลือกข้อ 36. เธอขี่หลังเต่าออกไปจากชายฝั่ง.....)สำหรับผู้เลือกข้อ 39. เธอกระโดดลงจากหลังเต่าเธอกระโดดลงน้ำและว่ายอย่างเร็วที่สุดเข้าหาฝั่งที่อยู่ใกล้ที่สุด ขึ้นหาดแล้วเดินไปตามทางในป่า ซึ่งอาจเป็นทางเดินของคนหรือสัตว์ ผ่านไปครู่หนึ่งเธอก็มาถึงสระน้ำใสแจ๋ว เธอเห็นปลาที่คิดว่าอาจจับเป็นอาหารได้ มีเสียงดังมาจากข้างหลังเธอจึงเหลียวไปมองเห็นสัตว์ตัวใหญ่กระโจนเข้าหาเธอ มันคล้ายเสือแต่ไม่มีลาย และสายเกินกว่าที่เธอจะหนีทันอวสานจ บ แ ล้ ว จ ริ ง ๆ ไ ม่ มี ต่ อ
สำหรับผู้เลือกข้อ 16. เธอไม่บอกเขาเรื่องชายชราคนนั้นคนออสเตรเลียนพาเธอไปที่เรือของเขา ดูเหมือนพวกเขาเสียใจที่ไม่พบนักสำรวจที่หายไปเรือลำนั้นแล่นไปเกาะกาลาปากอสที่เธอจะรู้สึกดีใจมากที่จะได้พบ ดร.ฟริสบี้ เรือลำนั้นได้ช่วยชีวิตคนตกน้ำ เขาคิดว่าเธอเป็นคนตกน้ำจึงดีใจที่เห็นเธอยังมีชีวิตอยู่ เขาจับเต่าแปลก ๆได้จำนวนหนึ่ง ต่อมาเธอก็อยู่ในเส้นทางกลับไปซานฟรานซิสโก และมีความสุขในการเดินทาง แต่รู้สึกฉงนตลอดเวลาว่า ชายชราคนนั้นเป็นใครและจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาอวสานสำหรับผู้เลือกข้อ 17. เธอพยายามเดินทางต่อเธอตะเกียกตะกายป่ายปีนขึ้นยอดเขา ทั้งหนาวทั้งเหนื่อย เห็นหุบเขาสีเขียวงดงามอยู่ด้านล่าง แต่เธอก็หนาวและเหนื่อยเกินกว่าจะเดินทางต่อได้อวสานสำหรับผู้เลือกข้อ 18.เธอกลับไปที่หมู่บ้านของชาวพื้นเมืองเธอกลับไปที่หมู่บ้านเดิม หัวหน้าเผ่าทึ่งมากที่ได้ฟังเรื่องของเธอ นักโทษคนนั้นถูกลงโทษ หัวหน้าเผ่าและนักโทษที่ดีที่สุดสามคน พาเธอเดินขึ้นเขาแล้วลงไปอีกด้านหนึ่งไปที่หมู่บ้านด้านนั้นอย่างปลอดภัย" ตอนนี้" หัวหน้าพูด "คนของเราจะไม่กลัวหิมะอีกแล้ว "อวสานสำหรับผู้เลือกข้อ 19. เธอพุ้ยน้ำขึ้นฝั่งเธอพุ้ยน้ำไปขึ้นอีกฝั่งหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้หนาแน่นและมีคม เธอกระเสีอกกระสนฝ่าไปจนร่างกายเต็มไปด้วยรอยขีดข่วน แต่เธอก็ผ่านทะลุออกไปสู่ทุ่งหญ้าได้ จนเจอทางเดินจึงเดินไปตามทางนั้น โดยหวังว่าจะไปเจอเส้นทางไปสู่หมู่บ้านที่เป็นมิตรทันใดนั้นขบวนของชาวเกาะก็โผล่ออกมาและมองเห็นเธอ(ย้อนกลับไปอ่านตอนที่ 5. สำหรับผู้เลือกข้อ 8. ชาวเกาะพาเธอกลับไปที่หมู่บ้านของเขา...)สำหรับผู้เลือกข้อ 20. เธอล่องลงไปตามน้ำเธอล่องลอยไปทั้งวันทั้งคืน ไม่มีกระแสน้ำอีกแล้ว เธอล่องผ่านต้นไม้สูงใหญ่ใบระย้ามีนกสีเขียว สีม่วงบินไปมาอยู่เหนือศีรษะของเธอในที่สุดเธอมาถึงหมู่บ้านที่เป็นมิตรแห่งหนึ่ง คนของหมู่บ้านนั้นบอกเธอว่า มีเรือจะออกเดินทางไปเกาะกาลาปากอสในอีกสองสามวันข้างหน้า กัปตันเรือต้อนรับเธอเป็นผู้โดยสาร หลังจากเดินทางไปในทะเลได้หนึ่งสัปดาห์ เธอก็มาถึง กัปตันได้วิทยุไปบอกดร.ฟริสบี้ และเขากำลังรอพบเธออยู่บนเรืออวสานสำหรับผู้เลือกข้อ 21.เธอพยายามปีนต่อเพื่อจะไปอีกด้านหนึ่งของภูเขาไฟเธอวิ่งไปตามขอบภูเขาไฟพยายามจะข้ามไปอีกด้านหนึ่ง กลุ่มควันหนามากจนหายใจลำบาก พื้นดินเคลื่อนเสียงดังลั่น เธอรู้สึกได้ถึงการสั่นสะเทือนของพื้นดินที่อยู่ใต้เท้าในที่สุดเธอก็พบทางเลี่ยงอ้อมภูเขานั้นแล้ววิ่งลงเขาอย่างเร็วที่สุด จนสามารถหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์ได้อีกครั้ง มีเขม่าหนาทึบอยู่ด้านหลังเธอ เธอได้ยินเสียงหินพังและต้นไม้ล้มภูเขาไฟพ่นลาวาออกมาทางด้านนั้นของภูเขา เธอไม่อยากเห็นมันเลย แต่ตอนนี้หมู่บ้านของอะบากันถูกฝังอยู่ใต้ลาวาที่หลอมเหลวแล้วเธอเจอทางเดินไปสู่มหาสมุทรเป็นทางเดินไปตามชายฝั่ง จึงเดินไปตามทางนั้นสองวันก็ถึงหมู่บ้านเป็นมิตรที่ตั้งอยู่ข้างทะเลสาบ ซึ่งมีปะการังเป็นแนวกำบังคลื่น เธออยู่ที่นั่นกับครอบครัวใจดี พวกเขาบอกเธอว่าทุก ๆ เดือนจะมีเรือจากเม็กซิโกแวะมา ถ้าเธออยากไปบ้านกัปตันยินดีให้เธอไปด้วย เธอมีความสุขที่ได้ยินอย่างนั้นอวสานสำหรับผู้เลือกข้อ 22. เธอวิ่งกลับไปกับชาวเกาะเธอวิ่งกลับไปหาชาวเกาะ ภูเขาไฟยังพ่นควันต่อไป ลาวาสีดำไหลลงจากภูเขาไฟไปที่หมู่บ้านของพวกเขา อากาศมีกลิ่นกำมะถันร้อน ๆ ชาวเกาะไม่พยายามทำร้ายเธออีกต่อไปพวกเขาสวดภาวนาด้วยหวังว่าหมู่บ้านของพวกเขาจะไม่ถูกทำลายมีลมเย็นบริสุทธิ์พัดข้ามทุ่งมาหวือหนึ่ง อากาศสดใสขึ้น ทุกคนยังจ้องมอง เถ้าลาวาหยุดไหล ภูเขาไฟเงียบสงบ ชาวหมู่บ้านมาโค้งให้เธอ พวกเขาขอบใจที่เธอช่วยพวกเขาให้รอดพ้นจากการถูกทำลาย พวกเขามอบเครื่องเพชรพลอยมีค่าแก่เธอเป็นการแสดงความขอบใจสำหรับการช่วยเหลือที่พวกเขาคิดว่าเธอให้พวกเขา วันต่อมาพวกเขาจึงบอกทางที่ซ่อนอยู่กับเธอ ซึ่งเป็นเส้นทางที่เธอจะไปรอเรือเพื่อจะเดินทางกลับอเมริกาอวสานสำหรับผู้เลือกข้อ 23. เธออยู่ร่วมกับชาวเกาะเผ่านั้นเธออยู่ร่วมกับชาวเกาะเผ่านั้น เรียนรู้การตกปลา ล่าสัตว์และเล่นเกม สองสามเดือนผ่านไปเธอรู้สึกเร็วเหมือนสุนัขจิ้งจอก แข็งแรงเหมือนหมี แต่เธอก็ยังคิดถึงบ้านและครอบครัววันหนึ่งเธอจึงออกเดินทางตัดไปในป่า เพื่อจะหาทางไปสู่ที่มีความเจริญกว่าหลังจากเดินทางนานสองวันสองคืน เธอมาถึงแม่น้ำที่เป็นประกายแวววาว น้ำเย็นใสข้ามแม่น้ำนี้ไป มีต้นมะพร้าวหลายร้อยต้น เธอหิว(ย้อนกลับไปอ่านต่อ ตอนที่ 5 สำหรับผู้เลือกข้อ 15. เธอตกลงไปในน้ำเย็น.........)สำหรับผู้เลือกข้อ 24. เธอจะไปที่หมู่บ้านถัดไปชาวเกาะนั้นพาเธอเดินผ่านป่าและภูเขาไปเป็นระยะทางหลายไมล์ กลางคืนหยุดพักกลางวันเดินทาง มันน่าเหนื่อยหน่ายมาก แต่มีอ้อยมากมายให้เคี้ยวได้ตลอดทาง และชาวเกาะนั้นรู้ว่าจะหาน้ำเย็นใสได้จากที่ไหนวันหนึ่งเธอมองไปเห็นหมู่บ้านใหญ่ตั้งอยู่บนขอบอ่าวที่สวยงาม ตรงขอบเป็นแนวปะการัง มีม้าสำหรับลากรถม้า และมีรถจิ๊บสองสามคัน ในอ่าวมีเรือประดับธงอเมริกาจอดอยู่สามลำ เธอแน่ใจว่ากัปตันจะต้องชวนเธอไปกับพวกเขา เพียงแต่สงสัยว่า เรือนั้นจะกลับไปอเมริกา หรือ จะเดินทางไปที่เกาะอื่น แต่จะไปไหนก็ดีสำหรับเธอที่พร้อมจะไปจากเกาะชูการ์เคนอวสานสำหรับผู้เลือกข้อ 25. เธอไปทางตะวันตกเธอไปเงียบ ๆ โดยไม่กล่าวลา นำอาหารติดตัวไปด้วย เตร็ดเตร่ไปในป่า ทุ่งหญ้าหนองน้ำ ข้ามผาหิน เธอเห็นสัตว์แปลก ๆ มากมาย และมากกว่าหนึ่งครั้งที่ต้องกระโดดหนีงูสีเขียวตัวใหญ่ที่อาศัยอยู่บนเกาะนี้ เธอยังชีวิตด้วยมะพร้าวและอ้อยอยู่หลายวัน ก่อนที่เธอจะปีนขึ้นไปที่ขอบผาที่มองลงไปเห็นหมู่บ้านที่เธอเห็นคนขี่ลา จักรยาน รถจิ๊บ เธอรู้สึกมีความสุข เพราะรู้ว่า เรือที่มาส่งของพวกนี้ จะสามารถพาเธอกลับบ้านได้อวสานสำหรับผู้เลือกข้อ 26. ไปทางตะวันออกเธอเดินไปทางตะวันออก พยายามไปในทางที่ดวงอาทิตย์ขึ้นตอนเช้า และดวงอาทิตย์อยู่ด้านหลังในตอนบ่าย แต่มีเมฆบ่อยมาก เธอเริ่มสงสัยว่า เธอเดินไปทางตะวันออกจริงหรือไม่ เช้าวันหนึ่งได้กลิ่นเกลือโชยมากับสายลม เธอรีบขึ้นบนเนินทรายมองออกไปในทะเล จึงลงไปเดินบนชายหาดรู้สึกเหนื่อยมากจึงนอนลง แต่แล้วเธอก็ลุกขึ้น เพราะรู้ว่าจะต้องเดินต่อไป(ย้อนกลับไปอ่านตอนที่ 2 สำหรับผู้เลือกข้อ 1. เดินไปตามชายหาดเธอเดินไปตามความยาวหาด ทรายนุ่มมาก........ )สำหรับผู้เลือกข้อ 27. เธอคลานเข้าไปทางรูนั้นเธอคลำไปภายในเรือ หลายครั้งเธอลื่นและล้มลงไปในความมืด มือเธอปัดไปถูกอะไรบางอย่างที่นุ่มนิ่มและลื่น เธอสงสัยว่าเธอจะหาทางออกเจอหรือไม่ เธอพบประตูแต่เปิดไม่ได้ ถัดจากประตูนั้นรู้สึกว่าเป็นโลหะเย็น และเป็นแก้ว เธอจับดู มันเป็นโคมไฟแบตเตอรี่ และยังใช้ได้เธอจึงมีแสงสว่างส่องหาสิ่งของในเรือ เจออาหาร น้ำดื่ม น้ำผลไม้กระป๋องและวิทยุของเรือ เธออ่านวิธีใช้แล้วส่งเสียงขอความช่วยเหลือ มีเสียงหนึ่งตอบกลับมาจากเรือ " เราบอกได้ว่าสัญญาณวิทยุของคุณมาจากไหน"เสียงนั้นพูด "เราจะส่งความช่วยเหลือออกไป""ขอบคุณครับ" เธอพูดอวสาน
สำหรับผู้เลือกข้อ 1. เธอยืนบนหัว (เอาหัวลง เท้าชี้ฟ้า)ชาวเกาะพวกนั้นดีใจมาก พวกเขาให้เค้กน้ำอ้อยและองุ่นสีชมพูแก่ เธอ เธอนอนหลับสนิทวันถัดไปพวกเขาพาเธอไปที่บ้านหลังหนึ่งในหมู่บ้านที่ใหญ่กว่าซึ่งตั้งอยู่บนอ่าวที่สวยงามที่นั่นเธอได้รับเชิญให้อยู่กับครอบครัวที่เป็นมิตรสองสามสัปดาห์ก็มีเรือที่จะเดินทางไปซานฟรานซิสโกแวะที่อ่าวนั้น กัปตันให้เธอลงเรือไปด้วย เธออวยพรให้เพื่อนใหม่พร้อมกับกล่าวอำลา ต่อจากนั้นเธอก็อยู่บนเส้นทางกลับอเมริกาอวสานสำหรับผู้เลือกข้อ 2. เธอไม่ยืนบนหัวเมื่อเธอปฏิเสธการยืนบนหัว คนพวกนั้นโกรธมาก พวกเขาจับเธอมัดเท้า แล้วจับเธอห้อยหัวลงเธอไม่เคยกลัวมากอย่างนี้มาก่อนเลยในชีวิต แต่ในที่สุดพวกเขาก็ปล่อยเธอลง แต่เธอก็ยังเป็นนักโทษในแต่ละวันจะถูกพวกเขาจับห้อยหัวลงวันละชั่วโมงวันหนึ่งขณะเธอกำลังถูกแขวน มีเสียงสายโลหะดังแปลก ๆ ปุด ปุด ปุด ชาวเกาะพวกนั้นวิ่งออกไป เงยมองและส่งเสียงกรีดร้อง แล้วก็หยุดเงียบ เธอร้องขอความช่วยเหลือ มีชายในเครื่องแบบสีกากเข้ามาพบเธอแลัวตัดเชือกที่มัดออกให้ เสียงนั้นคือเครื่องบินช่วยชีวิตที่ออกค้นหาผู้รอดชีวิตจากทะเล ครู่ต่อมา เธอก็อยู่บนเฮลิคอปเตอร์ในเส้นทางไปเกาะ กาลาปากอสที่ ดร.ฟริสบี้ กำลังรอเธออยู่อวสานสำหรับผู้เลือกข้อ 3. เธอเข้าข้างในโดมภายในโดมที่มีแสงสีเขียวนั้นดูแข็ง แวววาว และสะอาด แต่ทันใดนั้นแสงก็เลือนหายไปมันมืด เธอหลับตาลงมันดูราวกับสว่างขึ้น แล้วโดมก็ค่อย ๆขยายใหญ่ขึ้นเป็นสีฟ้าเท่ากับท้องฟ้าและแสงนั้นสะท้อนแพรวพราย เธอเหลียวมอง แล้วก็ต้องตกใจ มันคือดวงอาทิตย์ !เธอกำลังฝันอยู่บนเก้าอี้ของเรือ- ที่ยังคงอยู่บนเส้นทางไปเกาะ กาลาปากอสอวสานสำหรับผู้เลือกข้อ 4. อยู่ห่าง ๆ โดมนั้นเธอวิ่งออกห่างจากโดมนั้น มันยกตัวขึ้นจากพื้นโลก ลอยเบาๆ สูงขึ้นไปในท้องฟ้าพร้อมกับเสียงครางของสัญญาณไฟ เธอยังยืนดูอยู่ ที่นั่น มีชาวเกาะจำนวนหนึ่งออกมาจากป่าพวกเขาเดินมาหาเธอยื่นมือให้จับ พวกเขาให้น้ำมะพร้าว ลูกอมน้ำตาลอ้อย เค้กน้ำอ้อยน้ำผลไม้ และสร้อยข้อมือทับทิมกับแซฟไฟร์แก่เธอ เพราะคิดว่าเธอเป็น พระเจ้าของอวกาศเธออยู่ในหมู่บ้านของพวกเขาอีกสองสามวัน ก็รู้ว่ามีหมู่บ้านอื่นที่ต้องใช้เวลาเดินทางสองสามวันจึงจะถึง ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มีเรือจากที่อื่นมาแวะ เธออวยพรให้เพื่อนใหม่และกล่าวอำลาออกเดินทางกลับบ้านอวสานสำหรับผู้เลือกข้อ 5. เธอขึ้นแพไปจากที่นั่นเพื่อนของเธอทำถุงกันน้ำจากหนังสัตว์ให้ และเพื่อไม่ให้มันกระทบกันเธอจึงใช้เถาองุ่นผูกมันติดกับแพ จากนั้นก็กินอาหารและดื่มน้ำให้มากเท่าที่จะดื่มได้จากน้ำพุที่อยู่ใกล้ ๆ แล้วเธอก็ดันแพออกทะเลด้วยไม้แบน ๆ สำหรับใช้พายสองแผ่นกระแสน้ำช่วยส่งเธอไปตามชายฝั่งอย่างรวดเร็ว เธอมองไปที่แนวหินที่ยื่นจากแผ่นดินลงไปในทะเล แต่ก็ถูกลมพัดพาเธอออกสู่ทะเลเปิดภายในสองสามนาทีต่อมา ผ่านไปหนึ่งคืนกับหนึ่งวันที่เธอเร่ร่อนไป นึกถึงเวลาที่ได้กินอาหารและน้ำมื้อล่าสุดว่านานเท่าไรแล้ว เมื่อแสงแรกปรากฏในเช้าต่อไป ก็เห็นเกาะใหญ่โผล่ขึ้นมาจากน้ำ เห็นเรือหาปลา และมีลำหนึ่งมุ่งตรงมาที่เธอ เธอรู้ว่าเธอจะได้รับการช่วยชีวิตในเร็ว ๆ นี้อวสานสำหรับผู้เลือกข้อ 6. เธอยังอยู่ที่เดิมเธอช่วยเพื่อนใหม่รวบรวมมะพร้าวแล้วมัดเป็นแพรวมกันกับถุงกันน้ำที่ทำจากหนังสัตว์เขาสอนให้เธอจุดไฟจากหินไฟ และสอนวิธีจับสัตว์ให้เธอ ในที่สุดเธอก็ช่วยผลักแพลงน้ำแล้วโบกมือลาแพล่องลอยไปตามชายฝั่งของเกาะอย่างรวดเร็ว เธอสงสัยว่าแพนั้นจะพาเขาไปไหนระหว่างเดือนต่อมา เธอสุขสบายดีและแข็งแรงขึ้น มีการค้นพบสิ่งใหม่ ๆ ทุกวันเกี่ยวกับพืชและสัตว์แปลก ๆ ที่อาศัยอยู่ ตามขอบ ของทะเล หลังจากเวลาผ่านไปหลายเดือน เธอก็เริ่มสร้างแพอวสานสำหรับผู้เลือกข้อ 7. เธอเดินไปที่ทะเลกับโจรสลัดคนนั้นเธอเริ่มออกสู่ทะเลในขณะที่มีลมเบา ๆ เรือเคลื่อนไปในทะเลอย่างราบรื่น แต่เธอสงสัยว่าจะทำอย่างไรเมื่อไปเจอคลื่นลมแรงขณะแล่นออกไปในทะเลเปิด"เธอก็รู้ ว่าเราอยู่ห่างจากเกาะนั้นเพียง ห้าสิบไมล์" โจรสลัดพูด"มาเถอะ เอาเชือกนี้มัดตัวเธอเองเข้ากับเรือ หรือจะให้คลื่นหอบเธอไปให้ฉลามมันกิน"อีกไม่นานเรือลำนั้นก็โล้ขึ้น-ลงอยู่ในฟองละอองน้ำทะเล เธอสงสัยว่า เธอและโจรสลัดจะพาเรือนั่นไปถึงฝั่งได้หรือไม่ เธอจะพามันไปอวสานสำหรับผู้เลือกข้อ 8. เธอวิ่งหนีทันทีที่มีโอกาสคืนก่อนวันที่เธอและโจรสลัดตัดสินใจจะออกเดินทาง เธอรอจนกระทั่งเขาหลับแล้วเธอก็ค่อย ๆ เขยิบออกห่างแล้ววิ่งไปในความมืดของชายหาดให้ไกลเท่าที่จะเป็นไปได้ก่อนที่โจรสลัดนั้นจะรู้ว่าเธอหนีไปแล้ว ในที่สุดเธอก็ลงนอนพักและตื่นขึ้นมาด้วยแสงจ้าของตะวัน เธอกระหายน้ำ กลัว และโดดเดี่ยว( ย้อนกลับไปอ่านต่อ ตอนที่ 2 สำหรับผู้เลือกเดินไปตามชายหาด )เธอเดินไปตามความยาวหาด...............สำหรับผู้เลือกข้อ 9. เธอไปทำตามคำแนะนำของโจรสลัดเธอคลานเข้าไปในถ้ำ และมะงุมมะงาหราไปตามอุโมงค์ในถ้ำ เข่าและศอกของเธอแตกเพราะความคมของหิน ในถ้ำนั้นทั้งเย็นและชื้น เธอนึกอยากให้ไม่เคยฟังเรื่องนี้จากโจรสลัดช่องอุโมงค์ถ้ำแคบมากจนเธอหมุนตัวไม่ได้ มันมืดจนเธอกลัวเธอนอนราบลงเพื่อหยุดพักพลางยื่นแขนตรงไปข้างหน้า พื้นเป็นทรายอยู่ใต้มือของเธอเธอขุดทรายนั้นด้วยนิ้วมือ และฉับพลัน เธอก็รู้สึกว่ามันเป็นเพชรเม็ดโตเท่าไข่ไก่เธอคลานต่อไปตามอุโมงค์ เห็นแสงสว่างอยู่ข้างหน้า ไม่นานเธอก็ออกมาอยู่ใต้แสงแดดนอกถ้ำอีกครั้ง เธออยู่บนภูเขาเหนือทะเลสาบสีเขียว มีเรือใบสองเสากระโดงลำหนึ่งจอดอยู่ใกล้ฝั่งและมีธงชาติอเมริกันโบกสะบัดอยู่บนเรือลำนั้น เธอรู้ว่าตอนนี้เธอมีทางกลับบ้านแล้ว และยังได้เพชรเม็ดใหญ่ไปด้วยอวสานสำหรับผู้เลือกข้อ 10.เธอไม่ทำตามคำแนะนำของเขาเธอนั่งคิดด้วยความไม่ไว้ใจโจรสลัดคนนั้น ไม่มีทางเลือกเธอหิวจึงกินปลาของเขาไปส่วนหนึ่งแล้วเดินเตร่ต่อไปถึงทุ่งต้นอ้อย เธอเลี้ยงชีวิตตนเองด้วยอ้อย มะพร้าว และปลาต่อมาอีกหลายเดือนวันหนึ่งเมื่อเธอมองผ่านป่าไปที่ทุ่งโล่ง เธอเห็นชายคนหนึ่งกำลังคลานเข่าถือแว่นขยาย"สวัสดีครับ" เธอตะโกนทัก" สวัสดี " เขาพูด " ฉันชื่อ ดร.วัดเดิล ฉันเพิ่งเลิกการค้นหาลิงแปซิฟิก"เธอคุยกับ ดร.วัดเดิลอีกนานจึงรู้ว่าเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์เหมือนกับ ดร.ฟริสบี้ ความจริงในอดีตเขาเป็นเพื่อนเก่ากัน หลังจากนั้นเธอและ ดร.วัดเดิลก็เดินทางไปที่เรือของเขาที่ทอดสมออยู่ในอ่าวใกล้ ๆวันต่อมาเธอก็แล่นเรือกลับบ้าน ขณะที่เรือมุ่งตรงออกสู่ทะเล เธอยืนอยู่บนท้ายเรือ โบกมือลาเกาะชูการ์เคนอวสานสำหรับผู้เลือกข้อ 11. เธอฟังต่อไป"ฉันจะเป็นอย่างนั้นเมื่อไหร่?" เธอถาม" มันขึ้นอยู่กับ " ชายคนนั้นพูด "วงล้อเวลาของเธอหมุน ""คุณรู้เรื่องนี้ได้ยังไง ? " เธอถาม"เวลาของฉันหมุนอยู่ในข้อผูกพันนั้น เมื่อฉันทำอะไรก็เหมือนกับที่ทำไปแล้ว ทุกอย่างที่ฉันมีคือทุกอย่างที่ฉันจะมี แต่เธอจะต้องหมุนวงล้อกลับ "เธอย้อนกลับไปจากชายแปลกหน้าคนนั้นแล้ววิ่งเข้าไปในป่าที่เธอขึ้นมาจากลำธาร ที่ลำธารนั้นมีโจรสลัดคนหนึ่งกำลังยืนตกปลา เขาเป็นคนเดิมหรือเป็นคนใหม่ เธอบอกไม่ได้เธอนั่งลงเฝ้ามองดูเขา(ย้อนกลับไปอ่าน ตอนที่ 5 สำหรับผู้เลือกข้อ 4. ไม่นานโจรสลัดก็เก็บปลาที่เขาจับได้.......)สำหรับผู้เลือกข้อ 12. เธอวิ่งหนีเธอพรวดพราดเข้าไปในป่า เดินเตร่มองหาของกิน หาคน หรืออย่างอื่น ทันใดนั้น งูสีเขียวตัวยาวก็ห้อยหัวจากต้นไม้ลงมาใกล้จมูกของเธอ เธอตกใจมากจึงออกวิ่งสุดฝีเท้า(ย้อนกลับไปอ่านตอนที่ 5. สำหรับผู้เลือกข้อ 5. เธอเผ่นออกจากป่ามาที่ต้นมะพร้าว.........)สำหรับผู้เลือกข้อ 13. เธอจะบอกเขาเรื่องชายชราเธอนำคนที่มาจากเรือลำนั้นไปหาชายชรา เขาขอบใจเธอและพูดว่า เขาค้นพบสมบัติมีค่าที่ฝังอยู่แต่เขาเอากลับมาที่หมู่บ้านไม่ได้ เพราะไม่มีคนช่วย เขาพาเธอไปที่หลุมสมบัติคนเรือพวกนั้นขุดดินอย่างกระตือรือร้น จนกระทั่งเจอสมบัติ ชายชราเอาสมบัตินั้นไปครึ่งหนึ่งแบ่งให้เธอเศษหนึ่งส่วนสี่ และแบ่งส่วนที่เหลือให้พวกคนเรือ เธอกลับไปที่เรือของคนพวกนั้นในสองสามวันต่อมาเธอทั้งหมดก็มุ่งหน้ากลับบ้านอวสานสำหรับผู้เลือกข้อ 14. เธอไม่บอกพวกเขาเรื่องชายชราคนเรือพวกนั้นพาเธอกลับไปที่เรือ เอส.เอส.แมรี่ แอน ซึ่งเป็นเรือลำใหญ่สีเขียวใบตองที่มุ่งหน้าไปซานฟรานซิสโก สองสามวันต่อมาเธอก็เดินทางกลับบ้าน ทะเลเรียบ เธอดีใจที่ได้พบเรือลำนั้นแต่เธอก็ฉงนว่าทำไมเธอจึงไม่บอกให้ใครรู้เรื่องชายชรา และจะเกิดอะไรขึ้น...ถ้าเธอบอกอวสานสำหรับผู้เลือกข้อ 15. เธอบอกพวกเขาเรื่องชายชราคนนั้นคนออสเตรเลียนนั้นบอกเธอว่าชายชราที่เธอพบนั้นชื่อ เฮนรี่ เธอจึงพาพวกเขาไปหาเฮนรี่ขณะที่เดินไปตามทางเธอได้ยินเสียงปืนดังขึ้น ใครสักคนกำลังยิงปืนมาจากด้านหลังหินก้อนใหญ่ก้อนไหนสักก้อน คนออสเตรเลียนยิงปืนสวนไป กระสุนนัดหนึ่งแหวกผ่านเส้นผมของเธอไป ในขณะที่ทุกอย่างยังดำเนินอยู่ คนออสเตรเลียนพูดว่า มีคนร้ายอยู่บนเกาะนี้ เธอนำพวกเขาไปตามทางอย่างระมัดระวัง เพื่อจะไปจุดที่เธอพบกับเฮนรี่คนออสเตรเลียนนำเธอและเฮนรี่กลับไปที่หมู่บ้านเป็นมิตร เฮนรี่ได้แบ่งทองคำของเขาให้เธอนำกลับไปอเมริกาอวสาน