สำหรับผู้ที่เป็นเจ้าของปราสาทมีนามว่า เซอร์ เบอติรัค เขามีศรีภรรยาผู้เลอโฉม นามว่า ฟิเดเลีย แม้ว่าจะผ่านเวลาแห่งการต้อนรับขับสู้ไปแล้ว ซึ่งรวมถึงการร่วมรับประทานอาหาร เล่นหมากรุก และดื่มไวน์ แต่ฟิเดเลียก็ยังคงโปรยเสน่ห์คอยเย้ายวนกาเวอินอยู่เรื่อยมา ซึ่งแสดงให้เห็นได้ชัดว่าเธอก็หลงใหลในความเป็นหนุ่มมีเสน่ห์ของกาเวอินอยู่ไม่น้อย จนแทบจะเรียกได้ว่าไม่เคยละสายตาไปจากเขาหลังจากผ่านพ้นคริสต์มาสไปแล้วสองวัน อากาศสดใสดีขึ้นมาก เบอติรัคจึงตัดสินใจที่จะเข้าป่าเพื่อล่าสัตว์“ฉันเห็นว่าท่านยังอ่อนเพลียจากการรอนแรมมานาน จึงไม่สมควรที่จะออกไปกับฉันหรอก” เขากล่าวขึ้น“ท่านจงพักผ่อนอยู่ที่บ้าน ทำตัวให้สบายๆ ภรรยาของฉันจะดูแลท่านเอง เออ! ฉันนึกอะไรได้อย่าง คือพอตกเย็น ฉันจะนำสิ่งที่ล่าได้จากป่ามาให้ท่าน แต่ท่านจะต้องมอบอะไรก็ตามที่ท่านได้มาในวันนั้นให้แก่ฉันเป็นการตอบแทน ตกลงไหม”“ด้วยความเต็มใจเลยท่าน” กาเวอินกล่าวตอบวันถัดมา เซอร์ เบอติรัค ก็เข้าป่าออกล่าสัตว์ ส่วนกาเวอินยังคงเอนหลังอยู่บนเตียงกำลังขีดเขียนอะไรสักอย่างเขาตั้งใจไว้ว่าจะแต่งบทร้อยกรองขึ้น เพื่อเป็นของแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่เบอติรัคล่าได้จากป่า มันคงจะเป็นบทกวีบทสุดท้ายแห่งชีวิตของเขา ดูสิว่าจะออกมาในแนวใดแต่ทว่าบทกวีก็ไม่มีโอกาสจะได้เขียนจนจบ เมื่อฟิเดเลียโผล่ศีรษะเข้ามายิ้มละไมอยู่ที่หน้าประตู“เป็นอย่างไรบ้าง พ่อกาเวอินผู้รูปหล่อ วีรบุรุษแห่งห้วงหัวใจฉัน”เธอเอ่ยขึ้น พร้อมกับพาตัวเองเข้ามาในห้องและนั่งลงบนเตียงนอนของเขา กาเวอินจึงรีบดึงผ้าห่มมาคลุมตัวเองให้มิดตั้งแต่เท้าจรดปลายคาง“เขาเล่าลือกันว่าเธอเป็นเสือผู้หญิงผู้ยิ่งใหญ่” แล้วนางก็กระซิบเบาๆต่ออีกว่า“ในระหว่างที่สามีฉันไม่อยู่ จะไม่แสดงให้ฉันเห็นเลยเหรอ”“ฉันไม่รู้ว่าใครบอกแก่เธอเยี่ยงนั้น” กาเวอินกล่าวอย่างเขินอายจนหน้าแดง“ฉันเป็นอัศวินจริงๆ ซึ่งอัศวินแท้จะไม่เคยแส่หรือยุ่งเกี่ยวกับสตรีที่แต่งงานแล้ว”ทว่าฟิเดเลียก็ไม่ยอมห่างไปไหน เธอปรารถนาการจุมพิตจากกาเวอินผู้มีชื่อเสียง ก็เห็นจะจริงว่าการจุมพิตของเขาถือเป็นสิ่งที่เลื่องลือ เพราะแม้แต่อยู่ไกลแสนแดนกันดารอีกด้านหนึ่งของโลกเช่นนี้ ก็ยังคงนับเนื่องอยู่เหมือนกัน เธอเองเล่าก็มีความสวยอันเลิศเลอเหนือกว่าสตรีใดๆ หากแต่ความคิดของกาเวอินนั้นหยุดอยู่แต่เพียงเรื่องของวันขึ้นปีใหม่ เขาปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะขึ้นสวรรค์เมื่อตายไป เขาจึงตั้งใจที่จะไม่ประพฤติตนผิดศีลธรรมอันดีงามแต่ก็อีกนั่นแหละ เขาก็ไม่อยากจะทำตัวให้ขัดใจหรือไม่สุภาพต่อความปรารถนาของสุภาพสตรีจนในที่สุด เขาจึงตัดใจได้ว่า ก็แค่จุมพิตเพียงครั้งเดียวคงจะไม่เสียหายอะไรนัก แล้วเขาก็ยอมให้ฟิเดเลียจุมพิตเขาเป็นการตอบคืนด้วย ซึ่งมันก็ให้ความรู้สึกสัมผัสคล้ายๆกับเวลาถูกแมวเลียแค่นั้นเองครั้นเซอร์ เบอติรัค กลับเข้าบ้าน สิ่งที่เขาล่าได้ก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากพวกหมาจิ้งจอกแก่ๆหลายตัวทีเดียวถึงอย่างไรเขาก็ได้นำมันมามอบให้แก่กาเวอินตามข้อตกลง กาเวอินสูดลมหายใจเข้าปอดจนเต็มอก“ถ้าเช่นนั้นฉันก็จะต้องรักษาสัญญาข้างฝ่ายฉันเช่นกัน” เขากล่าวพลาง ก็ตรงเข้าไปโอบไหล่เบอติรัคแล้วก็จุมพิตหนักๆลงที่หน้าผากของเขา“โอ้!” เบอติรัคอุทาน (กาเวอินรู้สึกโล่งใจ เมื่อเขาไม่ได้ซักถามอะไร)ในวันถัดมา เซอร์ เบอติรัค ก็ออกล่าเนื้ออีกครั้ง ในขณะที่กาเวอินยังอยู่บนเตียงนอน เขากำลังพยายามจะแต่งบทเพลง ซึ่งคงจะเป็นบทเพลงสุดท้ายแห่งชีวิต อย่างน้อยก็เพื่อดึงความคิดออกไป ไม่ให้ใจจดจ่ออยู่กับวันขึ้นปีใหม่ที่กำลังใกล้เข้ามาแต่แล้วบทเพลงดังกล่าวก็ไม่มีโอกาสจะได้แต่งจนจบ เมื่อฟิเดเลียเข้ามาหาเขาด้วยท่าทีอันปรารถนาที่จะอยู่ด้วยนั้น มีเพิ่มขึ้นหลายเท่านัก เขาพยายามอธิบายต่อเธอว่าการที่เขาขโมยจุมพิต ซึ่งเป็นสิทธิ์สมบูรณ์อันชอบแห่งผู้เป็นสามีนั้น เป็นสิ่งมิบังควรและขัดต่อศีลธรรมอันดีงาม ทว่าเธอก็ยืนยันแต่เพียงว่าเธอรักใคร่เขาและเหนือสิ่งอื่นใดเขาช่างเป็นสุภาพบุรุษที่สมบูรณ์แบบจริงๆ ในที่สุดเขาก็มิอาจจะยับยั้งการฝังรอยจุมพิตของเธอ ที่ประทับลงบนแก้มซ้ายและขวาของเขาครั้น เซอร์ เบอติรัค กลับเข้าบ้าน เนื่องจากวันนี้เขาล่าหมูป่าได้ เขาจึงมอบเขี้ยวหมูอันเงางามนั้นให้แก่กาเวอินและเพื่อเป็นการตอบแทน กาเวอินจึงตรงเข้าไปจับที่ข้อศอกของเขาแล้วก็ประทับจุมพิตลงที่แก้มทั้งสองข้าง“ดีแล้ว!” เบอติรัคอุทาน กาเวอินก็รู้สึกโล่งใจอีกครั้งที่เขาไม่ได้ซักถามอะไรในวันถัดมา ซึ่งเป็นวันส่งท้ายปีเก่า เซอร์ เบอติรัคก็ออกล่าสัตว์อีกครั้งหนึ่ง ส่วนกาเวอินก็ยังอยู่บนเตียงนอนและพยายามจะสวดมนต์อ้อนวอนพระผู้เป็นเจ้า และถือเป็นการสวดครั้งสุดท้ายแห่งชีวิต เพราะในวันรุ่งขึ้นเขาจะต้องออกไปพบกับอัศวินมรกตตามคำมั่นสัญญาแต่แล้วการสวดมนต์ของเขาก็ต้องถูกรบกวนอีกจนได้ เมื่อฟิเดเลียขึ้นมานั่งอยู่บนเตียงและปรารถนาใคร่จุมพิตเขาอีกคำรบหนึ่ง แต่คราวนี้ฟิเดเลียช่างมีความสวยสดงดงามเอามาก จนกาเวอินเองก็ถึงกับเผลอใจไปใหลหลงอย่างไรเสีย เขาก็คงม้วยมรในวันถัดมาอย่างแน่นอนและไม่มีโอกาสที่จะหาความสุขให้กับตนเองได้อีกต่อไปถึงปานนั้น กาเวอินก็เพียงแต่ยินยอมให้ฟิเดเลียจุมพิตเขาแค่สามครั้ง ทั้งนี้ก็เพราะเขาปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะได้ขึ้นสรวงสวรรค์เมื่อตายไปต่อมาฟิเดเลียได้มอบของขวัญให้แก่เขา กล่าวคือเธอแก้เอาเข็มขัดสีเขียวออกจากบั้นเอวของเธอเอง“โปรดเก็บรักษาสิ่งนี้เอาไว้ ถือว่าเป็นพยานแห่งความรักของฉัน” เธอกล่าว“มิได้หรอก ฉันรับไม่ได้”“เธอคงคิดว่ามันเป็นของธรรมดาๆและด้อยค่าเกินกว่าที่จะรับไว้”“หามิได้ คือฉันหมายความว่า...”“มันไม่ใช่ของธรรมดา มันเป็นเข็มขัดที่ทรงพลังอันมหัศจรรย์ ใครก็ตามที่สวมใส่จะปลอดภัยแคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งมวล ถึงถูกฆ่าก็ไม่อาสัญ”คราวนี้เองที่กาเวอินไม่อาจจะฝืนทนต่อความปรารถนาของตนเองได้ เขาจึงรับเอาเข็มขัดอันนั้นและสวมใส่เอาไว้ที่ไหล่ข้างหนึ่งครั้น เซอร์ เบอติรัค กลับเข้าบ้านในตอนเย็นวันนั้น เขาก็ไม่ได้นำมันมามอบให้แก่เบอติรัค ถึงแม้สิ่งที่นำมาแลกเปลี่ยนจะเป็นเนื้อกวางอย่างดีที่ได้จากการล่าก็ตาม เขาก็ตอบแทนคืนแต่เพียงให้การจุมพิตจุมพิตครั้งที่หนึ่ง“โอ้!”จุมพิตครั้งที่สอง“ดีแล้ว!”จุมพิตครั้งที่สาม“ดีจริงๆ!”ส่วนเข็มขัดสีเขียวกาเวอินได้เก็บเอาไว้เอง เผื่อว่ามันเป็นของวิเศษจริงๆมันก็อาจจะช่วยรักษาชีวิตเขาให้รอดได้ในวันรุ่งขึ้น กาเวอินจึงกล่าวคำอำลาแก่ เซอร์ เบอติรัคและภรรยาของเขา แล้วก็ขี่ม้าออกไปตามที่ได้ให้คำมั่นสัญญาเอาไว้ ในขณะที่ขวานอันเขื่องซึ่งห้อยอยู่ข้างอานม้าก็แกว่งไกวอยู่ไปมา คนรับใช้ของปราสาทเข้ามาทำหน้าที่นำทางให้แก่เขาจนมาถึงที่ ซึ่งเป็นทางแคบๆระหว่างหุบเขา และเต็มไปด้วยพวกมอสกับพฤกษ์พันธุ์อันเขียวขจี ตรงกลางทางเดินนั้นเป็นหิน และส่วนปลายสุดของกำแพงหินนั้นคือลานศิลา ซึ่งเป็นบริเวณหน้าทวารเข้าปราสาท“ต่อให้มีทองคำอยู่ในนั้น ฉันก็จะไม่เอาอย่างท่านหรอกนะ” คนรับใช้พูดเสร็จก็รีบควบม้าห้อหนีไปเท่าที่จะเร็วได้“ฉันมาตามสัญญาแล้วท่าน!” เสียงแหลมเล็กของกาเวอินสะท้อนไปตามกำแพงหิน เขารู้สึกหวาดกลัวเหลือที่สุดทันใดนั้น อัศวินมรกตก็กระโดดออกมาจากโขดหิน และแสดงตัวยืนตระหง่านอยู่ต่อหน้าเขานั่นเอง ศีรษะของเขากลับไปตั้งอยู่ที่คอเหมือนเดิมแล้ว ดวงตาแดงก่ำและดุดันนั้นส่องประกายอยู่วาววาม เขาสะแหยะยิ้มและเผยให้เห็นฟันสีเขียวอย่างชัดเจน“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ไม่ได้นำความอดสูมาสู่หมู่อัศวินแห่งวังคามีล็อตน่ะสิ เจ้าคือคนที่กล้าหาญกว่าทุกคนที่ข้าเคยพบเห็น ก้มหัวลงมาไอ้หนู เป็นทีของข้าได้ฟาดเจ้าด้วยขวานบ้างล่ะ ตามที่เราตกลงกันเอาไว้เมื่อหนึ่งปีก่อนยังไงล่ะ”กาเวอินถอดหมวกเหล็กสมรภูมิออกและพึมพำสวดมนต์เป็นครั้งสุดท้าย แล้วก็นั่งคุกเข่าและก้มศีรษะลง ผมหยักสีทองของเขาตกลงมาพาดที่แก้มทั้งสองข้าง ขณะเดียวกันอัศวินมรกตก็หยิบเอาขวานออกมาจากข้างอานม้าของกาเวอิน เขายกขวานขึ้นสูง เสียงคมขวานแหวกอากาศจนกาเวอินต้องเหลือบขึ้นมอง พลันที่เห็นคมบั่นกำลังฟันลงมา ด้วยสัญชาตญาณ เขาทรุดกายดำดิ่งลงกับโคลน คมขวานจึงพลาดและเฉียดไปห่างแค่เพียงเส้นผม“อะอ๋า! เจ้าก็คนขี้ขลาดนี่เอง ในที่สุด! ข้าเคยหดหัวไหม ข้าเคยขยับหลบทางขวานไหม”“แต่ท่านก็มิได้สูญเสียอะไรมากเลยนี่” กาเวอินกล่าวโต้ตอบ ในขณะที่ขยับกลับขึ้นมาจากโคลนตม“เมื่อศีรษะของฉันหลุดออกไปแล้ว มันไม่สามารถจะนำกลับมาต่อใหม่ได้ง่ายๆเหมือนอย่างของท่านนี่นา”แต่ว่ากาเวอินก็รู้สึกละอายในความขี้ขลาดของตน“ขอให้ท่านฟันอีกทีเถิด คราวนี้ฉันจะไม่หดหัวอย่างแน่นอน” เขากล่าว พลางก็นำมือมาประสานอกแล้วก้มศีรษะและหลับตาลงอย่างยอมรับในชะตากรรมแต่โดยดีขวานถูกเงื้อขึ้นจนสุดอีกครั้ง อัศวินมรกตตะเบ็งกำลังพร้อมจะลงขวานอย่างเต็มเหนี่ยว พอได้จังหวะก็ฟาดลงมาทันที เข็มขัดสีเขียวที่กาเวอินสวมอยู่ที่หัวไหล่ถูกมุมของคมขวานเฉือนขาดออกจากกันในทันใด คมขวานยังเฉียดไปเถือหนังคอของเขาจนเลือดสีแดงราวกับลูกฮอลลี่ไหลซิกๆออกมาอารามดีใจสุดขีด กาเวอินทะลึ่งพรวดลุกขึ้นมายืนทันที การฟันด้วยขวานได้ผ่านพ้นไปแล้ว ซึ่งเจ้ามนุษย์ยักษ์ได้ทำพลาด เขาจึงมีชีวิตรอดอยู่ได้! เขาดีใจมากจนไม่อาจจะรับรู้ถึงความเจ็บปวดที่เกิดจากบาดแผลที่คอ เขารู้สึกเป็นสุขมากที่สุดในชีวิตแต่ขณะเดียวกันอัศวินมรกตก็มิได้รู้สึกว่าเขาเองประสบกับความล้มเหลวแต่อย่างใด“จริงทีเดียว กาเวอิน” เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแปลกๆและคุ้นหู“จริงทีเดียว ท่านเป็นหนึ่งในอัศวินที่ดีเลิศที่สุดที่ฉันเคยพบเห็นมา ถึงจะไม่สมบูรณ์แบบนัก แต่ก็เพียงพอสำหรับความภาคภูมิใจในตัวเอง ท่านได้ให้การจุมพิตแก่ฉัน นับตั้งแต่จุมพิตครั้งเดียว สองครั้ง และแม้กระทั่งสามครั้ง แต่เข็มขัดสีเขียวนั่น ท่านกลับเก็บมันไว้สำหรับตัวเอง เหตุนั้นฉันถึงได้เถือหนังคอให้เป็นรอยแก่ท่าน มันเป็นบาดแผลแต่เพียงเล็กน้อยสำหรับการย้ำเตือนความทรงจำถึงคำโกหกนิดๆของท่านเท่านั้นเอง”“ท่าน เบอติรัค!”“ถูกต้องแล้ว ฉันก็เป็นคนๆเดียวกันกับที่ท่านเห็นที่ปราสาท การปลอมตนของฉันเกิดจากอำนาจเวทมนต์แห่งราชินีมอแกน เลอ เฟย์ ผู้เป็นพระพี่นางเธอแห่งพระเจ้าอาร์เธอร์นั่นเอง ด้วยพระนางประสงค์จะข่มขู่กษัตริย์อาร์เธอร์และเหล่าอัศวินโต๊ะกลมของพระองค์ พระนางเชื่อว่าคงจะไม่มีใครกล้าหาญพอที่จะรับคำท้าทายกับอัศวินยักษ์ในร่างของฉันอย่างแน่นอน ฉันรู้สึกดีใจ ซึ่งพระนางก็ได้เห็นแล้วว่ามิเป็นความจริง ฉันเป็นคนร้องขอให้ภรรยาของฉันทดสอบความสัตย์ซื่อของท่านเอง ท่านเกือบจะผ่านการทดสอบแล้วทีเดียว แต่จริงๆแล้ว ท่านก็ผ่าน!ส่วนเหตุผลที่ท่านเก็บเข็มขัดเอาไว้เองก็มุ่งหมายว่าจะได้มีชีวิตอยู่รอด สำหรับคนในวัยฉกรรจ์ทั่วไป ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ให้อภัยกันได้ จงมาจับมือและเป็นมิตรกันเถิดณ วันนี้! ท่านได้พิสูจน์ถึงความเป็นอัศวินอย่างแท้จริงแล้ว โปรดเก็บเข็มขัดนั้นเอาไว้ มันไม่ได้มีอำนาจมหัศจรรย์แต่อย่างใดหรอก แต่มันก็เป็นฝีมือถักของภรรยาฉันเอง ส่วนสีของมันก็จักเป็นสิ่งเตือนใจให้ท่านระลึกถึงฉันและภรรยาของฉันด้วย ฉันกล้าพูดเช่นนั้น”แต่แล้วความสุขใจของกาเวอินก็เป็นอันล่มสลาย และกลับกลายเป็นความรู้สึกที่ต่ำต้อย ขลาดเขลา และน่าอดสูใจ เพราะเหตุว่าเขาแอบเก็บเข็มขัดเอาไว้ ซึ่งเป็นการกระทำผิดต่อคำสัญญาที่ได้ให้แก่มิตรสหาย และยังได้เห็นด้วยว่าตัวเองก็เป็นคนขี้ขลาดคนหนึ่ง ความหนักอกที่ตกแก่เขาเองในข้อนี้จึงมีมากกว่าอัศวินมรกตเหลือคณานัก ผู้ซึ่งเวลานี้กำลังหัวเราะร่าอย่างเป็นสุข และดังก้องกังวานไปตามกำแพงหินที่อยู่เบื้องหลัง ราวกับเสียงสั่นของระฆังในเทศกาลคริสต์มาสถึงแม้อัศวินมรกตหรือ เซอร์ เบอติรัคจะเชิญชวนกาเวอินให้กลับไปร่วมดื่มและรับประทานที่ปราสาทกันอีกครั้งหนึ่ง แต่เขาก็หาได้ตอบรับคำเชื้อเชิญนั้นไม่ เขากล่าวขอบคุณและให้เหตุผลว่าเขาจากสำนักพระเจ้าอาร์เธอร์มานาน ป่านฉะนี้คงจะเป็นห่วงเขามาก เขากล่าวคำอำลาแก่อัศวินมรกตและฝากความระลึกถึงแด่ภรรยาของเขาด้วย“ฉันจะเก็บเข็มขัดนี้เอาไว้เป็นเครื่องเตือนใจ ในยามที่ฉันขาดความกล้าหาญ” เขากล่าว“บางที มันอาจจะช่วยให้ฉันรอดพ้นจากความขี้ขลาดที่อาจจะบังเกิดขึ้นอีกในวันข้างหน้าได้”กล่าวเสร็จเขาก็กระโดดขึ้นหลังม้ากรินกาเร็ตแล้วควบฝ่าหิมะมุ่งหน้าคืนสู่มาตุภูมิครั้นกลับมาถึงพระราชวังคามีล็อต กาเวอินก็ได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้เหล่าอัศวินทั้งหลายรับฟังโดยมิได้ปิดบังความจริงหรือเห็นว่าเป็นสิ่งน่าละอายสำหรับตนเลยแม้แต่น้อย เวลานี้ของตกแต่งต่างๆในเทศกาลคริสต์มาสก็ถูกรื้อถอนออกไปจนหมดสิ้นแล้ว สิ่งที่เคยห้อยไว้ประดับประดาก็ได้นำลงมาพับเก็บไว้เป็นที่เรียบร้อยแม้แต่ต้นคริสต์มาสก็ถูกนำไปเผาไฟจนสิ้นเมื่ออัศวินทั้งหลายเหล่านั้นได้รับทราบเรื่องราว ต่างก็พากันหัวเราะจนดังลั่นพอๆกับเสียงหัวเราะของอัศวินมรกต พระเจ้าอาร์เธอร์ทรงสดับเช่นนั้นจึงคว้าเอาธงทิวสีเขียวที่ประดับอยู่ ณ ข้างบัลลังก์ มาทรงตัดออกให้เป็นแถบบางๆหลายชิ้น“นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป” พระองค์ตรัสประกาศขึ้น“พวกเราทุกคนจักต้องคาดแถบเข็มขัดสีเขียวนี้ ให้เหมือนกันกับกาเวอิน เหตุไฉนจะต้องทำให้เขาผิดแผกไปจากหมู่เหล่าอัศวินของเขาด้วยเล่า พวกเราเองก็ไม่มีใครสักคนที่สมบูรณ์แบบ แต่มันก็เป็นความพยายามในสิ่งนั้น”ในห้วงเวลาแห่งการผจญภัยกับอัศวินมรกต ไม่มีใครเลยจะล่วงรู้ถึงความเลวร้ายที่กาเวอินได้ประสบพบพานเว้นเสียแต่ตัวของเขาเอง ซึ่งได้นำชีวิตจนรอดพ้นภยันตรายและอุปสรรคนาๆประการ อันเกิดจากความผิดบาปแห่งความหยิ่งในเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีของตน แต่ก็ทำให้เขาดูเป็นบุคคลที่ดีเด่นขึ้น หากจะจัดว่ายังไม่ใช่อัศวินที่สมบูรณ์แบบการพบกับอัศวิน*ที่สมบูรณ์แบบ ยังคงจะต้องรอคอยกันอีกต่อไป เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้*ถึงแม้นอัศวินที่สมบูรณ์แบบจริงๆอาจจะต้องรอคอยกันอีกต่อไป หรืออาจจะมีอยู่แต่เพียงในโลกแห่งอุดมคติทว่าสุภาพบุรุษอัศวินในโลกแห่งความเป็นจริงซึ่งเป็นที่ยอมรับกัน ก็สามารถจะพัฒนาขึ้นมาได้ อย่างน้อยหากมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้“สุภาพบุรุษอัศวินไม่สิ้นสูญหากเกื้อกูลนำพาความกล้าหาญสุจริตอุทิศตนพ้นประมาณรักเพื่อนบ้าน เกียรติ ชาติ ราชบัลลังก์รู้รักษาวาจาสัญญามั่นช่วยเหลือกันพ้นภัยสมใจหวังไม่หวั่นไหวการศึกผนึกพลังเป็นเหมือนดั่งผู้นำพร้อมกำชัยทรหดอดทนไม่บ่นพร่ำฝึกกำยำทุกกีฬาพาสดใสเอื้ออาทรคนอ่อนแอผู้แก่วัยสตรีไซร้ต้องให้เกียรติทุกชั้นชนช่วยคนอื่นก่อนตัวไม่มัวช้าเล่นกีฬามุ่งสนุกทุกแห่งหนมิมุ่งหมายกำชัยในกมลมิถือตนคุยโวอวดโอ้ใครมิหลงเพลินเงินทองให้หมองจิตผูกมัดติดหนึ่งเสน่ห์มิเฉไฉมีหญิงเดียวเกลียวแน่นกลางแก่นใจมิปราศรัยคำหยาบจ้วงจาบสตรี”
ในอดีตกาล จากตำนานสมัยของกษัตริย์อาร์เธอร์แห่งประเทศอังกฤษ(ปลายศตวรรษที่ ๑๔) เวลานั้นเป็นฤดูหนาว พระเจ้าอาร์เธอร์ พร้อมด้วยข้าทาสบริพารกำลังจัดให้มีงานฉลองคริสต์มาสขึ้นที่พระราชวังคามีล็อต ในงานกินเลี้ยงล้วนแต่บริบูรณ์ด้วยอาหารและเครื่องดื่ม ตลอดจนการละเล่นและสิ่งบันเทิงต่างๆ การจัดเลี้ยงฉลองดังกล่าวยิ่งเพิ่มความสนุกสนานและยิ่งใหญ่เมื่อถึงวันต้อนรับปีใหม่ ถึงแม้บรรยากาศภายนอกนั้นจะขาวโพลนไปด้วยหิมะ ซึ่งส่งประกายวาววับยามต้องแสงตะวัน ผสมกับความหนาวเหน็บของสายลมที่เฝ้ากรรโชกและโบกโบย แต่ภายในห้องโถงใหญ่ของปราสาทกลับอบอุ่นและมีสีสัน ทั้งนี้ก็เพราะมีกองไฟขนาดใหญ่กำลังลุกไหม้อยู่บนแท่นศิลากลาง ส่องสว่างให้เห็นสีสันไปทั่วทุกซอกทุกมุมระหว่างที่ทุกคนกำลังนั่งลงเพื่อร่วมรับประทานอาหารกันอย่างพร้อมหน้า พลันประตูอันสูงใหญ่ของปราสาทก็ถูกเปิดออกด้วยแรงลม พร้อมๆกับการปรากฏตัวของนักรบบนหลังม้า ควบฝ่าหิมะเข้ามา เขามีรูปร่างสูงใหญ่โตมากแทบจะเรียกได้ว่าขนาดของยักษ์ปักหลั่นทุกคนต่างตกอยู่ในอาการเงียบกริบด้วยความฉงนละคนกับความแปลกใจ เพราะใบหน้าและมือของเขาตลอดจนส่วนของร่างกายที่สามารถมองเห็นได้นั้น ล้วนแต่เป็นสีเขียว ดูราวกับสีของทุ่งหญ้าในหน้าฝน เขาตัดผมเผ้าและหนวดเคราซึ่งก็ออกสีเขียวให้เป็นทรงที่ตรงเรียบเสมอกัน โดยปล่อยยาวให้ตกลงมาถึงข้อศอกจึงแลดูราวกับผ้าคลุมไหล่ นอกจากนั้นเสื้อนุ่ง ถุงขา และผ้าคลุมหลังก็ล้วนแต่เป็นสีเขียว และยังปักดิ้นทองคำด้วยลวดลายที่เป็นรูปเหล่าปักษีและหมู่ผีเสื้อ แม้แต่ม้าที่เขาขี่มาก็เป็นม้าสีเขียว รูปร่างสูงใหญ่ดูสง่าน่าเกรงขาม ซึ่งเหมาะสมกับที่เป็นพาหนะของบุรุษร่างใหญ่ สายบังเหียนม้าล้วนแต่เป็นหนังสีเขียว มีมรกตเป็นเม็ดกระดุม แผงและหางสีเขียวของมันตกแต่งด้วยริบบิ้นทองคำ ที่หน้าผากของมันยังมีกระดิ่งทองคำห้อยลงมาเสียงดังกรุ่งกริ่งในมือของผู้แปลกหน้านั้น มือหนึ่งถือกิ่งฮอลลี่ อีกมือหนึ่งกำอยู่ที่ด้ามสีเขียวของขวานนักรบขนาดใหญ่ ซึ่งมีใบขวานทำด้วยเหล็กกล้าสีเขียวเช่นเดียวกันอัศวินมรกตผู้นี้ ขี่ม้าล่วงล้ำเข้ามาถึงในห้องโถงใหญ่ แล้วก็พูดขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า“ผู้เป็นใหญ่ของบ้านหลังนี้อยู่ที่ไหน”พระเจ้าอาร์เธอร์จึงยืนขึ้นแสดงตัวและกล่าวเชื้อเชิญเป็นเชิงต้อนรับ“ขอเชิญลงจากหลังม้า มาร่วมรับประทานกับพวกเรา นี่คืองานเลี้ยงฉลองต้อนรับปีใหม่ จึงขอต้อนรับแขกทุกๆท่านด้วยความยินดี”“หม่อมฉันไม่ได้มาเพื่อร่วมฉลองงานเลี้ยงกับท่าน” อัศวินมรกตเอ่ยตอบ“นี่เป็นเทศกาลแห่งความยินดีและมีไมตรีจิต” พระเจ้าอาร์เธอร์ตรัสต่อ“ในนามของพระผู้เป็นเจ้า ได้โปรดอำนวยพรให้ท่านจงมาอย่างสันติด้วยเถิด”“ณ เคหสถาน” อัศวินมรกตกล่าวต่อ“หม่อมฉันมาพร้อมหมวกเหล็ก เสื้อเกราะ โล่กำบัง ดาบอันคมกริบและอาวุธอื่นๆอีกมากมายก็หาไม่ ท่านไม่คิดเลยหรืออย่างไรว่า หากหม่อมฉันมาเพื่อการสู้รบกับใครสักคน หม่อมฉันจะมาโดยปราศจากอาวุธแต่เปล่าหรอก ข้าแต่พระเจ้าอาร์เธอร์ หม่อมฉันมาโดยสันติ ด้วยหม่อมฉันได้ยินกิตติศัพท์ล่ำลือกัน ถึงความองอาจกล้าหาญชาญชัย ของเหล่าอัศวินในสำนักโต๊ะกลมของพระองค์ หม่อมฉันจึงมาขอพบอัศวินที่อยู่ ณ ที่นี้ว่า จะมีใครสักคนที่กล้ามาร่วมเล่นเกมกีฬาที่หม่อมฉันจะเสนอนี้”“หากท่านประสงค์จะประลองยุทธ์กับอัศวินของฉัน” พระเจ้าอาร์เธอร์ตรัส“อัศวินหลายคน ณ ที่นี้ก็ย่อมอยากจะร่วมเกมกีฬา ตามที่ท่านท้าโดยมิต้องสงสัย”อัศวินมรกตส่ายศีรษะพลางกล่าวว่า“ที่หม่อมฉันต้องการนั้น มิใช่การต่อสู้แต่อย่างใด มันก็แค่ไม่มากไปกว่าการนำความสนุกสนานเฮฮา มาสู่วงรับประทานอาหารของพวกท่านเท่านั้นเอง”เขายกขวานสีเขียวขึ้น “ถึงแม้นมีการต่อสู้ เด็กๆเหล่านี้ ก็ไม่มีทางที่จะทำอะไรฉันได้อยู่ดี”พูดพลางเขาจ้องมองมาที่กาเวอิน จึงทำให้ความโกรธโหมกระพือไปในหมู่อัศวินโต๊ะกลม แต่ก็หามีใครสักคนปริปากพูดอะไรไม่“มีใครสักคนบ้างไหมที่กล้าแลกฟันขวานกับฉันกันคนละครั้ง หากมีใครสักคนที่ใจกล้า ปรารถนาขวานเล่มนี้ก็โปรดรับเอาไปเป็นเจ้าของได้เลย ฉันจะเป็นฝ่ายให้ฟันก่อน เลือกฟันตรงไหนก็ได้ รับรองฉันจะไม่มีการถดหรือหดหัว แต่ต้องให้สัตย์สัญญากับฉันว่า นับจากวันนี้ไปเป็นเวลาอีกหนึ่งปี เขาคนนั้นจะต้องติดตามค้นหาฉันเพื่อฉันจักเป็นฝ่ายฟันเขาบ้าง หนึ่งครั้งเช่นกันเป็นการแก้คืน”กล่าวเสร็จอัศวินมรกตก็กรอกสายตาอันแดงก่ำและดุดันของเขากวาดไปรอบๆห้องโถง ส่วนมือก็กวัดแกว่งขวานอยู่ไปมา คอยดูทีท่าใครจะเป็นคนรับคำท้าทาย ครั้นไม่เห็นมีใครก้าวออกมา เขาจึงตะเบ็ง ลั่นเสียงหัวเราะจนดังก้องแล้วก็ยืดกายตรงให้สูงเด่นยิ่งกว่าเดิม“ที่นี่เป็นราชสำนักแห่งพระเจ้าอาร์เธอร์จริงล่ะหรือ” เขาตะโกนถามอย่างเย้ยหยัน“แล้วยังจะเรียกได้อย่างไรว่า คนเหล่านี้คืออัศวินโต๊ะกลมผู้มีชื่อเสียง ฉันไม่ยักกะรู้จริงๆว่าพวกท่านเอาเกียรติภูมิมาจากไหน เพียงแค่ฉันเอ่ยถึงขวานเท่านั้น ต่างก็พากันกลัวจนตัวสั่นไปหมด!”แล้วเขาก็เปล่งเสียงหัวเราะออกมาอีกครั้ง จนพระเจ้าอาร์เธอร์ถึงกับพระพักตร์แดงขึ้นมาด้วยความละอายแต่แล้วความอายก็กลายเป็นความเดือดดาลในชั่วเวลานั้น จนเกินกว่าที่พระองค์จะทนฟังอีกต่อไป จึงพุ่งปราดออกไปยืนผงาดอยู่ข้างหน้าโดยพลัน“นี่จะบ้าไปแล้วหรือ ท่านอัศวิน!” พระองค์ตรัส พร้อมกับก้าวเข้าไปหามนุษย์ร่างยักษ์“แต่ถ้าท่านอยากจะเล่นเกมโง่ๆนั่นจริงๆ ก็จงเอาขวานนั้นมาให้ฉัน แล้วก็เตรียมพร้อมเอาไว้!”อัศวินมรกตจึงลงจากหลังม้าแล้วก็ยื่นขวานอันหนักหน่วงนั้นให้แก่พระเจ้าอาร์เธอร์ พระองค์จึงกระชับขวานเล่มเขื่องไว้ในมืออย่างมั่นคง และเตรียมที่จะฟันมันลงไป ทันใดนั้นกาเวอินก็กระโดดออกมาจากที่นั่ง“ได้โปรดเถอะเสด็จอา” เขาเอ่ยขึ้น“ให้หม่อมฉันเป็นคนรับแทนท่านเถิด ด้วยหม่อมฉันยังจะต้องพิสูจน์ตนเอง ว่าค่าควรแก่ความเป็นอัศวินโต๊ะกลมเพียงใด และนี่ก็ถือว่าเป็นโอกาสของหม่อมฉัน”แรกทีเดียวพระเจ้าอาร์เธอร์ก็ยังไม่ทรงวางพระทัย แต่พอเห็นความมุ่งมั่นของชายหนุ่มที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าพระองค์จึงมีดำริใหม่ แล้วก็มอบขวานนั้นให้กับเขา พร้อมทั้งทรงอำนวยพรให้โชคดี“ฉันรู้สึกดีใจที่อย่างน้อยก็มีคนในหมู่ที่เรียกตัวว่าอัศวิน มีความกล้าหาญพอที่จะเข้ามารับคำท้า”อัศวินมรกตกล่าว“เจ้าชื่ออะไรล่ะ ไอ้หนู”“ฉันมีนามว่ากาเวอิน” เสียงตอบกลับมา“และฉันก็เป็นอัศวินคนหนึ่ง ในหมู่อัศวินโต๊ะกลม หาใช่เด็กชายไม่ ฟังนะท่านอัศวินเขียวผู้แปลกหน้า ด้วยเกียรติของอัศวิน ฉันขอให้สัญญาว่าฉันจะฟันท่านหนึ่งครั้ง และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเมื่อล่วงไปอีกหนึ่งปี ฉันก็จะให้ท่านฟันแก้คืนหนึ่งครั้งเช่นเดียวกัน แต่ว่าฉันจะพบท่านได้ที่ไหนล่ะเมื่อเวลาผ่านพ้นไปจนครบกำหนด”อัศวินมรกตเปล่งเสียงหัวเราะ“นั่นเป็นเรื่องที่ท่านจะต้องค้นหาด้วยตัวท่านเอง เอาล่ะ ลงมือฟันฉันได้ ครั้งเดียวเท่านั้นนะไม่มีมากกว่านี้”พูดเสร็จเขาก็นั่งคุกเข่าและโน้มศีรษะลงมาเพื่อรองรับกับแรงขวานที่จะฟาดลงไป เขารวบผมไปข้างหน้า เผยให้เห็นต้นคอสีเขียวอย่างชัดเจน กาเวอินกระชับขวานไว้ในมือ สูดลมหายใจเต็มที่ เงื้อขวานด้วยแรงอย่างสุดกำลัง แล้วก็เขยิบเท้าไปข้างหน้าหน่อยหนึ่ง พร้อมๆกับนำขวานแหวกอากาศ ฟาดลงที่ก้านคออันเปลือยเปล่าของอัศวินมรกตจนสุดแรงเกิด คมขวานอันคมกริบเฉือนผ่านเนื้อหนังและกระดูก เลยลงไปกระทบกับพื้นหินจนเกิดสะเก็ดประกายไฟศีรษะอันใหญ่โตของผู้องอาจตกลงสู่พื้นและกลิ้งออกไปอย่างช้าๆ ภาพที่เห็นคือสีของเลือด แดงฉานตัดกับสีเขียวของร่างหัวกุด คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็ลุกขึ้นและส่งเสียงชื่นชมกับฝีมือการฟัน“เขาได้เล่นเกมสมใจกับที่เขาวอนหาจริงๆ บุรุษเขียวผู้แปลกหน้าเอ๋ย” อัศวินโต๊ะกลมท่านหนึ่งเอ่ยขึ้นแต่แล้วความชื่นชมของหมู่คนทั้งหลายที่อยู่ในเหตุการณ์ก็ต้องกลับกลายเป็นความฉงนสนเท่ เมื่อได้ประจักษ์แก่ตาว่าร่างของอัศวินมรกตไม่ยอมล้มคว่ำ หรือ แม้แต่แสดงอาการกระตุกเจ็บปวดเลยแม้แต่นิด ตรงกันข้ามเขากลับยืนขึ้น แล้วก้มลง เอื้อมมือไปรวบผมและหิ้วเอาศีรษะสีเขียวของตนขึ้นมา เดินไปที่ม้า แล้วก็กระโดดขึ้นไปนั่งบนอานม้า ดูประหนึ่งว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท่ามกลางสายตาที่มองมาด้วยความงุนงงสงสัย เขายกศีรษะตนเองขึ้นสูง หันใบหน้าไปทางกาเวอิน และมีเสียงเปล่งออกมาจากปากความว่า:“โปรดรักษาสัญญาเซอร์กาเวอินหนึ่งปีสิ้นพบกันไม่ทันสายใช่ลำบากหากตามถามทุกรายพบดั่งหมายปราสาทใหญ่ฉันไกลตาผ่านสิงขรจรหุบเหวเขตเวลส์โน้นดงดิบโพ้นเวอร์รัลไกลฟากไพรหนากรีนชัพเพิล เรียกขานบุราณมาที่สัญญาเราสองต้องพบกันจงถามหาอัศวินถิ่นดาบสคนรู้หมดถ้าถามถึงนามฉันหากตามหาย่อมพบประสบพลันลืมคำมั่นท่านคงอยู่...อดสูใจ”นับจากวันนั้นเป็นต้นมา ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรเป็นเรื่องพูดคุยที่ตื่นเต้นมากไปกว่าเรื่องของอัศวินมรกตศีรษะของเขา กับขวานเล่มเขื่อง ซึ่งยังคงวางไว้ที่ผนังห้องโถงให้ผู้คนได้ดูเป็นขวัญตา กาเวอินพยายามทำให้มันดูเป็นเรื่องเล็กน้อยแล้วก็หัวเราะ เขายังบอกว่า มันก็เป็นเพียงแค่การเล่นตลกวันคริสต์มาสเท่านั้นเองแต่เมื่อวันวาร ฤดูกาลผันผ่านไป หิมะหลอมละลาย ใบไม้ผลิเป็นสีเขียว พืชหัวแทงหน่อดีดยอดอ่อนขึ้นพ้นดินฤดูร้อนเข้ามาเยือน แล้วก็เลื่อนเข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยว กาลแห่งใบไม้ร่วงก็ใกล้มาถึง เมื่อปรากฏสีแดง สีเหลืองและสีส้มจนดูลานตา ขึ้นไปแต่งแต้มแทนสีเขียวของหมู่แมกไม้ ณ บัดนี้เอง กาเวอินถึงได้ตระหนักว่าเหตุการณ์ในวันนั้น มันไม่ใช่เพียงแค่การเล่นตลกวันคริสต์มาสธรรมดาอย่างแน่นอน เขาจึงเตรียมพร้อมที่จะออกเดินทางเพื่อติดตามหาอัศวินมรกต ตามที่ได้สัญญากันเอาไว้ดังนั้นในรุ่งเช้าวันแรกของเดือนพฤศจิกายน เขาจึงจัดแจงแต่งกาย ด้วยชุดนักรบ สวมใส่เสื้อเกราะ เหน็บดาบประจำกาย และในมือก็ถือเอาขวานเล่มเขื่องของอัศวินมรกต แล้วกระโดดขึ้นหลังม้าศึก นามว่ากรินกาเร็ตพร้อมกันนั้นทหารรับใช้ ก็รีบนำเอาหมวกเหล็กสมรภูมิมายื่นให้ ขณะที่ในใจก็เฝ้าตระหนักถึงคำพูดของบุรุษร่างใหญ่ที่ให้ไว้ก่อนไป จากนั้นก็ออกเดินทางมุ่งผจญต่อภยันตรายที่อาจรออยู่เบื้องหน้ากาเวอินควบม้าไปเพียงลำพัง เข้าสู่ดินแดนกันดาร ผ่านป่าทึบหนา ภูผาชัน ภูเขาหลายชั้น และลดหลั่นขึ้นและลงหุบเหว จนล่วงเข้าเขตเวลส์แดนไกล เขาต้องฝ่าฟันกับอากาศอันโหดร้าย ทั้งหิมะ พายุฝน ธารน้ำแข็ง และหมอกหนาอันมืดมนเขารอนแรมไปอย่างโดดเดี่ยว ในยามค่ำคืนก็หลับนอนทั้งในชุดนักรบ ท่ามกลางอากาศหนาวยะเยือก และโขดหินอันแหลมคม พบเห็นใครเขาก็ไต่ถามว่า“ท่านรู้จักสถานที่ซึ่งเรียกว่ากรีนชัพเพิล หรือ อัศวินมรกต ผู้ดูเขียวไปหมดทั้งกายบ้างไหม”แต่ก็หามีใครรู้จักไม่ บ่อยครั้งที่เขาถูกจู่โจมจากฝูงหมาป่า หมีป่า และพวกโจรไพร กระนั้นเขาก็ยังอุตส่าห์ถามไถ่พวกเขาว่า“พวกท่านพอจะรู้จักสถานที่ซึ่งเรียกว่ากรีนชัพเพิลหรืออัศวินมรกตซึ่งดูเขียวไปหมดทั้งกายบ้างไหม”เขาไม่ได้เบาะแสอะไรเลยจากพวกเขา คงทิ้งไว้แต่ร่องรอยของดาบบิ่นจากการต่อสู้กับความรอดของชีวิตเขาเองในระหว่างการเดินทางผจญภัย เขาได้ช่วยเหลือเด็กที่กำลังจะจมน้ำ ช่วยเหลือพวกผู้หญิงที่ถูกโจรจับไปเรียกค่าไถ่ ปลดปล่อยกวางป่าที่ติดกับดัก และช่วยเหลือผู้คนขึ้นจากหล่มลึก เขาก็มิวายที่จะถามคนที่ได้รับความช่วยเหลือจากเขาเหล่านั้นว่า รู้จักกรีนชัพเพิลและอัศวินมรกตบ้างไหม ทว่าเขาก็ได้รับแต่เพียงคำขอบคุณจากคนเหล่านั้น และการจุมพิตตอบอย่างซาบซึ้งในบุญคุณจากสุภาพสตรีกลุ่มดังกล่าวเขาขี่ม้าฝ่าลมแรง แข่งไปกับใบไม้ที่กำลังร่วงหล่นลงเป็นสาย ย่ำไปในป่าเฟิร์นที่เต็มไปด้วยเกล็ดน้ำแข็งซึ่งปกคลุมหุ้มห่อเพราะความเหน็บหนาว และความเลวร้ายของอากาศท่ามกลางเม็ดฝนที่กำลังเทกระหน่ำลงมาอย่างต่อเนื่อง พลางในใจเขาก็รำพึงขึ้นว่า เขาคงไม่มีทางพบเห็นกรีนชัพเพิลได้ทันในห้วงปีใหม่นี้เป็นแน่แท้ และอัศวินมรกตจักต้องตราหน้าเขาว่าเป็นคนขี้ขลาดและไม่รักษาคำมั่นสัญญาอย่างไม่ต้องสงสัยครั้นแล้วห่าลูกเห็บขนาดเขื่องก็เทลงมา คราวนี้เขาแทบจะไม่สนใจไยดีที่จะคิดเรื่องนี้ต่อไปอีกแล้ว เมื่อโดนเข้ากับห่าลูกเห็บประหนึ่งถูกปาด้วยก้อนศิลา จนเสื้อเกราะบุบบี้ เขาเองก็สะบักสะบอมแทบจะสิ้นแรงเพราะว่าฟกช้ำดำเขียวไปทั้งกาย มีเพียงปลายจมูกและนิ้วที่ยังพอเห็นเป็นสีผิวของคนอยู่บ้างทันใดนั้น เขาก็มองเห็นปราสาทใหญ่หลังหนึ่ง โดดเด่นปรากฏอยู่เบื้องหน้า เขาจึงใคร่ที่จะเข้าไปขออาศัยพักผ่อนเอาแรงในนั้นสักหนึ่งคืน ซึ่งวันนั้นเป็นวันก่อนคริสต์มาสหนึ่งวันหรือวันคริสต์มาส อีฟผู้เป็นเจ้าของปราสาทได้ให้การต้อนรับเขาเป็นอย่างดีเสมือนหนึ่งว่าเป็นมิตรสหายกันมาก่อน“ขอเชิญท่านเข้ามาข้างในเถิด! เชิญนั่งตามสบาย! เชิญรับประทาน! เชิญดื่ม! ทำตัวให้ท่านเองอบอุ่น! พักที่นี่สักคืน! หรือยี่สิบคืน! ท่านดูเหน็ดเหนื่อยเอามากเลย เดี๋ยวฉันจะไปหาเสื้อผ้าใหม่มาให้ท่านเปลี่ยน”“เตียงนอนคือสิ่งที่วิเศษที่สุดเลยทีเดียวสำหรับฉันเวลานี้ เฉกเช่นเดียวกันกับแมรี่ที่เมืองเบธเลเฮ็มของวันแรกแห่งคริสต์มาส อีฟ” กาเวอินเอ่ยขึ้น“แต่ฉันก็ไม่อาจจะพักอยู่ที่นี่ได้ เพราะฉันกำลังสืบเสาะหากรีนชัพเพิลและคนร่างยักษ์สีเขียวที่อาศัยอยู่ที่นั่นฉันจะต้องหาให้พบและทันกับวันขึ้นปีใหม่”“ถ้าเช่นนั้นท่านก็สามารถพักอยู่ที่นี่ได้เป็นสัปดาห์!” เจ้าของปราสาทอุทานขึ้น“เพราะว่ากรีนชัพเพิลก็อยู่ห่างจากที่นี่เพียงแค่สองไมล์เท่านั้นเอง”ข่าวนี้ทำให้หัวใจของกาเวอินฝ่อลงไปไม่น้อย แต่ถึงอย่างไรเขาก็จักต้องรักษาคำมั่นสัญญาเอาไว้ นั่นก็หมายความว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกไม่ทันได้เห็นฤดูใบไม้ผลิที่กำลังจะมาถึงนี้เป็นแน่ มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้แต่อย่างน้อยในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิตก็ไม่จำเป็นต้องทนเหน็บหนาวและเปียกปอนอยู่นอกบ้านเยี่ยงนี้อีกต่อไป เขาคิดอย่างปลงตกจึงได้ยินยอมรับคำเชื้อเชิญจากเจ้าของปราสาท
ในกาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ยังมีกษัตริย์พระองค์หนึ่งมีความสามารถพิเศษในการได้ยินหรือรับฟังเรื่องราวจากทุกสารทิศทั่วทั้งอาณาจักรของพระองค์ ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีเรื่องราวใดๆให้เหลือเป็นความลับสำหรับพระองค์เลยราวกับว่าความรอบรู้อันมหัศจรรย์นั้นถูกเสกเป่าขึ้นมาได้ดังใจนึกอย่างไรก็ตามพระองค์จะมีกิจวัตรที่น่าแปลกอยู่อย่างหนึ่งก็คือทุกๆวันหลังจากเสวยอาหารมื้อเย็นและเก็บจานอาหารออกจากโต๊ะหมดแล้ว เมื่อคนรับใช้ทั้งหมดออกไปแล้วก็จะมีคนรับใช้ที่ไว้วางใจได้ที่สุดคนหนึ่งนำจานใส่อาหารที่มีฝาปิดมิดชิดมาให้เสวยเสมอแต่คนรับใช้คนนั้นก็ไม่รู้ว่าอาหารในจานนั้นคืออะไร และไม่มีใครเลยที่จะล่วงรู้ได้นอกเสียจากพระองค์เองเพราะพระองค์จะรอจนกว่าจะมั่นใจว่าพระองค์อยู่เพียงตามลำพังเสียก่อนจึงจะเปิดฝาเพื่อเสวยอาหารในจานนั้นเหตุการณ์เช่นนี้ได้ดำเนินติดต่อกันมาเป็นเวลายาวนาน จนกระทั่งในวันหนึ่งชายคนรับใช้ผู้ทำหน้าที่นำจานอาหารปริศนาไปถวายกษัตริย์อยู่เป็นประจำนั้น อดทนต่อความอยากรู้อยากเห็นไม่ไหวเขาจึงแอบนำจานอาหารดังกล่าวเข้าไปที่ห้องส่วนตัวเขาและทันทีที่เขาปิดประตูลงกลอนอย่างดีแล้วเขาก็จัดการเปิดฝาจานอาหารออกดู ปรากฏว่าสิ่งที่อยู่ในจานอาหารนั้นคือเนื้องูเผือก เขาบังเกิดความอยากลิ้มลองรสชาดของเนื้องูเผือกนั้นเหลือที่สุด จึงอดไม่ได้ที่จะเฉือนเนื้องูเผือกหน่อยหนึ่งมาชิมดู ทันทีที่ลิ้นเขาได้สัมผัสกับเนื้องูเผือกเขาก็ได้ยินเสียงอันแปลกประหลาดแว่วเข้ามาทางหน้าต่าง เขาจึงเดินไปที่ริมหน้าต่างแล้วตั้งใจฟัง ปรากฏว่าเป็นเสียงสนทนากันของนกกระจอกที่กำลังบอกเล่าถึงทุ่งหญ้าและป่าไม้ที่ได้ไปเห็นมาของแต่ละตัวใช่แล้ว! เนื้องูเผือกได้ให้คุณวิเศษนี้ทำให้เขาสามารถฟังและเข้าใจภาษาของสัตว์ได้อย่างมหัศจรรย์ต่อมาในวันหนึ่งพระธำมรงค์หรือแหวนของพระราชินีได้หายไป ผู้ที่ถูกสงสัยมากที่สุดก็ได้แก่คนรับใช้ใกล้ชิดที่ได้รับความไว้วางใจ ซึ่งก็คือชายคนที่ถวายอาหารจานปริศนานั่นเอง เขาได้ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนขโมยแหวนไป ดังนั้นพระราชาจึงเรียกเขาเข้าเฝ้าและถูกตัดพ้อต่อว่าต่างๆนาๆและควรแก่การเป็นผู้รับผิดพร้อมกับถูกคาดโทษเอาไว้ เว้นแต่เขาจะสามารถหาตัวขโมยมาได้ภายในวันรุ่งขึ้น ไม่ว่าเขาจะพยายามชี้แจงแสดงเหตุผลถึงความบริสุทธิ์ใจของเขาอย่างไรพระราชาก็ไม่ยอมเชื่อหรือลดโทษให้เขาแม้แต่น้อย ความกลัดกลุ้มและวิตกกังวลอย่างมากจึงตกแก่เขา ด้วยเหตุนี้เขาจึงเดินเรื่อยเปื่อยไปตามอุทยานหลังพระราชวัง เพื่อคิดหาทางออกกับปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่เขาเดินผ่านไปทางฝูงเป็ดที่กำลังป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆคลองน้ำ มันใช้ปากแบนๆไซ้ขนอยู่ให้กับตัวเองในขณะที่พวกมันหยุดพักและพูดคุยกัน เขาจึงหยุดอยู่ตรงนั้นเพื่อตั้งใจฟังพวกเป็ดสนทนากัน พวกมันพูดถึงว่าเมื่อวานนี้ว่ายน้ำหากินกันตลอดช่วงเช้าเลยและมีของกินดีๆทั้งนั้น มีเป็ดตัวหนึ่งพูดขึ้นอย่างน่าเห็นใจว่า“มีอะไรบางอย่างหนักๆติดอยู่ที่คอหอยฉันนี่ มันคงจะเป็นแหวนซึ่งตกอยู่ใต้ถุนตรงหน้าต่างของพระราชินี ซึ่งข้าบังเอิญเผลอกลืนมันเข้าไปเพราะความรีบร้อน”เขาได้ยินดังนั้นก็ตรงเข้าไปจับเอาเป็ดตัวนั้นแล้วนำมันไปยังโรงครัวพร้อมกับกล่าวแก่พ่อครัวว่า“จัดการฆ่าเป็ดตัวนี้ซะ เพราะมันอ้วนพีพอที่จะทำเป็นอาหารได้แล้ว”“ได้ขอรับ” พ่อครัวรับคำ แล้วเขาก็ชั่งน้ำหนักมันคร่าวๆด้วยมือ“เออ! มันไม่มีไขมันเลยนี่ มันเหมาะถูกเชือดมาตั้งนานแล้วนี่นา”พ่อครัวจึงเชือดคอเป็ดตัวนั้นทันทีและสิ่งที่เห็นในเวลานั้น ก็คือแหวนของพระราชินีซึ่งติดอยู่ในคอหอยของมันนั่นเอง ดังนั้นคนรับใช้ก็สามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองได้และเพื่อเป็นการไถ่ถอนการกล่าวหาอย่างปักปรำที่ไม่เป็นธรรมแก่เขา พระราชาจึงขอให้เขาเรียกร้องเอาเกียรติยศสูงสุดเท่าที่พระราชสำนักจะประทานให้แก่เขาได้ตามความประสงค์แต่เขาก็ปฏิเสธที่จะเรียกร้องเอายศถาบรรดาศักดิ์หรือตำแหน่งใดๆ นอกจากขอเอาเพียงม้าและเงินจำนวนหนึ่งเพื่อใช้ในการเดินทางไปผจญภัยต่อโลกกว้าง พระราชาก็ประทานของดังกล่าวตามคำร้องขอ เขาจึงออกเดินทางด้วยการขี่ม้าพเนจรรอนแรมไปตามป่าเขาลำเนาไพรอย่างเสรี ในวันหนึ่งเขาก็มาถึงแอ่งน้ำแห่งหนึ่งเขาพบว่ามีปลาอยู่สามตัว กำลังกระเสือกกระสนดิ้นรนหาแหล่งน้ำแห่งใหม่เพราะน้ำในแอ่งนั้นกำลังแห้งขอดลงแม้ว่าปลาจะเป็นเพียงสัตว์ที่ไม่มีคุณค่าอะไรแต่เพราะความเข้าใจถึงความโศกสลดและสิ้นหวังที่พวกมันกำลังรอความตายอยู่ กอปรกับจิตใจของเขาที่มีความเมตตาอารี เขาจึงลงจากหลังม้าแล้วนำปลาทั้งสามตัวไปปล่อยยังแม่น้ำอันกว้างใหญ่ พวกมันตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างยิ่ง ก่อนที่จะว่ายน้ำหายไปพวกมันก็โผล่หัวขึ้นมาพูดกับเขาว่า“พวกเราจะจดจำและจะทดแทนบุญคุณแก่ท่านที่ได้ช่วยเหลือพวกเราในครั้งนี้”จากนั้นเขาก็ขี่ม้าต่อไปอีกและไม่นานเขาได้ยินเสียงเล็กๆดังแว่วมาจากพื้นดินบริเวณเท้าของม้า เขาจึงตั้งใจฟังก็รู้ว่าพญามดกำลังบ่น“นี่ถ้าเพียงแต่คนบังคับให้มันวิ่งไปทางอื่นนะ เจ้าม้าตีนหนักนั่นคงไม่ห้อมาเหยียบพวกเราชาวมดเป็นแน่ นั่นมันกำลังมาอีกแล้ว!”เขาได้ยินเช่นนั้นก็บังคับม้าให้หลบไปเดินข้างทางเพื่อหลีกเลี่ยงการรบกวนพวกมด พญามดเห็นเช่นนั้นก็กล่าวแก่เขาว่า“พวกเราจะตอบแทนบุญคุณแก่ท่าน!”เส้นทางหนึ่งได้นำเขาผ่านเข้าไปยังป่าทึบซึ่งมีกาตัวผู้กับตัวเมียคู่หนึ่ง กำลังขับไล่ลูกอ่อนของมันออกจากรัง“ไปให้พ้น! พวกไอ้ลูกกาเหลือขอ!” พ่อแม่กาตะโกนขับไล่ไสส่ง“พวกข้าจะไม่เลี้ยงดูเจ้าอีกต่อไปเพราะพวกแกโตพอที่จะหากินด้วยตนเองได้แล้ว !” พวกลูกกาตัวเล็กๆผู้น่าสงสารก็ถูกพ่อแม่กาเขี่ยให้ตกจากรังมานอนหงายอยู่กับพื้นดิน พยายามกระพือปีกที่บินยังไม่ได้แล้วก็พากันร้องไห้“พวกเราตกที่นั่งลำบากกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่อาจจะช่วยเหลือตัวเองอะไรได้ อย่าว่าแต่บินเลยแม้แต่จะปกป้องตนเองก็ไม่ได้! พวกเราคงจะตายกันเพราะความหิวโซ!”เขาได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกสงสารจึงลงจากหลังม้า และจัดการฆ่าม้าของตัวเองด้วยมีดพกแล้วทิ้งซากม้าไว้ ให้เป็นอาหารของลูกกาเหล่านั้นได้กินไปตลอดจนพวกมันโตขึ้นและแข็งแรงพอที่จะบินออกหากินได้เองในวันข้างหน้า พอพวกมันได้ซากม้าไว้กินก็พากันดีใจและกระโดดโลดเต้นพร้อมกับร้องบอกว่า“พวกเราจะไม่ลืมและจะตอบแทนบุญคุณของท่าน”คราวนี้เขาจึงต้องเดินทางต่อด้วยเท้าจนกระทั่งผ่านมาถึงเมืองใหญ่แห่งหนึ่ง ที่เมืองแห่งนี้กำลังคราคร่ำไปด้วยผู้คนและอึงอลไปด้วยเสียงของคนจำนวนมากในท้องถนน มีทหารขี่ม้ากำลังป่าวประกาศบอกว่า“ขณะนี้พระธิดาของพระราชากำลังเสาะแสวงหาเนื้อคู่ เพื่ออภิเษกสมรสด้วย หากชายหนุ่มคนใดปรารถนาจะแต่งงานกับพระธิดา จะต้องมีความสามารถทำงานอันยากยิ่งให้สำเร็จแต่ถ้าทำไม่สำเร็จก็หมายถึงชีวิต”ชายหนุ่มหลายต่อหลายคนต่างได้พยายาม แต่ก็ต้องสังเวยชีวิตของตนเองเป็นสิ่งตอบแทน เพราะทำงานอันยากยิ่งเหล่านั้นไม่สำเร็จ ต่อมาเมื่อเขาได้มีโอกาสพบเห็นพระธิดาเขาก็ต้องตกตะลึงในความสวยงามของเธอจนไม่นึกถึงภยันตรายใดๆดังนั้นเขาจึงเข้าเฝ้าพระราชาและขอรับทำงานอันยากยิ่งนั้นเพื่อชิงตำแหน่งคนรักของพระธิดาเขาถูกพาไปยังชายทะเลอันกว้างใหญ่จากนั้นผู้ทดสอบก็ได้ขว้างแหวนทองคำลงไปในน้ำต่อหน้าเขา พระราชาบอกให้เขาไปงมเอาแหวนขึ้นมาจากก้นทะเล โดยตรัสว่า“ถ้าเจ้าไม่สามารถนำแหวนกลับคืนมาได้ เจ้าจะต้องถูกจับกดหัวไว้ใต้คลื่นทะเลระลอกแล้วระลอกเล่าจนกว่าเจ้าจะจมน้ำตายไปในที่สุด”ทุกคนที่มามุงดูต่างก็รู้สึกสงสารชายหนุ่มรูปงามคนนั้นเหลือที่สุด แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรได้ นอกจากเดินจากไปและทิ้งเขาไว้แต่เพียงลำพัง เขายืนครุ่นคิดอยู่ริมฝั่งทะเลว่าจะทำอย่างไรดีแต่แล้วก็มีปลาสามตัวว่ายน้ำเข้ามาไม่ใช่ปลาอื่นไกลที่ไหนแต่เป็นปลาที่เขาเคยช่วยเหลือเอาไว้นั่นเอง หนึ่งในสามตัวอมเปลือกหอยไว้ในปากแล้วมันก็นำมาวางไว้ตรงเท้าของเขา พอเขาหยิบเปลือกหอยนั้นขึ้นมาและเปิดออกดูก็พบว่ามีแหวนทองคำอยู่ข้างใน!เขาสุดแสนจะดีใจและรีบนำแหวนนั้นไปคืนพระราชา โดยคาดหวังไว้ว่าจะได้แต่งงานกับพระธิดาเป็นของรางวัล แต่แล้วด้วยค่าอันสูงศักดิ์แห่งพระธิดาเขาก็ถูกให้ทดสอบกับงานอันยากยิ่งชิ้นใหม่ คราวนี้เขาถูกนำไปยังอุทยานหรือสวนหลังพระราชวังซึ่งใช้เป็นที่เทเมล็ดข้าวเปลือกไปทั่วสนามหญ้าจำนวนสิบกระสอบ พระธิดาได้พูดกับเขาว่า“ก่อนดวงตะวันจะโผล่พ้นขอบฟ้าในเช้าวันพรุ่งนี้ เจ้าจะต้องเก็บเมล็ดข้าวเปลือกใส่กระสอบเหล่านี้ให้เสร็จโดยไม่ให้หลงเหลือแม้แต่เมล็ดเดียว”ชายหนุ่มนั่งลงที่อุทยานแห่งนั้นและเฝ้าครุ่นคิดว่าเป็นไปได้อย่างไรที่จะทำงานชิ้นนี้ เมื่อคิดอะไรไม่ออกเขาจึงนั่งจับเจ่าอยู่ที่นั่น คร่ำครวญด้วยความโศกเศร้าด้วยคิดว่า ในวันพรุ่งนี้ชีวิตเขาคงไม่รอดแน่ แต่แล้วพอแสงเงินแสงทองเริ่มเยือนขอบฟ้าและทาบลำแสงแรกลงสัมผัสพื้นอุทยานเขาก็สังเกตเห็นว่ากระสอบข้าวเปลือกทั้งสิบกระสอบ ได้ถูกบรรจุไว้เต็มและวางเรียงกันอยู่เป็นที่เรียบร้อยแล้วโดยที่ไม่มีหลงเหลืออยู่กับพื้นเลยแม้แต่เมล็ดเดียว ก็เพราะว่าพญามดได้นำฝูงมดจำนวนมากมายมหาศาล มาในเวลาค่ำคืนนั้นแล้วช่วยกันขนเมล็ดข้าวเปลือกใส่กระสอบปานประหนึ่งโรงงานบรรจุหีบห่อด้วยความสำนึกในบุญคุณของชายหนุ่มนั่นเองในเช้าวันนั้นพระธิดาก็ได้มาเห็นและทึ่งในความสำเร็จของงานที่มอบหมายให้ชายหนุ่มทำ แต่ด้วยความเป็นสตรีสูงศักดิ์นางก็หาได้ใจอ่อนไม่ พลางก็พูดขึ้นว่า“ถึงแม้ว่าเขาจะทำงานอันยากยิ่งทั้งสองอย่างนั้นสำเร็จลงแต่ก็ใช่ว่าเขาจะเป็นเจ้าบ่าวของฉันเลยเสียทีเดียวเว้นเสียแต่ว่าเขาจะสามารถไปนำเอาผลแอปเปิลจากต้นไม้แห่งชีวิตมาได้”ชายหนุ่มไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าต้นไม้แห่งชีวิตที่ว่านั้นมีอยู่ ณ ที่แห่งหนตำบลใด เขาได้แต่ออกย่ำเท้าเดินป่าฝ่าดงไปอย่างไม่รู้จุดหมายปลายทาง แต่เขาก็ไม่พบวี่แววแห่งความหวังที่จะได้ผลแอปเปิลดังกล่าว หลังจากออกเดินทางผ่านไปได้สามอาณาจักร ในตอนค่ำวันหนึ่งเมื่อเขาเดินทางมาถึงป่าแห่งหนึ่งเขาจึงหยุดพักและนั่งลงใต้ต้นไม้ใหญ่เพื่อพักหลับนอน ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างปะทะกับกิ่งไม้และพลันผลแอปเปิลเหลืองทองก็หล่นลงมาใส่อุ้งมือของเขาพอดี อึดใจต่อมาก็มีกาสามตัวบินตรงมาเกาะที่หัวเข่าของเขาแล้วพูดว่า“พวกเราเป็นลูกกาสามตัวที่ท่านเคยช่วยให้รอดพ้นจากความหิวโซคราวนั้นอย่างไรล่ะ พวกเราโตกันหมดแล้วและได้ข่าวว่าท่านกำลังเสาะแสวงหาผลแอปเปิลเหลืองทอง พวกเราจึงได้บินข้ามน้ำข้ามทะเลไปยังดินแดนแห่งแผ่นดินสุดซึ่งมีต้นไม้แห่งชีวิตอยู่ ณ ที่นั่น แล้วก็คาบเอาผลแอปเปิลกลับมาให้ท่าน”เขารู้สึกปลื้มปิติยินดีเหลือที่สุด จึงได้รีบเดินทางกลับทันทีและนำผลแอปเปิลเหลืองทองนั้นมาให้พระธิดา ซึ่งคราวนี้นางก็ไม่อาจจะปฏิเสธความสามารถของเขาได้อีกต่อไปดังนั้นเขาและพระธิดาจึงได้แบ่งครึ่งผลแอปเปิลแห่งชีวิต และรับประทานด้วยกันคนละครึ่ง พอรับประทานเข้าไปเท่านั้นเอง ก็บังเกิดให้หัวใจของเขาทั้งคู่เอ่อท้นล้นไปด้วยความรักที่มีต่อกัน ทั้งสองจึงได้ครองชีวิตคู่ร่วมกันอย่างมีความสุขสืบต่อมาตราบชั่วอายุขัย เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
ในกาลครั้งหนึ่งยังมีพระราชาที่มีพระราชธิดา ผู้ทรงมีความสวยสดงดงามจนเป็นที่เลื่องลือหากแต่ว่าพระธิดากลับเป็นผู้มากไปด้วยความหยิ่งทะนงในตนเองและถือดีเกินกว่าที่จะยอมรับใครได้ว่ามีความเหมาะสมและดีสำหรับเธอ หลายต่อหลายคนถูกเธอปฏิเสธแล้วปฏิเสธเล่า มิหนำซ้ำพระธิดายังทำให้พวกเขาเหล่านั้นต้องถูกหัวเราะเยาะอย่างน่าขบขันคราวหนึ่งพระราชาได้จัดให้มีงานเลี้ยงอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อเชื้อเชิญชายหนุ่มทั้งหลายที่ปรารถนาจะแต่งงานจากทั่วสารทิศทั้งใกล้และไกลมาร่วมงาน ชายหนุ่มเหล่านั้นก็จะถูกจัดให้นั่งเป็นแถวตามลำดับยศถาบรรดาศักดิ์ นับตั้งแต่พระราชา เจ้าชาย ขุนนางตามลำดับชั้นยศ และพ่อค้าคหบดีตามลำดับ จากนั้นเจ้าหญิงก็เสด็จทอดพระเนตรต่อหน้าเหล่าชายหนุ่มทั้งหลาย แต่ละคนก็ล้วนแต่ถูกพระธิดาล้อเล่น มีคนหนึ่งรูปร่างอ้วนท้วน“โอ่งน้ำ อะไรกันนี่!” เธอพูด อีกคนรูปร่างสูงมาก“ยาวแล้วผอมถนัด ดูขัดตา!” เธอตำหนิ อีกคนหนึ่งรูปร่างเตี้ย“อ้วนและเตี้ยเสียบุคลิก” เธอพูด อีกคนหนึ่งผิวซีดมาก“ซีดเป็นหัวไก่ต้ม!” แต่อีกคนหน้าแดงเธอก็เรียกเขาว่า“แดงเป็นหัวไก่ชน!” อีกคนที่ดูไม่ค่อยทะมัดทะแมงเธอก็เรียกเขาว่า“ไม้ตายซาก!” ด้วยเหตุนี้ทุกคนก็จะมีลักษณะเฉพาะตัวที่ถูกพระธิดาทรงเรียกล้อเลียน แต่มีเจ้าชายคนหนึ่งที่ถูกเธอล้อเลียนด้วยความประทับใจ ด้วยเจ้าชายรูปร่างสูงสมส่วนและที่คางมีเครากำลังขึ้นไม่มาก“นั่นดูสิ!” เธอร้องลั่น พร้อมกับหัวร่องอหงาย“เขามีคางยังกะรังนกกระจอกแน่ะ!”เหตุนั้นคนทั้งหลายจึงได้ขนานนามเจ้าชายพระองค์นั้นว่าเจ้าชายเครานกกระจอก ครั้นพระราชาทรงเห็นว่าพระธิดาของพระองค์เอาแต่พูดล้อเลียนชายหนุ่มทั้งหลายเหล่านั้นอย่างไม่ไว้หน้าใครเลย พระองค์ก็ทรงกริ้วมากและกล่าวเป็นคำขาดให้กับตนเองว่าพระธิดาจะต้องได้สามีเป็นชายขอทานที่เซซังมายังประตูของพระราชวังเป็นคนแรกสองสามวันต่อมาก็มีวณิพกเร่ร่อนผ่านมา เขาเข้ามาร้องเพลงเพื่อแลกเปลี่ยนกับเสื้อผ้าและอาหารเล็กๆน้อยๆอยู่เบื้องล่างหน้าต่างปราสาทของพระราชา ครั้นพระราชาได้ยินเสียงเพลงของวณิพก พระองค์ก็ให้นำตัวชายขอทานเข้าเฝ้า เขาเข้าไปในพระราชวังด้วยเครื่องนุ่งห่มอันสกปรกมอมแมมและได้ร้องเพลงต่อพระพักตร์พระราชาและพระธิดา เมื่อชายขอทานร้องเพลงเสร็จเขาก็ได้กล่าวขอรับรางวัลเล็กๆน้อยๆต่อพระราชาแต่พระองค์กลับพูดว่า“ด้วยเพลงของท่านไพเราะยิ่งนัก ข้าขอมอบบุตรสาว คือพระราชธิดาให้เป็นศรีภรรยาท่าน”เจ้าหญิงถึงกับหน้าซีดด้วยความตระหนกตกพระทัย แต่พระราชาก็ยังพูดสำทับอีกว่า“ด้วยข้าได้ให้สัตย์ปฏิญาณแล้วว่าข้าจะมอบเธอให้กับชายขอทานคนแรกที่มายังปราสาทของเราเหตุนั้นจึงสมควรให้เป็นไปตามนี้”ด้วยกษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ การแต่งงานของเจ้าหญิงกับชายขอทานจึงได้ถูกกำหนดขึ้นอย่างไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ และเมื่อพิธีการต่างๆได้ผ่านพ้นไปแล้วพระราชาก็ได้พูดขึ้นว่า“เอาล่ะ บัดนี้เธอได้เป็นภรรยาของคนขอทานแล้ว ฉะนั้นเธอจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะอยู่อาศัยในมหาปราสาทอีกต่อไป แต่จงตามไปอยู่กับสามียาจกของเธอนั้นเสีย”ชายขอทานจึงพาภรรยาของเขาออกจากพระราชวัง และพระธิดาก็จำเป็นต้องติดตามสามีของเธอด้วยการเดินเท้ารอนแรมไปตามป่าเขา ครั้นถึงป่าไม้อันกว้างใหญ่แห่งหนึ่งเธอจึงเอ่ยถามชายขอทานขึ้นว่า“โอ้โฮ! ใครกันหนอเป็นเจ้าของป่าไม้อันหนาทึบและอุดมสมบูรณ์เช่นนี้”ชายขอทานก็ตอบว่า “มันเป็นของเจ้าชายเครานกกระจอกและสมควรที่น่าจะเป็นของเธอ”เธอจึงกล่าวขึ้นด้วยความเสียใจว่า“โอ! ฉันรู้สึกว่าฉันโง่อะไรอย่างนี้ ฉันน่าจะเลือกเจ้าชายเครานกกระจอกนะ!”ต่อมาพวกเขาก็เดินผ่านมายังทุ่งหญ้าและดอกไม้ป่าอันสวยงาม เธอก็เอ่ยถามอีกว่า“โอ้โฮ! ใครกันหนอเป็นเจ้าของทุ่งหญ้าอันเขียวขจีและแต้มแต่งสีด้วยดอกไม้ป่าอันงดงามเช่นนี้”ชายขอทานก็ตอบว่า “มันเป็นของเจ้าชายเครานกกระจอกและสมควรที่น่าจะเป็นของเธอ”เธอจึงกล่าวขึ้นด้วยความเสียใจอีกว่า“โอ! ฉันรู้สึกว่าฉันโง่อะไรอย่างนี้ ฉันน่าจะเลือกเจ้าชายเครานกกระจอกนะ!”ต่อมาพวกเขาก็เดินทางผ่านมายังเมืองใหญ่แห่งหนึ่งแล้วเธอก็เอ่ยถามขึ้นอีกว่า“นี่เป็นเมืองของใครกันหนอช่างยิ่งใหญ่และสวยงามนัก”ชายขอทานก็ตอบว่า “นี่คือเมืองของเจ้าชายเครานกกระจอกและสมควรที่น่าจะเป็นของเธอ”เธอจึงกล่าวขึ้นด้วยความเสียใจอีกครั้งว่า“ฉันรู้สึกว่าฉันโง่อะไรอย่างนี้ ฉันน่าจะเลือกเจ้าชายเครานกกระจอกนะ!”ชายขอทานจึงเอ่ยขึ้นบ้างว่า “ฉันก็รู้สึกไม่สบายใจแล้วนะที่เธอเอาแต่พร่ำปรารถนาถึงสามีอื่น ตัวฉันไม่ดีพอสำหรับเธอหรืออย่างไร”ในที่สุดพวกเขาก็เดินทางมาถึงบ้านหลังเล็กๆหลังหนึ่ง ทันทีที่เห็นเธอก็พูดขึ้นว่า“ตายจริง! บ้านอะไรเล็กเป็นกระต๊อบดูยากไร้เช่นนี้ อาจจะมีแต่ช่องโหว่และรูรั่วเป็นแน่ อยากจะรู้เหมือนกันว่าใครกันนะเป็นเจ้าของ”ชายขอทานจึงตอบเธอว่า“นี่ล่ะบ้านของฉันและของเธอด้วย ซึ่งพวกเราจะต้องพักอาศัยอยู่ที่นี่ด้วยกัน”เธอต้องก้มตัวลงอย่างมากก่อนที่จะสามารถผ่านประตูบ้านเข้าไปได้“คนรับใช้ไปไหนกันหมดล่ะนี่” พระราชธิดาของพระราชาถามขึ้น“คนรับใช้อะไรกัน” ชายขอทานเอ่ยตอบ“เธอต้องการทำอะไรเธอก็ต้องจัดการด้วยตัวเอง เอาล่ะ ก่อไฟขึ้นเร็วเข้า แล้วก็ต้มน้ำให้เดือด ทำอาหารอะไรสักอย่างให้ฉัน ฉันรู้สึกเหนื่อยและหิวมาก”แม้แต่จะก่อไฟและทำกับข้าวพระธิดาก็ทำไม่เป็น ชายขอทานจึงต้องลงมือทำด้วยตัวเองทุกอย่าง หลังจากพวกเขารับประทานอาหารมื้อเย็นเสร็จไปอย่างอัตคัดแล้วก็เข้านอน ในวันรุ่งขึ้นชายขอทานก็ปลุกภรรยาของเขาแต่เช้าตรู่เพื่อให้มาทำความสะอาดบ้าน พวกเขายังคงใช้ชีวิตประจำวันอย่างนี้ต่อมาอีกสองสามวัน จนกระทั่งอาหารที่สั่งสมไว้ร่อยหรอลง“นี่เมียรัก” สามีเอ่ยขึ้น“เลิกทำงานนี้ซะ มันไม่มีรายได้อะไรเลย เธอจะต้องสานตะกร้าแล้วล่ะ”ดังนั้นเธอจึงออกไปหาตัดเอาเครือไม้แล้วก็นำกลับบ้าน จากนั้นเธอก็เริ่มสานตะกร้าแต่ปรากฎว่าเครือไม้ที่แข็งและเหนียวเป็นเหตุให้บาดมืออันอ่อนนุ่มของเธอจนเป็นแผลและเจ็บปวดสามีจึงพูดว่า “ฉันคิดว่าเธอไม่ต้องทำต่อแล้วล่ะ เธอลองไปทำปั่นด้ายน่าจะดีกว่า”ดังนั้นเธอจึงนั่งลงแล้วก็พยายามปั่นด้าย แต่ความแข็งและคมของเส้นด้ายก็เป็นเหตุให้บาดนิ้วมืออันอ่อนนิ่มของเธอจนเลือดไหล“ดูสิ !” ชายขอทานพูดขึ้น“เธอทำงานอะไรก็ไม่ดีไปเสียหมดเลยนะ ฉันไม่คุ้มเลยที่ตัดสินใจรับเธอมา คราวนี้ลองดูสิว่าฉันจะทำมาค้าขายพวกเครื่องปั้นดินเผาได้ไหม และเธอจะต้องไปนั่งเสนอขายของพวกนี้ในตลาดด้วย”“โอ! ตายจริง!” เธอคิดในใจ“ถ้าหากมีชาวเมืองของพระราชบิดามาเห็นฉันกำลังนั่งขายของอยู่ในตลาด พวกเขาจะไม่หัวเราะเยาะฉันแย่เรอะ!”แต่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพราะเธอจำเป็นต้องทำหรือถ้าไม่เช่นนั้นก็อดตายในวันแรกทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างเรียบร้อยดี ซึ่งปรากฏว่าชาวเมืองต่างก็มาซื้อหาหม้อดินกันเป็นที่คึกคัก ทั้งนี้ก็เพราะความสวยงามของเธอ พวกชาวเมืองก็ไม่เกี่ยงที่จะจ่ายไม่ว่าเธอจะบอกขายราคาเท่าไหร่หรือต้องการอะไร บางคนจ่ายแล้วก็เดินหนีไปโดยไม่แตะต้องหม้อดินเลยเสียด้วยซ้ำ งานขายหม้อดินก็พอช่วยให้เธอและสามีเลี้ยงชีพไปได้อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งวันหนึ่งสามีของเธอได้นำหม้อดินใหม่ๆจำนวนมากมายมาให้ขายดังนั้นเธอจึงเลือกเอาหัวมุมตลาดเป็นที่นั่งและวางขายหม้อดิน แต่แล้วทันใดนั้นก็มีทหารเมาสุราควบม้าฝ่าเข้ามาในตลาดและตรงมาเหยียบย่ำหม้อดินทั้งหลายของเธอที่ตั้งเรียงรายวางขายอยู่จนแตกละเอียดเสียหายหมด เธอก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากร้องห่มร้องไห้ด้วยความเสียใจ“โธ่เอ๋ย! เป็นความโชคร้ายอะไรของฉันอีกล่ะนี่” เธอคร่ำครวญ“แล้วสามีของฉันจะว่ากระไรกันหนอ”แล้วเธอก็รีบเดินทางกลับบ้านและบอกเล่าถึงความโชคร้ายให้สามีฟัง“ใครเขาทำกันล่ะ ที่ไปเลือกเอาหัวมุมตลาดเป็นที่วางขายหม้อดิน !” ฝ่ายสามีกล่าวขึ้น“เอาล่ะหยุดร้องไห้ได้แล้ว ฉันว่าเธอไม่เหมาะกับงานเหล่านี้แน่ ฉันได้ไปสอบถามที่ปราสาทของพระราชบิดาของเธอมาแล้ว เผื่อเขาต้องการคนทำงานในห้องครัว ซึ่งปรากฏว่าเขาไม่รังเกียจที่จะรับเธอและยังจะให้ค่าจ้างพร้อมที่อยู่ที่กินฟรี”ด้วยเหตุนั้นพระธิดาของพระราชาจึงได้กลายมาเป็นแม่ครัว ผู้ซึ่งพร้อมถูกเรียกใช้ได้ทุกเมื่อ และเป็นงานที่แสนจะหนักที่สุด ทุกวันก่อนจะกลับบ้านเธอก็จะเก็บเอาอาหารต่างๆที่เหลือใส่หม้อดินเล็กๆแล้วก็รัดไว้กับกระเป๋าเสื้อและกางเกงทุกๆกระเป๋า เธอและสามีก็สามารถเลี้ยงชีวิตมาได้จากอาหารเหล่านั้นต่อมาได้มีการจัดงานเลี้ยงฉลองในพิธีอภิเษกสมรสของเจ้าชายองค์ใหญ่ขึ้น แม่ครัวผู้น่าสงสารจึงเดินขึ้นบันไดไปยืนดูอยู่ข้างๆประตูห้องโถงที่ใช้จัดงาน ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ครั้นแสงสว่างถูกจุดขึ้นทั่วห้องโถง เหล่าแขกเหลื่อผู้มีเกียรติทั้งหลายก็ทยอยเดินเข้ามา แต่ละคนที่เข้ามาทีหลังก็ดูสง่างามยิ่งกว่าคนที่เข้ามาก่อนหน้านั้น พวกเขาล้วนแล้วแต่เริดหรู ดูโอ่อ่าอลังการ ทำให้เธอหวนคิดถึงโชคชะตาของตัวเองด้วยความปวดร้าวใจกับทั้งรู้สึกเสียใจกับความหยิ่งทะนงและถือดีของเธอเองในอดีต ซึ่งทำให้เธอตกต่ำและกลายเป็นผู้ยากไร้ในที่สุด เมื่อพนักงานถือถาดอาหารชั้นเลิศที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอันน่ากินผ่านไปผ่านมา พวกเขาก็จะโยนเศษอาหารมาให้เธอ แล้วเธอก็เก็บใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อและกางเกงเพื่อนำกลับไปรับประทานที่บ้านกับสามีครู่ต่อมาตัวเจ้าชายเองก็มาถึงงานในชุดผ้าไหมอันปราณีตและสวยงามมีสายสร้อยทองคำอันเหลืองอร่ามเป็นเครื่องประดับคอ ครั้นเจ้าชายเห็นหญิงสาวผู้เลอโฉมที่กำลังยืนอยู่ทางเข้าประตู เจ้าชายก็ตรงเข้าไปจับมือเธอและขอเต้นรำ แต่เธอก็ปฏิเสธ ตัวสั่นเทาราวกับลูกนกตกน้ำเมื่อเห็นว่าคนที่อยู่ต่อหน้าเธอไม่ใช่ใครที่ไหนหากแต่เป็นเจ้าชายเครานกกระจอก ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นชายหนุ่มมาให้เธอเลือกแต่ก็ตกไปแถมยังถูกเธอกล่าวล้อเลียน แต่ไม่ว่าเธอจะยืนกรานปฏิเสธอย่างไรเธอก็ยังไม่วายถูกเจ้าชายพาตัวเธอเข้าไปในห้องโถงทันใดนั้นเองเชือกรัดกระเป๋าเสื้อเกิดขาดลงเป็นเหตุให้หม้อดินร่วงลงแตก ทั้งน้ำซุปและเศษอาหารหล่นกระจัดกระจายไปทั่วพื้นห้อง ผู้มีเกียรติทั้งหลายที่มาร่วมงานก็เห็นเป็นเรื่องที่น่าขันและน่าหัวเราะเยาะกันเป็นที่สุดเธอเองก็รู้สึกสุดแสนจะอับอายขายหน้า หากแทรกแผ่นดินหนีได้ก็คงจะไปให้ไกลเป็นพันโยชน์ เธอรีบวิ่งไปที่ประตูอย่างรวดเร็วราวกับบินได้ ทันทีที่ก้าวเท้าลงบันไดก็ถูกชายคนหนึ่งยึดแขนเธอไว้ เขาอีกแล้วเมื่อเธอเหลือบมอง เจ้าชายเครานกกระจอกนั่นเอง เจ้าชายกล่าวแก่เธอด้วยสุ้มเสียงที่นุ่มนวลและอ่อนโยนว่า“อย่าได้หวาดวิตกไปเลย ฉันเองกับชายขอทานผู้ซึ่งอาศัยอยู่กับเธอ ในกระท่อมเล็กๆโกโรโกโสนั่นเป็นคนๆเดียวกัน เพราะความรักที่มีต่อเธอ ฉันจึงได้ปลอมตัว คนที่ไปทำให้หม้อดินเธอแตกเสียหายในตลาดก็ตัวฉันเองนี่แหละที่ปลอมเป็นทหารม้า ทุกอย่างที่ทำให้เธอรู้สึกต่ำต้อยก็ล้วนแล้วแต่เป็นการกระทำของฉันเอง ทั้งนี้ก็เพื่อต้องการกำราบความหยิ่งทะนงและถือดี จนทำให้เธอพูดล้อเลียนฉันในคราวนั้น”พระธิดาร้องห่มร้องไห้ด้วยความขมขื่นและกล่าวขึ้นว่า“ฉันได้กระทำผิดอย่างใหญ่หลวง และไม่มีค่าพอที่จะคู่ควรเป็นภรรยาของท่านหรอก”แต่เจ้าชายก็กล่าวว่า“เอาล่ะ! จงเข้มแข็งเถิด วันแห่งความเลวร้ายได้ผ่านพ้นไปแล้ว และจงให้วันอภิเษกสมรสวันนี้เป็นของพวกเรา”จากนั้นเหล่านางกำนัลที่คอยทีอยู่ก็ได้ออกมา และนำเสื้อผ้าอาภรณ์อันสวยหรูมาสวมใส่ให้แก่พระธิดา ขณะเดียวกันพระราชบิดาก็ออกมาพร้อมกับเหล่าบริพารทั้งหลาย ทุกคนต่างร่วมอำนวยพรในโอกาสวันอภิเษกสมรสระหว่างพระธิดากับเจ้าชายเครานกกระจอก ครั้นแล้วพระราชพิธีก็ได้เริ่มขึ้นอย่างยิ่งใหญ่และสมพระเกียรติ เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
ในอดีตกาลนานโพ้น ยังมีราชอาณาจักรแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ท่ามกลางความอุดมสมบูรณ์ มีมหานทีไหลเอื่อยๆผ่านเมืองอยู่ชั่วทิพาราตรี ในพระราชวังมีเจ้าหญิงพระองค์หนึ่งนามว่า จันทราเทวี ทรงเจริญวัยได้สิบพระชันษาและกำลังย่างเข้าพระชันษาที่สิบเอ็ด อยู่มาในวันหนึ่ง เจ้าหญิงทรงเสวยตำลูกยอมากจนเกินไป จึงทำให้รู้สึกไม่สบาย จนถึงกับประชวรล้มหมอนนอนเสื่อครั้นหมอหลวงมาถึงก็ได้ตรวจอาการ มีตรวจอุณหภูมิ คลำชีพจร และยังขอให้เจ้าหญิงแลบพระชิวหาออกมาเพื่อตรวจอีกด้วย หมอหลวงรู้สึกเป็นกังวลมาก จึงใช้ให้ม้าเร็วไปทูลเชิญพระราชาเสด็จมาเยี่ยมดูอาการของเจ้าหญิงเป็นการด่วน เมื่อพระราชบิดามาถึง พระองค์จึงตรัสกับเจ้าหญิงว่า“หัวใจของเจ้าปรารถนาในสิ่งใด ฉันจะหามาให้ทุกอย่าง”“มีอะไรที่พอจะเป็นสิ่งสุดยอดปรารถนาของเจ้าบ้างไหม” พระองค์ทรงตรัสถามพระธิดา“มี เพคะ” เจ้าหญิงทูลตอบ“หม่อมฉันอยากได้ดวงจันทร์ ถ้าได้ดวงจันทร์แล้ว หม่อมฉันก็จะหายจากการประชวรและกลับมีสุขภาพดีดังเดิม”ด้วยพระราชาทรงมีบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ในราชสำนัก ซึ่งล้วนแล้วแต่ฉลาดปราดเปรื่อง ไม่ว่าพระองค์จะประสงค์ในสิ่งใด พวกเขาก็สามารถจัดหามาทูลถวายได้ทั้งนั้น พระองค์จึงตรัสกับพระธิดาว่าเธอจักได้ดวงจันทร์อย่างแน่นอน ครั้นพระราชาเสด็จกลับถึงท้องพระโรง พระองค์จึงทรงรับสั่งให้นำท่านอุปราชหลวงเข้าเฝ้าทันทีท่านอุปราชหลวง เป็นคนรูปร่างใหญ่ อ้วนอุ้ยอ้าย สวมแว่นตาขยายอันหนาเตอะ จึงทำให้เห็นดวงตาของท่านมีขนาดใหญ่ขึ้นถึงสองเท่า และทำให้ดูเหมือนว่าท่านเป็นคนเฉลียวฉลาดมากกว่าความเป็นจริงของท่านถึงสองเท่าอีกด้วย“ฉันประสงค์ จะได้ดวงจันทร์” พระราชาทรงตรัส“เจ้าหญิงจันทราเทวี ต้องการดวงจันทร์ ถ้าเธอได้มันแล้ว เธอก็จักหายจากการประชวร”“ดวงจันทร์!”ท่านอุปราชหลวงอุทานขึ้น ดวงตาของท่านเบิกโพง ยิ่งทำให้ท่านดูเฉลียวฉลาดมากกว่าความเป็นจริงของท่านถึงสี่เท่า“ถูกต้องแล้ว ดวงจันทร์” พระราชาตรัสย้ำ“ดอ สระ อัว งอ ดวง และ จอ ไม้หันอากาศ นอ จัน ดวงจันทร์ เอาล่ะ ไปนำมาให้ภายในคืนนี้เลยหรือพรุ่งนี้เป็นอย่างช้า”ท่านอุปราชหลวง เหงื่อแตกพลั่ก ต้องคว้าผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อบนหน้าผากอันกว้างของท่านอยู่ไปมาพลางก็ถอนหายใจไล่ลมผ่านจมูกอยู่ฟืดฟาด“ขอเดชะ ตลอดเวลาที่ทำราชการสนองพระเดชพระคุณนั้น หม่อมฉันมีผลงานหลายสิ่งหลายประการอันยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นคุณแก่ราชสำนัก” ท่านอุปราชหลวงกราบทูล“คือเผอิญว่ามีบัญชีรายการผลงานเหล่านั้นติดตัวมาด้วย” ท่านอุปราชหลวงกล่าวพร้อมกับคลี่ม้วนสมุดข่อยออกมาจากกระเป๋ากางเกง“ขอพระราชทาน อ่านให้ฟัง พะยะค่ะ” ท่านอุปราชหลวงเพ่งดูรายการในม้วนสมุดข่อย พร้อมกับทำหน้านิ่วคิ้วขมวด“ผลงานของหม่อมฉันมีดังต่อไปนี้ ได้งาช้าง ลิง ค่าง บ่าง ชะนี นกยูง มุกดา หมาดำ อำพัน แมงคับ ทับทิมพิมเสน มรกต โคตรเพชร เกล็ดนาคราช หยาดน้ำตานางเงือก เปลือกไข่คน ผลนารี ดีตะกวด หนวดเต่าเขามังกร หงอนนาค ปากครุฑ มนุษย์วานร และ ขอนไม้กฤษณา และ ปลาร้าสองไห ไข่สองจาน น้ำตาลสองช้อน ชิมก่อนใส่เกลือ ขออภัย พะยะค่ะ อันหลังๆนี่ ภรรยาของหม่อมฉันเขียนสูตรทำกับข้าว”“ฉันจำไม่ได้ว่ามีหมาดำด้วยหรือ” พระราชาตรัส“หมาดำก็มีอยู่ในรายการด้วยพะยะค่ะ แต่ว่ามีรอยขีดฆ่าออกด้วยเส้นดินสอเบาๆ” ท่านอุปราชหลวงรีบกราบทูล“มันคงเป็นหมาดำที่พระองค์ทรงลืมกระมัง พะยะค่ะ”“เอาล่ะ มันจะมีหมาดำหรือไม่มีก็ไม่เป็นไร” พระราชาตรัสต่อ“แต่สิ่งที่ฉันต้องการอยู่ในเวลานี้คือดวงจันทร์”“หม่อมฉันได้ส่งคนออกไปไกลโพ้นถึง กรุงจีน ถิ่นคนขาว ชาวอาหรับ และดินแดนลึกลับแห่งคนดำ และก็ได้มาซึ่งสิ่งอันพึงประสงค์ทุกประการตามที่ได้ทูลถวายแด่พระองค์” ท่านอุปราชหลวงกราบทูล“แต่ดวงจันทร์นั้นเป็นเรื่องนอกประเด็น ซึ่งอยู่ไกลออกไปถึง สามหมื่นห้าพันไมล์และยังขนาดใหญ่กว่าห้องบรรทมของเจ้าหญิง และยิ่งไปกว่านั้นมันยังทำจากกระทะทองแดงอันร้อนเหลว หม่อมฉันจึงไม่สามารถจะไปเอามันมาได้ คือสำหรับหมาดำนั้น...ได้ แต่ดวงจันทร์นั้นเอามาไม่ได้หรอกพะยะค่ะ”พระราชาทรงกริ้วมากจึงไล่ให้ท่านอุปราชหลวงพ้นท้องพระโรงไป และมีรับสั่งให้นำท่านพราหมณ์หลวงเข้าเฝ้ายังท้องพระโรงโดยด่วนท่านพราหมณ์หลวงนั้น เป็นคนรูปร่างผอมบาง คางแหลม แก้มตอบ และขอบหน้ายาว ใส่หมวกหัวแหลมสีแดงมีลวดลายแพรวพราวด้วยรูปดาวสีเงิน สวมเสื้อคลุมสีกรมท่าซึ่งปักผ้าเป็นรูปนกเค้าแมว ท่านพราหมณ์หลวงถึงกับหน้าถอดสี เมื่อพระราชาตรัสว่าต้องการดวงจันทร์มาให้พระธิดา และคาดหวังว่าเขาจักต้องหามาให้ได้“ขอเดชะ ตลอดระยะเวลาที่ทำราชการสนองพระเดชพระคุณในพระองค์ หม่อมฉันได้ทำการอันยิ่งใหญ่มาไม่น้อย” ท่านพราหมณ์หลวงกราบทูล“อันที่จริง บัญชีรายการผลงานของหม่อมฉันบังเอิญติดกระเป๋ามาด้วย” ท่านพราหมณ์หลวงจึงล้วงลึกลงไปในกระเป๋าเสื้อคลุมและหยิบเอาแผ่นกระดาษออกมา“เริ่มต้นจาก เรียนท่านพราหมณ์หลวงทราบ พร้อมจดหมายนี้ ข้าพเจ้าขอส่งคืน สิ่งที่เรียกว่า ก้อนศิลานักปราชญ์ ซึ่งท่านอ้างว่า... อ้าว ไม่ใช่แผ่นนี้ นี่นา” ท่านพราหมณ์หลวงจึงหยิบเอาม้วนสมุดข่อยออกมาจากกระเป๋าอีกข้างหนึ่ง“อ๋อ อันนี้เอง” แล้วก็กล่าวต่อ“ขอพระราชทานอ่านให้ฟัง พะยะค่ะ หม่อมฉันมีผลงานดังต่อไปนี้ คั้นโลหิตจากหัวมันและเสกปั้นหัวมันจากโลหิต เสกนกพิราบจากพระพาย เสกกระต่ายจากอากาศและเสกบุปผชาติจากสายลม หม่อมฉันได้ทูลถวายไม้เท้าวิเศษ กับทั้งสิ่งบอกเหตุในอนาคต ซึ่งได้แก่ผลึกแก้วกลมอันสดใส หม่อมฉันได้ปรุงขี้ผึ้งตรึงเสน่ห์ ยาแก้ลมเพลมพัด แก้ปวดขัดหฤทัย และไล่เสียงอื้อในพระกรรณ หม่อมฉันยังได้ปรุงของพิเศษอันเป็นส่วนผสมของพิษหมาป่า น้ำตาทูตสวรรค์ และพันธุ์ไม้มรณะ เพื่อขับไล่พวกภูต ผี ห่า ซาตานและหมู่มารในยามค่ำคืน นอกจากนั้นหม่อมฉันยังได้ทูลถวายรองเท้าก้าวเจ็ดไมล์ ไก่ไข่เป็นทอง ฉลองภูษาพาตัวหาย ...”“ไม่เห็นมันจะทำให้หายตัวได้เลย” พระราชาตรัสประท้วง“ฉลองภูษาพาตัวหาย ที่ท่านเอ่ยถึงนั่น มันใช้ไม่ได้”“มันต้องใช้ได้สิ พะยะค่ะ” พราหมณ์หลวงกล่าวยืนยัน“มันใช้ไม่ได้จริงๆ” พระราชาตรัส“ก็ถึงแม้จะสวมเสื้อตัวนั้นแล้ว ฉันก็ยังชนนั่นชนนี่ได้อยู่เหมือนเดิม”“ฉลองภูษานั่นมันจะทำให้พระองค์เพียงแต่ทรงหายตัวได้เท่านั้น” ท่านพราหมณ์หลวงกล่าว“แต่การไปชนนั่นชนนี่ มันย่อมใช้ป้องกันไม่ได้ พะยะค่ะ”“ไม่รู้ล่ะ แต่ที่ฉันรู้แน่ๆ คือฉันก็ยังไปชนนั่นชนนี่ได้” พระราชาตรัสยืนยันท่านพราหมณ์หลวงจึงหันมาอ่านบัญชีรายการของท่านต่อไป“หม่อมฉันยังได้ทูลถวาย” แล้วกล่าวต่อ“ผงทรายจากชายคนรู เขาสัตว์คู่จากป่าหิมพานต์ และขันแก้วกาญจน์จากรุ้งกินน้ำ และขี้ผึ้งหนึ่งห่อ กร้อด้ายหนึ่งม้วนเต็มๆ พร้อมทั้งเข็มอีกหนึ่งแผง ขอภัยพะยะค่ะ อันหลังๆนี่ภรรยาของหม่อมฉันเขียนฝากมาให้ซื้อ”“แต่สิ่งที่ต้องการให้ท่านทำในเวลานี้” พระราชาตรัส“คือไปนำดวงจันทร์มาให้ฉัน เพราะเจ้าหญิงจันทราเทวีอยากได้ดวงจันทร์ ถ้าเธอได้มันแล้วเธอก็จะหายจากการประชวร”“ไม่มีใครจะสามารถไปเอาดวงจันทร์ได้หรอกพะยะค่ะ” ท่านพราหมณ์หลวงอธิบาย“มันอยู่ห่างไกลถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นห้าพันไมล์ ขนาดใหญ่กว่าพระราชวังถึงสองเท่า และยังร้อนเร่าเพราะมันเกิดจากการเผาขี้ผึ้งดิบ”พระราชาทรงกริ้วเป็นอันมาก จึงขับไล่ท่านพราหมณ์หลวงกลับคืนสู่ถิ่นพำนักในถ้ำดังเดิม และมีรับสั่งให้นำขุนคำนวณหลวงเข้าเฝ้าโดยด่วนขุนคำนวณหลวง เป็นคนหัวล้าน กบาลอ้า และสายตาสั้น ที่หูสองข้างนั้นท่านเหน็บดินสอไว้เสมอ ชุดที่สวมคือสีดำเป็นพื้นและมีสีขาวแต่งแต้มอยู่โดยทั่ว ซึ่งแสดงเป็นรูปตัวเลขและสัญลักษณ์“ฉันไม่ต้องการฟังบัญชีรายการ และผลงานต่างๆที่ท่านได้กระทำ ตั้งแต่ท่านเข้ารับราชการเมื่อปี พ.ศ. ๑”พระราชาตรัส“ฉันต้องการให้ท่านคิดคำนวณดูซิว่า จะนำเอาดวงจันทร์มาให้เจ้าหญิงจันทราเทวีได้อย่างไร เพราะหากเธอได้ดวงจันทร์ เธอก็จะหายจากการประชวร”“ขอเดชะ หม่อมฉันรู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นเหลือที่ได้ทรงเอ่ยถึงผลงานของหม่อมฉันนับตั้งแต่ พ.ศ. ๑ เป็นต้นมา” ขุนคำนวณหลวงกล่าว“หม่อมฉันก็บังเอิญมีบัญชีรายการผลงานดังกล่าว ติดตัวมาด้วยพะยะค่ะ”ขุนคำนวณหลวงจึงล้วงเอาม้วนสมุดข่อยออกมาจากกระเป๋าและยกขึ้นอ่าน“ขอพระราชทาน อ่านให้ฟังพะยะค่ะ หม่อมฉันมีผลงานดังต่อไปนี้ หาความห่างระหว่างเขาของตัวกลืนไม่เข้าคายไม่ออก บอกระยะทางระหว่างกลางคืนและกลางวัน วัดระยะไกลกันระหว่างก.ไก่และฮ.นกฮูก นอกจากนั้นยังวัดระยะทางตั้งแต่ขึ้นว่าห่างจากไปอยู่เท่าไร และเพราะเหตุใดจึงกลายเป็นหายลับ หม่อมฉันได้ค้นพบความยาวของนาคราชน้ำเค็ม หาพื้นที่ผิวจำนวนเต็มและยกกำลังสองของฮิปโป และยังสามารถโชว์คุณค่าของสิ่งที่ไร้ราคา ถ้าพระองค์อยู่ระหว่างหกและเจ็ด หม่อมฉันบอกได้อย่างเบ็ดเสร็จว่าพระองค์อยู่ที่ไหน มูลค่าเท่าใดที่เป็นปัจจัยให้พระองค์เปลี่ยนจากเอกพจน์เป็นพหูพจน์ พระองค์จะได้นกกี่ตัว ชั่วว่าดักจับได้ด้วยจำนวนเกลือจากมหาสมุทร ๑๙๘,๘๖๗,๓๒๑,... หากว่าพระองค์จะทรงสนพระทัย”“นกมันไม่ได้มีมากมายถึงเพียงนั้นนี่นา” พระราชาตรัส“หม่อมฉันพูดว่านกมีมากมายก็หาไม่” ขุนคำนวณหลวงกราบทูล“แต่หม่อมฉันพูดว่า ถ้านกมันมีมากมาย พะยะค่ะ”“ฉันไม่ต้องการจะฟังเรื่องจินตนการจำนวนนกเก้าร้อยเก้าสิบเก้าล้านโดยไม่รู้จบอะไรนั่นหรอก”พระราชาตรัส“ฉันต้องการดวงจันทร์มาให้เจ้าหญิงจันทราเทวี”“ดวงจันทร์มันอยู่ห่างไกลออกไปตั้งสามแสนไมล์” ขุนคำนวณหลวงกล่าว“มีลักษณะกลมและแบนเหมือนเหรียญกษาปณ์ กำเนิดจากใยแก้ว ขนาดใหญ่เพียงครึ่งหนึ่งของราชอาณาจักรเรา ยิ่งไปกว่านั้น มันยังติดแนบแน่นอยู่กับแผ่นฟ้า จึงไม่มีใครสามารถไปเอาดวงจันทร์มาได้หรอก พะยะค่ะ”จึงเป็นเหตุให้พระราชาทรงเดือดดาลเป็นที่ยิ่งอีกคำรบหนึ่ง และขับขุนคำนวณหลวงให้พ้นไปจากท้องพระโรงด้วยความกลัดกลุ้มในพระทัย พระองค์จึงสั่นกระดิ่งเป็นสัญญาณให้ขุนสังคีตส่วนพระองค์เข้าเฝ้า ขุนสังคีตนั้นสวมเสื้อลายหลากสี ถือเครื่องดนตรีมีพิณและฉิ่งฉับ ก็รีบเข้ามาถวายคำนับและคอยสดับพระกระแสรับสั่งอยู่ ณเบื้องบาทราชบัลลังก์“ขอเดชะ พระองค์จะทรงโปรดให้หม่อมฉันทำสิ่งใดมิทราบ พะยะค่ะ” ขุนสังคีตส่วนพระองค์กราบทูล“ไม่มีใครสักคนทำอะไรให้ฉันได้เลย” พระราชาทรงโอดคราญ“เจ้าหญิงอยากได้ดวงจันทร์ และก็จะยังไม่หายจากการประชวรจนกว่าจะได้มัน แต่ไม่มีใครสักคนที่จะสามารถเอามาให้เธอได้ ทุกครั้งที่ฉันถามแต่ละคน ดูเหมือนว่าดวงจันทร์มันจะมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และอยู่ห่างไกลออกไปๆ ฉันก็ไม่มีอะไรให้ท่านทำหรอก นอกจากเล่นดนตรีทำนองเศร้าๆให้ฉันฟัง”“ท่านเหล่านั้นกราบทูลว่าดวงจันทร์มีขนาดใหญ่แค่ไหน” ขุนสังคีตส่วนพระองค์ทูลถาม“และมันอยู่ห่างไกลเพียงใดล่ะ พะยะค่ะ”“ท่านอุปราชหลวงบอกว่ามันอยู่ห่างไกลออกไป สามหมื่นห้าพันไมล์ และมีขนาดใหญ่กว่าห้องบรรทมของเจ้าหญิงจันทราเทวี” พระราชาตรัส“ท่านพราหมณ์หลวงบอกว่ามันอยู่ไกลออกไป หนึ่งแสนห้าหมื่นห้าพันไมล์และมีขนาดใหญ่กว่าพระราชวังสองเท่า ส่วนขุนคำนวณหลวงบอกว่ามันอยู่ไกลออกไปสามแสนไมล์และมีขนาดใหญ่เพียงครึ่งหนึ่งของราชอาณาจักรเรา”ขุนสังคีตส่วนพระองค์ บรรเลงดนตรีไปได้สักพักหนึ่ง“ท่านเหล่านั้นก็ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ชาญฉลาด” ขุนสังคีตกล่าวขึ้น“เหตุนี้ ความเห็นของท่านเหล่านั้นก็ควรจะถูกต้องด้วยกัน ดังนั้นถ้าทุกคนถูกต้องกันหมด ก็แสดงว่าดวงจันทร์นั้น มันก็จะใหญ่และห่างไกลออกไปตามแต่ความคิดเห็นของแต่ละคน แต่สิ่งที่ควรจะรู้ก็คือความคิดเห็นของเจ้าหญิงเอง ว่าดวงจันทร์มันใหญ่แค่ไหนและอยู่ห่างไกลเพียงใด”“เออสินะ ฉันเองก็ไม่เคยคาดคิดอย่างนั้นเลย” พระราชาตรัส“หม่อมฉันจะไปทูลถามเจ้าหญิงเอง พะยะค่ะ” ขุนสังคีตกล่าว จากนั้นก็ค่อยๆย่องอย่างแผ่วเบาไปยังห้องบรรทมของเจ้าหญิงเจ้าหญิงจันทราเทวีทรงลืมตาและตื่นอยู่ ครั้นเธอเห็นขุนสังคีต ก็ดีใจมาก แต่เธอยังมีอาการอ่อนเพลีย ดูซีดและมีน้ำเสียงแผ่วเบามาก“ท่านนำดวงจันทร์มาให้ฉันรึยัง” เจ้าหญิงตรัส“ยัง พะยะค่ะ” ขุนสังคีตตอบ“แต่หม่อมฉันจะนำมาทูลถวายได้เลย ว่าแต่ว่ามันขนาดใหญ่แค่ไหนนะ พะยะค่ะ”“มันก็แค่ขนาดเล็กกว่าหัวแม่มือของฉันนี่เอง” เจ้าหญิงตรัสตอบ“เพราะพอเวลาฉันยกหัวแม่มือขึ้นทาบ มันก็พอดีปิดบังดวงจันทร์ไว้มิดเลย”“แล้วมันอยู่ไกลเพียงใดล่ะ พะยะค่ะ” ขุนสังคีตทูลถาม“มันก็ไม่สูงไปกว่าต้นไม้ใหญ่ ที่อยู่ข้างหน้าต่างของฉันนี่หรอก” เจ้าหญิงตรัสตอบ“ในบางคราวมันยังติดคาอยู่กับกิ่งบนสุดนั่นเลย”“ถ้าเช่นนั้นการนำดวงจันทร์มาให้เจ้าหญิงมันก็ง่ายนิดเดียวเอง” ขุนสังคีตกล่าว“หม่อมฉันจะปีนขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่คืนนี้ พอมันติดคาอยู่ที่กิ่งบนสุด หม่อมฉันก็จะนำมันมาให้เจ้าหญิงทันที"พลันขุนสังคีตก็คิดอะไรขึ้นได้“เอ เจ้าหญิง แล้วดวงจันทร์นี่มันทำจากอะไร พะยะค่ะ” ขุนสังคีตเอ่ยขึ้นทูลถาม“อ้าว!” เธออุทาน“แน่นอนล่ะ มันก็ต้องทำจากทองคำสิ ท่านก็เขลาไปได้”ครั้นขุนสังคีตส่วนพระองค์กลับออกไปจากห้องเจ้าหญิงแล้ว ก็ตรงดิ่งไปยังโรงกษาปณ์หลวง และขอให้ช่างทำการหล่อดวงจันทร์ทองคำ รูปร่างกลมๆ และมีขนาดเล็กกว่าหัวแม่มือของเจ้าหญิง ขุนสังคีตยังให้ช่างทำเป็นสายสร้อยทองคำคล้องไว้ด้วย เพื่อให้เจ้าหญิงนำมาสวมพระศอได้“ฉันไม่รู้ว่าตัวเองหล่ออะไรกันแน่นะนี่” ช่างกษาปณ์หลวงสงสัย หลังจากหล่อเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว“ท่านหล่อดวงจันทร์” ขุนสังคีตกล่าว และยังสำทับอีกว่า“นี่ล่ะคือดวงจันทร์”“แต่ว่าดวงจันทร์มัน...” ช่างกษาปณ์หลวงทักท้วง“มันอยู่ห่างไกลออกไปตั้งห้าแสนไมล์และทำจากทองสัมฤทธิ์ รูปร่างกลมๆคล้ายหินอ่อนนะท่าน”“นั่นคือดวงจันทร์ในความคิดของท่าน” ขุนสังคีตกล่าวในขณะที่เดินจากไปพร้อมดวงจันทร์ทองคำในมือและนำไปทูลถวายแด่เจ้าหญิงจันทราเทวี ซึ่งก็นำความพอพระทัยและเป็นสุขมาสู่เธอเป็นที่ยิ่งในวันรุ่งขึ้นเจ้าหญิงก็สามารถลุกจากเตียงบรรทมได้ หายจากการประชวรและกลับมีสุขภาพดีดังเดิม สามารถออกไปทรงสำราญในอุทยานได้เช่นเคยอย่างไรก็ตาม ความวิตกกังวลของพระราชาก็ยังไม่สิ้นไปเลยทีเดียว ด้วยพระองค์ทรงตระหนักดีว่า ดวงจันทร์จักต้องขึ้นไปส่องสว่างในนภายามราตรีอีกตามปกติวิสัย พระองค์จึงไม่ประสงค์ที่จะให้เจ้าหญิงได้เห็นมัน หาไม่แล้วเจ้าหญิงก็จะเข้าพระทัยว่า ดวงจันทร์ทองคำที่สวมอยู่ในพระศอไม่ใช่ของจริงดังนั้นพระราชาจึงมีรับสั่งให้ท่านอุปราชหลวงเข้าเฝ้า และตรัสว่า“พวกเราจักต้องไม่ให้เจ้าหญิงจันทราเทวีมองเห็นดวงจันทร์บนนภาในคืนนี้ ท่านคิดว่าเราควรจักทำประการใดดี”ท่านอุปราชหลวงใช้นิ้วมือเคาะหน้าผากตัวเองอยู่ไปมาอย่างคนใช้ความคิด ก่อนที่จะกราบทูลว่า“หม่อมฉันรู้เพียงว่าจะต้องตัดแว่นตาดำมืด เพื่อให้เจ้าหญิงสวมใส่ พะยะค่ะ และต้องทำให้มันดำมืดสนิทด้วยเจ้าหญิงก็จะไม่สามารถมองเห็นอะไรเลย ดังนั้นเธอก็จะไม่สามารถมองเห็นดวงจันทร์เมื่อมันขึ้นมาส่องสว่างบนท้องฟ้า พะยะค่ะ”ความเห็นนี้ทำให้พระราชาทรงกริ้วมากพร้อมกับส่ายศีรษะไปมา“ถ้าเจ้าหญิงสวมแว่นดำมืดที่ว่า มันก็อาจจะทำให้เธอเดินไปชนนั่นชนนี่” พระราชาตรัส“ประเดี๋ยวก็จะเป็นเหตุให้เธอไม่สบายอีกได้” พระราชาจึงให้ส่งท่านอุปราชหลวงพ้นท้องพระโรงไปและมีรับสั่งให้ท่านพราหมณ์หลวงเข้าเฝ้าทันที“พวกเราจักต้องซ่อนดวงจันทร์ไว้” พระราชาตรัส“เพื่อไม่ให้เจ้าหญิงมองเห็นเมื่อมันขึ้นมาส่องสว่างในนภาของค่ำคืนนี้ พวกเราควรจักทำประการใดดี”ท่านพราหมณ์หลวงครุ่นคิด ยืนอยู่บนมือตัวเองก็ยัง ขึ้นไปนั่งอยู่บนหัวตัวเองก็แล้ว เลยต้องมายืนแกล่วอยู่บนเท้าของตัวเองเหมือนเดิม“หม่อมฉันคิดออกแล้ว ว่าควรจะทำอย่างไร” ท่านพราหมณ์หลวงกราบทูล“พวกเราควรจะขึงม่านสีดำและผูกโยงไว้ โดยให้ครอบคลุมไปทั่วพื้นที่อุทยานทั้งหมดคล้ายๆกับพวกล้อมผ้าเล่นกายกรรมเก็บสตางค์ เจ้าหญิงก็จะไม่สามารถมองเห็นผ่านผ้าคลุมได้ ดังนั้นเธอก็จะมองไม่เห็นดวงจันทร์ในท้องฟ้า พะยะค่ะ”แต่ความคิดเห็นนี้ก็ทำให้พระราชาทรงกริ้วและโบกพระหัตถ์อยู่ไปมา“ผ้าม่านสีดำมันก็จักปิดกั้นอากาศบริสุทธิ์” พระองค์ตรัส“ประเดี๋ยวก็จะทำให้เจ้าหญิงหายใจไม่ออก แล้วก็อาจจะเป็นเหตุให้ไม่สบายอีกได้”ดังนั้นพระองค์จึงให้ส่งท่านพราหมณ์หลวงพ้นท้องพระโรงไป และมีรับสั่งให้ขุนคำนวณหลวงเข้าเฝ้าทันที“พวกเราจักต้องทำอะไรบางอย่าง” พระราชาตรัส“เพื่อไม่ให้เจ้าหญิงมองเห็นดวงจันทร์ที่จะขึ้นมาส่องสว่างบนนภาในคืนนี้ ถ้าท่านรู้อะไรดี ก็ช่วยออกความเห็นหน่อยเถอะ”ขุนคำนวณหลวงจึงเดินใช้ความคิดเป็นรูปวงกลม แล้วเดินก้มเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า แล้วกลับมายืนสง่าอย่างสงบ“หม่อมฉันรู้แล้ว” ขุนคำนวณหลวงกราบทูล“พวกเราจะต้องจัดให้มีงานเผาเทียนเล่นไฟภายในเขตพระราชอุทยานเป็นประจำทุกคืน โดยจัดให้มีธารน้ำพุสีเงิน ธารน้ำตกทองคำ และปล่อยให้คลาคล่ำไปทั้งอัมพร จากแสงสะท้อนอันเจิดจ้า ย่อมดูประหนึ่งว่าเป็นเวลากลางวัน เหตุนั้นเจ้าหญิงก็จะไม่สามารถมองเห็นดวงจันทร์ พะยะค่ะ”พระราชาทรงเดือดดาลเป็นที่ยิ่งและทรงกระทืบพระบาทอยู่ปังๆ“งานเผาเทียนเล่นไฟ ไฉนเจ้าหญิงจะหลับนอนได้” พระองค์ตรัส“เมื่อไม่ได้พักผ่อนหลับนอน ประเดี๋ยวก็เป็นเหตุให้ไม่สบายอีกได้” พระราชาจึงให้ส่งขุนคำนวณพ้นท้องพระโรงไปความมืดคืบคลานเข้ามาทุกขณะ ครั้นมองไปเบื้องบูรพา ก็ทรงเห็นแสงเรื่อเรืองของดวงจันทร์กำลังแผ่ขึ้นมาจับขอบฟ้า พระองค์สะดุ้งโหยงด้วยทรงหวาดวิตก จึงสั่นกระดิ่งเป็นสัญญาณเรียกขุนสังคีตส่วนพระองค์เข้าเฝ้าเป็นการด่วน ขุนสังคีตก็รีบมาน้อมคำนับและนั่งลงรอรับพระราชดำรัสอยู่ ณ เบื้องบาทราชบัลลังก์“ขอเดชะ พระองค์จะทรงโปรดให้หม่อมฉันทำสิ่งใดมิทราบ พะยะค่ะ” ขุนสังคีตกราบทูล“ไม่มีใครสักคนพอที่จะทำอะไรให้ฉันได้เลย” พระราชาตรัส“ดวงจันทร์ก็กำลังเคลื่อนสูงขึ้นไปๆทุกขณะ เดี๋ยวมันก็จะส่องแสงไปยังห้องบรรทมของเจ้าหญิง คราวนี้ล่ะเธอก็จะรู้ว่ามันยังอยู่บนท้องนภา และใช่ว่าเธอจะสวมมันอยู่ที่คอก็หาไม่ ท่านจงบรรเลงบทเพลงอันแสนเศร้าที่สุดให้ฉันฟัง ด้วยทันทีที่เจ้าหญิงเห็นดวงจันทร์ เธอก็จะไม่สบายอีกเป็นแน่”ขุนสังคีตเกริ่นเพลงไปได้สักครู่หนึ่ง ก็ทูลถามพระราชาว่า“เหล่านักปราชญ์ทั้งหลายของพระองค์พูดว่ากระไรบ้าง พะยะค่ะ”“พวกเขาจนปัญญาที่จะซ่อนดวงจันทร์ ซึ่งอาจจะเป็นเหตุให้เจ้าหญิงประชวร” พระราชาตรัสตอบขุนสังคีตจึงบรรเลงอีกบทเพลงหนึ่งซึ่งนุ่มนวลและแผ่วเบามาก“เหล่านักปราชญ์ของพระองค์นั้นรอบรู้ทุกสิ่งอย่าง” ขุนสังคีตเอ่ยขึ้น“ถ้าท่านนักปราชญ์เหล่านั้นไม่สามารถซ่อนดวงจันทร์ได้ ก็แสดงว่าดวงจันทร์ไม่สามารถถูกนำไปซ่อนเร้นไว้ที่ไหนได้”ระหว่างที่พระราชาทรงเอกเขนก พระหัตถ์ก่ายพระนลาฏ และถอนหายใจอยู่ไปมา พลันพระองค์ก็ทรงกระโดดโหยงลงจากบัลลังก์ และทรงชี้ไปทางหน้าต่าง“ดูนั่น!” พระราชาทรงอุทาน“ดวงจันทร์ได้ฉายรัศมีไปถึงยังห้องบรรทมของเจ้าหญิงแล้ว ใครล่ะจักอธิบายได้ว่าดวงจันทร์มันไปเปล่งประกายอยู่บนนภาได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าหญิงกำลังสวมใส่ และแขวนไว้อยู่ในพระศอด้วยสายสร้อยทอง”ขุนสังคีตจึงหยุดการบรรเลงลงทันใด“ก็ใครล่ะที่อธิบายถึงการได้มาของดวงจันทร์ ในเมื่อเหล่านักปราชญ์ของพระองค์บอกว่ามันทั้งขนาดใหญ่และอยู่ไกลเกินไป เจ้าหญิงจันทราเทวีเองมิใช่ดอกหรือ ฉะนั้นก็แสดงว่าเจ้าหญิงมีความชาญฉลาดมากกว่าท่านเหล่านั้น และทรงรู้เรื่องเกี่ยวกับดวงจันทร์มากกว่า หม่อมฉันจะไปทูลถามเจ้าหญิงเอง”และก่อนที่พระราชาจะทันห้ามเขาไว้ ขุนสังคีตก็แอบย่องออกไปจากท้องพระโรงอย่างเงียบเชียบ และเดินขึ้นบันไดหินอ่อนอันกว้างใหญ่ และตรงไปยังห้องบรรทมของเจ้าหญิงทันทีระหว่างนั้นเจ้าหญิงทรงเอนอยู่บนเตียง สายพระเนตรจับจ้องไปยังแสงดวงจันทร์ทางหน้าต่าง ขณะที่ในอุ้งหัตถ์ก็มีดวงจันทร์ทองคำ ซึ่งขุนสังคีตได้นำทูลถวายกำลังสะท้อนแสงอยู่แวววาว แต่ว่าคราวนี้ขุนสังคีตดูเศร้าซึมลงมาก และดูเหมือนว่าจะน้ำตาไหล“ได้โปรดบอกแก่หม่อมฉันเถิด เจ้าหญิง” เขาทูลถามอย่างโอดครวญ“เหตุใดดวงจันทร์ยังสามารถส่องสว่างในนภา ในเมื่อนำมาแขวนกับสร้อยทองและคล้องอยู่ในพระศอของเจ้าหญิงแล้ว”เจ้าหญิงทอดพระเนตรไปยังขุนสังคีตแล้วก็ทรงพระสรวล“มันง่ายนิดเดียวเอง ท่านก็เขลาไปได้” เจ้าหญิงตรัส“เมื่อพระทนต์ฉันหลุดไป พระทนต์ใหม่ก็ผุดขึ้นมาแทน มิใช่หรือ”“เป็นความจริง พะยะค่ะ” ขุนสังคีตทูลตอบ“เมื่อตัวยูนิคอนสูญเสียเขาในป่าหิมพานต์ จึงบันดาลให้เขาใหม่งอกขึ้นมากลางหน้าผาก”“ถูกต้องแล้ว” เจ้าหญิงตรัสเสริม“เมื่อคนดูแลอุทยานตัดเอาดอกไม้ ก็ยังมีดอกใหม่เกิดขึ้นมาทดแทน”“หม่อมฉันน่าจะคิดเช่นนั้น” ขุนสังคีตกล่าว“เฉกเช่นอย่างเดียวกันกับกลางวัน”“แล้วก็ดุจเดียวกันกับดวงจันทร์” เจ้าหญิงตรัส“ฉันคาดว่ามันก็น่าจะดุจเดียวกันกับทุกๆสิ่ง” น้ำเสียงของเธอต่ำลงและขาดหายไป ขุนสังคีตสังเกตเห็นว่าเจ้าหญิงทรงบรรทมและหลับไปแล้ว เขาจึงค่อยๆเหน็บผ้าห่มไปรอบๆเตียงบรรทมของเจ้าหญิงอย่างแผ่วเบาทว่าก่อนที่ขุนสังคีตจะออกจากห้องบรรทมของเจ้าหญิงไป เขาก็โผล่หน้าออกไปทางหน้าต่าง และขยิบตาให้กับดวงจันทร์ พลันขุนสังคีตก็เห็นเหมือนว่า ดวงจันทร์มันก็ขยิบตาตอบรับเขากลับมาเช่นเดียวกัน