Mad Media: สื่อชอบกล
จ่าหัวเรื่องไว้อย่างนี้แล้วก็ใช่ว่าผมจะเป็นคนคล่ำหวอดอะไรเกี่ยวกับเรื่องของสื่อสารมวลชนหรือเป็นคนหากินอยู่กับคอลัมน์ของสำนักพิมพ์ใดๆหรือเป็นนักวิพากษ์วิจารณ์ เรื่องของการเมืองการชนบทอะไรต่างๆเหล่านั้นหรอก เปล่า...ผมเป็นเพียงคนธรรมดาที่ลิ้นค่อนข้างจะอ่อนภาษาประกิตเลยออกเสียงแมสเป็นแมดก็เท่านั้นล่ะ นั่นก็แสดงว่าภาษาแม่ (Mother tongue) ของผมหาได้เป็นอังกฤษแต่อย่างใดไม่ แล้วไปอวดอ้างเอาเศษเสี้ยวแห่งวิชาชีพสื่อสารมวลชน (Mass Media) ผู้กำลังมีอิทธิพลและบทบาทครอบงำความรู้สึกนึกคิดของเหล่าปัญญาชนคนชั้นผู้คงแก่เรียน เขียนและอ่านทั้งหลายเหล่านั้น มันมิเป็นการดูแคลนหรือละลาบละล้วงและละเมิดสิทธิ์ของผู้คนในวงการของเขาเหล่านั้นเอาดอกหรือ เอ...นั่นนะสิ ถ้าไม่จัดว่าผมเป็นส่วนหนึ่งของแมสมีเดีย ก็จัดไว้ในกลุ่มแมดมีเดีย ผมก็ไม่ได้ว่ากระไรหรอกนะเผื่อจะได้ลดทอนความรู้สึกว่าผิดลงได้บ้าง
“ไม่...ไม่ผิดคุณหรอก” เสียงชายสูงอายุทักมาแต่ไกล เขายิ้มให้ผมอย่างผู้ใหญ่อารมณ์ดี
“หือ...” (เขาพูดไม่ถูกหรือหูผมได้ยินผิดเพี้ยนไปเอง ไม่...คุณไม่ผิดหรอก รึเปล่า) ผมจ้องเขม็งไปที่เขาเพราะรู้สึกแปลกใจมาก แกคงทักสุ่มๆมายังงั้นแหละ มันคงเป็นเรื่องของความบังเอิญมากกว่า คิดพลางผมก็วางหนังสือพิมพ์ของเช้านั้นลงกับโต๊ะกาแฟ
“เออ...เชิญลุงนั่งดื่มกาแฟร้อนๆด้วยกันสิครับ ผมเลี้ยงเองนะครับ ไม่ได้รีบร้อนไปไหน ไม่ใช่เหรอ” ผมรีบกุลีกุจอลากเก้าอี้มาให้ลุงแกนั่งลงข้างๆ
“ใจขอบนะ แต่ลุงเป็นไม่ดื่ม” (ขอบใจนะ แต่ลุงดื่มไม่เป็น) ชายชราเอ่ยขึ้นด้วยสำเนียงสุดแสนจะแปลกประหลาดที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ผมถึงได้แน่ใจทันทีว่าประโยคแรกที่แกพูดมานั้นหูผมฟังไม่ผิดจริงๆ
“ไม่เป็นไรครับลุง ก่อนหน้านี้ผมก็ดื่มไม่ค่อยจะเป็นหรอก แต่ลองไปลองมาก็เลยติดใจ เออ...ได้ยินลุงบอกว่าผมไม่ผิด แล้วไม่ผิดเรื่องอะไรกันนะลุง” ผมอยากจะย้ำเพื่อเช็คดูว่าลุงแกกำลังสนใจเรื่องอะไรอยู่
“ก็คุณกำลังเรื่องอะไร คิดอยู่” (ก็คุณกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่) เขาพูดในขณะที่ประกายตาฉายวาบขึ้นมาสบตากับผมพอดี ถึงแม้นการลำดับคำในประโยคที่ลุงแกพูดจะฟังดูพิกล แต่ในความเข้าใจที่ผมรับได้นั้นมันเข้าใจได้เลยว่าลุงกำลังหมายถึงอะไร
“อ๋อ...เรื่องของพวกสื่อสารมวลชนนะเหรอ เวลานี้กำลังตกเป็นเครื่องมือสำหรับการเอาชนะคะคานกันทางการเมือง โดยคอย ยุแหย่ ต่างๆนา ๆเรียกว่าข่าวต่างๆจะต้องผ่านกระบวนการ สืบ เสริม สร้าง เส และเสนอสู่ผู้บริโภค” ผมออกจะอดไม่ได้ที่จะอวดภูมิให้กับลุงผู้ดูเหมือนจะตกข่าวไปตามอายุที่กำลังร่วงโรย
“ดีๆ...ลุงกำลังหาคนช่วยสื่อจัดการกับ” (...ลุงกำลังหาคนช่วยจัดการกับสื่อ) ลุงเอ่ยขึ้นขณะผงกหัวเหมือนได้เพื่อนร่วมแนวทาง
“ครับผมเองนี่แหละจะเป็นคนจัดการกับสื่อ ที่ไม่มีจรรยาบรรณ ดูสิสื่อพากันปั่นหัวให้คนคลุ้มคลั่งทางการเมืองจนเป็นเหตุให้ บางคนต้องทำอัตวินิบาตกรรมเพื่อเป็นการประท้วง โต้เถียงและฆ่ากันตายในวงสนทนาเพราะเรื่องการเมือง ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดมีการระแวงสงสัยกันในหมู่ผู้บริหารชั้นสูงของประเทศจนเกิดเป็นการปฏิวัติ รัฐประหาร เป็นความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงของชาติ แต่สื่อยังขายดิบขายดี บางทีทำยอดขายได้มากกว่าเดิมเสียอีกเพราะทำให้กลุ่มคน ซึ่งแต่ก่อนไม่ค่อยสนใจข่าวสารบ้านเมืองเริ่มหันมาติดตามข่าวคราวมากขึ้น แต่ถ้าสื่อสร้างสรรค์ คือปราศจากการ เสริมแต่งข่าว สร้างข่าว และเสแสร้งบิดเบือนข่าวก่อนที่จะนำเสนอสู่ประชาชนอย่างซื่อสัตย์ ก็จะทำให้ประชาชนมีความรักใคร่ปรองดองสามัคคีกัน บ้านเมืองก็จะมีแต่ความสงบสุข แล้วก็...” ผมต้องหยุดกึกลงทันทีเพราะลุงแกโบกไม้โบกมือเหมือนอยากจะสอดแทรกอะไรสักอย่าง
“พวกจรรยาบรรณต่างๆเขารู้สื่อดี แต่ใครใส่ใจไม่มี เพราะเขามองยอดหลักเป็นขาย ลุงเองก็มีอยากจะฟ้องร้องเรื่องใจไม่สบาย” ลุงแกก้มหน้าลงเล็กน้อยเหมือนไม่ค่อยจะมั่นใจนักว่าผมจะช่วยอะไรแกได้ (...พวกสื่อต่างๆเขารู้จรรยาบรรณดี แต่ไม่มีใครใส่ใจ เพราะเขามองยอดขายเป็นหลัก ลุงเองก็มีเรื่องไม่สบายใจอยากจะฟ้องร้อง...)
“ครับ...ลุงมีเรื่องไม่สบายใจอะไร พอจะเล่าให้ผมฟังได้ไหม ผมสามารถที่จะหามือกฎหมายดีๆมาช่วยได้นะ หากมีความจำเป็น” ผมเอ่ยกับลุงอย่างหนักแน่น
“พวกสื่อจัดการกับกฎหมายในโลกนี้ไม่ได้หรอก เพราะสาเหตุของจิตใจคือรากเหง้า เพราะโลกนี้สอนให้ละโลภ โกรธ และหลง แต่ผู้คนต่างก็ชอบของฟรี” ถึงน้ำเสียงและสำเนียงของลุงแกจะยังฟังดูแปร่งๆ แต่เนื้อหาสาระทำให้น่าติดตาม (...กฎหมายในโลกนี้จัดการกับพวกสื่อไม่ได้หรอก เพราะจิตใจคือรากเหง้าของสาเหตุ เพราะผู้คนต่างก็ชอบของฟรี แต่โลกนี้สอนให้ละโลภ โกรธ และหลง...)
“ผมยังตามลุงไม่ทันครับ ช่วยขยายความสักนิดทีซิ ว่าการละซึ่งโลภ โกรธ และหลง มันเกี่ยวอะไรกันกับการที่คนชอบของฟรี คือยอมรับว่าผมคนหนึ่งล่ะที่ชอบของฟรี” ผมรีบถามแทรกขึ้นทันที
“คือความโลภ โกรธ และหลงที่ละไว้นั้น ของฟรี ผู้คนต่างก็ไปถือเอา หากจิตสำนึกไม่มีสื่อที่ดี ก็เสมือนเอาแต่คนในครอบครัวทะเลาะกัน ในที่สุดบ้านแตกสาแหรกขาด เป็นประเทศก็ประเทศแยก แตกเป็นรัฐอิสระ เป็นโลกก็สงครามโลก เป็นจักรวาลก็เป็นสตาร์วอร์สงครามระหว่างดวงดาวชาวเอเลี่ยน กลายเป็นเสี้ยนหนามต่างเผ่าพันธุ์ หามีวันจบสิ้นลงไม่ ที่ลุงต้องตกมาอยู่แสนไกลนี่ก็เพราะสงคราม” (...ผู้คนต่างก็ไปถือเอาของฟรีคือความโลภ โกรธ และหลงที่ละไว้นั้น หากสื่อไม่มีจิตสำนึกที่ดี ก็เสมือนคนในครอบครัวเอาแต่ทะเลาะกัน ในที่สุดบ้านแตกสาแหรกขาด ฯ...)
“แหม...คงไม่เลวร้ายถึงขนาดนั้นหรอกมั้งลุง มันคงเป็นเรื่องของสงครามจิตวิทยามากกว่าครับ คงไม่ถึงกับเอาชีวิตกันให้ตายไปทีละจำนวนมากๆเหมือนในสงครามจริงๆหรอกมั้ง” ผมพยายามจะดึงให้เรื่องมันไม่น่ากลัวเหมือนที่ลุงแกกำลังเข้าใจ
“คุณพูดเองว่าคนทะเลาะวิวาทและฆ่ากันตายสื่อทำให้ นั่นเพราะมีต่อมดำแห่งความชั่วร้ายอยู่ในสื่อแฝง ลุงจึงอยากจะฟ้องร้องให้มีการกำจัดสื่อออกไปจากต่อมดำแห่งความชั่วร้าย และแผ่ขยายต่อมขาวแห่งคุณงามความดีเข้าสื่อใจผู้คนบนโลกนี้” ลุงแกพูดได้ดีขึ้นถึงแม้จะกลับหัวกลับหางกันอยู่บ้างในบางประโยค (...คุณพูดเองว่าสื่อทำให้คนทะเลาะวิวาทและฆ่ากันตาย นั่นเพราะมีต่อมดำแห่งความชั่วร้ายแฝงอยู่ในสื่อ ลุงจึงอยากจะฟ้องร้องให้มีการกำจัดต่อมดำแห่งความชั่วร้ายออกไปจากสื่อ ฯ...)
“สื่อแห่งคุณงามความดีนั่นน่าฟังนะครับลุง แต่สำหรับผู้คนที่ยังมืดมนด้วยกิเลสหนาตัณหาหยาบนี่นะ คงจะรับไม่ได้ง่ายๆนักหรอกครับ” พูดพลางผมจิ้บแกฟา เฮ้ย...กาแฟ เกือบจะเผลอไปใช้ภาษาแบบลุงแกเข้าอีกคนแล้วล่ะซิ
“นั่นล่ะปัญหาแห่งต้นเหตุ อุปมาเหมือนจูนคลื่นรับวิทยุ ถึงจะมีสื่อที่แสนดีเพียงใดหากจิตใจไม่มีการจูนที่ดีพอ ก็รับกันไม่ได้ มนุษย์โลกนี้ยกตัวว่าเป็นผู้มีใจสูง แต่ไม่สามารถยกใจจูนหาสื่อดีๆมาขัดเกลาจิตใจของตนเองได้ ลุงมาเยี่ยมทีไรจะสื่อใจกับใครบนโลกนี้ได้ก็ไม่สามารถ ผู้คนล้มตายจากสงครามย่อยและสงครามโลกจำนวนมหาศาล แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนต่อมดำให้เป็นต่อมขาวของชาวโลกได้ สื่อใดบ้างจะกล้าเปลี่ยนแปลงต่อมดำอำมหิตในจิตใจของมนุษย์ได้...ไม่มี นอกจากถากถาง หยามเหยียด เสียดสี และ ดูไม่ผิด (ดูถูก)”ลุงแกหยุดชะงักและจ้องมาที่ผม เหมือนกำลังจะรอดูว่าผมเห็นด้วยหรือไม่ที่แกพูดมาทั้งหมดนี่ (...นั่นล่ะต้นเหตุแห่งปัญหา อุปมาเหมือนจูนคลื่นรับวิทยุ ฯ...ลุงมาเยี่ยมทีไรก็ไม่สามารถจะสื่อใจกับใครบนโลกนี้ได้ ฯ...)
“ผมว่าพวกเรากำลังจะถกกันเรื่องจรรยาบรรณของสื่อหรือปรัชญาแห่งความเป็นสื่อที่ดี หรือว่าเรื่องอะไรกันแน่ครับลุง บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องพายเรือในอ่างนะครับคือมันวกไปวนมา แล้วก็หาข้อยุติไม่ได้ ตกลงลุงอยากจะสื่ออะไรกับผมอย่างนั้นหรือครับ” ผมเริ่มงงกับการสนทนาที่ผ่านมา
“พายอ่างในเรือ (พายเรือในอ่าง) ก็ย่อมได้ข้อสรุปว่า มันวกไปวนมา ส่วนข้อยุติก็คือมันอยู่ที่เดิม ลุงออกจะไม่ภาษาสันทัด (ไม่สันทัดภาษา) แต่การกลับไปกลับมาก็ย่อมทำให้ได้ความคล่องแคล่ว ชำนิชำนาญ ท่านผู้มีใจสูงยกได้ทั้งหลายท่านสามารถเปลี่ยนต่อมดำเป็นต่อมขาวก็เพราะการกลับไปกลับมา นี่ล่ะที่ลุงอยากจะสื่อให้กับคุณได้นำไปบอกแก่คนทั้งหลายทั่วแผ่นดิน ลุงไม่อยากจะกลับมาเตือนอีก เพราะ...”
“โทษทีครับลุงที่ขัดจังหวะ ตกลงบ้านลุงอยู่ที่ไหนนะ” ผมรู้สึกประหลาดใจที่ลุงแกบอกว่าไม่อยากกลับมาเตือนอีก
“ถึงบอกลุงก็ไม่เชื่อคุณหรอก อย่าไปอยากรู้เลย” (ถึงลุงบอก คุณก็ไม่เชื่อหรอกฯ...)
“เฮ่อน่า...ผมเชื่อลุงอยู่แล้ว อยู่บ้านไหนลุง ไกลมากเลยเหรอ” ผมคะยั้นคะยออยากจะรู้
“ลุงมาจากบ้านสุดแสงปลายหลายปี บ้านไม่มีอายุขัย บ้านหฤทัยเบิกบาน บ้านหฤหรรษ์อนันตกาล บ้านในวิมานจักรวาลลี้ลับ”
“หึๆๆๆ...เหอะๆๆ อะ อะ อ๊าก...อ๊ะๆ” ผมกลั้นหัวเราะจนแทบน้ำตาร่วง
“นั่นไงล่ะก็เตือนแล้ว ว่าถึงลุงเชื่อคุณก็จะไม่บอก”(...ฯ ว่าถึงลุงบอก คุณก็จะไม่เชื่อ)ลุงแกจ้องมาที่ผมเหมือนทวงสัญญา
“ผะผม...อยากจะเชื่อเหมือนกันครับลุง หากลุงพาไปเยี่ยมบ้านที่ว่า...บ้านสุดแสงปลายอะไรของลุงน่ะ ไม่เคยได้ยินชื่อหมู่บ้านอะไรที่ยาวเหยียดอย่างนี้มาก่อนเลย หึๆ...” ผมปาดน้ำตาออกเพราะกลั้นหัวเราะในความมีอารมณ์ขันของลุงแก ระหว่างที่ผมพยายามพูดผสมโรง
“ลุงอำนาจไม่มีจะพาบ้านลุงไปเยี่ยมคุณได้หรอก” (ลุงไม่มีอำนาจจะพาคุณไปเยี่ยมบ้านลุงได้หรอก) ลุงแกตอบตรงๆ
“อ้าว! ผมต้องได้รับอนุญาตจากผู้ใหญ่บ้านก่อนรึอย่างไร ทำไมจะไปเยี่ยมกันแค่นี้ต้องให้ผู้มีอำนาจอนุญาตเสียก่อนเชียวเหรอ” ผมชักหงุดหงิด
“ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะสื่อคุณยังไม่มีต่างหากล่ะ เมื่อไหร่ที่สื่อจูนตรงกัน และคุณไม่มีต่อมดำ เมื่อนั้นบ้านลุงมาเยี่ยมคุณก็มีสิทธิ์” (...ฯ เมื่อนั้นคุณก็มีสิทธิ์มาเยี่ยมบ้านลุง) นัยน์ตาของลุงแกดูแวววาวราวกับคนหนุ่มคนสาว
“แหม...ฟังดูราวกับเป็นหมู่บ้านลับแลหรือแผ่นดินธรรมแผ่นดินทองในอุดมคติอะไรอย่างนั้นเลยนะลุงนะ แล้วลุงอาศัยอยู่หมู่บ้านนั้นมานานรึยัง” ผมยกแก้วกาแฟที่จวนจะหมดขึ้นดื่ม
“หากเป็นเวลาของลุงก็ไม่นาน แต่หากเทียบกาลของโลกมนุษย์นี้แล้วก็หลายศตวรรษ”น้ำเสียงของลุงแกราบเรียบราวกับมุกของตลกหน้าตาย
“หลายศตวรรษ!!! ผมว่ามันไม่ใช่เรื่องตลกแล้วล่ะลุง งั้นผมต้องขอตัวนะครับ คุณน้า...ช่วยเก็บตังค่ากาแฟด้วยครับ รวมสองแก้วของคุณลุงนั้นด้วย” ผมทะลึ่งพรวดลุกขึ้นและรู้สึกว่าตัวเองควรจะอ่านหนังสือพิมพ์มากกว่าที่จะไปเสียเวลาสนทนาวิสาสะกับคนวิกลจริต คือแมดจริงๆ ดูสารรูปแล้วก็ไม่ต่างไปจากคนจรจัดหรือเพิ่งพลัดพรากจากสถานบำบัดโรคทางจิต ดีแต่ว่ายังไม่ติดแสตมป์มากับหน้าผากเท่านั้นเอง
“ก็นั่นสิ ไหนว่าฟ้องสื่อคุณจะช่วย (ไหนว่าคุณจะช่วยฟ้องสื่อ) อย่าได้สำคัญแต่เพียงคนเดียวว่าตนฉลาด (อย่าได้สำคัญตนว่าฉลาดแต่เพียงคนเดียว) อย่าได้ปรามาสสติปัญญาคนอื่นเขา และอย่าลืมต่อมให้ขาวนะตั้งใจฟอก (อย่าลืมตั้งใจฟอกต่อมให้ขาวนะ) หากอยากมาเยี่ยมลุง แล้วก็ขอบใจนะที่ซื้อกาแฟให้ ก็บอกแล้วว่าลุงเป็นไม่ดื่ม”(...ฯ ลุงดื่มไม่เป็น)พูดเสร็จลุงแกก็ขยับและลุกเดินไปทางด้านหลังของตลาดสดทันที นั่นสิ ตอนแรกเราคิดว่าจะช่วยแก ไหนกลับเปลี่ยนใจ ไม่มีความเป็นธรรมกับแกเอาซะดื้อๆอย่างนี้ล่ะ พอผมฉุกคิดได้จึงรีบเดินตามหลังแกไปจนเข้าใกล้ในระยะพอพูดกันได้ยิน
“โทษทีครับลุง เออ...คือผมลืมไป...ที่บอกว่าลุงอยากจะฟ้องร้องสื่อน่ะ ลุงพอมีหลักฐานอะไรที่ผมพอจะใช้ได้บ้างรึเปล่าครับ”
“อ๋อ...คุณคงจะไม่สนใจแล้วลุงนึกว่า (ลุงนึกว่าคุณคงจะไม่สนใจแล้ว) เลยถังขยะเทศบาลไปแล้วโยนมันลง”(...เลยโยนมันลงถังขยะเทศบาลไปแล้ว) พูดพลางแกก็ชี้มือไปที่ถังขยะซึ่งแกเพิ่งเดินผ่านไป และมันก็ตั้งอยู่ข้างๆทางเดินของผมนี่เอง
ผมเหลียวซ้ายแลขวาก่อนที่จะมุดหัวลงไปในถังขยะใบนั้น เพราะเกรงว่านายเทศกิจจะมาจับและปรับไหมเอา ข้อหาคุ้ยเขี่ยขยะนอกเขตจากที่ทางการอนุญาต ดีแต่ว่าภายในถังขยะส่วนใหญ่นั้นเป็นเศษอาหารการกิน มันจึงไม่ยากที่จะแยกแยะออกจากหลักฐานที่ผมกำลังคุ้ยเขี่ยหา
“นี่ไง...เจอจนได้” ผมพึมพำกับตนเอง พลางก็หยิบเอาเศษกระดาษที่ถูกกำเป็นก้อนก่อนจะโยนลงไปในถัง พอผมคลี่ออกเท่านั้นล่ะสิ่งที่ปรากฏต่อสายตาในแผ่นกระดาษใบนั้น ทำให้ผมแทบสะดุ้งโหยง ผมจึงรีบวิ่งตามลุงแกไปติดๆ ปัดโธ่...โว้ย แกหายไปทางไหนของแกไวนักหนาวะเนี่ย ก็เพิ่งเห็นกันอยู่หยกๆ ผมวิ่งพล่านกลับไปกลับมา เพื่อดักทางลุงแก แต่สุดท้ายก็ไร้วี่แวว ผมจึงเดินย้อนกลับมาที่ร้านกาแฟอีกครั้ง
“น้าครับ...น้าเคยเห็นลุง คนที่ผมเพิ่งนั่งคุยอยู่กับแกเมื่อสักครู่นี้มาก่อนรึเปล่าครับ” ผมอดใจไม่ได้ที่จะถามแม่ค้าขายกาแฟ
“ลุง...ลุงคนไหนกันจ้ะ...ก็เห็นคุณสั่งกาแฟมาสองแก้ว นั่งบ่นพึมพำอยู่คนเดียว นึกว่าจะทานแก้วที่สอง แต่พอหมดแก้วแรกแล้ว คุณก็จ่ายตังค์แล้วก็ลุกไปเลยนี่ ไม่เห็นจะมีลุงมีป้าที่ไหนกันซักคน”
“หา!...ไม่มีลุงแก่ๆแต่งกายซอมซ่อนั่งอยู่กับผมแน่นะ” ผมย้ำถามแกอีกครั้งแทบจะเป็นเสียงตะโกน
“ไม่มี! ไม่มีใครเลย เป็นอะไรไปวันนี้ ท่าจะเพี้ยนไปใหญ่แล้ว” เสียงคุณน้าคนขายกาแฟแกบ่นไปอย่างไม่ค่อยจะสบอารมณ์นัก
ผมมีหลักฐาน ผมได้หลักฐาน ผมเป็นพยานได้ในเหตุการณ์ แต่จะมีศาลที่ไหนจะรับฟ้องคดีแบบนี้ได้ ด้วยความอัดอั้นตันใจ ผมจึงคลี่แผ่นกระดาษที่ยับยู่ยี่ของลุงแกนั้นกางออก แล้วนำไปปิดไว้ที่ฝาผนังของร้านกาแฟ ตรงมุมที่ผมมานั่งดื่มและอ่านหนังสือพิมพ์อยู่เป็นประจำ ผมยังได้ให้คนที่มีความรู้ภาษาประกิตช่วยถอดความแปลไว้ในนั้นอีกด้วย เวลาที่ผมมานั่งอ่านหนังสือพิมพ์แต่ละเช้า มันก็จะได้ช่วยย้ำเตือนให้ผมได้ตระหนักอยู่เสมอว่า Mass กับ Mad Media นี่มันแทบจะแยกกันไม่ออก บุคคลที่ถูกพาดพิงหรือถูกกล่าวถึงมักจะไม่มีโอกาสได้ตอบโต้เลย โดยเฉพาะหากเป็นไปในทำนองใส่ร้ายป้ายสี หรือดูถูกเหยียดหยามภูมิปัญญากัน ใช่ล่ะ...มันฟ้องร้องใครไม่ได้เลยจริงๆ เพราะกฎหมายย่อมมิให้เอาโทษกับคนวิกลจริต (Mad) นอกเสียจากจะฟ้องร้องต่อจิตใต้สำนึกแห่งความมีคุณธรรมที่พอจะมีในหัวใจของมวลมนุษยชาติอยู่บ้าง จะว่าไปศาลโลกเขาก็มีแล้ว แต่ยังไม่ได้มีการจัดตั้งศาลสถิตยุติธรรมแห่งคอสมอสจักรวาลหรืออย่างไร ลุงแกผู้ปรากฏให้เห็นแต่เฉพาะบุคคลราวกับผีหลอก ถึงได้มานั่งบ่นให้อย่างผมฟังคนปัญญานิ่ม (คนปัญญานิ่มอย่างผมฟัง)...หึๆ
Space is full of aliens, warns Hawking. But they aren't too bright.""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""" ฯลฯ"""ศาสตราจารย์ฮอว์คิงเตือนว่าอาวกาศเต็มไปด้วยมนุษย์ต่างดาว แต่พวกเขาก็ไม่ได้เลิศปัญญาอะไรหรอก(Daily Mail, UK., Wednesday April 23, 2008)“นี่คือเศษกระดาษหลักฐานที่ลุงแกเก็บมาต่อว่าต่อขานชาวโลกที่ลงข่าวดูถูกภูมิปัญญาผู้อื่น”..............................................
ความทุกข์ของกะทอ
เมื่อคืนที่ผ่านมาคุณพ่อยังเดินเข้ามาโอบกอดกะทออยู่เลย พ่อบอกว่าถึงวันเวลาต้องจากครอบครัวและลูกไปอีกแล้ว พอตื่นเช้ามาจึงเห็นแต่คุณแม่ง่วนงานครัวอยู่เพียงลำพัง
“พ่อกลับไปแล้วเหรอครับ แม่” ความจริงฉันก็รู้คำตอบดี แต่ไม่รู้จะทักแม่ว่าอย่างไร เพราะใจฉันและใจแม่ต่างก็คิดถึงพ่อเหมือนๆกัน
“กะทอ นี่ลูก พ่อเขาฝากตังค์ให้ลูกไว้สำหรับซื้อเต็นท์ตอนออกค่ายลูกเสือ ตามที่ลูกเคยเอ่ยขอกับพ่อเอาไว้ไงล่ะ”พูดพลางคุณแม่ก็เดินเอาตังค์มาวางไว้บนโต๊ะข้างจอทีวีก่อนที่จะรีบหันกลับเข้าไปในครัว
กะทอเดินเลยไปแง้มบานหน้าต่างออกแล้วก็ยื่นหน้าโผล่ไปดูที่โรงจอดรถ ใช่เลย...มันว่างเปล่าอย่างไม่ต้องสงสัย รถแท็กซี่คู่ชีพของพ่อไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว มันเข้ากรุงเทพฯไปทำงานหาเงินพร้อมกับเจ้าของของมันตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว อีกนานไหมหนอมันจะพาคุณพ่อกลับเข้าบ้านอีกครั้ง กะทอรำพึงในใจ วันนี้ฉันจะต้องตั้งอกตั้งใจแต่งเนื้อแต่งตัวไม่ให้ผิดพลาด จะทำหลงๆลืมๆอีกไม่ได้เป็นอันขาด ดีนะคราวก่อนมีคุณพ่ออยู่ด้วย จึงได้ช่วยขับรถตามเอาหมวกไปส่งให้ถึงโรงเรียน พอกลับเข้าบ้านในตอนเย็น พ่อยังบอกว่าวันนี้พ่อภูมิใจที่มีลูกชายเป็นลูกเสือที่สมบูรณ์แบบ
“ทำไมล่ะครับ” ฉันรีบถามพ่ออย่างงงๆ
“อ้าว หมวกก็หมายถึงหัวของลูกเสือ หากไม่มีหมวกมันก็กลายเป็นลูกเสือหัวกุดหรือไม่ก็กลายเป็นลูกหมาลูกแมวไปซะเนี่ยใครจะไปรู้” พ่อตอบข้อสงสัยด้วยท่าทางเรียบๆ
เช้าวันนี้คุณแม่หมกไข่ใส่เห็ดขอน ห่อด้วยใบตองกล้วย มันกำลังสุกส่งกลิ่นหอมฉุยโชยมาเหมือนทุกๆครั้ง ฉันรีบไปหิ้วเอาก่องข้าวเหนียวที่เพิ่งนึ่งสุกกำลังร้อน พอเปิดฝาออก ไออุ่นกลุ่นหอมของมันก็ถูกส่งออกมาต้องจมูกชวนให้น้ำลายสอแต่เช้า โดยไม่ชักช้าฉันนั่งลงรับประทานข้าวเหนียวกับหมกไข่ใส่เห็ดขอนอย่างเอร็ดอร่อยอีกเช้าหนึ่ง
“กะทอพยายามกลับเข้าบ้านอย่าให้เย็นมากนักนะลูก...แม่ได้ข่าวว่าวันนี้คุณหนูจะมาพักบ้านสวน” เสียงคุณแม่กำชับตามหลังมา ก่อนที่ฉันจะเดินพ้นหน้าบ้านออกไป
เธอจะมาอีกแล้วเหรอเนี่ย มาคราวนี้จะมีเรื่องยุ่งอะไรอีกหนอ ฉันครุ่นคิด วันนั้นทั้งวันความคิดของฉันผูกพันวนเวียนอยู่แต่เรื่องของคุณหนู ฉันเองก็ไม่รู้ว่าทำไมคุณแม่มักเรียนเธอว่าคุณหนู เพราะหนูมันไม่ค่อยน่ารัก มันชอบกัดแทะทำลายฟูก ที่นอน หมอนและมุ้ง และยิ่งไปกว่านั้นมันยังนำมาซึ่งโรคภัยร้ายแรง ถึงตายเลยทีเดียว ยกตัวอย่าง โรคฉี่หนู บางทีก็อยากจะแนะนำชื่ออื่นๆที่น่ารักให้กับคุณแม่ไว้ใช้เรียกแทนคุณหนู เป็นต้นว่า คุณแมว คุณนกแก้ว คุณกระต่าย แต่ก็ช่างแกเถอะ คุณแม่มีความพึงพอใจจะเรียกเธอว่าอะไรก็ตาม แต่ฉันเองรู้ดีว่าเธอชอบที่จะให้ฉันเรียกเธอว่าอย่างไร ฉันรู้ก็เพราะตอนที่เราเจอกันใหม่ๆเมื่อหลายปีก่อน อย่างไรล่ะ
“บ้านเธอหลังนี้เองเหรอ ดูเล็กน่ารักจังเลย”เธอทักฉันก่อน ในขณะที่ฉันกำลังเล่นรถไม้งิ้วอยู่หน้าบ้าน
“สักวันหนึ่ง คุณพ่อคงจะหาเงินมาสร้างให้มันใหญ่โตขึ้นละมั้ง”ฉันไม่รู้จะตอบคำทักทายของเธอว่ากระไรดี ครั้นจะตอบว่าฉันพึงพอใจกับบ้านหลังเล็กนี้อยู่แล้ว ก็เกรงว่าเธอจะคิดว่าฉันไม่ชอบบ้านหลังใหญ่อย่างที่เธอมี
“อุ๊ย...หลังเล็กๆอย่างนี้ล่ะน่ารักออก” เธอพูดต่ออย่างอารมณ์ดี
“แล้วทำไมเธอไม่สร้างบ้านของเธอให้มันหลังเล็กลงบ้างล่ะจะได้น่ารักเหมือนๆกัน” ฉันถามไปตามประสาซื่อ
“แหม...ฉันไม่ได้สร้างเอง คุณพ่อกับคุณแม่ของฉันต่างหากล่ะ ที่ช่วยกันปลูกบ้านสวนนี้ขึ้นมา” เธออธิบายด้วยท่าทีจริงจังขึ้นเล็กน้อย
“บ้านเธอยู่ที่ไหนนะ” ฉันพอจะรู้ว่าเธอมาจากกรุงเทพฯ แต่ถามเพื่อความแน่ใจ
“กทม” เธอตอบ
“เธอคงจะอาศัยอยู่ทั่วๆไปทั้ง กอทอมอ สินะ” ฉันตั้งใจถามแบบกวนๆ
“เขตอะไรเอ่ยที่สามีและภรรยานิยมไปจดทะเบียนสมรสกันมากที่สุด” เธอบอกใบ้ให้เป็นปริศนา
“เขตบางรัก มั้ง” ฉันตอบ
“ถูกต้อง บ้านฉันอยู่เขตนั้นแหละ” เธอยืนยันคำตอบ
“แล้วเขตอะไรล่ะที่สามีและภรรยานิยมไปจดทะเบียนหย่ากันมากที่สุด” ฉันเป็นฝ่ายถามเธอบ้าง
“ก็ต้องเป็นเขตเดียวกันกับที่นิยมไปจดทะเบียนสมรสกันนั่นแหละ” เธอตอบและแสดงความคิดเห็นสนับสนุน
“บางรัก...อีกนั่นเหรอ...ผิด” ฉันฟันธง
“อ้าว แล้วจะมีเขตอะไรอีกล่ะ” เธอทำหน้างงๆ
“ยอมฉันรึยัง” ฉันถามอย่างได้ที
“ยอมอะไร!”สีหน้าเธอตื่นๆ
“ก็ยอมจำนนว่าเธอตอบคำถามของฉันไม่ได้น่ะสิ” ฉันขยายความให้เธอเข้าใจ
“อ๋อ...ก็ได้ ยอมก็ยอม” เธอตั้งใจฟังคำเฉลย
“เขตที่คนนิยมไปจดทะเบียนหย่ากันมากที่สุดก็ต้องเป็น...บางพลัด”
“ความคิดดีนี่” เธอชม
“คุยกันมาตั้งนาน เธอชื่ออะไรนะ” ฉันอยากรู้จักชื่อของเธอขึ้นมาทันที
แทนคำตอบเธอเอาเท้ากวาดตรงพื้นทรายหน้าลานบ้านของฉันจนดูราบเรียบ แล้วเธอก็ก้มลงเอานิ้วชี้ลากไปบนพื้นดินตรงนั้นให้ปรากฏเป็นตัวอักษรต่างด้าวด้วยตัวขนาดเท่าฝ่าเท้าพอดี
KATI
“เธอมีชื่อเป็นภาษาฝรั่งด้วยเหรอ” ฉันถาม
“เธอคิดว่าจะอ่านออกเสียงว่าอย่างไรล่ะ” เธอย้อนถามฉัน
“เค-ตี้” ฉันออกเสียงสองพยางค์อย่างชัดเจน
“จริงเร้อ...” เธอหัวเราะร่า
“ไม่รู้สิ...ตกลงเธอชื่ออะไรนะ” ฉันถามเธออย่างยอมจำนนอยู่ในที
“ฉันชื่อ กะทิ จ้ะ” เธอยิ้มระรื่นอย่างภาคภูมิใจ
“แล้วเธอล่ะชื่ออะไร” เธอถามฉันบ้าง ฉันจึงก้มลงลากนิ้วชี้เขียนเป็นตัวอักษรฝรั่ง ถัดจากชื่อของเธอ
KATO
“เธอชื่อคาโต้ เหรอ” เธออาจจะเสแสร้งไม่อ่านเป็นไทย หรือว่า เธอจะเข้าใจเป็นอย่างนั้นจริงๆก็ไม่อาจจะทราบได้
“เปล่า ฉันชื่อ กะทอ ต่างหากล่ะ” ฉันรีบเฉลยกลัวเธอจะอ่านเพี้ยนเป็นอย่างอื่น
“เธอเรียนโรงเรียนฝรั่งรึเปล่า” เธอถามถึงสำนักหลักแหล่งที่เรียนรู้ของฉัน
“จะเรียกอย่างนั้นก็คงไม่ผิด เพราะด้านหลังโรงเรียนของฉันเต็มไปด้วยต้นฝรั่ง คนอีสานเรียกกันว่าต้นหมากสีดา ด้านข้างของโรงเรียนมีสระเลี้ยงกบ อึ่งอ่างก็มี พอถึงหน้าหนาวคุณครูก็ให้ตักน้ำจากสระขึ้นมารดแปลง หอม กระเทียม ผักกาดและผักชี...” ฉันหยุดไปชั่วอึดใจก่อนจะเอ่ยต่อ
“แล้วเธอล่ะเรียนที่ไหน”
“โรงเรียนนานาชาติ” เธอตอบ
“โอ้โฮ...เธอต้องตื่นแต่เช้ามากสินะ เพราะต้องเทียวไปและกลับจากโรงเรียนต่างประเทศทุกวัน” ฉันรู้สึกว่าเธอเก่งจริงๆที่ทำได้ ขนาดโรงเรียนของฉันอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่กิโลเมตรฉันยังไปสายออกหลายครั้ง
“มันไม่ใช่อย่างที่เธอเข้าใจหรอก” เธอพูดและอมยิ้ม
“นั่นสิ ประเทศไชนา นี่ฉันก็รู้จัก กานา ฉันก็เคยได้ยิน แต่ว่า นานา นี่มันเป็นชนชาติที่อยู่ทวีปไหนกันแน่” ฉันหันไปถามเธอ
“นี่กะทอ เลิกพูดยียวนกับฉันซะทีได้ไหม นานา ในที่นี้หมายถึงไม่ว่าจะเป็นคนชนชาติไหนมาเรียนก็ได้ ไม่มีการแบ่งสีผิว ชนชั้น วรรณะ เชื้อชาติ และศาสนา มันไม่ใช่ชื่อประเทศอย่างที่เธอเข้าใจหรอก แล้วมันก็เป็นโรงเรียนที่อยู่ในบ้านเมืองของเรานี่เองแหละ เธอเรียนอยู่ที่โรงเรียนไหนกันแน่ถึงไม่ค่อยจะรู้เรื่องอะไรเอาเสียเลย” เธอเริ่มอารมณ์เสียและหน้างอ
“แหม บูดง่ายจัง สงสัยจะเป็นกะทิค้างคืน ฉันก็บอกแล้วไงว่าฉันเรียนอยู่ที่โรงเรียนสอนฝรั่ง เฮ้ย สวนฝรั่ง มีแต่ต้นดกๆทั้งนั้นกำลังห่ามดีซะด้วย เธอชอบรับประทานฝรั่งมั้ยล่ะ หลังเลิกเรียนพรุ่งนี้ฉันจะไปปีนเก็บเอามาฝาก”
ฉันไม่ค่อยจะแน่ใจนักหรอกว่าข้อเสนอของฉันจะทำให้เธอพึงพอใจหรือไม่เพียงใด แต่มันก็เป็นความพยายามที่จะชดเชยค่าที่ฉันทำให้เธอหน้างอ ฉันเองก็ไม่รู้ว่านึกยังไงถึงอยากจะเอาใจเธอขึ้นมา พอตกเย็นในวันรุ่งขึ้นฉันก็ไปปีนต้นฝรั่ง แต่ฉันก็ไม่ได้เอาไปฝากเธอด้วยตนเองหรอก ฉันฝากคุณแม่เอาไปให้ แล้วฉันก็ยังกำชับนักกำชับหนาโดยขอร้องคุณแม่ไม่ให้พูดเรื่องของฉันให้เธอรับรู้เป็นอันขาด คือฉันอายที่ฉันต้องนอนซมกินน้ำต้มสมุนไพรกลางบ้านเพราะเย็นวันนั้น ฉันตกต้นฝรั่ง!
เมื่อไม่นานมานี้ความเป็นพลเมืองดีและถือคติของลูกเสือ ที่จักต้องช่วยเหลือผู้อื่นทุกเมื่อ ทำให้ฉันตัดสินใจเข้าไปยุ่งกับผู้บุกรุก เพราะฉันรู้ว่าคุณแม่ห่วงใยบ้านสวนของเธอมากเพียงใด แต่โชคไม่เข้าข้างพลเมืองดีอย่างฉันเอาซะเลย ฉันถูกผู้ร้ายแทง จนกระทั่งบาดแผลจากคมมีดเกือบจะหายดีนั่นแหละ เธอถึงกลับมาเยี่ยมบ้านสวนอีกครั้ง ฉันก็ขอร้องคุณแม่ไม่ให้พูดถึงเรื่องนี้ให้เธอได้รับรู้อีกเช่นกัน
“เป็นธรรมดาของนักเลงก็ต้องลำบาก ปากไม่ดีก็ต้องโดนบ้างล่ะ” เธอเปรยขึ้นเมื่อเห็นบาดแผลของฉันระหว่างที่คุณแม่ใช้ให้ไปดายหญ้าหลังบ้านเธอ
“เจ็บนี้...ก็เพราะเป็นพลเมืองดีแท้ๆ” ฉันพูดเบาๆพอให้เธอได้ยิน
“เฮ้อ ถ้ากะทอเป็นพลเมืองดี บ้านนี้เมืองนี้ก็คงมีแต่ผู้วิเศษเต็มบ้านเต็มเมือง” เธอพูดไปโดยไม่ได้หันหน้ามามองฉันหรอก
ว่าที่จริงแล้วเธอดูเป็นผู้ใหญ่กว่าอายุ ฉันรู้ว่าฉันอายุน้อยกว่าเธอ คงเป็นเพราะธรรมชาติสร้างให้เพศหญิงเติบโตเป็นสาวเร็วกว่าเพศชาย ฉันจึงเอียงอายที่จะทายทักเฉกเช่นคนรู้จักมักคุ้นทั่วๆไป บางครั้งฉันก็อยากโตเป็นหนุ่มไวๆเธอจะได้ตั้งใจพูดดีๆกับฉันเสียมั่ง แต่ก่อนแต่ไรเมื่อเธอจะไปจะมาก็เห็นเป็นเรื่องธรรมดาของเธอ แต่เวลานี้พอได้ข่าวว่าเธอจะมาฉันรู้สึกว่าฉันกระตือรือร้นที่อยากจะเห็นหน้าและได้ฟังสำเนียงเสียงพูดอันไพเราะ ฉันจึงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าหลังจากเลิกโรงเรียนเพื่อไปดูแลบ้านสวนและก็...เพราะอยากชวนเธอพูดคุย
“คุณหนู...กะทิ มาถึงเมื่อไหร่ครับ” ฉันถามอย่างเขินๆเพราะเป็นครั้งแรกที่นำคำว่าคุณหนูมาใช้ (พยายามจะเลียนแบบคุณแม่) แต่ก็ยังตามด้วยชื่อกะทิอยู่ดี
“เดี๋ยวนี้คงจะมีสมบัติผู้ดีกับเขาขึ้นมาบ้างแล้วสินะ ใช่มั้ย กะทอ” เธอเอ่ยขึ้นแทนคำทักทายขณะที่ฉันกำลังรดน้ำไม้พุ่มและไม้ยืนต้นอยู่ข้างบ้าน
“ผู้ดี...ก็คงพอจะหาได้บ้าง เพราะแม่เคยบอกว่าทวดของเราชื่อบุตรดี ป้าก็ชื่อทองดี แม้แต่น้าของฉันที่อยู่บ้านคุ้มใต้ก็ยังชื่อจันดีเลย แต่ว่าแต่ละคนก็ไม่มีสมบัติอะไรมากนักหรอก นอกจากไหปลาร้า ปลาช่อน ปลาหมอ กะทอเกลือ มะเขือ และพริก คือว่าพวกเราก็พอจะมีผู้ดีกันอยู่หรอก หากแต่ว่าไม่มีสมบัติอะไรเลย” ฉันพูดโดยไม่ได้หันหน้าไปมองเธอ
“กะทอ!” เธอตะเบ็งเสียงเรียกชื่อฉันดังมากผิดปกติ
“ฉันไม่ใช่คนหูตึงนะ ขอบอกไว้ก่อน” ฉันหันไปปรามเธอ
“...* ÷ ฿٣ ☻...” เสียงเธอบ่นพึมพำ เดินกระฟัดกระเฟียดกลับเข้าไปในบ้าน
วันเวลาได้ผันผ่านไปอีกเหมือนติดปีกเหินเวหน แต่ความยากจนก็ยังคงเป็นเพื่อนครอบครัวของฉันอยู่เหมือนเดิม (ความจริงจนกว่าเก่า เพราะรถของพ่อก็คันเก่า บ้านก็หลังเก่า) ดูเหมือนว่าความเป็นนักศึกษาน้องใหม่ในรั้วมหาวิทยาลัยภูธรของฉันเท่านั้นเองที่พอจะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งใหม่ ชีวิตของฉันมันช่างไม่ต่างจากนิยายน้ำไม่ดี (เน่า) พอฉันขึ้นมาเรียนชั้นปีที่สี่ซึ่งเป็นปีสุดท้าย มหาโจรใจร้าย ใจโหด ใจโฉด ใจชั่ว ราวกับมีความอาฆาตมาดร้ายพยาบาทผูกใจเจ็บเหน็บในทรวงมาแต่ชาติปางก่อน ตามย้อนมาล่อลวงทวงเอาชีวิตของคนขับแท็กซี่โดยการฆ่าชิงรถ เหยื่อของความเหี้ยมโหดโฉดชั่วนั้นตายอย่างทารุณด้วยคมมีด ภาพศพข้างพงหญ้าของคนขับแท็กซี่ที่ปรากฏในหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ประจำวันนั้นก็มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นศพคุณพ่อของฉันนั่นเอง ทันทีที่ทราบข่าวคุณแม่ถึงกับเป็นลมล้มพับสลบไสลจนไปฟื้นที่โรงพยาบาล นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา คุณแม่ก็กลายเป็นคนขวัญผวา สติปัญญาคลาดเคลื่อน แน่นอนล่ะเมื่อขาดผู้ส่งเสียเงินทอง ฉันจึงไม่สามารถจะเรียนต่อให้จบได้ ฉันจำเป็นต้องยุติการเล่าเรียนและออกจากมหาวิทยาลัยมารับจ้างทั่วไป โดยปราศจากซึ่งดีกรีใดๆติดตัวสำหรับเป็นใบเบิกทางหางานทำ
ทุกๆครั้งที่เธอกลับมาบ้านสวน คุณแม่ดูจะมีชีวิตชีวาขึ้นมาก แกมักจะพูดชื่นชมในตัวเธอให้ฉันฟังอยู่เสมอๆ คุณแม่ชมชอบเธอสารพัดเรื่อง เธอดีอย่างนั้น เธอดีอย่างนี้ สรุปแล้วคือดีไปทั้งหมด แล้วก็ยังกำชับฉันให้เอาใจใส่ดูแลบ้านและสวนของเธอให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยเป็นอย่างดีที่สุดด้วย แต่แล้วในวันหนึ่งคุณแม่ก็ได้พูดขึ้นมาอย่างตื่นเต้นและแสดงออกซึ่งความยินดีไปกับเธอ เพราะแกไปทราบข่าวมาว่าหลังจากที่เธอเรียนจบโทจากต่างประเทศแล้ว เธอก็จะกลับมารับการหมั้นหมายกับผู้กอง นายร้อยตำรวจหนุ่ม บุตรชายนักการเมืองผู้กว้างขวาง แต่คุณแม่หารู้ไม่ว่าข่าวนี้มันกลับนำมาซึ่งความเจ็บปวดอันสุดแสนจะทรมานที่ประหัตประหารหัวใจของคนหนุ่มอีกคน นั่นก็คือลูกชายของแกเอง ฉันเคยพูดเปรยๆให้คุณแม่ฟังว่าหัวใจของคนหนุ่มอย่างฉันมันกำลังร้อนรุ่มและถูกสุมด้วยไฟอะไรบางอย่างอยู่ ฉันเพิ่งจะเห็นเป็นครั้งแรกนี่เองที่คุณแม่เงื้อมือหมายจะลงทัณฑ์ ติต่างว่าเป็นมีดพร้าจะผ่าลงกลางกบาลของฉันหากยังดื้อดึงขึงแข็งพาใจให้คิดเห็นเป็นเช่นนั้นอีกต่อไป “จนแล้วยังไม่เจียมอีกเหรอ เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวเถอะ...” คุณแม่ยังคำรามสำทับ ไม่แต่เพียงเท่านั้นในวันที่เธอพาผู้กองมาเที่ยวบ้านสวน ฉันเองก็ง่วนสาละวนคอยทำหน้าที่ให้บริการอย่างเต็มที่เพื่อมิให้มีสิ่งหนึ่งประการใดขาดตกบกพร่อง ผู้กองเขาเป็นคนสมาร์ทอาจอง พูดตรงๆจัดเป็นคนรูปหล่ออยู่ไม่เบา ในขณะที่เงาของฉันในกระจกนั้นมันกลับรกไปด้วยอุปสรรคแห่งความหล่อ สิ่งที่ฉันกลัวมากที่สุดในวันนั้นก็คือฉันกลัวเธอจะถูกสัมผัสและมัดใจโดยผู้กองหนุ่ม วันนั้นทั้งวันฉันจึงเหมือนคนละเมอเพ้อพกวิตกจริตจนรู้สึกตัวได้ว่ามีอะไรผิดเพี้ยนไปจากธรรมดา ฉันพยายามที่จะไม่ให้เธอและผู้กองคลาดสายตาไปได้ ทั้งนี้และทั้งนั้นฉันก็พยายามเป็นอย่างดีอีกเช่นกัน ที่จะไม่ให้คนทั้งสองรับรู้ว่ามีหูของฉันคอยติดตามเฝ้าฟังความเคลื่อนไหวของพวกเขาอยู่ตลอดเวลาอย่างใกล้ชิด
“นี่ถ้าผมอยู่ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่นะ ผมจับไอ้หนุ่มคนสวนนั่นเข้าตะรางไปแล้ว” เสียงผู้กองหนุ่มพูดกับเธอเมื่อคิดว่าปลอดจากสายตาผู้คน
“เขาทำอะไรผิดเหรอคะ” เธอสงสัย
“ความผิด...โทษฐานฆาตกรรมอำพรางทางสายตา” ผู้กองพูดด้วยท่าทางจริงจัง
“มีพยานหลักฐานมั้ยคะ” เธอรับมุก
“ผมเองเป็นพยานบุคคล ส่วนหลักฐานก็คือคุณกะทินั่นเองแหละที่ตกเป็นเหยื่อจนเหลือแต่กระดูก ขาวล่อนจ้อน” ผู้กองรักษาระดับเสียงราวกับรายงานผลการชันสูตรพลิกศพ
“เพ้อกันไปใหญ่แล้วล่ะ...คุณกำลังพูดถึงอะไรกัน” เธอค้อน
“ก็ไม่จริงเหรอ...ที่คุณถูกเขาแทะโลมด้วยสายตา” ผู้กองแฉถึงข้อกล่าวหาที่มีต่อหนุ่มคนสวน
“แต่ความสัตย์ซื่อของเขานั่นแหละจะเป็นหลักทรัพย์ประกันตัวเขาเองออกมาจากตะรางใจของคุณ” เธอพูดกลางๆเป็นเชิงปกป้องหนุ่มยียวนคนสวนประจำบ้านของเธอไปในตัว
ทุกครั้งที่เธอมาแล้วกลับ เธอเหมือนผู้มาปลุกให้ฉันตื่นจากหลับแล้วก็กลับหายลับลา ใจฉันมันรวนเรเหว่ว้าอาวรณ์นอนไม่ลงปลงไม่วาง ร่างกายผ่ายซูบและรูปผอม จนดูไม่ต่างจากคนระทมตรมตรอม อะไรประมาณนั้น
“ฉันกลับล่ะนะกะทอ ฝากดูแลสวนและบ้านด้วยนะ” เธอมักจะพูดเช่นนั้น
“แล้วเจ้าของของบ้านและสวนไม่เอาฝากไว้ให้ฉันดูแลบ้างเหรอ” ฉันมักจะพูดเช่นนี้ แล้วเธอก็หัวเราะ
ในที่สุดข่าวลือไปลือมาก็เป็นความจริง เธอและผู้กองเตรียมจัดพิธีหมั้นที่บ้านสวน ในห้วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่จะถึงนี้ พิธีจะมีขึ้นในวันอาทิตย์ แต่เธอก็มักจะมาถึงบ้านสวนในตอนเย็นของวันศุกร์เสมอไป ทุกครั้งที่เธอมาถึงเธอจะตรงไปที่ต้นฝรั่งที่ฉันปลูกและดูแลมาโดยตลอด เธอชอบไปเก็บลูกฝรั่งมารับประทาน ฉันจึงไปหาไม้มาทำม้านั่งไว้ใต้ร่มของมัน ฉันเป็นสุขใจมากที่เธอมานั่งเล่นอยู่ที่นั่นนานๆตลอดเย็น บางครั้งเมื่อปลอดคนฉันก็จะแฝงตัวเข้าไปข้างหลังเธออย่างเงียบกริบ บางทีเข้าไปใกล้จนความหอมของกลิ่นสาวโชยมาต้องนาสิก ฉันอยากจะสัมผัสเธอบ้างแต่ก็มิบังอาจด้วยเป็นคำสั่งแกมขอร้องอย่างเด็ดขาดของคุณแม่ ฉันรักแม่ของฉัน...ฉันก็ต้องเชื่อฟังคำขอร้องของท่าน เพราะคุณแม่ชื่นชมเธอและให้เกียรติครอบครัวของเธอเป็นอย่างดียิ่ง แค่ฉันคิดก็รู้สึกว่ามันเป็นความผิดอยู่มากโขแล้ว แต่ในบางคราวก็อยากจะให้เธอได้รับรู้ไว้บ้างว่าฉันคิดอย่างไร แต่ที่แน่ๆฉันไม่อาจจะทนทำงานสวนอยู่อีกต่อไปแม้แต่เพียงวันเดียว
เมื่อเธอกลับมาถึงบ้านสวนในตอนเย็นวันศุกร์ เธอจะต้องเดินเข้ามาที่ม้านั่งใต้ต้นฝรั่งเหมือนเช่นเคย
“เอ๊ะ มูลดินอะไรใหม่ๆ” ความสงสัยจะทำให้เธอใช้ความสังเกตมากขึ้น
GOODBYE KATI
ก็เพราะว่าฉันได้ลากนิ้วชี้ไปตามมูลดินที่ราบเรียบข้างม้านั่งนั้นด้วยข้อความอำลาเป็นภาษาฝรั่ง เพื่อย้ำเตือนถึงความหลัง เมื่อครั้งเธอและฉันมาพบกันในวาระแรก ข้อความล่าสุดนี้ แปลว่า “ลาก่อน กะทิ” ฉันไม่มีความอดทนพอที่จะอยู่รับใช้ให้บริการในงานหมั้นของเธอได้เลย ฉันอ่อนแอเกินกว่าที่จะอยู่สู้หน้าอำลาเธอด้วยตนเองเสียด้วยซ้ำ ในเย็นวันนี้จึงไม่มีกะทอมาปีนต้นฝรั่งให้เธอลองลิ้มชิมลูกห่าม และยามสนธยาเพลานี้ก็จึงไม่มีกะทอมานั่งเล่นเป็นเพื่อนเหมือนคราวก่อนๆ
ฉันเดินออกจากใต้ต้นฝรั่งด้วยสายตาที่พร่าเลือน ทำไมความเป็นลูกผู้ชายของฉันถึงไม่มีหลงเหลือเอาเสียเลย ร้องไห้ทำไม เสียใจทำไม ฉันถามตนเอง เธอมีคู่หมั้นคู่หมายสมชายสมหญิงและสมใจนึกดังปรารถนาทุกประการเช่นนั้น จะมามัวพร่ำรำพันรำพึงคะนึงหาก็ย่อมจะเป็นการเปล่าซึ่งประโยชน์ สู้หลบหลีกหันหน้าเข้าหาโบสถ์บำเพ็ญบุญยังจะพอมีนิสัยไปในทางหนีทุกข์หนีวัฏฏะสงสาร ฉันพยายามค้นหาสารพัดเหตุผลหลายๆประการเพื่อมาปลอบประโลมใจให้กับตนเอง เวลานี้ฉันจึงเหมือนคนใจลอยและน้อยเนื้อต่ำใจ ฉันต้องการหลีกลี้หนีไปให้ไกล ให้ไกลสุดขอบหล้าฟ้าเขียว จะได้ไม่ต้องเกี่ยวข้องและมองหน้าเธออีกต่อไปชั่วนิจนิรันดร
ฉันทอดสายตาฝ่ายามค่ำย่ำสนธยาออกไปอย่างหมดอาลัยตายอยาก ในขณะที่สองเท้าก็ยังก้าวไปข้างหน้า แต่ทว่าเป็นหัวใจที่ว้าเหว่เร่ร่อนดุจวิหคบินจรไร้คบคอนไร้ที่หวัง หมดสิ้นแรงพลัง เมื่อถูกเหนี่ยวรั้งด้วยวังวนแห่งความหม่นหมอง ฉันเดินผ่านทุ่งนา ป่าละเมาะแล้วเลาะลัด จิตประหวัดคำนึงถึงความหลัง ค่ายลูกเสือเหลือสนุกสุขชีวัง เต็นท์พ่อยังซื้อให้ใหม่สมใจปอง ฉับพลันฉันก็กลับหลังหัน แล้วจ้ำฝีเท้าเร่งกลับเข้าบ้าน เผื่อว่าฉันซมซานต้องนอนพักค้างอ้างแรมกลางทุ่งนาป่าเขา แม้นพกเอาผ้าเต็นท์ของคุณพ่อไปด้วยคงจักช่วยให้ฉันหลับนอนได้สะดวกสบายขึ้น
คุณแม่เปิดไฟที่หน้าบ้านแล้ว เมื่อฉันมองเข้ามาแต่ไกล แกเดินไปเดินมาอยู่หน้าบ้านเหมือนคนฟุ้งซ่าน ออกอาการเหมือนคนใจลอยคอยใครสักคน คุณแม่คงวิตกกังวลเรื่องของฉันหายไปอย่างไม่ต้องสงสัย ฉันรู้สึกเวทนาและสงสารแกขึ้นมาอย่างจับจิต แต่พอคิดๆไปแล้วหากฉันเข้าไปปรากฏกายให้แกเห็น ก็ย่อมเป็นอันว่าฉันไม่ต้องได้หนีหน้าเธอผู้ที่ฉันไม่อยากจะเจอในเวลาอันใกล้นี้ ฉันไม่อยากจะทนอยู่ดูเธอในวันรับหมั้น เพราะฉะนั้นฉันจึงตัดสินใจเล็ดลอดเข้าทางหลังบ้านเพื่อหลบหน้าคุณแม่อีกคนทั้งที่ใจจริงฉันนั้นอยากจะเข้าไปกอดท่านให้ท่านได้หายวิตกกังวลเสียเต็มประดา ฉันเข้าไปคว้าควานหาเต็นท์ที่อยู่ใต้เตียงนอนของฉันอย่างรีบร้อน พอมันติดมือออกมา ฉันก็รีบย่องตรงไปทางห้องครัวที่เปิดออกสู่ประตูหลังบ้าน พลันฉันก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหู จนถึงกับทำให้ฉันหยุดเพราะมันสะดุดเข้าถึงหัวใจ
“จนป่านนี้แล้ว กะทอก็ยังไม่กลับเข้าบ้านอยู่อีกเหรอคะ คุณป้า”
“ยังเลยจ้ะ...ขอบใจคุณหนูมากนะที่เป็นห่วง อุตส่าห์เทียวกลับมาถามตั้งหลายเที่ยว”
ฉันหยุดกึก ใจก็นึกเฉลียวใคร่อยากจะรู้นักเชียวว่าเธอจะคุยอะไรต่อไปกับคุณแม่ ฉันจึงแอบแนบตัวเข้าชิดกับฝาผนัง สอดส่ายสายตาผ่านรูรอยแยกฝาผนังแตกของห้องครัว ออกไปจดจ้องอยู่ที่บุคคลทั้งสอง
“ขอฉันถามอะไรคุณป้าสักอย่างได้มั้ยจ้ะ”
“คุณหนูมีอะไรหรือจ้ะ” เสียงคุณแม่สั่นเครือ
“กะทอเคยพูดอะไรเกี่ยวกับฉันให้ฟังบ้างรึเปล่า”
“ก้อ...เคยพูดอยู่เหมือนกัน” เสียงคุณแม่เบาลง
“พอจะบอกให้ฉันรู้ได้มั้ยจ้ะ” น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความอยากรู้
“ป้าคิดว่าคงไม่เหมาะควรที่จะบอกคุณหนูหรอกมั้ง” คุณแม่พูดอย่างลังเลใจ
“บอกมาเถอะคุณป้า กะทิไม่ถือสมถือสาอะไรทั้งนั้นแหละ”
“เขาพูดอะไรเหรอจ้ะ” น้ำเสียงของเธอคะยั้นคะยอกรายๆ
“เขาเคยบอกป้าว่าเขา...คุณหนูกะทิมาก” เสียงคุณแม่สั่นเครือและเกือบขาดหาย
“หา!”
สิ้นเสียงอุทาน เธอก็เบือนหน้าหลบและหันหลังให้คุณแม่ แต่เป็นความบังเอิญแท้ๆที่เธอหันหน้ามาทางรอยแตกของฝากั้นครัว นี่นับว่าเป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นน้ำตาของความเป็นผู้ใหญ่อย่างเธอ แต่ฉันเองกลับเผลอให้อุทกภัยมันไหลบ่าจนท่วมท้นนัยนาอีกคน ฉันกำลังสับสน จนไม่รู้ว่าตัวเองดีใจหรือเสียใจ เพราะเหตุว่าน้ำตาของเธอมันกลับกลายเป็นทิพยโอสถ ที่หลั่งลงมาราดรดเยียวยาให้ดวงชีวาน้อยๆของฉัน รู้สึกแช่มชื้นและฟื้นไข้จากพิษรัก...
อย่างน้อยความทุกข์ก็มิได้เป็นของฉันแต่เพียงผู้เดียว
.............................................................