ในกาลครั้งหนึ่งหรือสองก็ไม่ค่อยจะแน่ใจเพราะนานมาแล้ว ยังมีครอบครัวของชาวนาอยู่ครอบครัวหนึ่งซึ่งประกอบด้วย พ่อ แม่ และลูกสาว ด้วยความที่ไม่ขี้เหล่ของลูกสาว (เธอสวย) จึงมีชายที่ยังไม่แก่คนหนึ่ง (ชายหนุ่ม) มาสนใจเธอ และยังไม่ขี้เกียจ (ขยัน) เทียวแวะ มาเที่ยวหาพูดคุย ดื่มน้ำท่าอยู่ที่บ้านของเธอเป็นประจำวันหนึ่งในระหว่างที่ชายหนุ่มแวะมาเยี่ยมตามปกติ ปรากฏว่าน้ำดื่มในตุ่มดินอันใสเย็น มันแห้งขอดลงพอดี (สาวเจ้าลืมเติมน้ำดื่มใส่ตุ่มเอาไว้) เธอจึงบอกให้ชายหนุ่มรอดื่มน้ำเย็นอยู่ที่บ้าน ส่วนเธอก็ฉวยเอาเชือกป่าน และกระออมตักน้ำซึ่งสานด้วยไม้ไผ่และฉาบทาด้วยยางไม้เหนียวจึงใช้ตักน้ำได้โดยไม่รั่วแล้วก็เดินตรงไปยังบ่อน้ำที่อยู่หลังบ้าน เธอผูกเชือกป่านเข้ากับคันไม้ของกระออม แล้วหย่อนลงไปในบ่อตักเอาน้ำและสาวเชือกป่านดึงกระออมขึ้นมา แต่พอเธอชะโงกหน้าลงไปในบ่อน้ำซึ่งลึกมาก เธอก็เริ่มคิดกับตัวเองขึ้นว่ามันน่าหวาดเสียวและอันตรายจริงๆ“นี่สมมุติว่าถ้าเขาและฉันได้แต่งงานกัน แล้วพอพวกเรามีลูกชาย เมื่อเขาเติบโตขึ้นมาจนเป็นหนุ่ม ก็จะต้องมาตักน้ำที่บ่อแห่งนี้เหมือนกัน แล้วถ้าเขาพลาดตกลงไปในบ่อลึก เขาก็จะต้องตายเป็นแน่ โอ ช่างเลวร้ายเหลือเกิน!”เธอจึงปล่อยมือให้กระออมย้อนกลับลงไปอยู่ในบ่ออีกครั้ง แล้วก็นั่งลงและเริ่มร้องห่มร้องไห้เวลาผ่านไปนานผิดปกติ คนที่อยู่ทางบ้านไม่เห็นเธอกลับมาสักทีก็สงสัย แม่ของเธอจึงลงจากบ้านและไปตามหาเธอที่บ่อน้ำ พอเห็นลูกสาวนั่งร้องห่มร้องไห้อยู่ข้างบ่อน้ำโดยที่เชือกป่านก็ยังพาดคาอยู่ที่ปากบ่อ“เป็นอะไรไปล่ะลูก” แม่เธอถาม“โอ คุณแม่!” เธอพูด“แม่ก็มองลงไปในบ่อนั่นสิ มันน่ากลัวและหวาดเสียวขนาดไหน! สมมุติว่าเขาแต่งงานกับฉัน แล้วมีลูกชายด้วยกัน พอเขาโตขึ้นก็ต้องมาตักน้ำที่บ่อแห่งนี้ แล้วถ้าเขาพลาดท่าตกลงไปในบ่อลึกนี้ เขาก็ต้องตายอย่างแน่นอน โอ ช่างเลวร้ายเหลือเกิน!”“โอ ตายแล้ว! มันช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าจริงๆ ลูกแม่!” แล้วแม่ของเธอก็นั่งลงและเริ่มร้องห่มร้องไห้อยู่ข้างๆเธอนั่นเอง ครู่ต่อมาครั้นพ่อไม่เห็นแม่และลูกสาวกลับมาสักที เขาจึงเป็นคนลงจากบ้านออกไปตามหาคนทั้งสองที่บ่อน้ำ พอไปถึงเขาก็เห็นแม่และลูกสาวพากันนั่งร้องห่มร้องไห้อยู่ข้างบ่อ“มันเกิดอะไรขึ้นล่ะนี่” พ่อเธอถาม“ทำไมล่ะ” แม่เธอพูด“คุณก็ลองชะโงกลงไปในบ่อดูสิ ว่ามันน่ากลัวและหวาดเสียวขนาดไหน นี่ถ้าลูกสาวของเรากับคู่รักของเธอแต่งงานกัน แล้วได้ลูกชาย เมื่อเขาโตขึ้นมา ก็ต้องมาตักน้ำที่บ่อแห่งนี้ หากเขาพลาดท่าตกลงไปในบ่อลึกเขาก็ต้องตายเป็นแน่ โอ มันช่างเป็นเรื่องเลวร้ายและน่ากลัวจริงๆ!”“โอ ตายแล้ว! จริงด้วย” พ่อเธอกล่าว แล้วเขาก็นั่งลงข้างๆแม่กับลูกและเริ่มร้องห่มร้องไห้อีกคนฝ่ายชายหนุ่มซึ่งนั่งรอดื่มน้ำเย็นจากบ่ออยู่ที่บ้านคนเดียว เมื่อรอนานจนเมื่อยขบ เขาจึงลงจากบ้านและออกไปตามหาคนทั้งสามเหล่านั้นที่บ่อน้ำ พอไปถึงเขาก็เห็นคนทั้งสามพากันนั่งร้องห่มร้องไห้อยู่ข้างบ่อ โดยที่เชือกป่านก็ยังพาดคาอยู่ที่ปากบ่อ เขาจึงตรงไปสาวเชือกป่านและดึงเอากระออมนำน้ำขึ้นมาจนพ้นปากบ่อแล้วก็วางลงข้างๆตัว พลางถามว่า“เกิดอะไรขึ้นกับพวกท่านทั้งสามล่ะนี่ ถึงได้พากันนั่งร้องไห้ แล้วก็ไม่ยอมสาวเชือกดึงกระออมขึ้นมาจากบ่อเช่นนี้”“โอ!” ผู้เป็นพ่อคร่ำครวญ“ท่านก็ก้มมองดูลงไปในบ่อลึกนั่นสิ ว่ามันน่ากลัวและหวาดเสียวขนาดไหน! ถ้าท่านและลูกสาวของพวกเราแต่งงานกัน แล้วมีลูกชาย พอเขาโตขึ้นมาก็ต้องมาตักน้ำจากบ่อแห่งนี้ หากเขาพลาดท่าตกลงไปในบ่อลึก เขาก็ต้องตายเพียงเท่านั้น!”พูดเสร็จพวกเขาทั้งสามก็พากันร้องไห้คร่ำครวญหนักยิ่งกว่าเดิม แต่ชายหนุ่มผู้นั้นกลับหัวเราะก๊าก พลางยกกระออมน้ำขึ้นดื่ม เสร็จแล้วจึงพูดขึ้นว่า“ฉันเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ ก็ไม่เคยจะเห็นใครเฉลียวขาดฉลาดน้อยเหมือนกับท่านทั้งสามนี้เลย ฉันควรจะออกสัญจรรอนแรมไปอีกสักวาระหนึ่ง ถ้าหากฉันพบเห็นใครก็ตามที่ฉลาดน้อยลงไปกว่าพวกท่านเสียอีก สักสามราย ฉันก็จะกลับมาแต่งงานอยู่กินกับลูกสาวของท่าน”ชายหนุ่มจึงอำลาและอำนวยพรแก่ครอบครัวของคนทั้งสาม แล้วก็ออกเดินทางจากไป คงปล่อยให้พวกเขาพากันร้องห่มร้องไห้อีกครั้งเพราะว่าคราวนี้ลูกสาวสูญเสียคนรักชายหนุ่มเดินทางรอนแรมมาไกล จนกระทั่งมาถึงกระท่อมปลายนาของหญิงชราผู้หนึ่ง หลังคากระท่อมถูกปกคลุมไปด้วยสีเขียวของใบหญ้า ซึ่งแผ่กอต่อยอดขึ้นไปงอกงามอยู่บนหลังคา ในเวลานั้นหญิงชรากำลังพยายามลากจูงควายของแก ให้ไต่บันไดขึ้นไปกินหญ้าบนหลังคา แต่ความพยายามนั้นก็ดูทุลักทุเลและไม่เป็นผลดังนั้นชายหนุ่มจึงถามหญิงชราว่ากำลังทำอะไรกันแน่“ทำไมล่ะ ก็ดูสิ” หญิงชราตอบ“หญ้าเขียวๆทั้งนั้นอยู่บนหลังคา ฉันก็จะจูงควายไต่บันไดขึ้นไปกินหญ้าบนนั้น ไม่น่ามีปัญหาอะไร พอมันกำลังกินหญ้าอยู่บนหลังคา ฉันก็โยงเชือกที่สนตะพายมันอยู่นั้นให้ลอดผ่านลงมาทางหน้าต่าง แล้วก็นำมาผูกไว้ที่เอวของฉัน ในระหว่างที่ทำงานบ้านไป หากควายมันจะหนีไปจากหลังคาเมื่อใด ฉันก็ย่อมรู้”“โอ ทำไมถึงฉลาดน้อยอย่างนี้!” ชายหนุ่มกล่าว“ท่านควรจะขึ้นไปเกี่ยวเอาหญ้าเสียเอง แล้วก็โยนลงมาให้ควายมันกินอยู่ข้างล่างก็ได้!”แต่หญิงชราก็เห็นว่าการนำควายขึ้นไปกินหญ้าอยู่บนหลังคา มันดูง่ายกว่าที่จะขึ้นไปเกี่ยวลงมาให้มันกินอยู่ข้างล่าง หญิงชราจึงพยายามลากจูงควายอยู่เช่นนั้น นางไต่ขึ้นไปยืนอยู่บนตอนปลายของบันไดใกล้ๆกับหลังคา มือก็พยายามชักเชือกลากจูงให้ควายก้าวขาเหยียบขั้นบันไดตามขึ้นไป อาลามตกใจหรือไม่ก็รำคาญหรือทรมานเจ็บปวดจากการถูกบังคับ อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็เกินกว่าจะคาดคิด ควายจึงสะบัดเขาอันยาวและแข็งแกร่งของมัน เป็นเหตุให้ไปโดนบันไดที่พาดอยู่ไถลลื่นลงมา จนหลุดร่วงออกจากหลังคา หญิงชราจึงร้องเสียงหลงแล้วก็ร่วงลงมานอนครางโอยๆอยู่ข้างกระท่อมของนางนั่นเอง ความฉลาดมีไม่พอใช้จริงๆ ชายหนุ่มส่ายหัวไปมาชายหนุ่มจึงเดินทางต่อไป จนกระทั่งตอนเย็นในวันหนึ่ง เขาจำเป็นต้องเข้าพักนอนในโรงแรมแห่งหนึ่งแต่เผอิญว่าทุกห้องนั้นเต็มหมด จึงจำเป็นต้องเข้าพักร่วมห้องกับผู้เดินทางอีกคนในห้องเตียงคู่ สุภาพบุรุษร่วมห้องของเขา เป็นผู้มีอัธยาศัยไมตรีเป็นอย่างดี แต่พอถึงตอนเช้าหลังจากตื่นนอน ชายหนุ่มก็ต้องประหลาดใจ เมื่อเห็นชายคนที่พักร่วมห้องเดียวกัน นำกางเกงขายาวของเขามาห้อยไว้ที่มือจับของลิ้นชัก แล้วก็พยายามวิ่งจากด้านหนึ่งของห้อง เพื่อกระโดดลงไปสวมเอากางเกงขายาวนั้น เขาพยายามแล้วพยายามเล่าก็ยังทำไม่สำเร็จ ชายหนุ่มก็สงสัยเหมือนกันว่าเขาทำอะไรกันแน่“โธ่ โว้ย!” ชายคนนั้นพูด“ฉันคิดว่าในบรรดาเสื้อผ้าทั้งหมดนี้ กางเกงขายาวออกจะแย่ที่สุดเลยนะ ฉันคิดไม่ออกเหมือนกันว่าใครช่างประดิษฐ์คิดทำเสื้อผ้าอย่างนี้ขึ้นมา กว่าฉันจะสวมใส่ได้แต่ละเช้า ใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆ เล่นเอาเหงื่อแตกพลั่กๆ!แล้วท่านล่ะจัดการสวมใส่ของท่านอย่างไร”ชายหนุ่มได้ฟังก็อดที่จะปล่อยหัวเราะออกมาไม่ได้ แล้วเขาก็แสดงการสวมใส่กางเกงขายาวให้ชายคนนั้นดูเป็นตัวอย่าง ชายคนนั้นจึงได้กล่าวขอบคุณแก่เขาเป็นอย่างมาก เขาบอกว่าเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า มันจะสามารถสวมใส่ด้วยวิธีง่ายๆเช่นนั้นได้ ชายหนุ่มจึงส่ายหัวไปมา นับว่าเป็นเรื่องที่ฉลาดไม่พอใช้จริงๆชายหนุ่มยังเดินทางต่อไปอีก จนกระทั่งมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งมีสระน้ำอยู่ข้างนอกหมู่บ้าน ในเวลานั้นมีผู้คนกลุ่มหนึ่งกำลังรุมล้อมอยู่รอบๆสระ ในมือของพวกเขานั้นบ้างก็ถือคราด ไม้สอยมะม่วง ไม้กวาดด้ามยาวและไม้ตะขอด้ามยาว ต่างก็กำลังพยายามที่จะเกี่ยวเอาอะไรสักอย่างหนึ่งซึ่งอยู่ในสระ ชายหนุ่มสงสัยจึงได้ไต่ถามพวกเขา“ทำไมล่ะ” พวกเขาตอบ“เป็นเรื่องนะสิ! ดวงจันทร์ตกลงไปจมอยู่ใต้ก้นสระ พวกเราไม่รู้ว่าจะนำเธอขึ้นมาได้อย่างไร!”ชายหนุ่มได้ฟังก็หัวร่องอหงาย พลางก็ชี้ให้พวกเขาแหงนมองขึ้นไปดูบนท้องฟ้า และบอกกับพวกเขาว่าที่เห็นอยู่ในน้ำนั่นคือเงาของมัน แต่พวกเขาก็ไม่เชื่อชายหนุ่มคนนั้น มิหนำซ้ำยังพากันเหยียดหยามและด่าทอเขาให้ได้รับความอับอาย ชายหนุ่มจึงต้องรีบหนีไปจากพวกเขาโดยไม่ชักช้าจึงเป็นอันว่าเขาได้พบเห็นคนที่ฉลาดไม่มาก หรือ ฉลาดน้อยเต็มที (โง่) ยิ่งกว่าครอบครัวของชาวนา ดังนั้นชายหนุ่มจึงเดินทางกลับไปแต่งงานอยู่กินกับลูกสาวของชาวนา ตามที่ได้ให้สัญญาเอาไว้ แต่ถ้าพวกเขาไม่มีความสุขหลังจากการแต่งงาน ทั้งผู้อ่านและผู้เขียนก็ไม่เห็นจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเขามิใช่หรือเอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
ต่อมาในวันที่สาม เมื่อพ่อของเธอ แม่เลี้ยงและพี่สาวต่างก็ออกจากบ้านไปหมดแล้ว มอมแมมก็ตรงไปยังหลุมฝังศพของแม่เธออีกครั้งหนึ่งและเอ่ยขึ้นอีกว่า“โอ…ต้นไม้น้อย ค่อยไหวใบสั่นซู่โปรดร่วงพลูเงินทองผุดผ่องใสประดับกายเรืองรองผ่องอำไพงามวิไลดุจนางฟ้าโสภาพรรณ”เหตุนั้นนกก็นำเสื้อผ้าอาภรณ์มาส่งให้อีก เป็นชุดที่มีความสวยงาม หรูหรา อย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน พร้อมกับรองเท้าทองคำหนึ่งคู่ เมื่อเธอไปถึงในงานด้วยชุดนั้น ผู้คนทั้งหมดในงานเลี้ยงก็ต้องตกตะลึงกับความสวยสดงดงามของเธอ เจ้าชายก็เต้นรำกับเธอแต่เพียงลำพังโดยไม่สนใจหญิงสาวคนอื่นเลย แม้มีชายหนุ่มมาขอเต้นรำกับเธอ เจ้าชายก็จะตรัสว่า“เธอเป็นคู่ของฉัน”ครั้นถึงเวลาพลบค่ำ มอมแมมก็จะกลับบ้าน ยังไม่ทันที่เจ้าชายจะตามไปส่ง เธอก็รีบวิ่งผ่านเลยไปอย่างรวดเร็วจนเจ้าชายไม่อาจจะติดตามเธอได้ทัน อย่างไรก็ตามครั้งนี้เจ้าชายได้วางแผนไว้แล้วล่วงหน้าโดยการราดยางไม้เหนียวๆไว้ระหว่างทางเดินที่เธอรีบหนีไป เป็นเหตุให้รองเท้าข้างหนึ่งของเธอหลุดและติดคาอยู่ที่ยางไม้นั้น เมื่อเจ้าชายมาถึงจึงหยิบรองเท้าข้างนั้นขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นรองเท้าทองคำที่มีรูปทรงเรียวและเล็กมากในเช้าวันรุ่งขึ้นเจ้าชายจึงเดินทางไปพบพ่อของมอมแมมและบอกกับเขาว่า บัดนี้หาได้มีใครเหมาะสมที่จะเป็นเจ้าสาวไม่ เว้นแต่หญิงสาวที่มีเท้าสามารถสวมเข้ากับรองเท้าทองคำนี้ได้พอดี พี่สาวทั้งสองของเธอได้ยินเช่นนั้นก็พากันดีอกดีใจเป็นอย่างยิ่งเพราะว่าเขาทั้งสองต่างก็มีเท้าที่ดูสวยงาม พี่สาวคนโตจึงเข้าไปในห้องของเธอแล้วก็ลองสวมใส่รองเท้าทองคำนั้นในขณะที่แม่ของเธอก็ยืนดูอยู่ข้างๆ แต่เธอก็ไม่สามารถสวมใส่ได้เพราะนิ้วเท้าของเธอใหญ่เกินกว่าที่จะบังคับให้เข้าไปในรองเท้าเล็กๆได้ แม่ของเธอจึงยื่นมีดให้แล้วบอกว่า“ตัดนิ้วเท้าของเธอออกเสีย เพราะเมื่อได้เป็นพระราชินีแล้วเธอก็ไม่มีความจำเป็นต้องเดินด้วยเท้า”ดังนั้นเธอจึงใช้มีดตัดนิ้วเท้าตัวเองออกเสีย แล้วก็พยายามยัดเยียดให้เท้าเข้าไปในรองเท้าเล็กๆนั่นจนได้แม้ว่าจะเจ็บปวดจากบาดแผลเพียงใด เธอก็ฝืนทำใบหน้าให้เป็นปกติ แล้วก็ออกไปพบเจ้าชาย เหตุนั้นเจ้าชายจึงรับเธอขึ้นขี่หลังม้าไปด้วยเพราะถือว่าเป็นเจ้าสาวแล้ว พร้อมกันนั้นก็ควบม้าเดินทางกลับไปยังปราสาทในระหว่างทางก็จะต้องผ่านหลุมฝังศพ ณ ที่นั่นมีนกพิราบสองตัวจับอยู่บนต้นไม้และพากันร้องทักขึ้นว่า“นั่นไง! จะไปกันหมดเลือดแดงสดรดรองเท้าเล็กไปไม่ใช่เบาเจ้าสาวเล่า ไม่ใช่เลย”เจ้าชายได้ยินเช่นนั้นก็ก้มลงมอง ที่รองเท้าของเธอ และเห็นเลือดไหลอาบออกมาเป็นทาง จึงรีบควบม้ากลับแล้วนำเธอไปส่งคืนที่บ้านกับทั้งบอกว่าเธอไม่ใช่เจ้าสาวและขอให้น้องสาวของเธอได้ลองสวมรองเท้านั้นดูบ้างพี่สาวของมอมแมมคนที่สองจึงเข้าไปในห้องของเธอและลองสวมรองเท้าดูก็ปรากฏว่า เธอสามารถสอดนิ้วเท้าทั้งหมดเข้าไปได้อย่างสบายแต่ส้นเท้าของเธอกลับใหญ่เกินกว่าที่จะสวมมันได้ แม่ของเธอจึงยื่นมีดให้และบอกว่า“ตัดส้นเท้าของเธอบางส่วนออกเสีย เพราะเมื่อได้เป็นพระราชินีแล้วเธอก็ไม่มีความจำเป็นต้องเดินด้วยเท้า”เธอจึงเฉือนส้นเท้าบางส่วนของตนเองออกเสีย แล้วก็ใช้แรงดันบีบบังคับเท้าให้สวมรองเท้าจนได้ แม้ว่าจะรู้สึกเจ็บปวดจากบาดแผลเพียงใด แต่ก็ทนฝืนทำใบหน้าเป็นปกติ แล้วเดินออกไปพบเจ้าชาย และด้วยสำคัญว่าเป็นเจ้าสาว เจ้าชายก็รับเธอขึ้นขี่หลังม้าแล้วก็ควบออกไป ครั้นผ่านมาที่หลุมฝังศพอีกครั้งหนึ่ง นกพิราบสองตัวที่อยู่บนต้นไม้ก็พากันร้องทักอีกว่า“นั่นไง! จะไปกันหมดเลือดแดงสดรดรองเท้าเล็กไปไม่ใช่เบาเจ้าสาวเล่า ไม่ใช่เลย”เจ้าชายได้ยินเช่นนั้น ก็ก้มลงมองที่เท้าของเธอ และเห็นเลือดไหลอาบออกมาจากรองเท้า จนถุงน่องสีขาวเปรอะเปื้อนไปด้วยสีแดงของเลือด เจ้าชายจึงชักม้าหวนกลับ แล้วนำเธอมาส่งที่บ้านพร้อมกับตรัสว่า“คนนี้ก็ไม่ใช่เจ้าสาว” แล้วเจ้าชายก็ถามต่ออีกว่า“ท่านไม่มีลูกสาวเหลืออีกแล้วแน่นะ”“ก็ไม่เชิง” พ่อของเธอกล่าวขึ้น“ภรรยาเก่าของฉันผู้ล่วงลับไปแล้ว คงทิ้งไว้แต่ลูกสาวคนเล็กที่สกปรกมอมแมม จนพวกเราพากันเรียกเธอว่า มอมแมม เป็นไปไม่ได้แน่ที่เธอจะเป็นเจ้าสาว”แต่พระราชโอรสก็ได้ยืนกรานที่จะให้นำมอมแมมออกมาพบ แม่เลี้ยงของเธอจึงรีบพูดขึ้นว่า“โอ…ไม่ได้หรอกเพคะ เธอสกปรกเกินกว่าที่จะให้ใครๆได้พบเห็น”อย่างไรก็ตามเจ้าชายก็ยังยืนยันในความประสงค์ที่จะให้แม่เลี้ยงไปนำตัวมอมแมมออกมาพบ จนในที่สุดเธอก็ได้ออกมาปรากฏตัวต่อหน้าเจ้าชายมอมแมมได้ล้างหน้าล้างตา และชำระมือไม้ให้สะอาดหมดจดเป็นอย่างดี ก่อนที่เธอจะเข้าไปถวายความเคารพต่อเจ้าชาย ครั้นเห็นเธอ เจ้าชายก็ยื่นรองเท้าทองคำให้ เธอจึงเดินไปนั่งลงที่ตั่งแล้วก็สอดเท้าเข้าไปสวมใส่รองเท้าทองคำนั่น ซึ่งก็ปรากฏว่าเหมาะสมกับเท้าของเธอพอดีอย่างไม่มีที่ติ พอเธอยืนขึ้น เจ้าชายก็จ้องมองไปที่ใบหน้าของเธอ พลันเจ้าชายก็จดจำได้ถึงความสวยงามของหญิงสาวผู้เคยเป็นคู่เต้นรำในงานเลี้ยง จนถึงกับเอ่ยพระโอษฐ์ว่า“ใช่แล้ว คนนี้คือเจ้าสาวอันแท้จริง!”แม่เลี้ยงและพี่สาวทั้งสองของเธอต่างก็ประหลาดใจและตกใจแทบช็อค แล้วก็กลับกลายเป็นความรู้สึกโกรธอย่างมาก แต่เจ้าชายก็ได้รับเอามอมแมมขึ้นขี่หลังม้า แล้วพาเธอควบจากไป ครั้นผ่านมาทางหลุมฝังศพ ซึ่งมีนกพิราบสองตัวจับอยู่บนต้นไม้นั้นต่างก็พากันร้องทักอีกว่า“นั่นไง จะไปกันหมดเลือดเพียงหยดไม่เห็นมีรองเท้าเหมาะสมดีเธอคนนี้ คือเจ้าสาว”เมื่อนกสองตัวนั้นร้องทักเสร็จ มันก็พากันบินมาจับอยู่ที่ไหล่ของมอมแมม ตัวหนึ่งจับอยู่ไหล่ซ้ายอีกตัวหนึ่งจับอยู่ไหล่ขวาโดยไม่ยอมบินหนีไปไหนเลยในที่สุดวันอภิเษกสมรสกับเจ้าชายก็ได้ถูกกำหนดขึ้น พี่สาวทั้งสองผู้มากด้วยความอิจฉา ริษยาก็มาในงานเช่นเดียวกัน ด้วยหวังจะได้แสร้งทำเป็นชื่นชมและมีส่วนร่วมในงานพิธี ในระหว่างพิธีของคู่บ่าว-สาวที่กำลังดำเนินไปภายในโบสถ์ พี่สาวทั้งสองก็เดินประกบข้างไปเป็นเพื่อนเจ้าสาว คนพี่เดินทางขวาและคนน้องเดินทางซ้ายของมอมแมม นกพิราบสองตัวที่จับอยู่บนไหล่ของเธอคนละข้างก็จิกดวงตาข้างหนึ่งของทั้งคนพี่และคนน้องพอขาเดินกลับคนพี่เดินประกบอยู่ทางซ้าย คนน้องเดินประกบอยู่ทางขวา นกพิราบก็จิกดวงตาอีกข้างหนึ่งของทั้งคนพี่และคนน้อง พี่สาวทั้งสองของมอมแมมจึงต้องได้รับผลกรรมกลายเป็นคนตาบอดไปชั่วชีวิตเพราะความเป็นผู้ที่มีจิตใจชั่วร้ายและไร้ซึ่งความเมตตาปราณี เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
ในกาลครั้งหนึ่งยังมีเศรษฐีคนหนึ่ง ซึ่งมีภรรยากำลังป่วยหนัก ครั้นเธอรู้ตัวดีว่าเวลาสุดท้ายกำลังใกล้เข้ามาถึงแล้ว เธอจึงเรียกลูกสาวคนเดียวของเธอเข้ามาหาที่ห้องนอนและกล่าวขึ้นว่า“ลูกสุดที่รักของแม่ จงทำแต่ความดีและเป็นคนดีนะ แล้วพระผู้เป็นเจ้าจะคุ้มครอง แม่เองก็จะคอยดูแลลูกจากเบื้องบนและจะอยู่กับลูก”แล้วเธอก็หลับตาลงและจากไปอย่างสงบ ลูกสาวผู้น่าสงสาร ก็จะไปที่หลุมฝังศพของแม่อยู่เป็นประจำทุกวันและได้แต่คร่ำครวญร้องไห้ถึงแม่ กระนั้นเธอก็เพียรตั้งอยู่แต่ในคุณงามความดีและเป็นคนดีมาโดยตลอดเมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว หิมะก็ตกปกคลุมหลุมฝังศพดูขาวโพลนไปหมดและเมื่อย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ หิมะก็เริ่มละลายและจางหายไป พร้อมกับการแต่งงานใหม่ของพ่อหม้ายเศรษฐีคนนั้นภรรยาใหม่ของเศรษฐีได้นำบุตรสาวสองคน ที่เกิดกับสามีเก่า เข้ามาอยู่อาศัยด้วยกับเธอ ดูจากภายนอกแล้วบุตรสาวทั้งสองคนต่างก็มีรูปร่างสวยสดงดงาม แต่หัวใจของเขาทั้งสองกลับดำและอัปลักษณ์ในเวลาต่อมาพวกเขาก็เริ่มกระทำแต่ความเลวร้ายต่อลูกเลี้ยงผู้น่าสงสารคนนั้น“คนโง่ๆอย่างนี้สมควรจะมานั่งร่วมห้องกับพวกเราด้วยเรอะ” พวกเขาพูดขึ้น“ใครที่กินข้าวก็จะต้องใช้ค่าข้าว ไปเป็นคนใช้ในครัวไป๊!”พวกเขาก็ให้เธอถอดเสื้อผ้าสวยๆออก และเอาไปเสียจากเธอ แล้วให้เสื้อคลุมเก่าๆกับรองเท้าที่ทำด้วยไม้แก่เธอ แทนของสวยงามเหล่านั้น“นี่ เจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ ดูสิว่าเธอฉลององค์เป็นอย่างไร!” พวกเขาพูดประชดกับทั้งหัวเราะเยาะและขับไสให้เธอไปอยู่ในครัว เธอถูกบังคับให้ทำงานอย่างหนักตั้งแต่เช้าจนกระทั่งถึงค่ำมืดดึกดื่น เธอต้องตื่นนอนแต่เช้าตรู่เพื่อไปตักน้ำจากบ่อ แล้วมาก่อไฟ ทำกับข้าว ล้างถ้วยล้างชามและซักเสื้อผ้า นอกจากนั้น พี่สาวทั้งสองของเธอ ก็มักจะกลั่นแกล้ง ให้ได้รับความยากลำบากอยู่ตลอดเวลา พวกเขาจะหว่านเมล็ดถั่วจำนวนมากลงไปในเถ้าถ่าน แล้วบอกให้เธอคอยตามเก็บกลับมาให้หมดครั้นถึงตอนเย็นหลังจากที่เธอเหน็ดเหนื่อย จากการตรากตรำทำงานมาตลอดทั้งวัน พวกเขาก็ไม่มีที่นอนอันอ่อนนุ่มให้ แต่กลับบังคับให้เธอใช้เชิงไฟในครัวเป็นที่พักหลับนอน อยู่ท่ามกลางเถ้าถ่านข้างกองไฟ ด้วยเหตุนั้นตามตัวของเธอจึงสกปรกและมอมแมมไปด้วยฝุ่นขี้เถ้าจากครัวไฟ พวกเขาจึงเรียกเธอว่า มอมแมมต่อมาในวันหนึ่ง พ่อของเธอจะเข้าไปเที่ยวงานออกร้านในเมือง จึงถามลูกเลี้ยงทั้งสองว่าอยากได้อะไร พ่อจะซื้อมาฝาก“อยากได้เสื้อผ้าสวยๆ” คนหนึ่งตอบ“อยากได้เครื่องประดับที่ทำด้วยไข่มุกและพลอย” อีกคนหนึ่งตอบ“แล้วเจ้าล่ะ มอมแมม อยากได้อะไร” พ่อถามเธอ“คุณพ่อคะ หนูอยากได้แท่งไม้ขนาดพอใช้สำหรับกางหมวกออกไม่ให้ตกมาปิดตา เวลาใส่เดินกลับบ้านแค่นี้ล่ะค่ะ ที่อยากให้คุณพ่อนำมาให้”ดังนั้นเขาจึงซื้อเสื้อผ้าที่สวยงาม ไข่มุก และพลอย สำหรับลูกเลี้ยงทั้งสอง แต่ในระหว่างทางที่มุ่งหน้ากลับบ้านเขาต้องเดินลัดเลาะผ่านไปตามป่าละเมาะ บังเอิญกิ่งไม้ข้างทางได้ทิ่มหมวกของเขาเข้าพอดี เขาจึงดึงมันออกและหักเก็บใส่กระเป๋านำกลับบ้านมาด้วย ครั้นถึงบ้าน ลูกเลี้ยงทั้งสองต่างก็ได้รับของที่พวกเธอปรารถนาจากพ่อเศรษฐีทุกประการ ขณะเดียวกันเขาก็หยิบแท่งไม้ที่หักมาระหว่างทางให้กับมอมแมมเธอกล่าวขอบคุณแก่คุณพ่อ แล้วก็นำเอาแท่งไม้ที่ยังเป็นอยู่นั้นไปปลูกลงที่หลุมฝังศพของแม่ เธอได้แต่ร่ำไห้ด้วยความขมขื่น จนน้ำตานองและราดรดไปบนต้นไม้ จึงเป็นเหตุให้ต้นไม้นั้นงอกงาม และผลิใบเติบโตขึ้นเป็นต้นเล็กๆ มอมแมมจะออกไปดูต้นไม้ของเธอวันละสามครั้ง เฝ้าแต่ร่ำไห้และวิงวอนอธิษฐานแต่ละครั้งก็จะมีนกสีขาวมาปรากฏอยู่บนต้นไม้นั้น และหากเธอปรารถนาในสิ่งใดก็ตาม นกตัวนั้นก็จะนำสิ่งที่เธอปรารถนามาให้ทุกประการในเวลาต่อมาพระราชาได้จัดให้มีงานฉลองเลี้ยง เป็นเวลาสามวันสำหรับหญิงสาวผู้มีความงามจากทั่วราชอาณาจักรที่ปรารถนาจะมาร่วมงานเลี้ยง ทั้งนี้ก็เพื่อเปิดโอกาส ให้พระราชโอรสของพระองค์ได้ทรงเลือกเป็นเจ้าสาว และเข้าสู่พิธีอภิเษกสมรสต่อไปเมื่อข่าวนี้เป็นที่ทราบถึงลูกเลี้ยงทั้งสอง พวกเธอก็มีความยินดีและปรารถนาเป็นอย่างยิ่ง และยังได้เรียกหามอมแมมแล้วพูดกับเธอว่า“เร็วเข้า! มาหวีผมให้พวกเรา ขัดรองเท้า และปรับสายเข็มขัดให้ด้วย พวกเรากำลังจะไปร่วมงานราตรีราชสโมสร ยังมหาปราสาทของพระราชา”ข่าวนี้ทำให้มอมแมมรู้สึกกล้ำกลืนและฝืนทน เธออดที่จะร้องไห้ไม่ได้ ด้วยว่าเธอเองก็ปรารถนา ที่จะได้ไปร่วมงานกินเลี้ยงและเต้นรำเป็นอย่างยิ่ง เธอจึงได้เอ่ยปากเพื่อขออนุญาตต่อแม่เลี้ยง“อะไรกัน มอมแมม!” นางตวาดขึ้น“สารรูปที่สกปรกมอมแมม แถมยังเต็มไปด้วยเถ้าถ่านอย่างนี้นะเร่อ ก็ยังอยากจะไปร่วมงานเลี้ยง! เสื้อผ้าอาภรณ์และรองเท้าก็ไม่มี! แล้วยังมีหน้ามาบอกว่า อยากจะไปร่วมเต้นรำ!”ครั้นเธอรบเร้าแม่เลี้ยงอย่างไม่ลดละ นางจึงพูดกับเธอว่า“เอาล่ะ บังเอิญฉันทำถ้วยเมล็ดถั่วหกกระจัดกระจาย ลงในกองขี้เถ้า หากเจ้าสามารถเก็บมาคืนใส่ถ้วยไว้อย่างเดิมให้เสร็จภายในสองชั่วโมง เจ้าก็อาจจะได้ไปกับพวกเรา”ด้วยเหตุนั้นมอมแมม แม่ครัวผู้น่าสงสารจึงเดินไปที่ประตูหลังบ้านซึ่งเปิดออกสู่สวนหลังบ้าน แล้วเธอก็เอ่ยขึ้นว่า“โอ…พิราบ กระจาบ มวลหมู่นกโปรดช่วยเก็บถั่วหกตกในเถ้าเลือกถั่วดีเก็บไว้ใส่ถ้วยเราถั่วเสียเล่าเจ้าอาจเก็บไว้กินเอง”ครู่ต่อมาก็มีนกพิราบสีขาวสองตัวบินมา ที่หน้าต่างของห้องครัว ตามด้วยหมู่นกกระจาบ และท้ายที่สุดก็เป็นฝูงนกจำนวนมหาศาลจากทั่วท้องนภา บินว่อนจนลานตาไปหมด แล้วพวกมันก็พากันเรียงรายเข้ามายังกองขี้เถ้าอย่างเป็นระเบียบ ต่างก็ช่วยกันจิกเมล็ดถั่วแล้ววาง จิกแล้ววาง จิกแล้ววาง เฉพาะเมล็ดที่ดีๆลงในถ้วยยังไม่ทันถึงหนึ่งชั่วโมงก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย แล้วฝูงนกทั้งหลายเหล่านั้นก็บินจากไปมอมแมมจึงนำถ้วยเมล็ดถั่วนั้นไปให้แม่เลี้ยง ในใจก็รู้สึกเบิกบานด้วยคิดว่า คราวนี้เธอคงจะได้ไปร่วมงานเลี้ยง แต่แล้วแม่เลี้ยงก็พูดกับเธอว่า“เจ้าไปไม่ได้หรอกมอมแมม เสื้อผ้าอาภรณ์ที่เหมาะสมเจ้าก็ไม่มี ซ้ำร้ายเต้นรำเจ้าก็ทำไม่เป็น ผู้คนเขาจะได้หัวเราะเยาะเจ้า!”มอมแมมจึงได้แต่ร้องห่มร้องไห้ด้วยความผิดหวัง แม่เลี้ยงของเธอจึงได้พูดอีกครั้งว่า“เอาล่ะ ถ้าเจ้าสามารถเก็บเมล็ดถั่วสองถ้วยเต็มๆที่หล่นกระจัดกระจายอยู่ในกองขี้เถ้าขึ้นมาได้หมดอย่างเรียบร้อยและสะอาดหมดจด เจ้าก็อาจจะได้ไปกับพวกเรา”ด้วยนางคิดในใจว่าอย่างไรเสียก็เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะนางเป็นคนเทเมล็ดถั่วสองถ้วยเต็มๆกระจัดกระจายลงในกองขี้เถ้านั้นด้วยตนเอง ด้วยเหตุนั้นมอมแมม แม่ครัวผู้น่าสงสารจึงเดินไปที่ประตูหลังบ้านซึ่งเปิดออกสู่สวนหลังบ้าน แล้วเธอก็เอ่ยขึ้นอีกว่า“โอ…พิราบ กระจาบ มวลหมู่นกโปรดช่วยเก็บถั่วหกตกในเถ้าเลือกถั่วดีเก็บไว้ใส่ถ้วยเราถั่วเสียเล่าเจ้าอาจเก็บไว้กินเอง”ครู่ต่อมาก็มีนกพิราบสีขาวสองตัวบินมา ที่หน้าต่างของห้องครัวอีก ตามด้วยหมู่นกกระจาบ และท้ายที่สุดก็เป็นฝูงนกจำนวนมหาศาลจากทั่วท้องนภา บินว่อนจนลานตาไปหมด แล้วพวกมันก็พากันเรียงราย เข้ามายังกองขี้เถ้าอย่างเป็นระเบียบ ต่างก็ช่วยกันจิกเมล็ดถั่วแล้ววาง จิกแล้ววาง จิกแล้ววาง เฉพาะเมล็ดที่ดีๆลงในถ้วยยังไม่ทันถึงครึ่งชั่วโมงก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย แล้วฝูงนกทั้งหลายเหล่านั้นก็บินจากไปมอมแมมจึงนำถ้วยเมล็ดถั่วนั้นไปให้แม่เลี้ยง ในใจก็รู้สึกเบิกบานด้วยคิดว่า คราวนี้เธอคงจะได้ไปร่วมงานเลี้ยง แต่แล้วแม่เลี้ยงก็พูดกับเธอว่า“เจ้าไม่เหมาะกับงานนี้หรอก เจ้าไม่ต้องไปกับพวกเรา เพราะเจ้าไม่มีเสื้อผ้าที่เหมาะสม เต้นรำก็ไม่เป็นรังแต่จะทำให้พวกเราได้รับความอับอาย”จากนั้นนางก็หันหลังให้มอมแมมผู้น่าสงสาร แล้วกระวีกระวาดจัดแจงรีบพาลูกสาวทั้งสอง ผู้หยิ่งยโสของนางออกจากบ้านไปทันทีครั้นไม่มีใครอยู่ที่บ้านแล้ว มอมแมมจึงไปที่หลุมฝังศพของแม่ ณ ใต้ต้นไม้นั้น เธอได้ร่ำไห้และเอ่ยขึ้นว่า“โอ…ต้นไม้น้อย ค่อยไหวใบสั่นซู่โปรดร่วงพรูเงินทองผุดผ่องใสประดับกายเรืองรองผ่องอำไพงามวิไลดุจนางฟ้าโสภาพรรณ”ครู่ต่อมาก็มีนกนำเสื้อผ้าอาภรณ์ อันประดับประดาไปด้วยทองคำและเงิน กับทั้งรองเท้าคู่หนึ่งที่ปักร้อยด้วยไหมและเงินมาให้แก่เธอ รวดเร็วปานใจนึก เธอก็รีบจัดแจงแต่งกายด้วยชุดดังกล่าวแล้วรีบเดินทางไปร่วมงานเลี้ยงทันที แต่ทั้งแม่เลี้ยงและพี่สาวทั้งสอง ต่างก็จำเธอไม่ได้ พวกเขาพากันคิดว่าเธอเป็นเจ้าหญิงมาจากต่างเมือง เพราะเธอดูสวยสดงดงามมาก เมื่อยามได้สวมเสื้อผ้าอาภรณ์อันเหลืองอร่ามไปด้วยทองคำแน่นอนล่ะพวกเขาไม่เคยคิดว่าจะเป็นมอมแมมไปได้ เพราะป่านนี้เธอก็คงจะกำลังนั่งเก็บเมล็ดถั่วออกจากกองขี้เถ้าอยู่ที่บ้านอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อพระราชโอรสได้พบเธอเข้าก็ทรงพอพระหฤทัย จึงได้ยื่นพระหัตถ์ออกไปสัมผัสกับมือเธอแล้วพาออกไปเต้นรำ ยิ่งกว่านั้นพระองค์ยังปฏิเสธที่จะเต้นรำกับหญิงสาวคนอื่นๆและไม่ยอมปล่อยมือเธอให้เป็นอิสระเช่นเดียวกัน แม้มีบางคนมาขอร่วมเต้นรำกับเธอ แต่พระราชโอรสก็ตรัสตอบไปว่า“เธอเป็นคู่ของฉัน”ครั้นได้เวลาพลบค่ำ เธอก็ต้องการจะกลับบ้านแต่เจ้าชายก็ประสงค์จะเสด็จตามไปส่ง ทั้งนี้เพราะพระองค์อยากจะรู้ว่าหญิงสาวผู้เลอโฉมคนนี้พักอาศัยอยู่ที่ใด แต่แล้วเธอก็หลบหนีเจ้าชายได้ด้วยการกระโดดหายเข้าไปในเล้านกพิราบ เจ้าชายก็เฝ้าคอยอยู่ที่นั่นจนกระทั่งพ่อของเธอมาพบเข้า เจ้าชายจึงบอกแก่พ่อของเธอว่า มีแม่ครัวแปลกๆคนหนึ่งกระโดดหายเข้าไปในเล้านกพิราบนี้ พ่อของเธอก็คิดในใจว่า“คงไม่ใช่มอมแมมอย่างแน่นอน” แล้วเขาก็แอบย่องไปเอาขวานมาจัดการโค่นเล้านกพิราบลงทันทีแต่ปรากฏว่าไม่มีใครอยู่ในนั้นเลย เมื่อเจ้าชายและพ่อเขาเดินเข้าไปในบ้านก็เห็นแต่ มอมแมม สวมเสื้อผ้าสกปรกๆนั่งอยู่ท่ามกลางกองขี้เถ้าและมีแสงริบหรี่จากตะเกียงน้ำมัน ที่วางอยู่ใต้ปล่องไฟ คอยส่องสว่างทำลายความมืดสลัวในยามพลบค่ำทั้งนี้ก็เพราะหลังจากที่เธอกระโดดเข้าไปในเล้านกพิราบแล้ว เธอก็กระโดดออกมาอย่างรวดเร็ว แล้ววิ่งแจ้นไปยังต้นไม้ที่หลุมฝังศพ จัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าที่สวยงามนั้นออก และวางไว้ที่หลุมฝังศพแล้วนกก็นำไปเสียขณะเดียวกันเธอก็กลับมาสวมใส่เสื้อผ้าที่สกปรกผืนเดิมอีกครั้ง ก่อนที่จะรีบวิ่งกลับมานั่งอยู่ในครัวซึ่งแวดล้อมไปด้วยขี้เถ้าอย่างที่เจ้าชายและพ่อเธอเห็นงานเลี้ยงและเต้นรำได้เริ่มอีกครั้งในวันที่สอง เมื่อพ่อของเธอ แม่เลี้ยงและพี่สาวทั้งสองออกจากบ้านไปกันหมดแล้ว มอมแมมก็รีบตรงไปยังต้นไม้นั้นและเอ่ยขึ้นอีกว่า“โอ…ต้นไม้น้อย ค่อยไหวใบสั่นซู่โปรดร่วงพลูเงินทองผุดผ่องใสประดับกายเรืองรองผ่องอำไพงามวิไลดุจนางฟ้าโสภาพรรณ”เหตุนั้นนกก็ได้นำเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวยงามยิ่งกว่าในวันแรกมาให้แก่มอมแมม ครั้นเธอไปปรากฏตัวที่งานเลี้ยง ทุกคนที่มาร่วมในงานต่างก็ต้องตกตะลึงในความสวยงามของเธอ ขณะเดียวกันเจ้าชายก็เฝ้ารอคอยการมาถึงของเธออย่างใจจดใจจ่อ พอเธอมาถึงเจ้าชายก็เข้าไปจูงมือเธอออกไปเต้นรำโดยไม่สนใจที่จะเต้นรำกับหญิงสาวคนอื่นเลย แม้มีชายหนุ่มคนอื่นมาขอเต้นรำกับเธอเจ้าชายก็จะตรัสว่า“เธอเป็นคู่ของฉัน”เมื่อถึงเวลาพลบค่ำเธอก็ต้องการจะกลับบ้าน เจ้าชายจึงขอติดตามไปส่งเธอเพื่อจะได้รู้ว่าเธอมีบ้านอยู่ที่ไหนแต่แล้วเธอก็สามารถหนีเจ้าชายได้อีกครั้งโดยการวิ่งเข้าไปในสวนหลังบ้าน ณ ที่นั่นมีต้นแพร์ขนาดใหญ่และมีลูกดกเต็มต้น เธอรีบป่ายปีนขึ้นไปตามกิ่งไม้อย่างคล่องแคล่วราวกับกระรอกและหายไปอย่างรวดเร็วเจ้าชายก็ไม่รู้ว่าจะตามหาเธอได้อย่างไร จึงเฝ้าคอยอยู่ ณ ที่นั่นจนกระทั่งพ่อของเธอมาพบเข้า เจ้าชายจึงบอกว่ามีแม่ครัวลึกลับคนหนึ่งรีบร้อนหนีไปจากเขาและคิดว่าเธอคงจะหายเข้าไปในต้นแพร์ใหญ่ พ่อของเธอจึงคิดว่า“คงไม่ใช่มอมแมมอย่างแน่นอน” แล้วเขาก็ไปนำเอาขวานมาจัดการโค่นต้นแพร์ลงทันที แต่แล้วก็ปรากฏว่าไม่ได้มีใครสักคนอยู่บนต้นไม้เลย ครั้นเจ้าชายและพ่อของเธอเข้าไปในครัวก็พบว่ามอมแมมกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางขี้เถ้าเหมือนอย่างปกติ ทั้งนี้ก็เพราะเธอลงจากต้นแพร์อีกด้านหนึ่งของต้นไม้และรีบนำเสื้อผ้าอาภรณ์อันสวยงามนั้น ไปคืนแก่นกยังต้นไม้ที่หลุมฝังศพนั้น แล้วก็กลับมาสวมเสื้อคลุมเก่าๆอีกครั้งหนึ่งอย่างที่เห็น
ในกาลครั้งหนึ่งมีเจ้าหญิงพระองค์หนึ่งชื่อราณี อาศัยอยู่ในปราสาทอันใหญ่โตและมีเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวยงามและราคาแพงที่สุด เจ้าหญิงราณีกำลังจะแต่งงานกับเจ้าชายคงคา แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อมังกรไฟบุกรุกเข้ามาในปราสาทของเธอ นอกจากมันจะพ่นไฟเผาเสื้อผ้าที่สวยงามจนกลายเป็นเถ้าถ่านหมดแล้วมันยังลักพาเอาตัวเจ้าชายคู่หมั้นของเธอไปด้วยเจ้าหญิงจึงตัดสินใจที่จะติดตามเจ้ามังกรไฟเพื่อไปช่วยเจ้าชายกลับคืนมา เธอมองหาอะไรสักอย่างสำหรับสวมใส่เพื่อปกปิดร่างกาย แต่ทุกอย่างถูกไฟของมังกรเผาไหม้จนหมดสิ้น เหลือเพียงสิ่งเดียวที่ยังไม่ไหม้คือถุงกระดาษเจ้าหญิงราณีจึงไปหยิบเอาถุงกระดาษมาฉีกตรงมุมสองข้างสำหรับแขนและฉีกก้นถุงให้ทะลุสำหรับสวมใส่เมื่อเสร็จแล้วเธอก็สวมเสื้อถุงกระดาษและออกติดตามเจ้ามังกรไฟการติดตามเจ้ามังกรไฟก็เป็นไปอย่างง่ายดายเพราะมันทิ้งร่องรอยไว้คือป่าที่ถูกไฟไหม้เป็นทางและกระดูกของม้าที่มันกินเป็นอาหารในที่สุดเจ้าหญิงก็เดินทางมาถึงถ้ำของเจ้ามังกรไฟซึ่งมีบานประตูขนาดใหญ่มหึมาพร้อมที่เคาะประตูอันเบ้อเริ่มห้อยอยู่ เธอใช้แรงยกที่เคาะประตูขึ้นแล้วปล่อยให้มันกระทบกับบานประตูอย่างแรงเพื่อเคาะเรียกเจ้ามังกรที่อยู่ในถ้ำเจ้ามังกรไฟได้ยินเสียงเคาะก็โผล่หัวแง้มประตูออกมาดูแล้วก็พูดขึ้นว่า“อ๋อ! เจ้าหญิงหรอกเรอะ…ข้าชอบกินเจ้าหญิงเป็นอาหารนะ แต่วันนี้ข้าเพิ่งกินคนมาจนหมดเกลี้ยงทั้งปราสาท ท้องข้าไม่มีที่ว่างแล้ว พรุ่งนี้ค่อยกลับมานะ”พูดเสร็จมันก็รีบปิดประตูปังทันทีจนเกือบจะหนีบจมูกเธอเจ้าหญิงราณีก็พยายามยกที่เคาะประตูอันเขื่องนั้นขึ้นแล้วปล่อยให้มันกระแทกบานประตูเคาะเรียกเจ้ามังกรอีกครั้งเจ้ามังกรไฟก็ยื่นหัวออกมาอีกพลางก็พูดขึ้นว่า“ไปเสียให้พ้น ข้าชอบกินเจ้าหญิงเป็นอาหารหรอกนะ แต่วันนี้ข้าเพิ่งกินมาจนหมดเกลี้ยงทั้งปราสาท ท้องข้าไม่มีที่ว่างแล้ว พรุ่งนี้ค่อยกลับมาอีกนะ”“เดี๋ยวก่อนสิ” เจ้าหญิงราณีตะโกน“เป็นความจริงหรือที่ว่ามังกรองอาจที่สุดและร้ายกาจที่สุดในโลก”“ใช่แล้ว” เจ้ามังกรตอบ“เป็นความจริงหรือ ที่ว่าท่านสามารถเผาผลาญได้ถึงสิบป่าด้วยการพ่นไฟจากปากของท่าน” เจ้าหญิงราณีถามขึ้น“โอ! ใช่แน่นอน” เจ้ามังกรพูดขึ้นพร้อมกับตะเบ็งลมแล้วพ่นเป็นไฟออกมาเผาผลาญป่าไม้มากถึงห้าสิบป่า“โอ้โฮ! มหัศจรรย์จริงๆ” เจ้าหญิงอุทานขึ้น เมื่อได้ยินเช่นนั้นเจ้ามังกรก็ยิ่งตะเบ็งลมแล้วพ่นไฟออกมาเผาผลาญป่าได้มากขึ้นอีกถึงหนึ่งร้อยป่า“โอ้โฮ! ยิ่งใหญ่มหัศจรรย์เหลือเกิน” เจ้าหญิงอุทานอีกครั้ง เจ้ามังกรก็เพิ่มแรงตะเบ็งลมพ่นออกมาอีกทีแต่คราวนี้ไม่มีไฟเหลือให้แลบออกมาเลย เจ้ามังกรไฟไม่มีไฟเหลืออยู่ในตัวแม้แต่จะเพียงแค่ย่างปลาหมึกแห้งก็ไม่พอเจ้าหญิงราณีจึงถามต่ออีกว่า“ท่านมังกร เป็นความจริงหรือที่ว่าท่านสามารถบินรอบโลกได้ภายในเวลาเพียงแค่สิบวินาที”“ใช่สิ ทำไมล่ะ” เจ้ามังกรรีบตอบพร้อมกับ กระโดดทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้วบินรอบโลกเพียงในเวลาสิบวินาที เจ้ามังกรดูอ่อนเพลียเมื่อมันกลับมา แต่เจ้าหญิงก็ตะโกนขึ้นว่า“โอ้โฮ! ช่างมหัศจรรย์จริงๆ ลองทำอีกสักครั้งซิ”ได้ยินดังนั้นเจ้ามังกรก็กระโดดขึ้นท้องฟ้าแล้วบินรอบโลกอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้ใช้เวลานานขึ้นคือยี่สิบวินาทีเมื่อมันกลับมาถึงมันก็เหน็ดเหนื่อยอย่างมากจนพูดไม่ได้ แล้วก็ล้มพับลงนอนและไม่ทันไรมันก็หลับผล็อยไปเลยเจ้าหญิงราณีจึงไปกระซิบเบาๆ“นี่ๆ ท่านมังกร” เจ้ามังกรก็ไม่กระดุกกระดิกแม้แต่น้อยเธอจึงจับใบหูของมันกางออกแล้วมุดหัวของเธอเข้าไปข้างในหูของมันแล้วตะโกนจนสุดเสียง“เฮ้ย! ไอ้มังกร!” เจ้ามังกรก็ยังไม่กระดุกกระดิกเลยแม้แต่น้อยเจ้าหญิงราณีจึงเดินผ่านเลยเจ้ามังกรไปแล้วเปิดประตูเข้าไปในถ้ำเจ้าชายคงคาอยู่ในนั้น พอเขาเหลือบเห็นเจ้าหญิง เจ้าชายก็พูดกับเธอว่า“นี่ราณี เธอดูยังกับขยะแน่ะ! กลิ่นก็เหม็นเหมือนขี้ ผมเผ้าก็ยุ่งเหยิงแถมยังนุ่งถุงกระดาษเก่าๆที่สกปรกอีกด้วย ไปแต่งชุดเจ้าหญิงอันแท้จริงก่อนแล้วค่อยกลับมาให้ฉันเห็นนะ”“นี่คงคา” เจ้าหญิงพูดขึ้นบ้าง“เสื้อผ้าอาภรณ์ที่เธอสวมใส่ก็ดูสวยงามจริงๆ ผมเผ้าก็ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย เธอดูราวกับเจ้าชายเลยทีเดียวแหละ แต่ตัวเธอน่ะกลับเป็นคางคกนะ”ท้ายที่สุดเขาทั้งสองก็ไม่ได้แต่งงานกัน เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้