เชื่อว่า..หลายๆคน ในช่วงวัยมัธยมคงเคยตกหลุมรักรุ่นพี่
“ป็อปปูร่าหรือดาวโรงเรียนนั้นเอง”
คุณสมบัติหลายข้อของคนประเภทนี้ คือ หล่อน่าใส
(การันตีความออริจินัลของหนังหน้าพันเปอร์เซ็นต์)
เรียนเก่ง เป็นนักกีฬาตัวแทน และคุณสมบัติอีกหลายข้อ
อัธยาศัยดี ยิ้มเก่ง โปรยเสน่ห์แบบมืออาชีพ มีสไตล์ ฐานะดี
สาวๆตามกรี๊ดกันเป็นโขยง ต่อแถวรอให้ขนม คิวยาวเยียด
เก๊าเองก็เป็นหนึ่งในบรรดาสาวๆพวกนั้นเหมือนกัน
เคยเป็นบ้าเป็นหลังตามกรี๊ดถึงไหนถึงกัน
วาเลนไทน์ส่งดอก วันเกิดส่งของขวัญ
แอบรักข้างเดียว มโนไปเอง แอบจิ้นแอบฟินหวานๆว่า...เรารักกัน
เป็นอยู่อย่างนี้จนรุ่นพี่เรียนจบ แต่ถึงอย่างนั้นรุ่นพี่ก็ไม่หายไปไหนไกล
ใส่ชุดนักศึกษามหาลัยชื่อดัง ทำตัวเท่ห์ๆแวะเวียนเข้ามาที่โรงเรียนช่วยงานอาจารย์อยู่เสมอ
“ไม่บอกรักพี่ชินไปเลยวะ ถ้ามึงจะบ้าคลั่งขนาดถึงกับต้องสะกดรอยตามถึงบ้าน”
นั้นเป็นคำถามที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งของเพื่อนๆในกลุ่ม
เมื่อเห็นอาการบ้าๆบ่อๆ นโม แอบโรคจิตของฉัน
“เอ้อ...สักวันแหละ”
“พวกแกจะเอาอะไรกับคนหน้าตาบ้านๆอย่างชั้น
นอกจากหน้าไม่สวยยังเรียนไม่เก่งอีกด้วย กีฬาไม่เป็น
ฐานะแบบดิ้นรนแทบตาย...ใครมันจะมาสน
บอกไปก็อายปากตัวเองซะป่าว เสียเวลา..นโมด้วย
เก็บเอาเวลาอันมีค่าไว้มโนภาพหวานๆของฉันกับรุ่นพี่ดีกว่าง”
แต่เพราะบางครั้งบางคราวก็เหมือนรุ่นพี่เขาอัธยาศัยดีกับฉันมากเกิน....เกินกว่าจะอดใจไว้
ทำให้ฉันคิดไปเองหลายครั้งหลายหน คิดเองเออเองตามประสาคนคลั่ง
แต่ในที่สุดฉันก็ทดเก็บความรู้สึกตัวเองไว้ไม่ได้ จะได้รู้สึกดีขึ้นในความคิดตอนนั้น
ช่วงมอปลายปีสุดท้ายในวันวาเลนไทน์ ฉันเลยตัดสินใจโทรไปบอกรักรุ่นพี่ ด้วยน้ำเสียงสั้นๆว่า
“พี่ชินคะ ฉันชอบพี่มาก ชอบมาตั้งนาน” แล้วรีบว่างหู แล้วก็นอนชักดิ้นชักงอไปมาบนเตียง
“ฮ่าๆ...”นั้นเป็นคำสารภาพรักที่อุบาทที่สุด เมื่อไรก็ตามที่มันพุดขึ้นมาในสมอง
มันชวนให้ฉันรู้สึกอายตัวเองมาก อายมาก...สุดยอดของความขายขี้หน้า อับอายยย...
แล้วไม่ต้องพูดถึงคำตอบจากรุ่นพี่เลย ก็รู้ๆอยู่แก่ใจดี
ว่าเป็นได้มากกว่าแฟนคลับแต่ไม่ใช่แฟน(มันคืออะไร..งง)
ในตอนนั้น..ก็แค่อยากบอกนั้นคือจุดประสงค์ เพราะเก็บความรู้สึกไว้นานถึงสี่ปี
หลังจากที่ได้ฟังคำตอบจากรุ่นพี่ อาการก็ประมาณว่าอกหักหน้าแตกยับ....หมอไม่รับเย็บ
ร้องไห้ฟูมฟายอยู่หลายวัน (อกหักตั้งแต่ยังไม่ได้รักกัน)
แต่ถึงยังไง ฉันก็ยังถือว่า รุ่นพี่เป็นความรักครั้งแรกของฉัน
“รุ่นพี่จะเป็นบอยเฟรนด์ไอดอลของหนูตลอดไป ..ฮือๆ”
และเพื่อเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ เพื่อลืมรุ่นพี่ ชั้นตัดสินใจสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ไกลจากบ้านเกิด
ที่จริงก็เลือกไว้สามที่แหละแต่มันดันติดที่เดียว(คือโง่งัย..) และของบอกเลยว่า...มันไกล......ไกลม๊วกกก
ประเภทอินเตอร์เน็ตที่หอยังไม่ถึง ไม่มีรถเมย์มีแต่สองแถว “OMG เลยค่ะ กู...ตายห่าแน่”
ก็แค่ตอนแรกที่เห็นบรรยากาศนอกรั่วมหาวิทยาลัย ยังรู้สึกเลยว่ามันเป็น มหาลัยในสวนป่าชัดๆ
(ในระหว่างทางเข้ามหาลัย หันหน้าไปด้านคนขับหลายครั้ง
ทำหน้าหมดอารายตายอยาก..คอตก แล้วพูดขึ้นเบาๆ)
“ที่จริงเรียนมอเอกชนใกล้บ้านก็ได้มั่งเนอะพ่อจะได้ไม่ยุ่งยากเน๊อะ”
“เหรอ!??...แล้วขับรถมาตั้งไกล...เพื่อ?...” ฉันทำหน้ารอยไปรอยมาแล้วคอก็ตก
“...เนอะใช่พ่อ หิหิ” แต่แล้วก็ต้อง OMG!!! มากม๊ากอีกครั้ง
เพราะภายในมหาวิทยาลัยแห่งเนี่ย... มีแต่ผู้ชายเยอะแยะเต็มไปหมดหนุ่มๆศิลป์ ช่างยนต์
หนุ่มก้อสร้าง หนุ่มสถาปัตย รุ่นพี่นักดนตรี
มันชั่งแตกต่างกับตอนที่ฉันอยู่มัธยม ตอนที่อยู่มัธยมจะมองซ้ายมองขวา ก็มีแต่มีชะนีน้อยน่ารักๆเต็มไปหมด
ทำเอา..ซะเราขี้เหร่เลยในตอนนั้น “พ่อหนูพร้อมมอบตัวแล้ว” หน้าพ่อแบบงงๆพร้อมคำถาม
“แน่ใจนะว่าอยู่ได้...?” ท่าทางพ่อเองก็คงไม่ค่อยชอบเท่าไร เพราะนอกจากไกลบ้านแล้วมันยัง (กันดาร)
หลังจากที่เรียนจบเทอมแรกผลก็ออกมาว่าเป็นอันดับที่หนึ่งในห้องเรียนแทบยังได้รับเลือกเป็นหัวหน้าห้อง
ความรับผิดชอบสูงขึ้นตามหน้าที่ หลังจากนั้นก็ยังมีหน้าที่ใหม่เข้ามามากมายเนื่องจากคนในโปรแกรมน้อย
อาจารย์ในโปรแกรมก็เลยใช้แต่ฉัน ไม่มีเวลาไปแอบมองหนุ่มๆเหมือนเคยตั้งใจเอาไว้ (หึ....เศร้า)
จากหัวหน้าห้องก็กลายเป็นหัวหน้าชมรม จากหัวหน้าชมรมก็กลายมาเป็นพิธีกรของมหาวิทยาลัย
เพื่อนในห้องมีแฟนกันหมด ก็เหลือแค่ฉันคนเดียวที่ยุ่งอยู่กับการเรียนและงานที่อาจารย์มอบหมาย
และยังได้เป็นนักกีฬาตัวแทนเชียร์ลีดเดอร์ของมหาลัยอีกด้วย (หมดกัน ไม่มีเวลาแรดเบย)
ในเวลาหนึ่งปีเศษๆที่ผ่านมาในรั่วมหาวิทยาลัยมันชั่งบีชีสุดๆ(ยุ่งเกิ๊น..)
“เชอะ..ใครจะสน สักวันจะต้องได้เจอคนที่เหมือนรุ่นพี่แน่”(นั่งเพ้อ...)
สเปคผู้ชายสูงขนาดนั้นสงสัยอีกสองปีที่เหลือในมหาลัยคงหาแฟนไม่แน่เลย อือๆ....
รุ่นพี่จร้า...ขอรักไปแบบนี้ก่อนแล้วกันน่ะ
ณ ห้องเรียนเอกวิชาท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยกันดารแห่งหนึ่ง “อีคิม...อีคิม....เพี๊ยะ!!!” “โอ๊ยย....อีหนุ่ย..นี่แกจะตีฉันทำไมเนี่ย..เจ็บนะ...”(ตะคอก) “เอ้า..อีนี้...ฉันเรียกตั้งนานไม่ได้ยินน่ะ” “อ้อเหรอ..มีไรย่ะ” “สงสัย..นางจะกำลังเพ้อฝันถึงรุ่นพี่สมัยประถม” อีหนุ่ยหันไปหัวเราะกับเพื่อนสาว คิกคัก “มัธยมแก....เฮ้ย!!ป่าวคิดถึงใครเลย”(ส่ายหน้า) “เอ้อๆ..แล้วแต่จ้ะ....ไปกินข้าวเที่ยงกัน” “อะเค..หนุ่ย...” “อีคิม...เรียกกูว่านุ่น............” “เอ้อๆ...อีวรนุช...ฮ่าๆ” “อีปลวกแคระ (เสียงจิก)” “อือๆ...นุ่นไปกินข้าวกันเถอะค่ะ กูหิวแล้ว...” และเรากับเพื่อนๆก็เดินไปกินข้าวที่ห้องอาหารเหมือนเช่นเคย หนุ่ยเป็นเพื่อนสาวประเภทสองคนเดียวในห้องเรียน นางถือว่าเป็นกระเทยที่สวยคนนึงที่ฉันสนิท นิสัยดีแต่ปากจัดตามประสากะเทย พอเดินมาถึงหน้าห้องอาหาร พวกเราก็ต้องหยุดชะงักเพราะกลุ่มไทยมุง เสียงแหลมๆของชะนีสองนางทะเลาะกันลอดออกมาโดยมีผู้ชายตะโกนห้ามอยู่ ไม่รอช้า อีหนุ่ยดึงแขนฉันแฉกตัวเข้าไปรวมอยู่ในกลุ่มกับพวกไทยมุง “นุ่น...กูว่าไปเถอะ กูหิวแล้ว...ก็แค่เรื่องผัวเมีย” (ฉันเขย่าแขนหนุ่ยเบาๆ) “เด๋ว...อีคิม รอดูชะนีตบกันแย่งผัวก่อน” “เฮ้ย!!นุ่น....นั่นมันรุ่นพี่เราป่าวว่ะ..นั่นน่ะชะนีผมสั้นน่ะ” (ฉันชี้ไปที่ผู้หญิงผมสั้น กระโปรงสั้นเสมอหู ผ่าหน้าปริ่มกกน. ที่ยืนตะเบ็งเสียงแหลมใส่หน้าเด็กปีหนึ่งผมยาวหน้าตาแอ๊บแบ๊ว) ชะนีผมสั้น: "นี้น้องไม่มีปัญญาหาแฟนเองหรืองัย ถึงได้ชอบแย่งแฟนชาวบ้าน"( นางกระชากผมฝ่ายตรงข้าม ) ชะนีแอ๊บแบ๊บ: "โอ๊ยยยย....ปล่อยฉันนะ อีอึ่งอ่างแก่...." ( นางจับมือสะบัดออก) พวกไทยมุ่งหัวเราะทำด่าของนาง “ใช่ย่ะ.พี่กุ้งพี่ปีสี่..อุต๊ะ...ตาย..ตาย..ต๊าย ตบแย่งผัวกับเด็กสุดฤทธิ์จ๊า...” (อีหนุ่ยพูดขึ้นเสียงดัง ขณะที่ทุกคนหันมองตามเสียงนาง รุ่นพี่กุ้งหันมาชี้หน้าอีหนุ่ยราวกับจะบอกมันในๆว่า มึงนั้นแหละรายต้องไป) "ฮิๆ...โทษที่ค่ะ ทะเลาะกันต่อเลยค่ะ" บ่นพึมพา.. ("อย่านึกนะว่ากูกลัวเมิงน่ะ อีอึ่งอ่าง.. แหมใส่กระโปรงเคยสงสารตะเข็บข้างบางมั้ยนะ อีอ้วน.. ") “แล้วใครว่ะ ผู้ชายตัวสูงๆหล่อๆที่ยืนห้ามอ่ะ ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน” (ฉันกระฉิบหนุ่ยเบาๆ) “เอ้า.....อีคิมนอกจากรุ่นพี่สมัยประถมของเมิงแล้วเนี่ย เมิงเคยสนใจใครบ้าง...ป่ะ” “อีหนุ่ย(เน้นเสียง)...มัธยม....แล้วอีกอย่างรุ่นพี่กูเป๊ะเวอร์ไม่มีเรื่องชู้สาวย่ะ ” “มันเป็นเกย์......” “เอ้า..อีนี้...ไม่เป็นๆ....ตกลงไอ้หน้าหล่อนั้นเป็นใครย่ะ” “รุ่นพี่ปีสาม เรียนเอกอังกฤษ พึ่งฝึกงานเสร็จกลับมาได้สองอาทิตย์ เรียนเก่งมากๆน่ะเมิงเป็นตัวท็อปตนๆของที่นีเลย อย่าบอก...ว่าเมิงไม่รู้จักเขา รูปพี่เขาออกจะติดเต็มบอดกิจกรรม ขนาดนั้น” “เอ้อ..กูไม่รู้จัก...แต่จะว่าไปก็หล่อเนอะ โธ่..เสียดายไม่น่าเจ้าชู้เลยพ่อหล่อขั้นเทพ... อีหนุ่ย อีหนุ่ย กูร้อน..หิวก็หิว.. แล้วเมิงจะอยากเผือกเรื่องของชาวบ้านอีกนานไหม ไปเถอะเด๋วก็งานเข้าอีกหรอก” (โดนลูกหลง) แล้วฉันก็ลากหนุ่ยเข้าห้องอาหารไป เรานั่งกินข้าวกันได้สักพัก ไทยมุงก็เริ่มทยอยออกจากหน้าห้องอาหาร เนื่องจากอาจารย์กลุ่มหนึ่งเดินมา พวกนั้นก็แตกกระจายไปคนล่ะทิศคนล่ะทาง สักพักเสียงคนนิททาฉากรักสามเศร้า ของชะนีสองนางกับหนุ่มหล่อก็ดังระงมห้อง บางก็ว่าชะนีตบแย่งผัว บางก็ว่าแฟนเก่าราวีแฟนใหม่ วิจารณ์กันอยากเมามัน “กูว่ามันก็น่าแย่งอยู่น่ะเมิง...” (อีหนุ่ยพูดขึ้น) “กูจะฟ้องพี่เอก...อีหนุ่ยมึงโดนผัวซ้อมแน่ ฮ่าๆๆ” ( ผัวอีหนุ่ยชื่อพี่เอก หล่อมากเป็นผู้ชายทั้งแท่ง แต่โหดมากเช่นกัน ขี้หึงเป็นที่หนึ่ง แบบไร้เหตุผลสุดๆ) “เอ้า...หรือมึงว่าไม่จริง หล่อโอ๊ค...ขนานนั้น” (ยังไม่หยุดถาม) “อือ..ก็หล่อดีน่ะ แต่เสียดายเจ้าชู้ว่ะ...ไหวป่ะ?โดนชะนีอื่นตามไร่ตบ..ก็ไม่ไว้ป่าวว่ะ” “ว่าแต่เมิงระวังดีๆเถอะ ไอ้หล่อขั้นเทพเป็นเด็กกิจกรรม ตากล้องมือหนึ่งของมหาลัย ยังไงมึงกับเขาต้องรวมงานกันเข้าซักวันและ ระวังจะไปตกหลุมพวกนี้เข้า” “ไม่มีทางย่ะ.....ไม่ใช่มายบอยเฟรนด์ไอดอล กูเชิดใส่” “สวยเนอะ ปลวกแคระ.......... ระวังขึ้นคานน่ะเมิง อุ๊ปส....” “ปากนะ อีกะเทยทางช้างเผือก" (ทำตาเหลือกใส่) ชะนีรุ่นพี่ : กูล่ะเกลียดพวกชอบเสือกชอบนิททา เรื่องของชาวบ้าน (นางตะเบ็งเสียงมาทางหน้าหลัง พวกเรา) "หนุ่ย...พี่กุ้งว่าเมิงเผือกว่ะ" "เอ้อ...กูได้ยิน" (หันหลังกับ) "สวัสดีค่ะรุ่นพี่กุ้ง" (หนุ่ยปั้นหน้า ยิ้มแหยๆ ) ชะนีรุ่นพี่เดินมาข้างๆโต๊ะ กระแทกกระเป๋าลงบนโต๊ะดัง "ปั๊ง!!" เหลือบตาใส่ "เอ่อ...โทษนะค่ะคุณพี่ ไม่ทราบว่าวันนี้ไม่มีผู้ชายตกถึงท้องเหรอค่ะ ทำไมมองพวกหนูยังกะจะกินกระบานกันขนาดนั้น" (หนุ่ยต่อปากต่อคำ) "อีหนุ่ยใช่เวลาป่ะ ขอโทษค่ะรุ่นพี่" (ฉันยกมือขึ้นไหว้) "ไม่เป็นไรคับผม ขอโทษแทนพี่สาวผมด้วยนะ" เสียงหนุ่มน่ารักพูดแฉกขึ้น ในขณะที่มีคนเริ่มมองมาที่โต๊ะเรา หนุ่มน่ารัก: พี่คับไปกินข้าวกันเถอะ ผมหิวแล้ว "ไม่เป็นไร ค่ะ" (อีหนุ่ยยิ้มให้หนุ่มน่ารัก) สวนรุ่นพี่ก็ยังทำตาครึ้งใส่พวกเราอยู่ แต่โชคยังเข้าข้าง ที่มีหนุ่มคนนั้นดึงแขนรุ่นพี่ออกไปก่อน แต่ก่อนนางจะเดินออกไป ยกกระแทกโต๊ะอีกครั้ง น้ำซุปก๋วยเตี๋ยวในถ้วยแทบกระฉอก อีหนุ่ยหันหน้ามามองฉัน "อีดอก....." ทำปากขมิบขมิบ "หนุ่มหน้าใสคนนัันใครอ่ะ น่ารากอ่ะ" "น้องมัน..โชคดีที่น้องชายมันมาห้ามไว้ ไม่งั้น กูกระโดดถีบอีอึ่งอ่างแกไปแล้ว"(อีหนุ่ยกัดฟัน) "โอ้โฮ...กระเทยนิทจานะเมิง...แหมปากดีเน๊อะ ตะกี้ยังเห็นทำหน้าเสียอยู่เลย" "เชอะ..." (อีหนุ่ยเชิดใส่ ทำหน้าอารมณ์เสีย) "อย่าถือสาเลยนะ คนแบบนั้นน่ะ ยังเราก็หนีพี่เขาไม่พ้น เพราะเราก็ต้องอยู่ชมรมเดียวกันกับนาง" (ฉันเอ้ยขึ้น) "เมิงว่าไงน่ะ นี้เราต้องอยู่ชมรมเดียวกันกับมันเหรอ" (หนุ่ยทำหน้าตกใจ) "ใช่ย่ะ....." "ปั๊ง!!!(ตบโต๊ะ)..งั้นกูขอลาออกจากชมรมวันนี้เลย อีดอก.." "ไม่ได้....คนยิ่งน้อยอยู่ เดี๋ยวชมรมโดดปิด ถือว่ากูขอนะ...เพื่อนนุ่นสุดสวย แล้วจะชดใช้ให้ เด๋วพาไปเที่ยวคืนนี้ อะเคป่ะ?" (ฉันเป็นหัวหน้าชมรมท้องเที่ยว ก็เลยไม่อยากให้มันปิดตัวเพราะคนไม่พอ ในโปรแกรมเรามีคนน้อยมากก็เลยจำเป็นต้องง้อคนมาสมัคร และยังต้องหาคนเพิ่มอีก ไม่งั้นโดนสั่งปิดแน่) "โอ๊ย....เอ้อๆ กะได้ เห็นแกเมิงนะเนี่ย"
แสงแดดอ่อนๆส่องกระทบนิ้วเท้าทั้งสองข้างของฉัน สายลมพัดผ่านใบหน้า เส้นผมพัดพลิ้วไหวตามสายลม ชายกระโปรงปลิวไหวตามแรงลม ดอกลีลาวดีล่วงลงบนพื้น ฉันนั่งรอใครบางคนในสวนสาธารณะริมทะเลแห่งหนึ่งใน(ประเทศสิงคโปร์) ฉันตบเท้าเบาๆเพื่อเข้าจังหวะดนตรีพร้อมพึมพำเพลง”I should love you” แสงแดดอ่อนๆในยามเช้าให้ความสึกอบอุ่น สายลมพัดเบาๆทำให้คิดถึงใครคนนั้น ดอกไม้ส่งกลิ่นหอมอบอวน เสียงคลื่นทำให้หัวใจฉันผ่อนคลาย ฉันถือกล้องขนมเค้กช็อกโกแลตไว้ในมือด้วยความหวัง หวังว่าเขาคนนั้นจะกลับมารวมฉลอง ในวันครบรอบดีเดย์ ที่เราเคยสัญญากันไว้ในสองปีที่แล้ว ฉันสูดหายใจเข้าเต็มปอดแล้วค่อยๆปล่อยลมหายใจออกอย่างช้าๆมันชั่งผ่อนคลาย ในบรรยากาศยามเช้าที่ริมทะเล ถึงแม้ว่าเขาคนนั้นอาจไม่มาตามสัญญา ในขณะที่ฉันร้องเพลงพึมพำ มีคนสูงอายุมาวิ่งจ๊อกกิ้งผ่านไปคนแล้วคนเล่า มีเด็กฝรั่งปั่นจักรยานผ่านหน้าฉันไป เธอหันมามองฉันแล้วส่งยิ้มหวานแฉ่งให้ เธอน่าจะอายุราวๆสามขวบ แต่เธอปั่นจักรยานอย่างคล่องแคล่วเกินอายุ หนุ่มสาวเดินจับมือริมชายหาด อารมณ์ตอนนี้เหมือนได้ไปฮอลิเดย์ช่วงซัมเมอร์ที่บนเกาะ เวลาค่อยๆเดินผ่านไปอย่างช้าๆ แสงแดดก็เริ่มเปลี่ยนทิศทาง...ส่องกระทบใบหน้าของฉัน ถึงแม้ว่าศาลาจะมีหลังคา แต่หลังคาก็เล็กเกินกว่าจะปกป้องแสงอาทิตย์ในช่วงกลางวัน ฉันลุกขึ้นเดินไปมาด้วยอาการกังวลใจ อากาศก็เริ่มร้อนขึ้น แต่ถึงแม้จะมีแสงแดดแรง ตอนนี้ฉันก็คิดถึงแต่หน้าเขา ฉันถอดเสื้อคุ้มที่ใส่มาตอนเช้าออก ว่างมันไว้บนที่นั่ง ฉันไม่รู้สึกเหนื่อยหรือท้อเลยในการรอค่อยครั้งนี้ กับมีความสุขมากกว่าทุกๆวัน ในรอบสองปี สายตาฉันคอยสอดส่องไปจนทั่วบริเวณ และแล้วเวลาก็ผ่านไปอีกสองชั่วโมง ฉันรู้สึกถึงความหิว แต่ถ้าฉันไปกินข้าวในช่วงนี้ฉันอาจต้องคาดกันกับเขา “ทำไมแกถึงได้โง่ไม่หอข้าวมาน่ะคิม” ฉันบ่นพึมพำกับตัวเอง ฉันเหลือบมองกล่องเค้กช็อกโกแลตหลายครั้ง คิดจะหยิบมันขึ้นมากิน แต่ว่า..ฉันอยากเก็บมันไว้กินกับเขา มันน่าก็จะอร่อยและมีความสุขมากกว่า “เพราะมันเป็นเค้กฉลองนี้น้า...จะกินมันคนเดียวได้ยังไง” ฉันนั่งรอเขาจนเวลาล่วงเลยมาถึงสี่โมงเย็นแต่เค้าก็ยังไม่มา คนเริ่มทยอยมาที่สวนสาธารณะเพื่อมาออกกำลังกายในช่วงเย็น บ้างก็พาน้องหมามาเดินเล่น หนุ่มสาวเดินจูงมือกันสวีทหวานแหววในยามเย็น มันยิ่งตอกย้ำให้ฉันคิดถึงเขามากขึ้น คิดถึงเมื่อก่อน เราสองคนเดินเล่นจนเหนื่อยแล้วทุกครั้งจะแวะมานั่งพักที่นี่ด้วยกัน ฉันถอนหายออกอย่างแรง ด้วยสีหน้าเศร้า ในสมองก็คิดถึงแต่เขา “ฉันคิดถึงนาย.. ฉันคิดถึงนาย.. ฉันคิดถึงนาย...นายอยู่ที่ไหน..ทำไมนายยังไม่มา” ฉันจับมือสองข้างของฉันขึ้นประกบกันเพื่อขอพรจากพระเจ้า “God คะ แค่ห้านาที แค่เพียงหนึ่งนาทีก็ได้ ที่ได้เห็นหน้าเขาอีกครั้ง ขอแค่นี้ได้ไหมคะ ขอแค่นี้จริงๆ” ลมเริ่มพัดแรกขึ้น ตาฉันเปลี่ยนเป็นสีแดงมีน้ำอุ่นๆคลออยู่ในนั้น ฉันยกมือขึ้นปาดหน้าตัวเองสองสามครั้ง มีหลายครั้งเหมือนกันที่คิดจะลืมเขาในช่วงระยะเวลาสองปี แต่ฉันเองทำไม่เคยได้เลย..แม้เพียงสักครั้งเดียว เพราะว่าหัวใจของฉันมันไม่เคยเปลี่ยนเลย นอกจากความทรงจำที่ดีที่มีความสุขแล้ว มันยังมีความทรมานที่เก็บไว้ข้างใน ที่คิดถึงเขา ฉันมีคำถามเป็นร้อยๆคำถาม และมีคำพูดที่อยากจะบอกเขา จนถึงวันนี้ฉันเองก็ยังหวังว่านายเองก็คงจะยังคิดถึงฉันเหมือนกัน ฉันถึงยอมแพ้ไม่ได้ จะหันหลังกลับไม่ได้ "ฉันจะรอนาย” ในเวลาหนึ่งทุ่มลมพัดแรงขึ้น ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี เสาไฟในสวนสาธารณะเริ่มเปิดส่องแสงสว่าง รวมถึงศาลาที่ฉันนั่งอยู่ ฉันนั่งพิงเสาของศาลา ผู้คนเริ่มเดินทางออกจากสวนสาธารณะ แต่ก็ยังมีวัยรุ่นจำนวนไม่น้อยที่มีปาร์ตี้บาร์บี้คิวตามริมชายหาด เสียงของพวกเขานั้นช่วยเป็นเพื่อนฉันได้มาก คนในสิงคโปร์ส่วนมากแล้วนิยมเดินทางมาพักผ่อนริมชายหาดแห่งนี้กันจนดึก มีคุณลุงเข็นรถไอศครีมผ่านมา ฉันเลยซื้อกินแทนข้าวเย็นซะเลย พออิ่มแล้วฉันก็ตั้งหน้าตั้งตารอเขาต่อไป เสียงฟ้าร้องลมก็พัดแรงขึ้น อาการเหมือนฝนกำลังจะตก ฉันยื่นมือออกนอกหลังคา มีฝนตกลงบนฝ่ามือฉัน ฝนเริ่มตกลงมาปรอยๆ อากาศเริ่มเย็นขึ้นทำให้ฉันนึกถึงจูบแรกกลางสายฝน ในค่ำคืนที่มีสายฝน เราสองคนจับมือกันวิ่งมาหลบฝนที่นี่ เขาถามฉันว่ากลัวเสียงฟ้าร้องไหม ฉันตอบว่าไม่กลัวเลย..เขาถอดเสื้อแจ็คเก็ตบังฝนให้ฉัน แล้วเราก็เดินกลับบ้านด้วยกัน ระหว่างทางเสียงฟ้าร้องดังขึ้นฉันตกใจมาก ก็เลยเผลอกอดเขาซะแน่นเลย เขามองมาที่ฉัน ก้มหน้าเข้ามาใกล้ ยิ้มแล้วพูดเบาๆว่า "ไหนบอกไม่กลัวไง”(ทำหน้าตาทะเล้นใส่) มันเป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นใบหน้าเขาชัดเจน ใบหน้าเรียว ตาที่มีเสน่ห์ดึงดูด จมูกที่โด่ง ริมฝีปากสีชมพู หัวใจฉันเต้นแรงจนแทบจะระเบิดออกมา เขายิ้มหน้าแดงแล้วพูดว่า “เสียงหัวใจเธอเต้น...มันดังยิ่งกว่าเสียงฟ้าร้องซะอีก เธอได้ยินไหม?” (เขายิ้ม) คำพูดนั้นทำให้ฉันทั้งอ้ายและก็เขินมาก ไม่รู้จะทำหน้ายังไงต่อ ก็เลยวิ่งออกไปก่อน เขาวิ่งตามฉันมาแล้วดึงแขนฉันเอาไว้ “อายเหรอ?” นั้นเป็นคำถาม “อืม..” ฉันตอบเขา และก้มหน้าก้มตาเขินต่อไป “ผมชอบคุณ ชอบมากกว่าที่คุณชอบผมนะ ผมยังไม่อายเลย” ฉันเงยหน้าขึ้นอมยิ้ม แอบคิดในใจว่า (ฉันเขินจะตายอยู่แล้ว นายช่วยหยุดพูดก่อนได้ไหม) ฉันหยุดยืนมองตาของเขาสักพักแต่ไม่ได้พูดอะไร “คุณชอบผมไหม?” “ฉัน....”(กระพิบตา ตกใจในคำถาม) ฉันยังไม่ทันได้ตอบเขาเลยด้วยซ้ำ เขาก็ก้มหน้ามาใกล้ฉัน จนจมูกเราชนกัน “ว่าไง ชอบผมไหม?” แล้วเขาก็จูบที่ริมฝีปากของฉัน เบาๆหนึ่งครั้ง ตัวฉันเหมือนโดดพลังไฟฟ้าแรงสูง..ช๊อตเข้าให้อย่างจัง ตัวชาทั้งตัวแล้วแอบสั่นนิดๆ ตาเปิดกว้างยิ่งกว่าจอทีวี 52 นิ้ว “...ฉัน...” “ว่าไงนะ.. ชอบผมไหม?” (เขาจับไหล่ฉันดึงเข้าใกล้ตัวเขา เหมือนกำลังแกล้งฉัน) “ ฉะ.....ฉัน” แล้วเขาก็จูบฉันอีก ทั้งๆที่อากาศหนาวมากฝนก็ตกหนัก แต่ฉันไม่รู้สึกกลัวฟ้าร้องเลยไม่รู้สึกหนาวด้วย ฉันไม่ได้ยินเสียงอะไร มองอะไรก็ไม่เห็น หัวใจเหมือนมีปีกบินอยู่บนท้องฟ้าที่มีอากาศแจ่มใส พอลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ฝนก็หยุดตกแล้ว (จูบนานมาก...อิอิ) เขาหยุดจูบฉันในขณะที่ปากของเรายังใกล้กันอยู่นั้น เขาก็พูดอีกครั้งว่า “ผมชอบคุณนะ ชอบมาก ชอบมากจริงๆนะ” (เขายิ้ม) ลมหายใจของเขาผ่านริมฝีปากของฉันด้วยคำบอกรัก นั้นทำให้ฉันตกหลุมรักเขา ถึงแม้..เราจะสนิทกันมากและถึงแม้..ฉันจะแอบชอบเพื่อนคนนี้อมานานอยู่เหมือนกัน และฉันพอจะดูออกอยู่เหมือนกันว่าเราสองคนสนิทกันมากกว่าเพื่อนทั่วๆไป แต่ฉันก็ไม่คิดว่าเขาจะกล้าสภาพมันออกมา “ค่ะ” (ฉันตอบ) ในตอนนั้นใบหน้าฉันรู้สึกร้อนๆปากก็สั่น ทำตัวไม่ถูก คำตอบฉันสั้นไป ฉันยังคิดว่ามันสั้นไปจริงๆ หลังจากนั้น เขาก็เดินมาส่งฉันที่บ้าน ก่อนที่จะถึงบ้านของฉัน เขาก็บอกฉันในเรื่องที่ทำให้ทั้งตกใจและก็เสียใจมาก เขาต้องเดินทางไปทำงานที่อื่นเป็นระยะเวลาสองปี เขาส้วมสร้อยคอรูปหัวใจให้ฉัน แล้วขอให้ฉันรอ แต่ฉันเองในตอนนั้นก็เสียใจมาก ก็เลยบอกเขาไปว่า ในระยะเวลาสองปีเราอย่าพึ่งเป็นแฟนกันดีกว่า เพราะสองปีมันอาจจะทำให้ใครคนใดคนหนึ่งเปลี่ยนไป เพราะระยะทางและระยะเวลา ในตอนนั้นฉันเองก็ไม่อยากปิดกั้นตัวเองและตัวเขา ก่อนเขาเดินทางไปยุโรป เราได้สัญญากันไว้ว่า ถ้าเรายังไม่มีใครเราก็จะกลับมาฉลองวันดีนเดย์ด้วยกัน ในวันนี้..เดือนนี้..ในอีกสองปีข้างหน้า นั้นหมายถึงวันนี้ วัน 23 ธันวาคมในปีนี้ ในระหว่างที่ฉันรอเค้าที่นี่ เราโทรคุยกันบ้างมีอีเมล์บ้างในช่วงแรก แต่แล้วเราก็ขาดการติดต่อกัน ถึงแม้ฉันจะย้ายบ้านมาสองสามครั้งแต่ฉันเองไม่เคยเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์หรืออีเมล์เลย ส่วนอีเมล์ที่ฉันส่งให้เขาทุกอาทิตย์ เขาจะได้อ่านมันหรือป่าวนั้น ฉันเองก็ไม่รู้ แต่ไม่มีการตอบกลับอีเมล์เลย เบอร์โทรเขา...ฉันโทรไปก็ปิดให้บริการเสียแล้ว ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาหรือป่าว หรือว่าเค้าอาจจะพบกับคนอื่นแล้ว ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ฉันก็ยังอยากให้เขามาตามสัญญาเพราะอย่างน้อยเขาก็ควรจะมาบอกลาฉัน ด้วยตัวเขาเอง ถึงแม้ว่าวันนี้นายจะยังไม่มาตามสัญญา ฉันก็หวังว่าพรมลิขิตจะนำพาให้เรามาเจอกันอีกครั้ง เที่ยงคืนห้านาที ฉันกลับบ้านนอนแล้ว รักและขอบคุณเวลา.........
"I will never forget you."