เชื่อว่า..หลายๆคน ในช่วงวัยมัธยมคงเคยตกหลุมรักรุ่นพี่
“ป็อปปูร่าหรือดาวโรงเรียนนั้นเอง”
คุณสมบัติหลายข้อของคนประเภทนี้ คือ หล่อน่าใส
(การันตีความออริจินัลของหนังหน้าพันเปอร์เซ็นต์)
เรียนเก่ง เป็นนักกีฬาตัวแทน และคุณสมบัติอีกหลายข้อ
อัธยาศัยดี ยิ้มเก่ง โปรยเสน่ห์แบบมืออาชีพ มีสไตล์ ฐานะดี
สาวๆตามกรี๊ดกันเป็นโขยง ต่อแถวรอให้ขนม คิวยาวเยียด
เก๊าเองก็เป็นหนึ่งในบรรดาสาวๆพวกนั้นเหมือนกัน
เคยเป็นบ้าเป็นหลังตามกรี๊ดถึงไหนถึงกัน
วาเลนไทน์ส่งดอก วันเกิดส่งของขวัญ
แอบรักข้างเดียว มโนไปเอง แอบจิ้นแอบฟินหวานๆว่า...เรารักกัน
เป็นอยู่อย่างนี้จนรุ่นพี่เรียนจบ แต่ถึงอย่างนั้นรุ่นพี่ก็ไม่หายไปไหนไกล
ใส่ชุดนักศึกษามหาลัยชื่อดัง ทำตัวเท่ห์ๆแวะเวียนเข้ามาที่โรงเรียนช่วยงานอาจารย์อยู่เสมอ
“ไม่บอกรักพี่ชินไปเลยวะ ถ้ามึงจะบ้าคลั่งขนาดถึงกับต้องสะกดรอยตามถึงบ้าน”
นั้นเป็นคำถามที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งของเพื่อนๆในกลุ่ม
เมื่อเห็นอาการบ้าๆบ่อๆ นโม แอบโรคจิตของฉัน
“เอ้อ...สักวันแหละ”
“พวกแกจะเอาอะไรกับคนหน้าตาบ้านๆอย่างชั้น
นอกจากหน้าไม่สวยยังเรียนไม่เก่งอีกด้วย กีฬาไม่เป็น
ฐานะแบบดิ้นรนแทบตาย...ใครมันจะมาสน
บอกไปก็อายปากตัวเองซะป่าว เสียเวลา..นโมด้วย
เก็บเอาเวลาอันมีค่าไว้มโนภาพหวานๆของฉันกับรุ่นพี่ดีกว่าง”
แต่เพราะบางครั้งบางคราวก็เหมือนรุ่นพี่เขาอัธยาศัยดีกับฉันมากเกิน....เกินกว่าจะอดใจไว้
ทำให้ฉันคิดไปเองหลายครั้งหลายหน คิดเองเออเองตามประสาคนคลั่ง
แต่ในที่สุดฉันก็ทดเก็บความรู้สึกตัวเองไว้ไม่ได้ จะได้รู้สึกดีขึ้นในความคิดตอนนั้น
ช่วงมอปลายปีสุดท้ายในวันวาเลนไทน์ ฉันเลยตัดสินใจโทรไปบอกรักรุ่นพี่ ด้วยน้ำเสียงสั้นๆว่า
“พี่ชินคะ ฉันชอบพี่มาก ชอบมาตั้งนาน” แล้วรีบว่างหู แล้วก็นอนชักดิ้นชักงอไปมาบนเตียง
“ฮ่าๆ...”นั้นเป็นคำสารภาพรักที่อุบาทที่สุด เมื่อไรก็ตามที่มันพุดขึ้นมาในสมอง
มันชวนให้ฉันรู้สึกอายตัวเองมาก อายมาก...สุดยอดของความขายขี้หน้า อับอายยย...
แล้วไม่ต้องพูดถึงคำตอบจากรุ่นพี่เลย ก็รู้ๆอยู่แก่ใจดี
ว่าเป็นได้มากกว่าแฟนคลับแต่ไม่ใช่แฟน(มันคืออะไร..งง)
ในตอนนั้น..ก็แค่อยากบอกนั้นคือจุดประสงค์ เพราะเก็บความรู้สึกไว้นานถึงสี่ปี
หลังจากที่ได้ฟังคำตอบจากรุ่นพี่ อาการก็ประมาณว่าอกหักหน้าแตกยับ....หมอไม่รับเย็บ
ร้องไห้ฟูมฟายอยู่หลายวัน (อกหักตั้งแต่ยังไม่ได้รักกัน)
แต่ถึงยังไง ฉันก็ยังถือว่า รุ่นพี่เป็นความรักครั้งแรกของฉัน
“รุ่นพี่จะเป็นบอยเฟรนด์ไอดอลของหนูตลอดไป ..ฮือๆ”
และเพื่อเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ เพื่อลืมรุ่นพี่ ชั้นตัดสินใจสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ไกลจากบ้านเกิด
ที่จริงก็เลือกไว้สามที่แหละแต่มันดันติดที่เดียว(คือโง่งัย..) และของบอกเลยว่า...มันไกล......ไกลม๊วกกก
ประเภทอินเตอร์เน็ตที่หอยังไม่ถึง ไม่มีรถเมย์มีแต่สองแถว “OMG เลยค่ะ กู...ตายห่าแน่”
ก็แค่ตอนแรกที่เห็นบรรยากาศนอกรั่วมหาวิทยาลัย ยังรู้สึกเลยว่ามันเป็น มหาลัยในสวนป่าชัดๆ
(ในระหว่างทางเข้ามหาลัย หันหน้าไปด้านคนขับหลายครั้ง
ทำหน้าหมดอารายตายอยาก..คอตก แล้วพูดขึ้นเบาๆ)
“ที่จริงเรียนมอเอกชนใกล้บ้านก็ได้มั่งเนอะพ่อจะได้ไม่ยุ่งยากเน๊อะ”
“เหรอ!??...แล้วขับรถมาตั้งไกล...เพื่อ?...” ฉันทำหน้ารอยไปรอยมาแล้วคอก็ตก
“...เนอะใช่พ่อ หิหิ” แต่แล้วก็ต้อง OMG!!! มากม๊ากอีกครั้ง
เพราะภายในมหาวิทยาลัยแห่งเนี่ย... มีแต่ผู้ชายเยอะแยะเต็มไปหมดหนุ่มๆศิลป์ ช่างยนต์
หนุ่มก้อสร้าง หนุ่มสถาปัตย รุ่นพี่นักดนตรี
มันชั่งแตกต่างกับตอนที่ฉันอยู่มัธยม ตอนที่อยู่มัธยมจะมองซ้ายมองขวา ก็มีแต่มีชะนีน้อยน่ารักๆเต็มไปหมด
ทำเอา..ซะเราขี้เหร่เลยในตอนนั้น “พ่อหนูพร้อมมอบตัวแล้ว” หน้าพ่อแบบงงๆพร้อมคำถาม
“แน่ใจนะว่าอยู่ได้...?” ท่าทางพ่อเองก็คงไม่ค่อยชอบเท่าไร เพราะนอกจากไกลบ้านแล้วมันยัง (กันดาร)
หลังจากที่เรียนจบเทอมแรกผลก็ออกมาว่าเป็นอันดับที่หนึ่งในห้องเรียนแทบยังได้รับเลือกเป็นหัวหน้าห้อง
ความรับผิดชอบสูงขึ้นตามหน้าที่ หลังจากนั้นก็ยังมีหน้าที่ใหม่เข้ามามากมายเนื่องจากคนในโปรแกรมน้อย
อาจารย์ในโปรแกรมก็เลยใช้แต่ฉัน ไม่มีเวลาไปแอบมองหนุ่มๆเหมือนเคยตั้งใจเอาไว้ (หึ....เศร้า)
จากหัวหน้าห้องก็กลายเป็นหัวหน้าชมรม จากหัวหน้าชมรมก็กลายมาเป็นพิธีกรของมหาวิทยาลัย
เพื่อนในห้องมีแฟนกันหมด ก็เหลือแค่ฉันคนเดียวที่ยุ่งอยู่กับการเรียนและงานที่อาจารย์มอบหมาย
และยังได้เป็นนักกีฬาตัวแทนเชียร์ลีดเดอร์ของมหาลัยอีกด้วย (หมดกัน ไม่มีเวลาแรดเบย)
ในเวลาหนึ่งปีเศษๆที่ผ่านมาในรั่วมหาวิทยาลัยมันชั่งบีชีสุดๆ(ยุ่งเกิ๊น..)
“เชอะ..ใครจะสน สักวันจะต้องได้เจอคนที่เหมือนรุ่นพี่แน่”(นั่งเพ้อ...)
สเปคผู้ชายสูงขนาดนั้นสงสัยอีกสองปีที่เหลือในมหาลัยคงหาแฟนไม่แน่เลย อือๆ....
รุ่นพี่จร้า...ขอรักไปแบบนี้ก่อนแล้วกันน่ะ