เพราะอยูไกลคนดีสุดที่รักจึงยากจักหักใจไม่ห่วงหามิรู้อยู่อย่างไรยามไกลตามีบางคราอยากรู้อยู่กับใครยามคืนค่ำรำพึงถึงเสมอมิเจอะเจอหลายวันยิ่งหวั่นไหวคล้ายกับสายสัมพันธ์นั้นขาดใยความมั่นใจในกันถูกบั่นทอนพยายามส่งจิตคิดให้ถึงได้เพียงพึ่งทอถักสานอักษรเรียบเรียงถ้อยร้อยคำลำนำกลอนเพื่อสะท้อนตอนจิตคิดงอแงไยเธอจึงเงียบหายเหมือนตายจากคนเพียรฝากคิดถึงจึงย่ำแย่ความคิดถึงจึงพลอยถูกลอยแพคงเห็นแต่เวหาฟ้าไร้ดาวคิดไม่ถึงจึงไกลเกินใจฝันลอยแพไปวันวันกับสั่นหนาวจะต้องนั่งสั่นรัวเพียงชั่วคราวหรือยืนยาวหนาวต่อ ...ทรมานที่ขอบฟ้าเรื่อราง ฟ้าสางใสแต่หัวใจมืดตื๋อเหมือนดื้อด้านอักษรสร้อยร้อยรักยังดักดานอยู่กับการ "คิดไม่ถึง" ซึ่งร้อยเรียง
ภาพบ้านไม้โบราณของบ้านสวนได้ย้อนทวนเวลามาให้เห็นพอสิ้นแสงสุริยันตะวันเย็นคือช่วงเป็นเวลาทองของหลาน-ยายในความมืดกลางเถื่อนเรือนสลัวไฟแสงมัวดวงทองที่ส่องฉายหนุมาน สวาหะ เบญจกายออกรำร่ายวับไหวอยู่ในตากากี นารีผล ทั้งคนธรรพ์ต่างพากันยกโขยงตามโม่งป่าสมิงพระรามไม่เหมือนใครในพาราหัวกะโหลกผีกัดขาถึงคราตายกลัวความมืดของกลางคืนทั้งตื่นเต้นเหมือนผีเร้นอยู่ตรงมุมตะคุ่มหายภาพของนางเมรี ขี้เมามายก่อนเธอตายหมายถวิลเป็นกินรีเมื่อจะต้องมอดม้วยด้วยเจ็บช้ำคราครวญคร่ำกำสรด พระรถหนีจึงตั้งจิตปรารถนามาทันที(ชาตินี้เมรีตามพี่มา)ชาติหน้าพี่จะต้องตามน้องไปเมื่อยังเด็กวัยเรียนยายเวียนเล่าภาพเก่าเก่าเลือนลับกลับมาใหม่พร้อมกับฟังเธอเล่าเรื่อง "สินไซ"เหมือนย้อนวัยในวันอันลบเลือน
นอนไม่หลับหงุดหงิดเพราะคิดถึงใครคนหนึ่งหนักหน่วงด้วยห่วงหาแม้ตาหลับกลับคล้ายเห็นสายตายังมองมายิ้มยิ้ม...ริมที่นอนความคิดถึงตรึงจิตคิดสงสัยยามเราอยู่ห่างไกล...ใครนอนก่อนหรือว่าเขายังเพียรนั่งเขียนกลอนเพื่อออดอ้อนวอนเว้าแม่สาวใดพยายามห้ามจิตมิคิดมากแต่ก็ยากจะห้ามความหวั่นไหวกังวลจังยังมิหลับบังคับไยนอนพลิกมาพลิกไป...ใจกังวลตาอยากหลับอย่างไรใจมิหลับพลิกกระส่ายกระสับกลับหลายหนจันทร์ในตาฟ้าในใจ...ไยมืดมนอาจจะต้องอดทนไปจนเช้าหยิบโทรศัพท์มาอ่านกลอนตอนตีสามกลอนมีนาม "สินไซ" ย้อนวัยเก่าอ่านจบจะนอนต่อก็เหมือนเมาพอลางลางเลาเลา .."เขาทำอะไร"เมื่อมิหลับก็เบื่อ...เหนือบังคับหยิบโทรศัพท์มานอนอ่านกลอนใหม่กลอนที่อยู่ในมือชื่อ "สินไซ"อ่านจบไปดูเวลาตีห้าแล้ว"ภาพคุณยายเล่านิทานให้หลานฟังย้อนมาอยู่ในภวังค์ ยังชัด แจ๋วมียักษ์ ลักผู้หญิง ยิ่งเหมือนแนวที่เคยนั่งตาแป๋ว....แล้วไงยาย ? "(แล้วไงยาย ยายจ๋าเล่าต่อค่ะ)
มิอาจสรรคำใดที่ไพเราะอาจมิเหมาะเพราะเธอจะเก้อเขินมิอยากบอกพร่ำเพรื่อ "รักเหลือเกิน"ยากประเมินประมาณว่าปานใดบอกเพียงว่ารักเธอเสมอพี่คำคำนี้ความจริงค่ายิ่งใหญ่เกี่ยวข้องผ่องผุดบริสุทธิ์ใจคงเยื่อใยยืนยาวเท่าชีพยังทั้งเป็นความผูกพันอันแน่นเหนียวด้วยมีเกลียวเกี่ยวข้องพี่-น้องขลังทั้งศรัทธาล้นเหลือและเชื่อฟังมิคิดตั้งเงื่อนแง่...แค่สำออยเธอจะพาบุกป่าหรือฝ่าหนามมีแต่จะพยายามตามต้อยต้อยเพียงรู้สึกเกี่ยวดองเป็นน้องน้อยเรียกใช้สอยได้ตามความจำเป็นแต่มิเคยบังอาจคิดวาดหวังให้เป็นจริงเป็นจังดังเคี่ยวเข็นเป็นแค่ความซาบซึ้งซึ่งชื่นเย็นเธอมองเห็นหรือไม่เห็น...ไม่เป็นไรมิเสียขวัญวันที่อาจ...ขาดความหมายมิวุ่นวายหมายหวังตั้งเงื่อนไขเธอก็เป็นอย่างเช่นที่เป็นไปมิคาดหวังเยื่อใยจากใจเธอความสุขนั้นเกิดอยู่ที่ผู้ให้มิต้องได้ใดมอบตอบเสมอรู้สึกดีที่เกิดนั้นเลิศเลอซึ่งอาจเจอเอ่อล้น...ใจตนเอง
อินถวา นามขนาน ตำนานเล่าธิดาเจ้า เมืองเชียงสมเชียงสานิสัยใจคอดีมีเมตตานางเลี้ยงลูกกุมภาไว้หนึ่งตัวเป็นเพื่อนรักเพื่อนใคร่มิได้เว้นทุกวันต้องไปเห็นไปเล่นหวัวความสัมพันธ์แน่นหนักรักพันพัวจนโตตัวเกินตุ่มอุ้มลงน้ำขี่หลังสรงสนานมานานช้ารักของคนและกุมภาน่าดื่มด่ำเก็บดอกบัวในสระเป็นประจำมีสุขล้ำอายุตกสิบหกปีเย็นวันหนึ่งนางนั่งหลังกุมภาตามเรื่องอ้างนางถลาเอื้อมคว้าหวีจึงเสียหลักหล่นร่วงห้วงนทีดรุณี-หวีตกน้ำไปตามกันความสัมพันธ์นานช้ามาถึงจุดเป็นเรื่องสุดวิโยคโศกมหันต์มันคิดช่วยอ้างาบคาบนางพลันแต่เกินกลั้นกลืนอนงค์ลงในท้องเพราะเป็นธรรมชาติมิอาจเลี่ยงกุมภาเสี่ยงตัดสินใจหนีไปหนองธิดาหายพระบิดาน้ำตานองกุมภาของบุตรีก็หนีไปหลังคาดเดาเหตุการณ์ท่านตามหาเจ้ากุมภาตัวดีอยู่ที่ไหนสั่งทหารตามตะบึงถึงในไพรพบมันอยู่หนองใหญ่กลางไพรวันจึงประกาศหาหมอปราบจระเข้ซึ่งมากเล่ห์อาคมแข็งเก่งเข้าขั้นหมอสามคนอาสามาปราบมันเริ่มประจันหมอสองนายก็วายชนม์มันกดแพเอียงมาอ้าปากรับแล้วกลืนวับลงท้องไปสองหนเหลือหมอหญิงหาวิธีที่แยบยลฉลาดล้นเป็นสตรีมีปัญญาพุ่งฉมวกเมื่อกุมภาอ้าปากงับพอกลืนวับชีวินก็สิ้นท่าถูกผ่าท้องได้พบศพธิดากับสองศพหมอกุมภาแสนจาบัลย์หนองน้ำนี้มีนาม "วังสามหมอ"เจ้าเมืองผู้เป็นพ่อยังโศกศัลย์นำศพของธิดาจากอารัญมาด้วยกันฝังไว้ใกล้ใกล้วังมีไม้งอกเป็นต้นบนดินกลบหอมตระหลบดอกสีขาวพราวสะพรั่งขจรกลิ่นรินรื่นชื่นใจจัง"อินถวา*" นามตั้ง แต่ครั้งนั้น..................................................* เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า พุดซ้อน เป็นวรรณคดีพื้นบ้านภาคอิสาน และเชื่อกันว่าดินแดนที่เกิดเรื่องนี้คืออำเภอ วังสามหมอ จังหวัดอุดรธานี