หลายวันก่อนทะเลบ้ามีพายุมุทะลุโกรธาเหมือนบ้าคลั่งพัดสวนบ้านฐานถิ่นแทบภินท์พังสิ้นพลังยังฝากซากทะเลกลาดเกลื่อนอยู่บนทรายตามชายหาดเศษอวนขาด เปลือกคม หอยถมเถกระดองหมึก มากมาย สาหร่ายปนเปเก็บหอยแครงมาเทลงอ่างกลมแม่แกะเนื้อหอยแครงสีแดงเรื่อคลุกกับเกลือใส่ขวดดำทำหอยส้ม*ตัดท่อนไม้ระกำอุดกันลมผ่านนานนมทิ้งวางข้างในครัววันนี้แม่ให้หนูอยู่เฝ้าบ้านฝนกระหน่ำอยู่นานบ้านสลัวเสียงจักจัก หนักหนานั้นน่ากลัวเดินเข้าครัวมืดอึมครึมสะลึมสะลือแม่จ๋าแม่ มานี่ ผะ..ผีหอยพุ่งจากขวดแล้วลอยขึ้นบนขื่อมันห้อยหัว..ทั้งที่..ไม่มีมือมัน.หะ..ฮือ ฮือ..โฮ..โอหล่นแล้ว(* ต้องวางไว้นานเป็นเดือนจนกว่าจะมีกลิ่นเปรี้ยวเนื้อหอยเปื่อยบางส่วนจึงนำไปทำอาหารได้ในกระบวนการหมักดองและการกดแน่นมากทำให้บางส่วนพันติดกัน และทำให้เกิดแก๊สที่มีแรงดันมาก)
ภาพที่เธอนั่งเรือมาเหนือเมฆแล้วแกล้งเสกงึมงำทำเรือรั่วขึ้นเกยหาดตรงหน้าวันฟ้ามัวยังฝังหัวคนทะเลทุกเวลาพร้อมกับหลายบทกวีหลากสีสันที่ปลุกฝันจนเกิดบรรเจิดจ้าคอยเคลียคลอต่อกลอนต้อนไปมาเหมือนวางยามอมปนจนเมากลอนด้วยท่าทีชายหนุ่มผู้กรุ้มกริ่มซึ่งปลุกยิ้มในกมลคนหัวอ่อนมาชวนเล่นลำซิ่งยิ่งกว่าละครแล้วอวยพรยืนยันให้ฝันไกลแถมด้วยสัตยาบันเป็นมั่นเหมาะจะเป็นเงาะแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เพื่อจะล่อรจนาภาษาไทยเป็นเพื่อนในดอนดงวงศ์กาพย์กานท์เธออยู่ด้วยยามใดเหมือนไกลทุกข์ทั้งวันคืนชื่นสุขสนุกสนานจนอยากให้คืนวันนั้นเนิ่นนานมิมีวารเอ่ยคำอำลาใดเธอจึงเป็นภาพงามในยามฝันหายร่างอันกอดรัดสัมผัสได้ภาพของเธองามสวยด้วยหัวใจและคงในยามฝันนิรันดร(แด่ เธอผู้สร้างฝันอันสวยงาม)
กลับมาเยือนถิ่นสวรรค์ฉันเคยอยู่"หาดบางสน" * มองดูเงียบเหงาหงอยแม้จะมีสายฝนหล่นปรอยปรอยเป็นฝ้าฝอยต้อนรับคนกลับมายืนมองไปใจสั่นด้วยหวั่นไหวเจอเพื่อนเก่าตอนวัยไร้เดียงสาความรู้สึกเต็มตื้นน้ำชื้นตาซบใบหน้าประทับกับอกดินอ้าสองแขนสวมสอดกอดพื้นทรายสวัสดีทักทายเปลือกหอยบิ่นตะโกนกู่หมายให้เกาะได้ยินโบกมือทักนกที่บินกลับคืนรังสบสายตาเป็นครู่กับปูน้อยเล่นกับคลื่นแตกฝอยแถวชายฝั่งเขียนบอกหาดคำหนึ่ง" คิดถึงจัง"ส่งรอยยิ้มให้ทั้งทั่วฝั่งแนวนั่งพับเพียบบนทรายใต้ต้นสนถามข่าวคน "เคยขึ้นบก" อกใจแป้วจักจั่นร้องกรอกหูเหมือนรู้แกว"เขามาแล้วไปแล้ว" คลาดแคล้วกันยิ้มหมองหมองมองหาดอาจมีเขาตรงที่เก่าเคยยืนจ้องมองดูฉันบนชายหาดไร้รอยทาบคราบน้ำมันสายสัมพันธ์ทุกอย่างจางหมดแล้ว(* หาดบางสน อ.ปะทิว จ.ชุมพร )
การแต่งกายทุกหนคนเลือกสรรสวมแพรพรรณที่คิดวินิจฉัยว่าสวมแล้วพริ้งเพริศเลิศวิไลกระจกใดชมคนตนชมเองมีความรู้อยู่บ้างเท่าหางอึ่งคิดว่าถึงท้นท่วมหัวบวมเป่งจึงสรุปโดยไม่ขวยว่าสวยเช้งยืดไม่เกรงกระจกเงาเพราะเรามองการแต่งกลอนคล้ายกันคือสรรแล้วว่าแจ่มแจ๋วยอดเยี่ยมและเอี่ยมอ่องใจจึงปลงลงแรงแต่งร้อยกรองในมุมมองของกระจกที่ยกตนมุมมองตนคนเดียวเหลียวกี่ครั้งกลอนก็ยังใสสุกเสียทุกหนจึงอาจหาญส่งมาอวดตาชนพอขึ้นบนเวทีริบหรี่นักคอที่ยืดค่อยค่อยลดอย่างหดหู่เมื่อมีคู่อยู่เทียบเปรียบน้ำหนักวนฉงนฉงายอยู่หลายพักยืนอึกอักอัดอั้น...นั้นขบคิดอยากมีใครสักคนช่วยค้นหากรุณาบอกด้วยช่วยสะกิดในมุมใดมุมหนึ่งซึ่งซุ่มพิศช่วยชี้ถูกชี้ผิดสะกิดติงมือจึงควรพนมก้มลงกราบอย่างซึ้งซาบพระคุณการุณย์ยิ่งคนที่มีใจงามบอกความจริงคือมิตรมิ่งคือครู...ควรบูชา
เอาความคิดนิดน้อยร้อยอักษรฝากนักกลอนอ่อนแอยอมแพ้พ่ายยังไม่ถึงที่สุดหยุดตะกายเหมือนตกน้ำไม่ว่ายตายจริงจริงเพียงสายตาสังคมไม่ชมชื่นสะอึกสะอื้นจำนนจนหยุดนิ่งคิดน้อยอกน้อยใจมิไหวติงตนจะยิ่งดิ่งทะเลทุกเวลาคำเรียงร้อยถ้อยทองที่กรองถัก มีค่านักต่อผู้ที่รู้ค่าแต่บางทีมีใครไม่เข้าตาธรรมดา ฉะนั้น ทำฉันใดอันกาพย์กลอนสะท้อนงามที่ความคิดที่ไม่ผิด กาล ยุคสมัยที่มิปิด บิดเบือน เงื่อนงำภัยมิต้องใครเข้าตาฮือฮากันและการเขียนบทกวีใช่ตีปี๊บที่เตะถีบทุกครั้งเสียงดังลั่นมิใช่เครื่องประเทืองตนจนสำคัญเป็นเพียงฝันธรรมดาตามอารมณ์หมั่นสังเกต " เจตคติ" ที่ริเริ่มเพียงเพื่อเพิ่มบทกวีที่เหมาะสมหรือเพื่อตนเด่นดังคับสังคมตกชลาอารมณ์...จมเพราะใคร