กาลครั้งหนึ่งในอดีต ยุคดึกดำบรรพ์ ณ แดนดินถิ่นฐานย่านเอเชีย ยังมีเขตแคว้นแดนกันดาร ขนานนามว่าภูเวียระ ที่นั่นเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ประหลาดดุร้ายตัวหนึ่ง ซึ่งผู้คนเรียกกันว่างูซวง ลมหายใจของมันนั้นสามารถพ่นออกมาเป็นไฟและไอควันโดยผ่านทางรูจมูกอันใหญ่ นอกจากนั้นมันยังสามารถที่จะกลืนกินใครก็ตามที่บังอาจผ่านเข้าไปใกล้ๆ ไม่ว่าจะเป็น ช้าง ม้า วัว ควาย ผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กๆ ตลอดทั้งสัตว์ป่าอื่นๆผู้คนทั้งหลายจึงพากันหวาดกลัวและไม่กล้าที่จะออกจากบ้าน ส่วนพระราชาผู้เป็นใหญ่ก็ไม่อาจจะบรรทมหรือทรงพระสำราญอยู่ได้ ด้วยเป็นกังวลว่าจะกำจัดสัตว์ชั่วร้ายตัวนี้ออกไปจากบ้านเมืองได้อย่างไร ใครกันเล่าจะมีความกล้าหาญชาญชัย พอที่จะรับงานอันน่าหวาดกลัวเช่นนี้ เจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้มันมีไม่ต่ำกว่าสามหัว ซึ่งได้แก่ หัวแพะ หัวสิงโต และหัวอสรพิษ นอกจากนั้นมันยังสามารถพ่นเปลวไฟต่างลิ้นยาวๆของมันออกมาเผาผลาญป่าเขา หรือเหย้าเรือนให้วอดวายไปได้อย่างกว้างไกล ลำตัวของเจ้างูซวงนั้นคล้ายคลึงกับของมังกรส่วนหางของมันนั้นเหมือนกับของงูเหลือมในเวลานั้นยังมีหนุ่มน้อยผู้กล้าหาญอยู่คนหนึ่งนามว่า สินไชย ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระราชา ชายหนุ่มผู้นี้เองที่มีความปรารถนาใคร่แสดงความกล้าหาญเยี่ยงวีรบุรุษ ครั้นพระราชาทรงเสนอให้เขาออกไปทดสอบความแข็งแกร่ง โดยการเข้าต่อกรกับเจ้างูซวง เขาก็ยิ่งมีความกระตือรือร้นและขันอาสาที่จะรับภาระงานอันยิ่งใหญ่นี้ เขาจึงกราบทูลแก่พระราชาว่าเขาจักบั่นมันให้แดดิ้นหรือไม่มันก็จักต้องพินาศสิ้นลงด้วยกำลังของเขาแต่ทว่าสินไชยเองก็รู้อยู่เต็มอกว่า เขาไม่สามารถที่จะบั่นมันให้บรรลัยด้วยลำพังแห่งกำลังเขาเพียงคนเดียวก่อนที่จะได้เข้าประชิดตัว เขาคงจะถูกไฟบรรลัยกัลป์ของมันเผาผลาญกลายเป็นเถ้าถ่านเป็นแน่แท้ แต่เขาก็ทราบดีอีกด้วยว่า มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่จะสามารถให้ความช่วยเหลือแก่เขาได้ ผู้นั้นก็คือ ม้าปีกมหัศจรรย์แต่ว่าเขาจะจับม้าวิเศษตัวนั้นได้อย่างไร เพราะมันสามารถโผบินได้ราวกับนกอินทรีย์และเหินลอยอยู่สูงลิบเหนือหมู่เมฆ อีกทั้งไม่คุ้นเคยกับการบังคับขับขี่หรือมีบังเหียน พาชีผู้มีปีก ซึ่งชาวตะวันตกรู้จักในนามพีกาซัส เกือบจะเรียกได้ว่าเป็นสัตว์แห่งสรวงสวรรค์ และจะลงมายังพื้นโลกก็ต่อเมื่อต้องการดื่มน้ำจากสระอโนดาตแต่เพียงเท่านั้นในราตรีหนึ่งขณะที่สินไชยกำลังนอนหลับอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ เขาได้ฝันไปว่า มีผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ในชุดอันเหลืองอร่ามด้วยทองคำ สวมใส่มงกุฎส่งประกายระยิบระยับ เหาะลอยตรงมาที่เขา แล้วนางก็กล่าวต่อสินไชยว่า“เธอจงตื่นนอนเถิด แล้วจงไปจับเอาม้าปีก เวลาที่เขาลงมาดื่มน้ำจากสระอโนดาต”พร้อมกันนั้นนางก็ยื่นสายบังเหียนและลูกบังเหียนทองคำ ซึ่งสะท้อนแสงอยู่แวววาว ให้กับเขาและกล่าวอีกว่า“ทันทีที่เธอใส่ลูกบังเหียนทองคำไว้ระหว่างฟันและสวมสายบังเหียนลงที่หัวของเขา ม้าปีกก็จะเชื่อฟังในคำสั่งและพาเธอเดินทางอย่างปลอดภัย เพื่อไปยังดินแดนของงูซวง”ครั้นสินไชยตื่นนอน เขาก็เห็นสายบังเหียนและลูกบังเหียนทองคำวางอยู่ข้างๆตัว เขาจึงเชื่อว่าผู้หญิงที่มาในฝันนั้น ย่อมเป็นนางฟ้าผู้ปรารถนาดี ซึ่งถูกส่งลงมาให้ความช่วยเหลือแก่เขาอย่างแน่นอนหลังจากรอนแรมมาหลายเพลา จนกระทั่งในวันหนึ่ง สินไชยก็เดินทางมาถึงยังสระอโนดาต เขาจึงเข้าไปซ่อนตัวอยู่ระหว่างโขดหินและเฝ้าคอยทีม้าปีกจะลงมา จนเวลาผ่านไปนานพอสมควร เขาก็ได้ยินเสียงกระพือปีกกำลังแหวกม่านผ่านเมฆลงมา ทันใดนั้นม้าสีขาวจ้า จนพร่าแก่สายตาที่จ้องมองก็ค่อยๆปรากฏตัวขึ้นอย่างละมุนละไม มันค่อยๆม้วนพับเก็บปีกเข้าที่ แล้วก็ลงเหยียบสัมผัสพื้น และยืนอยู่ข้างธารทิพย์ ชั่วอึดใจนั้นสินไชยต้องแสงมหัศจรรย์อันเจิดจ้าจนพร่ามัว เกินกว่าที่จะเพ่งมองได้ เขาจึงจดจ้องมองจากเงาของม้าที่อยู่ในน้ำแทน ทันทีที่ม้าปีกก้มหัวลงต่ำเพื่อจะดื่มน้ำ รวดเร็วปานสายฟ้าแลบ สินไชยพุ่งทะยานออกจากที่กำบังด้านหลัง และตวัดสายบังเหียนครอบหัวของมันพร้อมๆกับกระโดดขึ้นคร่อมขี่บนหลังของมันโดยฉับพลันในเวลาเดียวกันกับเจ้าพาชีผู้มีปีก ก็ทะยานขึ้นสู่เวหาด้วยพลังปีกของมันเพียงกระพือเดียว โอ!วิวที่เห็นจากเบื้องบนมันช่างสุดแสนจะสวยวิเศษอะไรเช่นนี้ เจ้าสัตว์สีขาวเจิดจ้าสง่างาม มีหางและแผงที่ปลิวสะบัด กำลังพาเขาล่องเหินไปในอากาศและมันก็กำลังดิ้นรนเพื่อสลัดให้ผู้ขับขี่ตกไปจากหลังของมัน มันพุ่งตัวไปอยู่เช่นนี้และเพิ่มความเร็วอย่างรุนแรงยิ่งขึ้น จนสินไชยแทบจะหายใจไม่ทัน มันบิดตัวและทะยานใส่หมู่เมฆกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า แต่เขาก็พยายามเกาะเอาไว้ไม่ให้หลุด ต่อมามันก็พาพุ่งเหินขึ้นสูงลิบและยังสูงขึ้นไปอีกในเมฆา จากนั้นมันก็แสดงความบ้าระห่ำ ด้วยการหกคะเมนตีลังกา และตีปีกอยู่ไปมาอย่างน่าหวาดกลัว พลันมันก็พุ่งหลาวลงสู่เบื้องต่ำอีกครั้งหนึ่ง แต่สินไชยก็ยังเกาะแน่นอยู่บนหลังของมันอย่างมั่นคง และคราวนี้ล่ะที่เขาได้โอกาสใส่ลูกบังเหียนวิเศษสอดเข้าไปในระหว่างฟันของมัน ทันทีที่เขาทำสำเร็จ มันก็กลับอาการเป็นสงบนิ่งและตอบรับการสัมผัสจากผู้ขับขี่อย่างน่าอัศจรรย์สินไชยจึงลูบไล้มันเพียงเบาๆ และกล่าวอย่างนุ่มนวลแต่เป็นการด่วนว่า“ฉันต้องการความช่วยเหลือจากท่าน พาชีผู้มีปีก หากปราศจากท่านเสียแล้ว ฉันก็ไม่สามารถจะบั่นคอเจ้างูซวงและกำจัดซึ่งความหวาดกลัวออกไปจากแดนดินถิ่นภูเวียระได้”คราวนี้พาชีผู้มีปีกจึงเริ่มโบยบินไปอย่างนุ่มนวล แล้วก็พาเขาร่อนกลับลงมายังบริเวณสระอโนดาต ในมือเขายังกุมบังเหียนเอาไว้ ขณะที่กระโดดแผล็วลงจากหลังเจ้าพาชี เขาก็สังเกตเห็นสองตาของมันเอ่อท้นไปด้วยน้ำตาความกล้าหาญที่มีจึงกลับกลายเป็นความโศกสลดและสงสาร เขารู้ตัวว่าเขาได้ดักจับเอาสัตว์มหัศจรรย์แห่งฟากฟ้า และพรากไปเสียซึ่งความเป็นอิสรภาพของมัน เขาจึงไปถอดเอาบังเหียนออกแล้วกล่าวแก่มันว่า“ท่านพาชีผู้มีปีก มันไม่เป็นการบังควรเลยที่ฉันจะเอาไปเสีย ซึ่งความเป็นอิสรเสรีของท่าน ในการท่องนภาและเหินฟ้าไปในหมู่เมฆโดยปราศจากบังเหียน”เขากล่าวพลางม้าปีกก็ทะยานขึ้นสู่อากาศ พออยู่ในระดับความสูงราวเหนือยอดขุนเขา สินไชยก็จำต้องเบือนหน้าหนีด้วยความเศร้าเสียดาย แต่อีกใจหนึ่ง เขาก็รู้สึกปลื้มปิติและยินดีที่ได้ให้ไปซึ่งความเป็นอิสระแก่ม้าชั้นยอดแต่แล้วทันใดนั้นเอง ความสุขและความรู้สึกลิงโลดใจอย่างบอกไม่ถูกก็บังเกิดขึ้น เมื่อเขาได้ยินเสียงกระพือปีกอยู่ข้างหลัง และพลันส่วนหัวของเจ้าพาชีก็มาซุกอยู่ใต้แขนของเขา ครั้นเห็นเช่นนั้น สินไชยจึงปักใจเชื่อว่าเจ้าพาชีผู้มีปีกได้กลับมาหาเขาเอง และเป็นไปตามความปรารถนาของมัน เพื่อจักได้ให้ความช่วยเหลือแก่เขาในภาระงานอันยิ่งใหญ่นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา พาชีผู้มีปีก ก็ให้ความเชื่อฟังแก่ผู้ขับขี่ทุกประการแม้แต่เพียงการสัมผัสและกระซิบเบาๆ ดังนั้นคนและม้าจึงได้เริ่มต้นฝึกฝนวิทยายุทธ์ด้วยกัน ประหนึ่งว่ากำลังต่อสู้อยู่กับศัตรูจริงๆ พวกเขาเหยาะย่างไปในอากาศ เอี้ยวตัวกลับอย่างฉับพลันและโผนทะยานขึ้นสูงลิ่ว แล้วกลับพุ่งปราดปลิวถลาลง จากนั้นหยุดยืนทรงตรงนิ่งอย่างสงบอยู่เหนือหมู่เมฆ การฝึกฝนเช่นนี้ได้ดำเนินติดต่อกันไปเป็นเวลาหลายวัน จนกระทั่งสินไชยและพาชีผู้มีปีกต่างก็เรียนรู้กันจนสิ้นและรู้ใจซึ่งกันและกันเป็นอย่างดีเมื่อวันเวลาแห่งการพบกันของสินไชยและงูซวงมาถึง เขาก็ฉวยเอาดาบอันวาววับกับโล่กำบังแล้วก็กระโดดขึ้นขี่หลังเจ้าม้าปีก ทะยานขึ้นเวหา ถลาบินข้ามทะเล ถิ่นกันดาร ด่านสิงขร ดอนป่า และถิ่นศิลาแลง จนกระทั่งมาถึงเถื่อนถ้ำอันห่างไกล ที่ซึ่งไม่มีสิ่งใดให้เห็นเลย นอกเสียจากซากกระดูกสุมกันอยู่มากมาย ณ ที่ตรงนี้เองคือถ้ำของสัตว์ชั่วร้าย สินไชยจึงกระตุกที่แผงของเจ้าพาชีพลางพูดว่า“ท่านพาชีผู้มีปีกอันเป็นที่รัก ฉันจะไม่ขอให้ท่านก้าวล้ำเข้าไปมากกว่านี้ ฉันไม่ต้องการให้สรีระอันงดงามของท่านต้องมาพิการเพราะลมหายใจของงูซวง จงปล่อยให้ฉันลงไปต่อสู้กับมันเพียงลำพังบนดินเถิด”แทนคำตอบ พาชีผู้มีปีก กลับหันหัวเอาจมูกมาดุนแขนของสินไชยความหมายเป็นนัยเช่นนี้ ยิ่งทำให้เขาบังเกิดความฮึกเหิม สินไชยจึงกระชับดาบแน่นไว้ในมือ แล้วพาเจ้าม้าปีกเหยาะย่างตรงไปยังปากถ้ำ เขาทั้งสองต้องผจญกับเสียงคำรามอันน่าสะพรึงกลัวที่สุดและถูกบดบังด้วยเปลวไฟและควันดำซึ่งกำลังพ่นออกมาจากปากถ้ำของงูซวง กลิ่นเหม็นของควันกำมะถันทำเอาเจ้าม้าปีกถึงกับผงะและสำลัก ในขณะที่สินไชยเองก็จามอย่างรุนแรงและต้องคอยปิดป้องดวงตาเอาไว้ แต่เพียงชั่วเศษเสี้ยวของวินาทีนั่นเอง พอเขาละมือที่ป้องตาออก เจ้าม้าชั้นยอดของเขาก็โผถลาลงราวกับสายฟ้าแลบ และพุ่งดิ่งไปยังตำแหน่งสามหัวของมัน ซึ่งกำลังส่ายไปมาอย่างเกรี้ยวกราด มองดูราวกับอสรพิษร้ายน่าเกลียดน่ากลัวถึงสามตัว ในขณะที่เจ้าม้าปีกก็ผกผันกลับตัวอย่างชำนิชำนาญ และเป็นจังหวะเดียวกันกับที่สินไชยได้โอกาส จึงเงื้อดาบฟันฉับลงที่หัวๆหนึ่งของมันระหว่างที่มันกำลังพ่นเปลวไฟออกมา พอเขาเหลือบลงไปดูอีกที ก็เห็นว่าหัวที่ได้รับบาดเจ็บอย่างแสนสาหัส มีเลือดกำลังไหลออกมาและแน่นิ่งคลุกฝุ่นอยู่นั้นคือหัวแพะเจ้าสัตว์ชั่วร้ายจึงคำรามลั่นด้วยความดุดันยิ่งขึ้น พร้อมกับฉกเข้าใส่สินไชยและม้าปีกของเขาเป็นพัลวัน กรงเล็บอันน่าขยะแขยงของมันก็ตะปบออกมาอยู่ปับๆ ส่วนหางก็คอยตวัดกวัดแกว่งและฟาดฟัดไปมาอย่างบ้าคลั่งขณะที่ความชาญฉลาดของพาชีผู้มีปีกนั้นก็คือ จะต้องคอยระแวดระวังไม่ให้ถูกทำร้ายหรือถูกจับได้ รวดเร็วปานสายฟ้า พาชีทะยานสูงขึ้นไปแล้วก็หวนพุ่งกลับลงมาอีกครั้ง จึงเป็นการเปิดโอกาสให้กับสินไชยได้ทีและฟันดาบลงบั่นหัวสิงโตของมันโดยฉับพลันหัวสิงโตก็เป็นอันชะตาขาด ซวนซบลงไปแน่นิ่งจมกองเลือดอยู่เคียงข้างหัวแพะของมันนั่นเอง หัวงูซวงที่เหลือจึงเป็นหัวอสรพิษหรือหัวพญางูใหญ่ ซึ่งมีพิษมหาศาล และกำลังขู่ฟ่อๆอยู่ทีเดียว มันบิดตัวอยู่เร่าๆเพราะความโกรธจัด แล้วมันก็ชูลำตัวผงาดขึ้นและยืนอยู่บนหางของตัวเองเพื่อจะคอยดักจับศัตรูผู้ชาญฉลาดของมัน คราวนี้สินไชยได้รวบรวมพละกำลังที่มีทั้งหมดอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็ควบม้าชั้นยอดตรงรี่เข้าหามันเป็นครั้งสุดท้าย เสียงคำรามและกรีดร้องของงูซวงนั้นน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงยิ่งนัก แม้จะอยู่ห่างไกลออกไปหลายไมล์ พระราชาและพลเมืองของพระองค์ยังต้องอกสั่นขวัญแขวนเมื่อได้ยินเสียงของมัน อย่างไรก็ตาม คราวนี้เจ้าสัตว์ชั่วร้าย มันกระโจนเข้าใส่ศัตรูของมัน และเกาะติดสีข้างของเจ้าม้าปีกเอาไว้ ในขณะที่เจ้าพาชีเองก็ทะยานเหินสู่หมู่เมฆาเวลานี้สินไชยรู้ตัวว่ากำลังถูกหางของงูซวงรึงรัดอยู่รอบเอว และเปลวไฟอันร้อนแรงก็เผาลนอยู่ที่ใบหน้า และยังเห็นมันกำลังอ้าปากหวาพร้อมจะกลืนกินเขาอยู่ลอมล่อ เขาจึงใช้โล่กำบังคอยปกป้องตัวเองเอาไว้ พอได้จังหวะเขาก็ใช้พละกำลังทั้งหมดจ้วงแทงด้วยดาบ โดยปักเข้าตรงคอหอยจนจมมิดด้าม และยังทะลวงลึกจนตัดขั้วหัวใจของมัน เจ้างูซวงกรีดร้องเสียงหลงจนหูแทบแตก พร้อมๆกันนั้นหางอันทรงพลังของมันที่พันรอบตัวสินไชยอยู่ ก็คลายออก ส่วนที่เรียกว่าซากของสัตว์ชั่วร้ายจึงร่วงลง และลอยละลิ่วตกสู่บริเวณถ้ำของมันเองยังเบื้องล่างพอตกถึงพื้นดินซากของมันก็ถูกเผาผลาญวอดวายด้วยเปลวไฟอันเกิดจากตัวของมันนั้นเองเจ้าพาชีผู้มีปีกจึงโผบินสูงขึ้นไปๆ อย่างสง่าผ่าเผย สู่ดินแดนแห่งสรวงสวรรค์ ในขณะที่สินไชยก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบดูซากสัตว์ชั่วร้ายและความพินาศของมันเป็นครั้งสุดท้าย ในเวลาต่อมาม้ามหัศจรรย์ก็ได้โบยบินกลับลงมายังพื้นโลก ทันทีที่ถึงพื้นดินผู้ขับขี่ก็ลงจากหลังและเข้าไปสวมกอดยอดม้าผู้กล้าหาญของเขาและเอาใจใส่ดูแลบาดแผลให้ด้วยเหตุนี้ แดนดินถิ่นภูเวียระ จึงอยู่เย็นเป็นสุข ปราศจากความหวาดผวางูซวง นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ทั้งนี้ก็ด้วยความกล้าหาญและเสียสละ ของผู้ที่สมควรได้รับการขอบคุณและกล่าวขวัญถึงเป็นอย่างยิ่ง สินไชยและพาชีผู้มีปีก เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
ตามตำนานกรีกโบราณ ย้อนอดีตกาลไปหลายศตวรรษ เล่าขานกันมาว่า มีกษัตริย์พลัดถิ่นพระองค์หนึ่งนามว่าพระเจ้าเอกภพ สัญจรรอนแรมไปตามป่าเขาลำเนาไพร ทรงเสด็จดำเนินไปเพียงลำพังสองพระองค์กับพระราชโอรสผู้ทรงพระเยาว์นามว่าเจ้าชายเจนภพ พระราชบิดาทรงแบกพระราชกุมารผู้อ่อนวัยไว้บนไหล่ตลอดการเดินทาง ด้วยพระองค์ทรงถูกน้องเขยผู้มีจิตใจอันอำมหิต นามว่าพระเจ้าไพลาศ แย่งชิงเอาราชสมบัติไปอย่างไร้ความชอบธรรม มิหนำซ้ำยังขับไสไล่ส่งให้พระองค์พ้นจากอินทรนครสองพ่อลูกจึงต้องหลบหนีและซัดเซพเนจรเพื่อเอาชีวิตของตนให้รอดพ้นไว้ก่อน สองเท้าย่ำป่า ฝ่าดง ลงหุบเหวปีนผา ฝ่าเขาสูง รอนแรมมาเป็นระยะทางอันยาวไกลจนในที่สุดก็มาถึงยังถ้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่บริเวณหน้าตีนผาอันสูงชัน ถ้ำแห่งนี้เป็นที่พำนักของมนุษย์อาชาไนยนามว่าธนู ซึ่งเขาเองก็มีรูปร่างเหมือนมนุษย์อาชาไนยโดยทั่วไป กล่าวคือธนูมีร่างกายเป็นคนตั้งแต่ส่วนหัวถึงเอว แต่ส่วนที่ต่ำกว่าเอวลงมานั้นเป็นม้าชั้นดีมีสง่า ธนูเป็นผู้ที่ฉลาดหลักแหลมและมีความเมตตากว่าคนทั้งมวลในโลก ผมสีขาวของเขาสยายตกมาปรกไหล่ ในขณะที่หนวดเคราอันยาวและหงอก ออกสีเงิน ถูกปล่อยลงมาปิดคลุมไปครึ่งหน้าอกอันใหญ่และผึ่งผายของเขาพระเจ้าเอกภพจึงได้มอบเจ้าชายเจนภพให้อยู่ในความดูแลของท่านธนู เพื่อให้เจ้าชายผู้ยังเยาว์วัย ได้อยู่ศึกษาเล่าเรียนวิทยาการและสรรพศิลป์ทั้งมวล อันจักเป็นคุณสมบัติแห่งมกุฎราชกุมารจะพึงมีสืบไป วงศ์กษัตริย์จากหลายแว่นแคว้นแดนไกลในอดีต ต่างก็เคยส่งพระราชกุมารมาอยู่ศึกษาเล่าเรียนสรรพศิลป์ต่างๆจากท่านธนูด้วยไม่มีสิ่งใดเลยในโลกหล้าที่ท่านธนูจะไม่สามารถประสิทธิ์ประสาทให้กับพระราชกุมารเหล่านั้นได้ ท่านมีความสามารถในการบรรเลงพิณได้อย่างไพเราะเสนาะกังวาน ทั้งเชี่ยวชาญยิงธนูด้วยฝีมืออันฉมัง ขับเพลงดั่งมนต์ขลังใครได้ฟังต้องพะวง เล่าตำนานดั่งใจจงย้อนอดีตแต่บรรพกาล อีกทั้งยังชำนาญการยุทธ์ใช้หอกและดาบทั่วทั้งยุทธภพไร้ซึ่งคนทาบทันในฝีมือเจ้าชายเจนภพผู้ยังอยู่ในวัยเด็กเวลานั้น หัวใจจึงเต็มเปี่ยมไปด้วยความชื่นชอบและศรัทธาในท่านอาจารย์เป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้ก็เพราะเจ้าชายทรงทึ่งในความสามารถอันไร้ขีดจำกัดของท่านธนูนั่นเอง นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเจ้าชายเจนภพจึงเติบโตขึ้นในสำนักของท่านธนู ท่ามกลางบุคคลอื่นๆร่วมสำนัก อาทิ วีรบุรุษผู้กล้าทั้งหลาย และเจ้าชายจากต่างเมืองอื่นๆวันเวลาผ่านไป หนุ่มน้อยเจนภพได้เจริญวัยเป็นผู้ใหญ่ที่แกร่งกล้า ใบหน้าสง่างาม ลือนามเพลงขับขาน เชี่ยวชาญการเต้นรำ ดีดพิณพร่ำอย่างเพราะพริ้ง เก่งช่วงชิงอย่างมีชั้นเชิงในการล่า ขับขี่ม้าอย่างชำนาญ ทั้งห้าวหาญในการปล้ำ และแม่นยำในการรักษา จนได้รับสมญานามว่า เจนภพครบเครื่องยาในที่สุดเวลาแห่งการจากถ้ำ ถิ่นพำนักของเจ้าชายเจนภพก็มาถึง เมื่อเขามีภาระต้องเดินทางกลับไปจัดการลงทัณฑ์กับพระเจ้าไพลาศผู้ทรยศ ผู้ซึ่งเคยก่อกรรมทำเข็ญกับพระเจ้าเอกภพ ผู้เป็นพระราชบิดาของเขา การเดินทางจากไปในคราวนี้ดูจะนำมาซึ่งความโศกเศร้าแก่ท่านอาจารย์ผู้ชาญฉลาดของเขาอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อถึงกาลเวลา สิ่งใดก็ไม่อาจจะหยุดยั้งได้ เขาพาดไหล่อันกว้างใหญ่และสง่างามของเขาด้วยผ้าหนังเสือลายพร้อย มือทั้งสองกระชับหอกไว้คู่กาย ครั้นอำลาท่านอาจารย์แล้วก็ออกสัญจรรอนแรมไปตามเส้นทางอันยาวไกลในระหว่างที่เดินทาง เจ้าชายยังใส่รองเท้าอันประณีตสวยงาม ที่สลักทำด้วยทองคำ ซึ่งก็เป็นสมบัติของพระราชบิดาของเขานั่นเองในวันหนึ่ง เมื่อเจ้าชายเจนภพมาถึงบริเวณตีนเขาอันสูงตระหง่าน มีลำธารที่เชี่ยวกรากหลากไหล กระแสน้ำมีความรุนแรงอย่างน่ากลัว อันเนื่องมาแต่ห่าฝนที่เพิ่งกระหน่ำลงมาอย่างหนัก ณ ที่ฝั่งน้ำเขาเหลือบเห็นหญิงชราผู้หนึ่ง มีขนนกยูงประดับอยู่ที่ไหล่ กำลังรีๆรอๆ ด้วยนางมิกล้าที่จะข้ามลำธารอันน่ากลัวนั้น หนุ่มแน่นเจนภพจึงให้รำลึกถึงคำสอนสั่งของท่านอาจารย์ที่ว่า“ผู้แข็งแรงจักต้องให้ความช่วยเหลือผู้อ่อนแอ”ถึงแม้เขาเองก็ยังกึ่งกล้ากึ่งกลัวที่จะก้าวเท้าลงไปในลำธาร แต่เขาก็เข้าไปเสนอความช่วยเหลือแก่หญิงชราคนนั้นเพื่อพานางข้ามลำธาร แต่ปรากฏว่าหญิงชราผู้นั้นกลับมีน้ำหนักไม่เบาเอาเสียเลย ในขณะที่เขาก็ต้องฝ่าฟันกับกระแสน้ำที่ปั่นมาอย่างรุนแรง แทบจะผลักและพัดพาให้ขาและน่องของเขาเซถลาไปตามแรงน้ำ ซ้ำร้ายเท้าเขายังไปสะดุดเข้ากับท่อนไม้ใต้น้ำที่ถูกพลังกระแสน้ำถอนรากถอนโคนพัดพามา จนเขาต้องถลาเซซวน แต่ก็สามารถทรงตัวไว้ได้และเดินลุยต่อไป ขณะที่กำลังจะก้าวขึ้นฝั่งตรงกันข้ามได้ รองเท้าข้างหนึ่งก็เผอิญติดหนับเข้ากับโคลนตมที่อยู่ใต้ท้องลำธาร ทันทีที่ก้าวขึ้นฝั่งไป รองเท้าข้างนั้นก็หลุดจากเท้าของเขาและถูกน้ำพัดพาจมหายไปในกระแสน้ำเชี่ยว แต่ที่สุด เขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ระหว่างที่ค่อยๆบรรจงวางหญิงชราลงอย่างระมัดระวัง ทว่าทันใดนั้นเขาก็ต้องตกตะลึง เมื่อหญิงชราเปลี่ยนร่างเป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่แห่งเทพธิดาทั้งมวล พระนางคือเทพธิดาเฮร่า ผู้เป็นมเหสีในเทพเจ้าซีอุส พระนางได้สัญญาที่จะให้ความช่วยเหลือแก่เขาเมื่อไหร่ก็ตามที่เขาต้องการความช่วยเหลือ จากนั้นก็อันตรธาน หายวับไปกับอากาศ คงปล่อยให้เจ้าชายเจนภพ ยืนเปียกโชก เหลือรองเท้าเพียงข้างเดียว และเหลียวซ้ายแลขวาแทบจะไม่หายใจด้วยความพิศวงหลังจากรอนแรมมาไกล ในที่สุดเจ้าชายผู้ใส่รองเท้าข้างเดียวก็มาถึงยังอินทรนคร ผู้คนตามถนนรนแคมต่างก็จ้องมองหนุ่มแปลกหน้าผู้งามสง่าซึ่งสวมใส่เสื้อผ้าด้วยหนังของเสือ แต่ครั้นพวกเขามองดูที่เท้าต่างก็กระซิบกันว่า“ดูนั่น เขาใส่รองเท้าเพียงข้างเดียว!” การกระซิบต่อกันจนกลายเป็นเสียงขรม ไม่นานก็ได้ยินเสียงคนตะโกนบอกกันดังมาจากทุกทิศทาง“ชายผู้มีรองเท้าข้างเดียวมาถึงแล้ว ชายผู้มีรองเท้าข้างเดียวมาถึงแล้ว!” พอข่าวนี้ล่วงรู้ไปถึงพระราชาพระองค์จึงกลัวจนตัวสั่นด้วยเคยมีคำพยากรณ์ไว้ว่า สักวันหนึ่งจะมีชายผู้สวมรองเท้าเพียงข้างเดียวเดินทางมาถึงแล้วก็จักเอาไปเสียซึ่งพระราชอาณาจักรของพระองค์ อย่างไรก็ตามพระองค์ก็ทรงแสร้งทำเป็นโปรดปราณที่ได้พบเห็นกับชายหนุ่มแปลกหน้า และยังทรงตรัสแก่เจ้าชายเจนภพว่า เขาคือบุคคลที่พระองค์กำลังรอคอยอยู่เพราะว่าพระองค์กำลังต้องการชายหนุ่ม ผู้กล้าหาญ เข้มแข็ง และบังอาจพอที่จะล่วงล้ำไปยังดินแดนแห่งโคจรบุรีเพื่อนำเอาเสื้อขนแกะทองคำกลับมาเจ้าชายเจนภพก็พอทราบเรื่องราวเกี่ยวกับเสื้อขนแกะทองคำนี้เป็นอย่างดี ซึ่งมันถือกำเนิดมาจากแผ่นหลังของแกะขนทองคำมหัศจรรย์ และครั้งหนึ่งแกะมหัศจรรย์ตัวนี้ เคยช่วยชีวิตเด็กพี่น้องสองคน คือ เฮลเล่ และพรีซัสไม่ให้ถูกแม่เลี้ยงฆ่าตาย ด้วยการให้เด็กทั้งสองขึ้นขี่บนหลัง แล้วก็พาเหินฟ้าหนีไป แต่เฮลเล่ เด็กผู้หญิงได้พลัดตกจากหลังแกะและร่วงลงไปในทะเล (ซึ่งรู้จักกันในเวลาต่อมาว่าเฮลเล่สปอนต์) ส่วนพรีซัสเดินทางไปจนถึงดินแดนแห่งโคจรบุรี และนำสุพรรณภูษาหรือเสื้อขนแกะทองคำไปพาดไว้ที่กิ่งของต้นโอ๊คใหญ่ เหตุนี้ป่าทึบบริเวณนั้นจึงสว่างไสวและแวววาวไปด้วยประกายจากทองคำ ซึ่งแผ่กระจายขยายรัศมีออกไปโดยรอบตั้งหลายไมล์ ในเวลานี้ยังมีมังกรดุร้ายตัวหนึ่ง ซึ่งไม่เคยมีเวลาหลับนอนเลย คอยเฝ้าระวังรักษาเขตป่าโคจรบุรีแห่งนั้นอยู่ ความพยายามของวีรบุรุษผู้กล้าทั้งหลายที่จะนำเอาเสื้อขนแกะทองคำออกมา ต่างก็ล้มเหลว การอาสากล้าเผชิญและเดินสู่ที่แห่งนั้นก็หมายถึงความตายอย่างแน่นอน เจ้าชายเจนภพรู้ดีในเรื่องนี้และยังรู้ด้วยว่าแท้จริงแล้วพระเจ้าไพลาศแฝงไว้ซึ่งความประสงค์ที่จะกำจัดเขานั่นเอง จึงทรงชักนำให้เดินทางไปชิงเอาเสื้อขนแกะทองคำ พลันเขาก็ได้ยินเสียงกระซิบของเทพธิดาเฮร่า (ผู้ซึ่งเคยแปลงร่างเป็นหญิงชรา มาลองใจเขา ถึงความกล้าหาญและความมีเมตตาโดยขอร้องให้ช่วยพาข้ามลำธารอันเชี่ยวกรากในคราวนั้น) พระนางกระซิบว่า“อย่าได้หวั่นกลัวไปเลย เจนภพ ฉันจักช่วยเธอเอง”ดังนั้นเขาจึงจ้องตรงและมองลึกเข้าไปในดวงเนตรของพระเจ้าไพลาศและกล่าวขึ้นอย่างเยือกเย็นว่า“หม่อมฉันจักไปชิงเอาเสื้อขนแกะทองคำและนำมันกลับมา ณ ที่นี้ หรือไม่ก็ม้วยมรอยู่ ณ ที่นั้น แต่มีเงื่อนไขอยู่ว่า”“เจ้ามีเงื่อนไขว่ากระไรหรือ เจนภพ” พระราชาตรัสถาม“พระองค์จักต้องสละและคืนสิทธิ์อันชอบธรรมแห่งราชอาณาจักร ซึ่งเป็นสิทธิ์ของพระบิดาหม่อมฉันอยู่แต่เดิม” เจ้าชายเจนภพกล่าว“ฉันขอสัญญาด้วยความสัตย์จริงว่าฉันจักคืนให้” พระราชาตรัสด้วยเสียงอันดัง แต่ในทางตรงกันข้ามพระองค์กลับดำริในพระทัยว่า “ดีล่ะ มันคือจุดจบของเขา”แล้วพระองค์ก็ทรงกระหยิ่มกับตัวเองอย่างมีเลศนัย ด้วยทรงมั่นพระทัยว่า พระองค์ได้ลวงชายหนุ่มผู้กล้าหาญให้เข้ามาติดกับดักแห่งภารกิจมรณะเป็นที่เรียบร้อยแล้วเช้าวันต่อมาเมื่อฟ้าสางย่างเยือนรุ่งอรุณ สิ่งแรกที่เจ้าชายเจนภพต้องทำก็คือออกไปขอคำแนะนำจากต้นไม้มหัศจรรย์ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม ต้นโอ๊คพูดได้ ลำต้นสูงตระหง่านเกินกว่าหนึ่งร้อยฟุต อยู่ ณ ใจกลางพันธุ์ไม้ป่าดึกดำบรรพ์ดงโดโดน่า“ฉันจักต้องทำประการใด” เขาถาม“เพื่อให้ได้มาซึ่งเสื้อขนแกะทองคำ” โดยการสั่นไหวของใบไม้ที่หนาดก เจ้าชายเจนภพได้ยินเสียงตอบมาอย่างชัดเจนว่า“จงไปหาช่างต่อเรือนามว่า อากาศะ และขอให้เขาต่อเรือรบขนาดห้าสิบฝีพาย”สมจริงทีเดียวในอินทรนครนั่นเอง เขาสามารถเสาะหาช่างต่อเรือจนพบ ซึ่งตกลงรับทำงานต่อเรือให้เขาทันทีโดยได้รับความช่วยเหลือจากลูกมือจำนวนมากมาย ซึ่งหวังแค่การเรียนรู้เอาทักษะการต่อเรือจากนายช่างอากาศะเพียงเท่านั้น ครั้นการต่อเรือสำเร็จลงเป็นที่เรียบร้อย พวกเขาจึงพากันขนานนามเรือลำนั้นว่า อาโปผู้คนทั้งใกล้และไกลต่างหลั่งไหลพากันมาชื่นชมเรืออาโปกันอย่างล้นหลาม เพราะเหตุว่าไม่เคยมีการต่อเรือที่มีขนาดใหญ่และหนักเอามากถึงเพียงนี้มาก่อน ต่อมาเจ้าชายเจนภพก็ไปขอคำแนะนำจากต้นโอ๊คพูดได้อีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ต้นไม้บอกให้เขาตัดเอากิ่งแรกของต้นโอ๊คนั้น และนำไปแกะสลักเป็นรูปนางกินรีเพื่อประกอบเข้าเป็นส่วนหัวของเรืออาโป หลังจากเขาทำตามคำแนะนำนั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็ต้องแปลกประหลาดใจเมื่อได้ยินเสียงพูด ดังออกมาจากปากของนางกินรีที่หัวเรือ“จงส่งคนนำสาส์นออกไป” คือเสียงที่ดังมาจากหัวเรือ“เพื่อแจ้งให้วีรบุรุษผู้กล้าทั้งหลายและเจ้าชายทุกๆพระองค์ ที่เคยร่วมศึกษาเล่าเรียนในถ้ำของท่านธนู โดยเป็นการร้องขอในนามของท่าน เพื่อแสวงหาเพื่อนร่วมเดินทาง ให้ได้ทั้งหมดจำนวนสี่สิบเก้าคน สำหรับการไปชิงเอาเสื้อขนแกะทองคำ”ดังนั้นคนนำสาส์นจึงถูกส่งออกไปยัง ทุกๆเมืองและตำบลต่างๆ ทั่วทั้งอาณาเขตประเทศกรีซ (พื้นที่ในปัจจุบัน)“ใครมีความกล้าหาญชาญชัย เจ้าข้าเอ๊ย!” เสียงคนนำสาส์นป่าวประกาศ“ผู้ใดใจกล้าที่จะไปช่วยพายเรือให้กับเจ้าชายเจนภพ และมีความอาจหาญพอที่จะไปประสบ พบเผชิญกับมังกรมหาภัย เพื่อชิงชัยเอาเสื้อขนแกะทองคำ แล้วนำกลับมายังอินทรนคร”ข่าวนี้ทำให้หัวใจของชายหนุ่มทุกผู้ทุกนาม ล้วนแต่มีความกระสันฝันใฝ่ถึงแม้จะเกินวิสัยสำหรับการร้องขอ แต่ก็สนใจอาสาสมัครมากันอย่างล้นหลาม ทว่าเจ้าชายก็จำเป็นต้องคัดเลือกเอาเพียงจำนวนจำกัดคือสี่สิบเก้าคนเท่านั้น โดยคัดเลือกจากผู้ที่มีประสบการณ์ผ่านพ้นภยันตรายนาๆจากการต่อสู้ ตัวอย่างวีรบุรุษผู้กล้าหาญเหล่านั้นได้แก่ คู่ฝาแฝด พอลลัส และ คัสเตอร์ เฮอคิวลีส ธีสซีออส และ ออร์ฟีอุส โดยเฉพาะออร์ฟีอุสนั้น มีความสามารถในการขับกล่อมและดีดไลร์ (เครื่องดนตรีประเภทสายของชาวกรีกโบราณ) ได้อย่างไพเราะจับใจ ดุจดังมีมนต์ขลัง แม้นแต่สัตว์ป่าดุร้ายเพียงได้ฟัง ก็จังงังนั่งเหม่อ ไม่เผลอกัด กลายเป็นสัตว์เชื่อง แต่หากเขาดีดด้วยท่วงทำนองอันเร่งเร้าเขย่าขวัญ ทำให้ทั่วไพรวัลย์สั่นคลอนถึงถอนราก เกิดกำลังมากถึงลากกลิ้งโขดสิงขร หล่นจากเขาเป็นศิลาบ้าฝ่าดงดอน คือบางตอนจากนิ้วกรีดเพียงดีดไลร์เมื่อกำลังคนพร้อมเพรียงแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะนำเรืออาโปลงทะเล แต่แล้วก็ปรากฏว่า พวกเขาไม่สามารถจะขยับเขยื้อนเรือได้ เนื่องจากความใหญ่โตและน้ำหนักอันมหาศาลของเรืออาโปนั่นเอง นอกจากนั้นสันใต้ท้องเรือยังจมลึกลงไปในทราย ดังนั้นเจ้าชายเจนภพจึงขอคำแนะนำจากหัวเรือนางกินรีมหัศจรรย์อีกครั้ง ซึ่งส่วนของกิ่งไม้โอ๊คพูดได้แนะนำว่า“จงให้ออร์ฟีอุสดีดไลร์บรรเลงบทเพลงอันนุ่มนวล”ด้วยเหตุนั้น เหล่าวีรบุรุษทั้งหลายจึงพากันยกไม้หมอนมาถือรอไว้อย่างมั่นคง ในขณะที่ออร์ฟีอุสก็เริ่มบรรเลงเพลงดีดไลร์ โอ ท่านทั้งหลายจงดูนั่น! เรืออาโปทั้งลำเริ่มสั่นสะท้านและคืบคลานขยับเขยื้อนเคลื่อนขึ้นมาอย่างช้าๆตั้งแต่หัวจรดท้าย ในที่สุดก็ดีดตัวขึ้นมาอยู่บนไม้หมอนที่รองหนุน พอไม้หมอนหมุนก็ส่งให้ลำเรือไหลลื่นชั่วไม่นานเรืออาโปก็ลงไปลอยโต้คลื่นอยู่ในน้ำทะเลหลังจากขนเสบียงอาหารและน้ำดื่มลงไปไว้ในลำเรือ จนเป็นที่เพียงพอเรียบร้อยแล้ว เหล่าวีรบุรุษผู้กล้าทั้งหลายก็เข้าประจำที่นั่งของฝีพาย แล้วก็พากันออกเรือมุ่งหน้าสู่มหาสมุทร ท่ามกลางเสียงร้องตะเบ็งเซ็งแซ่ ของเหล่ามหาชนที่แห่แหนกันมาส่ง และคอยให้กำลังใจกันอย่างเหลือล้นจากบนฟากฝั่งของทะเลลำนาวาล่องลอยมาเป็นเวลาหนึ่งจึงพากันเข้าหยุดพักเป็นจุดแรก ตรงนั้นคือถิ่นถ้ำ แหล่งพำนักของท่านธนูผู้เป็นอาจารย์พวกเขาในอดีตนั่นเอง การแวะพักเพื่อมาเยี่ยมเยือนท่านอาจารย์นับว่าผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็วก่อนเดินทางจากไป ท่านธนูก็ได้ให้คำแนะนำ และอำนวยพรแก่พวกเขากันอย่างทุกถ้วนหน้า เรืออาโปเดินทางต่อมาไม่นานก็ประสบเข้ากับปราการด่านมหาภัยลำดับแรก สิ่งนั้นก็คือเขากระแทกกระทบมรณะแห่งทะเลดำซึ่งมันสามารถที่จะบดขยี้บี้แบนอะไรก็ตามที่ผ่านเข้ามา ด้วยการกระทบกันของก้อนหินขนาดมหึมา หากจะรอโอกาสให้ช่องหินกระทบเปิดอ้าจึงค่อยฝ่าฟันไป พวกเขาย่อมไม่มีวันผ่านไปได้เป็นแน่แท้ แต่ทันใดนั้นก็ปรากฏว่า มีนกทะเลตัวหนึ่งบินผ่านเข้ามาอยู่เหนือภูเขากระทบ แล้วก็บินร่อนและเฉียดเฉี่ยวอยู่รอบๆเขากระทบไปๆมาๆอยู่พักหนึ่งราวกับรอจังหวะจะบินลอดผ่านช่องเขากระทบ เจ้าชายเจนภพเห็นเช่นนั้นก็เชื่อในทันทีว่านกทะเลตัวนั้นถูกส่งมาจากเทพธิดาเฮร่าให้มาทำหน้าที่นำทางเป็นแน่แท้ พลันพวกเขาก็เห็นนกทะเลบินเฉี่ยวลอดผ่านช่องหินกระทบไปอย่างหวุดหวิด ระหว่างที่เขาสองลูกพุ่งเข้ากระแทกกันและคงทันทำอันตรายได้ก็แต่เฉพาะขนส่วนหางของนกเท่านั้น ทันทีที่แรงกระแทกส่งผล โขดเขาก็แยกแตกกระจายออกจากกัน จึงเปิดช่องทางให้กับเรืออาโป และก่อนที่มันจะเคลื่อนตัวเข้ามากางกั้นไว้อีกครั้ง เหล่าวีรบุรุษผู้กล้าซึ่งทำหน้าที่ฝีพายก็พร้อมเพรียงกันจ้วงพายด้วยพละกำลัง โหมเร่งความเร็วของเรืออย่างฉับไว จนสามารถนำเรือข้ามช่องอันตรายไปได้อย่างปลอดภัยพวกเขาพากันล่องเรือต่อไปอีกเรื่อยๆทางเบื้องบูรพา ตามความยาวชายฝั่งตอนใต้ของทะเลยูไซน์ หลังจากสู้ผจญกับปราการด่านมหาภัยหลายครั้งหลายหน แต่ละครั้งก็เรียกได้ว่าเอาชีวิตรอดมาได้อย่างหวุดหวิด ในวันหนึ่งพวกเขาก็ต้องตื่นตาตื่นใจ เมื่อแลเห็นแสงอร่ามเรืองรองจากทองคำส่งประกายมาแต่ไกล สิ่งที่เห็นนั้นก็คือปราสาทราชมนเทียรทองคำของพระเจ้าอาทิตยะแห่งเมืองโคจรบุรี ดินแดนที่มีเสื้อขนแกะทองคำซุกซ่อนอยู่ในป่าลึกครั้นพระราชาทรงรับทราบถึงการมาของเรือผู้แปลกหน้า พระองค์จึงทรงประทับราชรถทองคำเทียมม้า เสด็จพร้อมด้วยเสนาอามาตย์ ข้าทาสบริพาร และเหล่าทวยหาญล้วนแต่หน้าเกรงขาม นำขบวนเสด็จมาหยุดรออยู่ ณชายฝั่งมหานที ทรงฉลองพระองค์ด้วยสุพรรณภูษา อันประดับประดาด้วยทองคำจนหนักอึ้ง มงกุฎบนพระเศียรเล่าก็แพรวพราวราวดวงไฟ เพราะประดับไว้ด้วยเพชรนิลจินดาอันประเมินค่ามิได้ พระองค์จึงทรงสง่างาม สมกับพระนามว่า หน่อเนื้อเชื้อวงศาแห่งพระอาทิตย์อย่างไรก็ตาม เจ้าชายเจนภพและเหล่าวีรบุรุษผู้กล้าของเขา ก็หาได้หวั่นหวาดขยาดกลัวแต่อย่างใดไม่“พวกเราเดินทางมาเพื่อรุกรานราชอาณาจักรของพระองค์ก็หาไม่” เจ้าชายเจนภพกราบทูลแก่พระราชาด้วยสุรเสียงอันสงบและเยือกเย็น“หากแต่มาเพื่อนำเอาเสื้อขนแกะทองคำกลับไปยังอินทรนคร ถ้าพระองค์ประสงค์จะทำศึกสงคราม พวกเราก็จักต่อสู้ แต่หม่อมฉันขอทูลเตือนไว้ก่อนว่า คนของหม่อมฉันล้วนแล้วแต่เป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ทั้งนั้น ซึ่งบางคนเป็นถึงผู้บุตรแห่งองค์อมตะ”แต่การณ์กลับเป็นที่ประหลาดใจแก่เจ้าชายเจนภพยิ่งนัก เมื่อพระเจ้าอาทิตยะทรงตรัสตอบกลับมาอย่างผ่อนปรน“ไยพวกเราจักต้องทำศึกสงครามกันล่ะ” พระราชาตรัส“มันไม่ดีกว่าหรอกหรือ ถ้าเพียงแต่คัดเลือกคนที่ดีที่สุดในพวกท่าน แล้วให้เขาทดลองความสามารถตามที่ฉันจักกำหนด หากเขาทำได้สำเร็จ ฉันก็จักให้โอกาสสำหรับการไปชิงเอาเสื้อขนแกะทองคำ”เจ้าชายเจนภพในฐานะผู้นำของคนในเรืออาโป จึงตกลงตามข้อเสนอ โดยยอมรับคำท้าและขันอาสาที่จักทำด้วยตนเอง แต่แล้วเขาก็ต้องพบว่าโอกาสที่จะประสบความสำเร็จตามความประสงค์นั้นแทบจะไม่มีเลย ด้วยเงื่อนไขสามประการแห่งคำท้าทายนั้นสุดแสนจะยากยิ่งประการที่หนึ่ง ปราบพยศคู่กระทิงไฟเสียให้สิ้น เชื่องแล้วใช้ไถดินห้าสิบไร่ประการที่สอง นำเขี้ยวมังกรยิ่งยงหว่านลงไป อุบัติใหม่เป็นไพร่พลคณนาประการที่สาม จงต่อสู้ไพร่พลให้ป่นปี้ จึงจักชี้ว่ามีชัยในคำท้ากล่าวถึงพระราชธิดาของพระเจ้าอาทิตยะ นามว่าเจ้าหญิงจันทรวตี ผู้ทรงครอบครองของวิเศษ เพียงครั้งแรกที่ได้พบเห็นเจ้าชายเจนภพ พระธิดาก็บังเกิดความรักใคร่และลุ่มหลงในเจ้าชายเป็นยิ่งนัก เธอจึงต้องการที่จะช่วยให้เจ้าชายรอดพ้นจากความหายนะ ดังนั้นเมื่อตกตอนเย็นเธอจึงส่งเด็กนำสาส์นไปที่ชายฝั่ง ซึ่งมีเจ้าชายและคนของเขาคอยเฝ้าระแวดระวังดูแลเรืออาโปอยู่ที่นั่น“ท่านจงไปที่พระราชวังเร็วเข้า” เด็กนำสาส์นกระซิบกับเจ้าชายเจนภพ“เจ้าหญิงจันทรวตีประสงค์ที่จะพบท่านเป็นการด่วน”ครั้นเจ้าชายได้พบเจ้าหญิง เขารู้สึกว่า เธอมีพร้อมทั้งความสวยสดงดงามเป็นเลิศ และความน่ากลัวอยู่ในตัวก็ไม่น้อย“เจ้าชายเจนภพ” เธอกล่าว“หากท่านไว้วางใจฉัน และปราศจากซึ่งความหวาดกลัวอย่างแท้จริง ฉันสามารถบอกท่านได้ ถึงวิธีที่ทำให้กระทิงไฟมันเชื่อง เรื่องหว่านเขี้ยวมังกร รอนรานกับพลไพร่ และไขว่คว้าเอาเสื้อขนแกะทองคำ ฉันเป็นผู้ครอบครองของวิเศษ ฉันรู้ดีเกี่ยวกับหญิงชราที่ท่านนำพาข้ามน้ำข้ามทะเลมาด้วย ต้นไม้โอ๊คพูดได้ นั่นอย่างไรล่ะตลอดจนการผจญภัย ที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคนาๆในระหว่างทางที่ท่านมุ่งมายังดินแดนโคจรบุรี” เจ้าชายเจนภพตั้งใจสดับรับฟังอย่างกระหายใคร่รู้ แต่ดูเหมือนว่าความสวยงามของเจ้าหญิงจะมีอิทธิพลเหนือยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด“นี่อย่างไรล่ะ ขี้ผึ้งมนต์ขลัง” เจ้าหญิงจันทรวตีกล่าวต่อ พร้อมกับยื่นกล่องทองคำให้กับเจ้าชาย“เมื่อนำขี้ผึ้งนี้ทาตามตัวของท่านแล้วไซร้ ลมหายใจอันร้อนเร่าของเจ้ากระทิง ก็ไม่สามารถจะทำอันตรายแก่ท่านได้แม้แต่น้อย”จากนั้นเธอก็นำเอาตะกร้า ซึ่งเต็มไปได้ด้วยเขี้ยวมังกรมายื่นให้แก่เจ้าชาย แล้วพาเขาเดินออกไปยังทุ่งนา ณ ที่ตรงนี้ กระทิงไฟคู่หนึ่งกำลังและเล็มหญ้าอยู่อย่างเงียบๆครั้นเจ้าหญิงคล้อยหลังให้เขา เจ้าชายก็ค่อยๆย่องด้วยปลายเท้า เข้าไปใกล้ๆกระทิงไฟคู่นั้น จนกระทั่งเขาสามารถสังเกตเห็น ไอร้อนของไฟพวยพุ่งออกมาจากจมูกของมัน เขาจึงหยุดอยู่แล้วก็นำขี้ผึ้งมนต์ขลังออกมาทาตามเนื้อตัว เสร็จแล้วเขาก็ย่างก้าวเข้าไปหามันทันที พลันที่มันได้ยินเสียงเท้าเหยียบย่างเข้ามา มันก็โผนออกจากที่ แล้ววิ่งปราดเข้ามาหาเขาทันที ลมหายใจที่ร้อนเป็นไฟของมันเผาผลาญหญ้าจนไหม้เกรียมมาเป็นทางแต่ความร้อนก็หาได้ระคายผิวของเจ้าชายไม่ กอปรกับหัวใจอันองอาจและกล้าหาญของเขา ก่อนที่จะถูกกระทิงไฟขวิดส่งขึ้นไปลอยในอากาศ เจ้าชายก็คว้าได้ที่เขาของมันตัวหนึ่ง อีกตัวหนึ่งจับทันได้ส่วนหาง ด้วยพละกำลังจับถือปานมือเหล็ก เจ้าชายตรึงมันไว้ในมืออย่างมั่นคง แต่ทันใดนั้นเองโดยไม่คาดคิด กระทิงไฟคู่นั้นก็เปลี่ยนเป็นกระทิงเชื่องธรรมดาๆและมีลมหายใจเป็นปกติในบัดดล ทั้งนี้ก็ด้วยความองอาจสามารถของเจ้าชายและอิทธิฤทธิ์ขี้ผึ้งมนต์ขลังของเจ้าหญิงนั่นเอง จึงสามารถลบล้างอาถรรพ์ของกระทิงไฟได้โดยสิ้นเชิง จากนั้นเจ้าชายจึงนำกระทิงทั้งคู่ไปเทียมแอกและไถ แล้วก็ลงมือไถนาด้วยความชำนิชำนาญไปจนทั่วท้องทุ่ง ตามแบบอย่างที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาจากท่านธนู เมื่อไถเสร็จเขาก็นำเขี้ยวมังกรมาหว่านให้กระจายไปตามรอยไถดินดำนั้นพลันแต่ละเขี้ยวก็อุบัติขึ้นเป็นหมวกเหล็กและนักรบพร้อมอาวุธครบมือ พวกเขาผสานกันตามลำดับชั้นยศ แล้วผนึกกำลังกันเข้า ดูพร้อมพรั่งดุจดั่งกองทัพ เมื่อเสร็จสรรพก็ยาตราเข้าหาเจ้าชายโดยมิชักช้า พวกเขาต่างกวัดแกว่งอาวุธ และสองมือกระชับลับศาสตรา เกิดสะเก็ดประกายเจิดจ้าจนน่าสะพรึง“คว้าเอาก้อนหินขึ้นมา แล้วทุ่มเข้าไปในหมู่ไพร่พลนั่น” เสียงเจ้าหญิงจันทรวตีตะโกนมาแต่ไกล เพื่อชี้แนะหนทางตอบโต้ให้แก่เจ้าชาย เขาปฏิบัติตามนั้นโดยทันที ก้อนหินถูกขว้างไปโดนหมวกเหล็กของคนหนึ่งจนหลุดกระเด็น และลอยไปกระแทกพวกเดียวกันเข้า จึงเป็นเหตุให้เกิดความสับสนอลหม่านขึ้นในหมู่นักรบเพราะแทนที่พวกเขาจะเข้าโจมตีเจ้าชายเจนภพ แต่พวกเขากลับหันเข้าประหัตประหารห้ำหั่นในระหว่างหมู่นักรบด้วยกันเอง จึงเปิดโอกาสให้เจ้าชายหลบหนีพวกไพร่พลไปได้อย่างปลอดภัยเช้าตรู่ในวันรุ่งขึ้น เจ้าชายก็รีบเดินทางเข้าไปในพระราชวังโดยทันที และกราบทูลแก่พระราชาว่า เขาได้ปราบพยศกระทิงไฟ ไถนาเสร็จห้าสิบไร่ หว่านเขี้ยวมังกรลงไป กระทั่งลวงพลไพร่ให้ฆ่ากันเอง ทันทีที่ได้รับทราบข่าวนี้ พระเจ้าอาทิตยะถึงกับพระพักตร์ซีดเผือด ด้วยทรงทราบในบัดเดี๋ยวนั้นว่า พระราชธิดาผู้เลอโฉมของพระองค์ซึ่งครอบครองของวิเศษอยู่ ได้ให้ความช่วยเหลือแก่เจ้าชายเป็นแน่โดยมิต้องสงสัย ดังนั้นเจ้าชายเจนภพย่อมมีความสามารถที่จะสังหารมังกรที่อารักขาเสื้อขนแกะทองคำอยู่นั้นได้โดยง่ายดาย“ท่านกระทำการลงไปโดยมิซื่อ” พระราชากล่าวแก่เจ้าชายอย่างไม่ไยดี“เหตุนั้นฉันจักไม่ยินยอมให้ท่านได้ไปซึ่งเสื้อขนแกะทองคำเป็นอันขาด”เจ้าชายเจนภพจึงออกจากพระราชวังด้วยความวิตกกังวล และในระหว่างที่กำลังเดินครุ่นคิดอยู่นั้น ว่าจักทำประการใดดีต่อไป เขาก็ต้องหยุดกึกลงทันใดเพราะได้ยินเสียงของเจ้าหญิงจันทรวตี“เจ้าชายเจนภพ” เธอเอ่ยขึ้น“พระบิดาทรงคาดโทษฉันถึงตาย พระองค์ทรงวางแผนที่จะเผาทำลายเรือรบของท่านและสังหารพลพรรคของท่านทั้งหมด ถ้าเพียงแต่ท่านมีความเชื่อใจ ฉันจักสามารถช่วยท่านได้ จงมาคอยฉันอยู่ที่นี่ เวลาเที่ยงคืน”เจ้าชายเจนภพจึงกล่าวแก่เธอว่า“เธอจะต้องไม่ได้รับอันตรายใดๆ เราทั้งสองจักชิงเอาเสื้อขนแกะทองคำให้จงได้ แล้วเธอก็เดินทางกลับไปพร้อมกับฉัน ไปเป็นพระราชินีแห่งฉัน ยังอินทรนคร เมืองอมรชายฝั่งทะเล”ครั้นถึงชั่วโมงนัดหมาย ทั้งสองก็มาพบกันตามนัดและพากันเล็ดลอดไปยังสวนป่าอาถรรพ์ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่เจ้าชายได้สัมผัสกับแสงสว่างแวววาว อันเป็นส่วนหนึ่งของรัศมีจากเสื้อขนแกะทองคำ ด้วยความใคร่ที่จะได้ยลความงดงามอันวิจิตรของมันอย่างเต็มตา เขาผลีผลามตรงเข้าไปอย่างลืมตัว หากแต่เจ้าหญิงจันทรวตีฉุดรั้งแขนเขาไว้นั่นดอกถึงได้สติ“ระวัง!” เธอร้องเตือน“ท่านลืมไปแล้วล่ะหรือว่ามีมังกรดุร้าย”พูดยังไม่ทันขาดคำ เจ้าสัตว์ชั่วร้าย หัวมีเกล็ดสีดำ ก็กลายกล้ำเข้ามาทันที ลิ้นแฉกรูปส้อมของมันแลบออกมาอยู่แผล็บๆ ระหว่างที่มันรับรู้ถึงการก้าวย่างของเขาทั้งสอง เจ้าหญิงจันทรวตีจึงล้วงเอากล่องทองคำออกมาจากพกห่อของเธอ พลันเธอก็โยนสิ่งที่บรรจุอยู่ในกล่องทองคำนั้น เข้าไปในขากรรไกรอันทรงพลังของมัน เพียงชั่วอึดใจ มันก็ตวัดปัดป่ายหางไปมาอย่างบ้าคลั่ง ยืนเหยียดโก่งหลังและโน้มตัวไปข้างหน้า แล้วก็กลับล้มครืนลงมานอนแน่นิ่งไม่ไหวติง โดยไม่ชักช้า เจ้าชายเจนภพรีบกระโดดข้ามลำตัวเจ้ามังกร ไปคว้าเอาเสื้อขนแกะทองคำที่พาดอยู่บนต้นไม้นั้นทันควัน จากนั้นทั้งเจ้าชายและเจ้าหญิงก็รีบพากันเดินทางกลับมายังเรืออาโป ซึ่งทอดสมอรออยู่ ณ ชายฝั่งทะเล พวกเขาทั้งหมดจึงได้ถือโอกาสจัดเลี้ยงฉลองความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ด้วยการทำอาหารอันหรูหราพร้อมทั้งมีเครื่องดื่มสุราและไวน์ แต่แล้วการเลี้ยงฉลองของพวกเขาก็ต้องสิ้นสุดลงในเวลาอันรวดเร็วเมื่อมีเสียงจากนางกินรีที่หัวเรืออาโปพูดเตือนภัยขึ้นว่า“ไม่มีเวลาแล้ว เร็วเข้า เจนภพ จงพากันรีบหนีเอาชีวิตของพวกเจ้าให้รอด เร็วเข้า!”พอเจ้าชายเจนภพมองขึ้นไปบนฝั่ง ก็เห็นราชรถม้าศึกของพระเจ้าอาทิตยะสะท้อนแสงอยู่วาววับ ติดตามด้วยขบวนพหลพลพยุหเสนา ยาตราทัพตามกันมามืดฟ้ามัวดิน และกำลังเร่งความเร็วมุ่งหน้ามายังชายฝั่งทะเลครั้นเห็นเช่นนั้น เหล่าวีรบุรุษผู้กล้าทั้งห้าสิบ จึงปราดเข้าประจำตำแหน่งฝีพายของตัวเองราวกับเป็นคนๆเดียวกัน ในขณะที่เจ้าชายเจนภพก็ชูเสื้อขนแกะทองคำมหัศจรรย์ไว้อยู่เหนือศีรษะ ทว่ากองทัพที่ยกไล่ติดตามมาก็จำเป็นต้องหยุดเพราะสุดแผ่นดินตรงชายฝั่งด้วยความเดือดดาล พระเจ้าอาทิตยะจึงมีรับสั่งให้พลธนูของพระองค์ ระดมยิงลูกเกาทัณฑ์อาบยาพิษเข้าใส่เป้าหมายเรืออาโปอย่างหนาแน่นประหนึ่งว่าเป็นห่าฝน แต่ก็หาได้เป็นอันตรายต่อคนบนเรือไม่ เพราะลูกเกาทัณฑ์ต้องแข่งกับความเร็วของเรือ ซึ่งกำลังเร่งออกสู่ทะเลและห่างไกลออกไปอย่างว่องไวเหล่าวีรบุรุษผู้กล้ายังใช้โล่กำบังปัดป้องไว้อยู่ตลอดเวลา นอกจากนั้นออร์ฟีอุสยังช่วยบรรเลงบทเพลง คอยปลุกเร้าและเฝ้าชื่นชมเหล่าวีรบุรุษผู้กล้าทั้งหลาย ด้วยการกรีดดีดไลร์เสริมส่งอีกแรงหนึ่งและด้วยบทเพลงอันสุดแสนจะซาบซ่านหวานซึ้งตรึงหฤทัย ยิ่งช่วยเร่งเรืออาโปให้ล่องลอยไกลออกไป และย้อนกลับยังทิศประจิมสมดั่งใจปรารถนา มุ่งหน้าสู่อินทรนคร เมืองอมรฝั่งทะเล จนในที่สุด เจ้าชายเจนภพและเหล่าวีรบุรุษทั้งหมด ก็เดินทางกลับมาถึงพระนครโดยสวัสดิภาพ ภายหลังจากการทวงสัญญากับพระเจ้าไพลาศและเรียกคืนสิทธิ์อันชอบธรรมแห่งราชอาณาจักร เจ้าชายก็เสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติ พร้อมทั้งได้อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงจันทรวตี ซึ่งสถาปนาเป็นองค์พระราชินี และอยู่ร่วมปกครองไพร่ฟ้าประชาชี บ้านเมืองจึงมีแต่ความผาสุกสืบต่อมา เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
ตามตำนานของสก๊อตแลนด์ ซึ่งเป็นอาณาจักรเก่าแก่อยู่ตอนเหนือของเกาะอังกฤษ ได้มีเล่าขานสืบกันต่อมาว่าในอดีตกาลย้อนหลังไปหลายศตวรรษ ยังมีพระราชินีหม้ายพระองค์หนึ่ง ซึ่งมีพระธิดาอยู่สามพระองค์ เวลานั้นบ้านเมืองเกิดทุพภิกขภัย คือภาวะข้าวยากหมากแพง ความเป็นอยู่ของพระราชินีหม้ายจึงลำบากขึ้น พระนางและพระธิดาจึงดำริที่จะช่วยกันออกแสวงโชคเพื่อความอยู่รอดของปากท้องเจ้าหญิงพระองค์ใหญ่จึงตั้งใจที่จะออกจากปราสาท เพื่อไปเสี่ยงโชคยังโลกกว้างข้างนอก ซึ่งมารดาของเธอก็เห็นด้วยและตรัสว่า“ออกไปหางานทำยังต่างด้าวย่อมดีกว่าอดข้าวตายอยู่ในบ้าน”ณ กระท่อม ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากปราสาทมากนัก เป็นที่พำนักของยายชราคนหนึ่ง ซึ่งลือกันว่านางเป็นแม่มดและมีวิชาพยากรณ์ชะตาชีวิตเป็นที่แม่นยำนัก พระราชินีจึงมีรับสั่งให้เจ้าหญิงไปพบยายชรายังกระท่อมของนาง เพื่อตรวจพิเคราะห์ดูโชคชะตาว่า เจ้าหญิงควรจะออกแสวงโชคไปทางทิศใดจึงจะนำมาซึ่งโชคลาภและบังเกิดผลดีที่สุด“การแสวงโชคของเจ้าหญิง ก็มิต้องเดินทางไกลไปเกินกว่าประตูหลังบ้านของหม่อมฉันนี่หรอก เพคะ”หญิงชรากล่าวด้วยความยินดี เพราะนางเองก็มักจะแสดงออกถึงความกังวลและห่วงใยในความลำบากของพระราชินีและพระธิดาอยู่เสมอ จึงสบโอกาสได้สนองคุณด้วยข่าวดีครั้นเจ้าหญิงได้ยินเช่นนั้น ก็รีบวิ่งไปตามทางเดินมุ่งตรงออกไปทางประตูหลังบ้านของหญิงชรา พอถึงประตูแล้วก็แอบชำเลืองออกไปข้างนอก พลันสิ่งที่เธอเห็นก็คือราชรถคันงามอันวิจิตร มีม้าสีครีมพันธุ์ดีมีสง่าเทียมมาทั้งหมดหกตัว กำลังมุ่งหน้ามาตามถนนด้วยความตื่นเต้นเป็นที่สุดต่อภาพที่ปรากฏแก่สายตาอันหาดูได้ยากยิ่ง เจ้าหญิงจึงรีบวิ่งเข้าไปบอกแก่หญิงชราในห้องครัวถึงสิ่งที่เธอได้พบเห็น“นั่นอย่างไรล่ะเพคะ เจ้าหญิงได้เห็นโชคลาภของตนเข้าแล้ว” หญิงชราเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอันปลาบปลื้มและพึงพอใจเป็นอย่างมาก“ก็ราชรถและม้าทั้งหกนั่นกำลังมาเกยเจ้าหญิงนั่นเอง”จริงแท้ทีเดียว ม้าทั้งหกได้นำราชรถมาหยุดลงตรงหน้าปราสาทพอดี ไม่นานพระธิดาองค์ที่สองก็วิ่งมาแจ้งข่าวแก่พระธิดาองค์ใหญ่ที่กระท่อมว่าให้รีบกลับโดยเร็วเพราะราชรถกำลังคอยอยู่ เธอดีใจอย่างเหลือล้นต่อโชคลาภอันน่าทึ่งที่มาถึงเธอ เธอจึงรีบเดินทางกลับเข้าปราสาท อำลาพระราชมารดาและพระขนิษฐาทั้งสองของเธอแล้วก็ก้าวขึ้นไปนั่งในราชรถ จากนั้นม้าทั้งหกก็พากันเหยาะย่างเคลื่อนราชรถออกไปโดยทันทีเป็นที่ทราบกันดีในเวลานั้นว่า ราชรถได้นำพระธิดาไปยังพระราชวังของเจ้าชายผู้ลือนามและมั่งคั่งพระองค์หนึ่งซึ่งทั้งสองได้อภิเษกสมรสกันในเวลาต่อมา ทว่าส่วนนี้ก็เป็นเพียงส่วนปลีกย่อยนอกเรื่องจากตำนานที่กำลังจะเล่ากันต่อไปนี้เวลาไม่กี่สัปดาห์ต่อมา พระธิดาองค์ที่สองก็ดำริที่จะออกแสวงโชคเช่นเดียวกันกับพี่สาว เธอจึงไปหาหญิงชราที่กระท่อม และบอกแก่นางว่าเธอก็ปรารถนาที่จะออกไปเสี่ยงโชคยังโลกกว้างเช่นกัน แน่นอนที่เดียว ในหัวใจของเธอก็ย่อมคาดหวังถึงโชคลาภอย่างเดียวกันกับที่ได้เกิดขึ้นกับพี่สาวก็อดที่จะเผยให้ทราบไม่ได้ว่า เธอได้ลาภเช่นนั้นจริงๆ เพราะพอหญิงชราบอกให้เธอไปกวาดสายตาดูยังประตูหลังกระท่อม โอ! นั่นไง ราชรถและม้าทั้งหกอีกคันหนึ่งก็กำลังมุ่งหน้ามาตามถนน ครั้นเธอกลับเข้าไปแจ้งแก่หญิงชรา นางก็ยิ้มอย่างมีเมตตาและบอกเธอให้รีบกลับปราสาท เพราะราชรถนั่นคือโชคลาภของเธอที่กำลังมาเกยนั่นเองเธอจึงรีบเดินทางกลับเข้าปราสาท หลังจากอำลาพระราชมารดาและพระขนิษฐาแล้วก็ก้าวขึ้นราชรถ และม้าทั้งหกก็พาเหยาะย่างเคลื่อนจากไปเป็นที่แน่นอนเลยทีเดียวว่า เหตุการณ์โชคลาภที่เกิดขึ้น ได้นำความปรารถนาอย่างแรงกล้ามาสู่เจ้าหญิงพระองค์เล็กเหลือประมาณ ซึ่งเกินกว่าจะรอได้แม้เพียงชั่วข้ามวัน จึงในห้วงแห่งราตรีวันเดียวกันนั้นเอง เธอจึงแอบย่องไปหาหญิงชราที่กระท่อม ด้วยใจที่คึกคะนองหญิงชราก็บอกให้เธอไปตรวจดูที่ประตูหลังกระท่อมอีกเช่นกัน เธอดีใจมาก จึงรีบวิ่งไปดูด้วยหวังว่าจะได้เห็นราชรถและม้าทั้งหกเป็นคันที่สามมุ่งหน้ามาตามถนน ซึ่งตรงไปยังประตูเข้าปราสาท แต่ อนิจจา หาได้มีเช่นนั้นไม่! มันไม่ปรากฏสิ่งใดอันเป็นที่พึงใจต่อสายตาที่กำลังใฝ่หาของเธอเลย เพราะถนนอันโดดเด่นก็ยังคงว่างเปล่าอยู่ดังเดิม ด้วยความผิดหวังอย่างใหญ่หลวง เธอจึงรีบวิ่งกลับมาบอกแก่หญิงชรา“นั่นก็แสดงว่า โชคลาภของเจ้าหญิงยังไม่มาให้ประสบในวันนี้” หญิงชรากล่าว“ฉะนั้นในวันพรุ่งนี้ เจ้าหญิงจะต้องไม่มาที่นี่อีกก็แล้วกัน”ดังนั้นเจ้าหญิงพระองค์เล็กจึงกลับเข้าปราสาท แต่แล้วพอวันรุ่งขึ้นเธอก็อดที่จะไปยังกระท่อมของหญิงชราอีกไม่ได้ครั้งนี้เธอก็ผิดหวังอีกเช่นเคย เธอพยายามสอดส่ายหาด้วยสายตาอันปรารถนาและใคร่เห็นราชรถกับม้าทั้งหกแต่ก็ปรากฏแต่ความว่างเปล่า ครั้นแล้วในวันที่สามถัดมา สิ่งที่เธอเห็นกลับเป็นกระทิงดำตัวใหญ่ วิ่งมาตามถนนด้วยท่าทางอันดุดัน มันใช้เขาขวิดอากาศมาอย่างน่ากลัวอารามตกใจ เธอรีบปิดประตูและวิ่งไปแจ้งแก่หญิงชรา ถึงเรื่องกระทิงเถื่อนดุร้าย ที่กำลังวิ่งใกล้เข้ามา“เจ้าหญิงเอ๋ย” หญิงชราเอ่ยขึ้น พร้อมกับโบกไม้โบกมือเป็นการปลอบโยน“ใครเล่าจะคาดคิดว่ากระทิงดำแห่งนอร์โรเวย์จะเป็นโชคลาภของเธอ!”พอได้ยินเช่นนั้นเจ้าหญิงก็ถึงกับพระพักตร์ซีดเผือด เพราะการที่เธอตัดสินใจออกจากปราสาทมาก็เพื่อแสวงหาโชคลาภ แต่ก็ไม่เคยคาดคิดเลยแม้แต่นิดว่า วาสนาของเธอจะมาพบกับอะไรที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้“แต่ว่ากระทิงถึกเยี่ยงนี้จะเป็นโชคลาภของฉันได้อย่างไร” เธอร่ำไห้ด้วยความหวาดกลัว“ฉันไม่อาจไปกับกระทิงผู้ตัวนี้ได้หรอก”“แต่เจ้าหญิงก็จำเป็นต้องไป” หญิงชราเอ่ยขึ้นด้วยอากัปกิริยาอันสงบเยือกเย็น“เพราะเหตุว่าเจ้าหญิงได้ไปเยี่ยมมองผ่านประตูหลังกระท่อมของหม่อมฉัน ด้วยจิตใจที่ปรารถนาในโชคลาภของตน เมื่อโชคลาภมาถึงแล้ว เจ้าหญิงก็จะต้องรับเอาไว้แต่เพียงเท่านั้น”ถึงแม้นเจ้าหญิงผู้น่าสงสารจะวิ่งร่ำไห้กลับไปแจ้งแก่พระราชมารดา เพื่อขอร้องให้เธอได้อยู่พำนักในปราสาทดังเดิมต่อไป ทว่าพระราชินีก็ทรงมีความคิดเห็นเช่นเดียวกันกับหญิงชราผู้ชาญฉลาด ด้วยเหตุนั้นเจ้าหญิงจึงยินยอมขึ้นไปนั่งอยู่บนหลังกระทิงถึกสีดำ ร่างบึกตัวนั้น ซึ่งบัดนี้มันได้มายืนสงบนิ่งอยู่ที่หน้าปราสาทแล้ว แต่พอเจ้าหญิงขึ้นไปนั่งอยู่บนหลังเป็นที่เรียบร้อย มันก็เริ่มออกอาการป่าเถื่อนและผลุนผันจากไป ในขณะที่เจ้าหญิงก็พยายามเกาะเกี่ยวอย่างสามารถเพื่อให้ตนเองอยู่บนหลังของมันด้วยความหวาดกลัวจนตัวสั่นกระทิงดำพาเจ้าหญิงเดินทางรอนแรมมาไกลแสนไกล จนกระทั่งเธออดทนต่อความหวาดกลัว ความเหน็ดเหนื่อย และความหิวกระหายไม่ไหว เธอจวนเจียนจะเป็นลมและแทบจะตกจากที่นั่ง และในระหว่างที่มือของเธอร่วงผล็อยจากเขาขนาดเขื่องของมัน เธอก็รู้สึกว่าร่างของเธอกำลังจะร่วงลงไปกองอยู่กับพื้น แต่แล้วเจ้ากระทิงก็นำหัวอันใหญ่โตของมันเอี้ยวกลับมาดุนร่างของเธอเอาไว้ พร้อมกับกล่าวขึ้นด้วยเสียงอันนุ่มนวลและแผ่วเบาอย่างมหัศจรรย์“เชิญรับประทานได้จากหูข้างขวาและดื่มได้จากหูข้างซ้ายของฉัน แล้วเธอก็จักมีเรี่ยวแรงสำหรับการเดินทาง”เจ้าหญิงจึงนำมืออันสั่นเทาของเธอล้วงลงไปในหูข้างขวา และสิ่งที่เธอได้ติดมือออกมาก็คือขนมปังและเนื้อย่างถึงแม้เธอจะยังหวาดกลัว แต่เธอก็ดีใจที่พอมีอะไรได้รับประทาน ต่อมาเธอก็ล้วงลงไปในหูข้างซ้าย ซึ่งพบว่ามีขวดไวน์เล็กๆขวดหนึ่ง หลังจากเธอดื่มเสร็จแล้วก็ปรากฏว่ากำลังและเรี่ยวแรงคืนกลับมาสู่เธออย่างน่าอัศจรรย์เขาพากันสัญจรรอนแรมไปอีกไกลแสนไกล จนร่างกายของทั้งสองร้าวระบมจากการขี่ ต่อความรู้สึกของเจ้าหญิง มันช่างไกลจนคิดว่าพวกเขากำลังใกล้จะถึงแดนสุดท้ายแห่งปลายโลกนั่นเทียว พลันปราสาทอันโอ่อ่าก็ปรากฏเด่นตระหง่านอยู่ต่อหน้าของพวกเขาในที่สุด“พวกเราอาจจะเข้าไปพักในนั้นสักคืน” กระทิงดำแห่งนอร์โรเวย์เอ่ยขึ้น“เพราะที่นั่นก็คือบ้านน้องชายของฉันคนหนึ่ง”แรกได้ยินเจ้าหญิงก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ในเวลานั้นเธอก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยมากเกินกว่าจะไปให้ความใส่ใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรทั้งสิ้น เธอจึงมิได้ปริปากแต่อย่างใด หากแต่ยังคงนั่งอยู่เช่นนั้น จนกระทั่งกระทิงถึกได้พาเธอวิ่งเข้าไปในบริเวณปราสาท แล้วก็ใช้หัวอันใหญ่โตของมันโขกลงที่ประตูบานประตูถูกเปิดออกในทันที โดยมีผู้รับใช้ซึ่งอยู่ในเครื่องแบบอันงดงาม ก้าวออกมาให้การต้อนรับแก่กระทิงถึกอย่างให้เกียรติ เขายังเข้ามาช่วยรับเจ้าหญิงลงจากหลังกระทิงอีกด้วย จากนั้นก็นำทางเธอไปยังห้องโถงอันอลังการ ที่นั่นมีท่านลอร์ด ท่านผู้หญิง ตลอดจนท่านผู้มีเกียรติอื่นๆอีกหลายท่านรออยู่ ในขณะที่กระทิงดำก็วิ่งเหย่าๆออกไปอย่างเป็นสุข เพราะได้โอกาสและเล็มหญ้าอันเขียวขจีซึ่งขึ้นอยู่โดยรอบปราสาท และยังใช้ที่นั่นเป็นที่หลับนอนสำหรับคืนนี้อีกด้วยท่านลอร์ดและท่านผู้หญิงล้วนแต่มีความเมตตาและเอ็นดูต่อเจ้าหญิงเป็นอย่างมาก หลังจากเลี้ยงอาหารค่ำเธอแล้ว ก็พาเธอไปยังห้องนอนซึ่งตกแต่งไว้อย่างสวยงาม ภายในห้องมีกระจกทองคำแขวนอยู่โดยรอบจากนั้นเจ้าของปราสาทก็ขอตัวไปพักผ่อน คงละเธอไว้ให้พักอยู่ในห้องนั้นแต่เพียงลำพัง ครั้นถึงรุ่งเช้า กระทิงดำก็วิ่งมารออยู่ที่หน้าประตู ท่านลอร์ดและท่านผู้หญิงได้หยิบยื่นลูกแอปเปิลสวยงามลูกหนึ่งใส่มือให้เธอ พร้อมกับกำชับว่าอย่าเพิ่งกะเทาะเปลือกมันเป็นอันขาด จงเก็บใส่กระเป๋าไว้เช่นนั้น จนกว่าเวลาใดที่เธอตกอยู่ในภยันตรายซึ่งอาจหมายถึงชีวิต เมื่อนั้นแหละค่อยกะเทาะมันแล้วเธอจะได้รับความช่วยเหลือด้วยเหตุนั้นเธอจึงเก็บลูกแอปเปิลใส่ไว้ในกระเป๋า จากนั้นเจ้าของปราสาทผู้อารีทั้งสองก็ช่วยกันส่งเธอให้ขึ้นไปนั่งอยู่บนหลังกระทิงดำอีกครั้งหนึ่ง เจ้าหญิงและผู้ร่วมเดินทางซึ่งดูออกจะประหลาดอยู่ไม่น้อยก็พากันออกเดินทางต่อไปตลอดทั้งวันพวกเขาเดินทางโดยมิได้หยุดพัก เป็นระยะทางไกลเกินกว่าจะคะเนได้ จนกระทั่งยามราตรีมาเยือนพวกเขาจึงมองเห็นปราสาทอีกหลังหนึ่ง ซึ่งมีความใหญ่โตและโอ่อ่ากว่าหลังก่อนหน้านี้มาก“พวกเราอาจจะเข้าไปพักและค้างในนั้นสักคืน” กระทิงดำเอ่ยขึ้น“เพราะที่นั่นก็คือบ้านน้องชายของฉันอีกคนหนึ่ง”ที่นี่เองเจ้าหญิงได้เข้าพักค้างคืน และนอนบนเตียงนอนอันแสนจะนุ่มและประณีตงดงาม ม่านที่ผูกอยู่โดยรอบก็ล้วนทำจากไหมชั้นดี ส่วนท่านลอร์ดและท่านผู้หญิงเจ้าของปราสาทก็คอยปฏิบัติต่อเธออย่างดียิ่ง ทั้งนี้ก็เพื่อให้เธอได้รับความสะดวกสบายที่สุด ครั้นถึงรุ่งเช้าก่อนที่เธอจะออกเดินทางต่อไป เจ้าของปราสาทก็นำลูกแพร์ขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เธอเคยเห็นมายื่นให้และยังกำชับมิให้เธอกะเทาะลูกแพร์เป็นอันขาด จนกว่าเธอจะตกอยู่ในสภาวะคับขันอย่างร้ายแรง เมื่อนั้นแหละหากเธอกะเทาะ มันก็จะช่วยให้เธอพ้นไปจากที่นั่นในวันที่สามก็เป็นการเดินทางเช่นเดียวกันกับสองวันก่อน เจ้าหญิงและกระทิงดำแห่งนอร์โรเวย์ต่างก็อิดโรยจากการรอนแรมมาเป็นระยะทางหลายต่อหลายไมล์ พอตะวันตกดิน พวกเขาก็มาถึงยังอีกปราสาทหลังหนึ่ง ซึ่งมีความวิจิตรอลังการมากกว่าสองหลังที่ผ่านมาปราสาทหลังนี้เป็นของน้องชายคนเล็กสุดของกระทิงดำ ณ ที่นี้ เจ้าหญิงจึงมีโอกาสได้พักผ่อนอีกหนึ่งคืนเต็มๆ ขณะเดียวกันกระทิงดำก็พักผ่อนอยู่ในสวนรอบๆปราสาทตามเคย ครั้นถึงเวลาเดินทางจากไปเจ้าหญิงก็ได้รับลูกพลัมซึ่งดูน่ารักที่สุดลูกหนึ่ง พร้อมกับถูกกำชับว่าอย่าเพิ่งกะเทาะมันเป็นอันขาด จนกว่าเธอจะตกอยู่ในภาวะคับขันที่สุดซึ่งอาจหมายถึงชีวิต เมื่อนั้นแหละจึงกะเทาะ แล้วมันก็จะช่วยให้เธอเป็นอิสระในวันที่สี่ ทุกอย่างได้เปลี่ยนไป พอสิ้นสุดการเดินทางในวันนั้น จะมีปราสาทอันวิจิตรคอยอยู่เหมือนเมื่อก่อนก็หาไม่ ตรงกันข้าม เมื่อเงาเริ่มทอดยาวยืดออกไป กลับมีแต่ความมืดปกคลุมเข้ามาทุกขณะๆ ป่าก็รกชัฏมืดดำเข้าทุกที ความอึมครึมแผ่เข้ามาแทนที่ จนเจ้าหญิงเองรู้สึกได้ถึงความกล้าหาญของตนกำลังหดหายไปตามลำดับซึ่งเรียกได้ว่าทุกขณะของก้าวย่างที่ใกล้เข้าไปเลยทีเดียวกระทิงดำได้มาหยุดอยู่ ณ ปากทางเข้าป่าดงดิบ“แสงสว่างมาสิ้นสุดลง ณ ที่ตรงนี้เอง สุภาพสตรีเอ๋ย” เขาเอ่ยขึ้น“ณ ป่าแห่งนี้ โดยมีชีวิตเป็นเดิมพัน ปรปักษ์ของฉันกำลังคอยอยู่ ฉันจักต้องเผชิญกับมันแต่เพียงลำพังโดยปราศจากซึ่งคนช่วยเหลือ ความมืดมนและวังเวงที่แผ่คลุมอยู่ย่านนี้ก็คืออำนาจดำแห่งวิญญาณร้าย ซึ่งคอยรังควานมนุษย์โลกให้ได้รับความเดือดร้อน ฉันดีใจที่วันแห่งการต่อสู้มาถึง ฉันหวังและเชื่อมั่นในความรู้สึกว่าฉันจักเอาชนะมันได้ สำหรับเธอ ในระหว่างนี้เธอจะต้องนั่งอยู่ที่โขดหินนี้เท่านั้น โดยจักต้องไม่กระดุกกระดิกไม่ว่าจะเป็นมือ เท้า หรือแม้แต่ลิ้นของเธอ จนกว่าฉันจะกลับมา จงระวังตัวให้ดีนะ ถ้าหากเธอเคลื่อนไหวมากไปเธอก็จะตกอยู่ภายใต้อำนาจแห่งวิญญาณร้ายที่ครอบงำป่าดงดิบแห่งนี้อยู่”“แล้วฉันจักรู้ได้อย่างไรว่าเกิดอะไรขึ้นกับท่าน” เจ้าหญิงซักถามอย่างเป็นกังวล ด้วยความรู้สึกเป็นห่วงอย่างจับจิต ต่อสัตว์ร่างใหญ่สีดำซึ่งทำหน้าที่เป็นพาหนะมาตลอด ได้ลุกโพลงขึ้นในใจ โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นความกล้าหาญในวันที่สี่“หากฉันไม่สามารถจะขยับมือ ขยับเท้าหรือปริปากพูดออกมาได้”“เธอจะรู้ได้จากสัญญาณที่อยู่รอบข้างเธอ” กระทิงกล่าว“หากทุกสิ่งรอบข้างเธอกลายเป็นสีน้ำเงิน เธอก็พึงรู้เถิดว่าฉันได้ปราบวิญญาณชั่วร้ายลงอย่างราบคาบแล้วแต่ถ้าทุกสิ่งที่อยู่รอบข้างเธอกลายเป็นสีแดง นั่นก็หมายความว่าฉันถูกมันฆ่าตายอย่างสิ้นซาก”กล่าวเสร็จเขาก็เดินจากไป ไม่นานก็ลับสายตาท่ามกลางความมืดดำแห่งป่าดงดิบ คงปล่อยให้เจ้าหญิงนั่งนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนโขดหินแต่เพียงลำพัง เธอกลัวแม้แต่จะขยับปลายนิ้ว เพราะเกรงว่าอาจจะมีวิญญาณร้ายที่เราไม่รู้เข้าสิงสู่เธอได้ในที่สุด หลังจากที่เธอนั่งอยู่นานเกือบชั่วโมง ความเปลี่ยนแปลงที่เฝ้ารอคอยอย่างใจจดใจจ่อก็เริ่มผ่านเข้ามาทั่วทั้งบริเวณ แรกทีเดียวมันปรากฏเป็นสีเทา ต่อมามันก็กลายเป็นสีน้ำเงินอันสดใสราวกับแผ่นนภาได้ทอดตัวลงมาจรดพื้นแผ่นหล้า“เจ้ากระทิงถึกมีชัยแล้ว” เจ้าหญิงนึกในใจ“โอ! ช่างเป็นสัตว์ที่ประเสริฐอะไรเช่นนี้!” อารามดีใจและโล่งอก เธอจึงเปลี่ยนอิริยาบถ เป็นนั่งไขว้เท้าโอ อนิจจา! ช่างเป็นวันที่เลวร้ายและน่าเศร้าเหลือที่สุด ในบัดดลนั้นเอง มนต์ดำแห่งคำสาปก็ตกต้องเธอ และเป็นเหตุให้ไม่สามารถมองเห็นเธอได้จากสายตาของเจ้าชายแห่งนอร์โรเวย์ ผู้ซึ่งบัดนี้ได้มีชัยแก่วิญญาณร้ายและกำลังจะหลุดพ้นจากคำสาป อันทำให้เขาอยู่ในร่างของกระทิงดำอย่างที่เห็น หลังจากพิชิตปรปักษ์เป็นผลสำเร็จ เขาก็คืนสู่ร่างเดิมเป็นชายหนุ่มเหมือนก่อนหน้าที่ต้องคำสาป และรีบเร่งเดินทางกลับออกจากป่าเพื่อไปแสดงตัวต่อหญิงคนที่เขารัก ผู้ที่คาดหมายไว้จะเอาชนะซึ่งหัวใจ ด้วยหวังว่าเธอจักเป็นเจ้าสาวของเขาเขาเฝ้าตระเวนหาเธอจนแล้วจนเล่าเป็นเวลานาน ในขณะที่ตลอดเวลา เธอเองก็ยังคงนั่งคอยอยู่บนโขดหิน ณที่ ตรงนั้นอย่างอดทน หากแต่ความอาถรรพ์นั่นเองได้บดบังดวงตาของเธอ จึงทำให้เธอมองไม่เห็นเขา เช่นเดียวกันกับที่เขาไม่สามารถมองเห็นเธอเธอนั่งคอยอยู่ที่นั่นนานต่อนาน จนกระทั่งเธอรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า หวาดผวา เงียบเหงาและโดดเดี่ยวเมื่อเหลือที่จะอดเธอถึงกับปล่อยโฮ ร้องห่มร้องไห้ สะอึกสะอื้น และในที่สุดก็ม่อยหลับไปอย่างอิดโรย ครั้นเธอรู้สึกตัวและตื่นขึ้นมาในตอนเช้า จึงคิดว่าคงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะนั่งอยู่ที่นี่ต่อไป เธอจึงตัดสินใจลุกขึ้นและออกเดินทาง ทั้งๆที่ยังไม่แน่ใจว่าจะไป ณ แห่งหนตำบลใดเธอเดินตะรอนไปเรื่อยๆอย่างไม่มีจุดหมายปลายทาง จนในที่สุดก็มาถึงเนินเขาขนาดใหญ่ ซึ่งรกชัฏอัดแน่นไปด้วยพงหญ้าและป่าหนาม จึงเป็นสิ่งขวางกั้นที่เธอไม่สามารถจะบากบั่นดั้นเดินต่อไปอีกได้ เธอพยายามปีนป่ายไต่ขึ้นไปบนเนินเขาหลายต่อหลายครั้งแต่ก็ไม่เป็นผล เพราะทุกครั้งที่เธอพยายามมันก็จะลื่นไถลกลับลงมาที่เดิม ทั้งนี้ก็เพราะพื้นผิวของมันมีความลื่นและลาดชัน ในบางคราว เธอสามารถปีนขึ้นไปได้ แต่อย่างเก่งก็ไม่เกินสองหรือสามฟุต ก็เป็นอันต้องไถลกลับลงมาอีกครั้งในบัดเดี๋ยวนั้นเมื่อเป็นดังนี้เธอจึงออกเดินทางไปรอบๆตีนเขา ในใจก็คาดหวังถึงเส้นทางแคบๆที่อาจจะช่วยให้เธอเดินข้ามเนินเขาไปได้ ทว่าเนินเขาลูกนั้นใหญ่โตเอามาก ซ้ำร้ายเธอเองก็เหนื่อยแสนเหนื่อย ความต้องการของเธอจึงดูเหมือนว่าเกือบจะเป็นสิ่งที่ไร้ความหวัง เธอไม่มีกระจิตกระใจต่อสิ่งใดเหลืออยู่แล้ว เธอเดินซวนเซต่อไปอย่างเชื่องช้า และสะอึกสะอื้นอย่างหมดอาลัย ต่อความรู้สึกภายในหากไม่มีใครให้ความช่วยเหลือทัน เธอก็จักทรุดกายลงไปนอนราบและรอคอยความตายอย่างไม่ต้องสงสัยอย่างไรก็ตาม พอตกในราวเที่ยงวัน เธอก็พาร่างอันอ่อนล้า มาถึงยังกระท่อมเล็กๆหลังหนึ่ง ข้างกระท่อมเป็นโรงตีเหล็ก ซึ่งมีช่างตีเหล็กเป็นชายชรากำลังง่วนอยู่กับงานของเขา เธอจึงเข้าไปหาและถามถึงเส้นทางที่เขาพอรู้ที่สามารถช่วยให้เธอข้ามเขาลูกนี้ได้ ชายชราวางค้อนตีเหล็กลง จ้องหน้ามาที่เธอ และขณะที่ส่ายหัวอย่างช้าๆ“เปล่า ไม่มีหรอกหนูเอ๋ย” เขาเอ่ยขึ้น“มันไม่มีถนนที่สะดวกสำหรับข้ามเขาอันเต็มไปด้วยพงหนามนี่หรอก หากใครจะข้ามก็จะต้องเดินอ้อม ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเป็นระยะทางหลายร้อยไมล์ ถึงใครพยายามจะลอง แน่นอนเลยทีเดียว ก็มักจะพากันหลงทางเสียเกือบหมด หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องเดินลัดตัดขึ้นไปบนยอดเขาเสียโดยตรง แต่ใครที่สามารถทำเช่นนี้ได้ ก็คือคนที่จะต้องสวมใส่รองเท้าเหล็กเพียงเท่านั้น”“แล้วฉันจะหารองเท้าเหล็กมาได้อย่างไร” เจ้าหญิงรีบไต่ถามด้วยความอยากได้“ท่านผู้ใจดี ท่านพอจะทำให้ฉันสักคู่ได้ไหม ฉันยินดีที่จะจ่ายค่ารองเท้าให้”แต่แล้วเธอก็ต้องสะดุดกึกลงทันใด เพราะเธอเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเธอไม่มีเงินติดตัวเลย“รองเท้าที่กล่าวถึงนี้ มิได้มีไว้ หรือ ทำขึ้นเพื่อขาย” ชายชราเอ่ยขึ้นอย่างเยือกเย็นและจริงจัง“หากแต่สามารถได้มันมาด้วยการยินยอมเป็นทาสรับใช้แต่เพียงเท่านั้น ฉันเองแต่เพียงผู้เดียวที่สามารถทำให้ได้กับใครก็ตามที่ยินยอมเป็นคนรับใช้ฉัน”“ฉันจะต้องรับใช้ท่านอยู่นานเพียงใดท่านถึงจะยอมทำให้” เจ้าหญิงถามต่อในขณะที่กำลังจะเป็นลมล้มพับ“เจ็ดปี” ชายชราตอบ“เพราะเหตุว่ามันเป็นรองเท้าวิเศษ ดังนั้นจึงต้องเป็นตัวเลขอันวิเศษ”จึงดูเหมือนจะไม่มีอะไรให้เลือกมากไปกว่านี้ เจ้าหญิงจึงตกลงใจและยอมตนทำหน้าที่เป็นทาสรับใช้ของช่างตีเหล็ก และอยู่เป็นระยะเวลาอันยาวนานถึงเจ็ดปีเต็มๆ เธอต้องทำความสะอาดบ้าน หุงหาอาหารทำกับข้าว ตัดเย็บเสื้อผ้าและปะชุนพวกที่ขาดจนในที่สุดวาระครบเทอมก็มาถึง ชายชราจึงทำรองเท้าเหล็กให้เธอหนึ่งคู่ตามสัญญา เมื่อได้สวมรองเท้าเหล็กเธอจึงสามารถปีนป่ายภูเขาได้อย่างง่ายดาย ส่วนพงหนามเล่าเมื่อเหยียบย่างไปก็ราวกับว่าเดินอยู่บนสนามหญ้าอันอุ่นนุ่มในที่สุดเธอก็สามารถเดินขึ้นไปจนถึงยอดเขา จากนั้นก็เป็นการเดินลงเขาเพื่อข้ามไปอีกฟากหนึ่ง จนกระทั่งมาถึงตีนเขา บ้านหลังแรกทีเดียวที่เธอเห็น คือบ้านของหญิงผู้มีอาชีพซักผ้าคนหนึ่ง ซึ่งอาศัยอยู่กับลูกสาวเพียงคนเดียวของนาง ด้วยเวลานี้เจ้าหญิงอ่อนล้ามาก เธอจึงเข้าไปเคาะที่ประตูบ้านเพื่อขออาศัยพักสักคืนหญิงอาชีพซักผ้าคนนั้น ค่อนข้างมีอายุ ดูอัปลักษณ์ ใบหน้าแฝงไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมและความชั่วร้าย ได้กล่าวแก่เธอว่านางอาจจะอนุญาตให้พักได้ หากเธอจะพยายามซักเสื้อคลุมสีขาวของอัศวินดำแห่งนอร์โรเวย์ ผู้ซึ่งนำเสื้อเปื้อนเลือดจากการต่อสู้กันถึงตายมาให้เธอซัก“เมื่อวานนี้ฉันใช้เวลาซักมันทั้งวันเลย” หญิงชราพล่ามต่อ“แล้วก็ยังนำมาวางไว้บนโต๊ะและแช่ต่ออีก พอตกกลางคืน ฉันจึงนำออกมาจากถังซัก แต่ว่ารอยเปื้อนนั่นก็ยังคงดำอยู่เหมือนเดิม บางทีมือแม่หนูอาจจะช่วยทำให้มันสะอาดได้นะ ฉันไม่อยากจะทำให้อัศวินดำแห่งนอร์โรเวย์ต้องผิดหวัง เพราะท่านเป็นผู้มีเกียรติยศอันเลื่องลือและเป็นถึงเจ้าชายผู้มีวาสนาบารมี”“อัศวินท่านนี้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับกระทิงดำแห่งนอร์โรเวย์บ้างรึเปล่า” เจ้าหญิงรีบซักถาม ด้วยชื่อนั้นทำให้หัวใจของเธอแทบจะเต้นออกมานอกทรวงอกเพราะความยินดี บางทีเธออาจจะได้พบกับชาย คนที่สาบสูญไปในคราวนั้นอีกครั้งหญิงชราจ้องเธออย่างสงสัย“เป็นสองก็เหมือนหนึ่ง” นางกล่าว“เพราะเหตุว่าอัศวินดำต้องคำสาป ทำให้เขากลายเป็นกระทิงดำ ต่อเมื่อได้ต่อสู้และมีชัยแก่วิญญาณร้ายซึ่งอาศัยอยู่ในป่าดงดิบนั่นแหละ จึงจะสามารถลบล้างคำสาปนั้นได้ และกลับคืนสู่ร่างเดิม แต่เล่าลือกันว่าหัวใจของเขากลับต้องเผชิญกับความมืดมนอยู่ ณ ที่ใดสักแห่ง เพราะเขาบอกว่าหญิงสาวที่เขารักและหวังจะแต่งงานกลับมีอันต้องพลัดหลงจากกันนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา กระนั้นก็ไม่มีใครสักคนที่พอจะรู้จักกับหญิงสาวคนนั้นว่าเธอเป็นใคร แต่ฉันว่าเรื่องอย่างนี้ก็คงไม่น่าสนใจสำหรับคนแปลกหน้าอย่างเธอหรอกกระมัง”แล้วนางก็กล่าวต่อไปอย่างช้าๆเป็นเชิงว่าขออภัยที่พูดมาก“ฉันไม่อยากจะพูดมากให้เสียเวลาหรอกนะ แต่ถ้าเธอจะลองซักเสื้อที่เปื้อนนั้น ฉันก็ยินดีต้อนรับกับฝีมือ คือยอมให้พักค้างคืนได้ แต่ถ้าเธอไม่ยอมซัก ฉันก็ต้องขอร้องให้ไปจากที่นี่ตามทางของเธอ”กล่าวไปไยให้ป่วยการ เจ้าหญิงจึงรับปากที่จะซักเสื้อดังกล่าวให้ และราวกับว่านิ้วมือของเธอมีอำนาจอันวิเศษเพราะทันทีที่เธอจุ่มมือลงในน้ำ คราบเปื้อนนั้นก็อันตรธานไปเสียสิ้น เสื้อจึงกลับดูขาวสะอาดราวกับเป็นเสื้อใหม่ในบัดดลนั้นเองแน่นอนเลยทีเดียว หญิงชรามีความพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็เป็นสิ่งที่เพิ่มความสงสัยให้แก่นางยิ่งขึ้น เพราะดูออกจะเป็นที่ชัดเจนว่ามีอะไรบางอย่างที่เกี่ยวพันกันอย่างลึกลับระหว่างหญิงสาวคนนี้กับท่านอัศวิน เมื่อเธอสามารถซักเสื้อของเขาให้สะอาดได้อย่างง่ายดาย ในขณะที่นางและลูกสาวต่างก็ช่วยกันซักจนสุดฝีมือ แต่รอยเปื้อนก็ยังคงติดคาถาวรอยู่เช่นนั้นอย่างไรก็ตาม นางทราบดีว่าเจ้าชายหนุ่มผู้กล้าหาญ กำลังจะมาที่บ้านของนางในค่ำคืนนี้ ด้วยนางต้องการให้ลูกสาวของตนเป็นผู้ได้รับความดีความชอบ จากการซักเสื้อเปื้อนเลือดอาถรรพ์ตัวนั้นแต่เพียงผู้เดียว นางจึงออกอุบายบอกให้เจ้าหญิงเข้านอนแต่หัวค่ำ เพื่อร่างกายจะได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ หลังจากที่ตรากตรำกับงานมาทั้งวัน เจ้าหญิงก็เห็นคล้อยตาม ไม่นานเธอก็ม่อยหลับไปอย่างสนิทโดยมีร่างของเธอซุกซ่อนอยู่ภายในตู้นอนอันมิดชิด ซึ่งวางอยู่ที่มุมภายในบ้านนั้นเอง และก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่อัศวินดำแห่งนอร์โรเวย์เดินทางมาที่บ้านหลังนั้น เพื่อรับเอาเสื้อของเขากลับคืนไปกล่าวในส่วนของอัศวิน ผู้ซึ่งเก็บรักษาเสื้อเปื้อนเลือดนี้ไว้ตลอดระยะเวลาเจ็ดปี นับตั้งแต่วันที่เผชิญกับวิญญาณชั่วร้าย ณ ป่าดงดิบคราวนั้น และตลอดเวลาเขาก็ได้พยายามเที่ยวเสาะหาใครก็ตามที่สามารถซักมันให้สะอาดได้ แต่ก็ไม่เคยประสบผลสำเร็จเจ้าชายเองก็เห็นคล้อยกับหญิงชราผู้ชาญฉลาดซึ่งชำนาญในศาสตร์แห่งโชคชะตา ที่ได้เคยบอกแก่เขาไว้ว่าหญิงคนใดก็ตามที่สามารถซักให้มันสะอาดได้ คนนั้นไซร้ก็คือเนื้อคู่ที่ผูกพันเป็นภรรยา ไม่ว่าเธอจักสวย หรืออัปลักษณ์ จักยังสาว หรือ แก่ชรา และยิ่งไปกว่านั้นเธอจักเป็นผู้ที่พิสูจน์ถึงค่าแห่งความรัก ความภักดี และความเสียสละอย่างแท้จริงด้วยเหตุนั้นพอเจ้าชายมารับเอาเสื้อที่บ้านของหญิงซักผ้า จึงได้เสื้ออันขาวสะอาดราวกับสีของหิมะคืนมา ครั้นทราบว่าลูกสาวของหญิงอาชีพซักผ้านั่นเอง คือคนที่ทำให้เสื้อกลับเปลี่ยนเป็นขาวสะอาดอย่างน่าอัศจรรย์ เขาจึงตกปากรับคำที่จะแต่งงานกับเธอโดยทันที และกำหนดวันแต่งงานขึ้นอย่างเร่งด่วนคือในวันรุ่งขึ้นเมื่อเจ้าหญิงตื่นนอนในตอนเช้า จึงได้รู้ข่าวทั้งมวล เธอเพิ่งทราบว่าอัศวินดำได้มาที่บ้านเมื่อคืนที่ผ่านมา ในขณะที่เธอกำลังหลับอยู่ เขามารับเสื้อกลับคืนไปแล้ว และยังได้ให้สัญญาที่จะแต่งงานกับลูกสาวของหญิงอาชีพซักผ้า ซึ่งเป็นวันนี้ด้วย โอ...หัวใจของเธอแทบแหลกสลาย ด้วยเธอคงจะไม่มีโอกาสได้บอกเล่าถึงความจริงกับเขา ว่าแท้ที่จริงแล้วเธอเป็นใครความเสียใจอย่างใหญ่หลวงกอปรกับความกลัดกลุ้มที่รุมเร้า พลันเธอก็นึกขึ้นได้ถึงผลไม้อันสวยงามที่เธอได้รับมอบมา ซึ่งเธอเองพกพาเอาไว้อยู่กับตัว มาตลอดระยะเวลาเจ็ดปี“แน่นอนล่ะ คราวนี้เราเองคงจะไม่มีความเจ็บปวดรวดร้าวที่มากเกินไปกว่านี้อีกแล้ว”เธอครุ่นคิดในใจ จากนั้นก็หยิบเอาลูกแอปเปิลออกมา แล้วเธอก็กะเทาะเปลือกมันออก ทันใดนั้น โอ...ภายในนั้นเต็มไปด้วยเพชรนิลจินดาอันมีค่าเหลือประมาณ ซึ่งเธอไม่เคยเห็นในชีวิตมาก่อน ต่อสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าพลันสมองของเธอก็โลดแล่นและมีแผนการผ่านเข้ามาในความคิดเธอนำเอาเพชรนิลจินดาเหล่านั้นออกมาจากลูกแอปเปิล แล้วก็ห่อมันด้วยผ้าเช็ดหน้าของเธอเอง เสร็จแล้วก็นำไปให้หญิงอาชีพซักผ้าดู“ดูสิ่งนี้สิ” เธอกล่าว“บางทีฉันอาจจะร่ำรวยกว่าที่ท่านคาดคิดก็ได้นะ แต่ถ้าท่านทำอะไรบางอย่างได้ สิ่งเหล่านี้ก็อาจจะเป็นของท่าน”“โอ้โฮ! แน่ใจล่ะหรือ รีบบอกมาเถอะจะให้ฉันทำอะไร”หญิงชรารีบถามอย่างกระหายใคร่ได้เป็นเจ้าของ เพราะนางเองก็ไม่เคยพบเห็นเพชรนิลจินดาราคาแพงจำนวนมากมายอะไรเช่นนี้มาก่อนในชีวิต ความอยากได้จึงมีมากเป็นทวีคูณ“ก็เพียงแต่เลื่อนวันแต่งงานของลูกสาวท่านออกไปอีกสักหนึ่งวันเท่านั้นแหละ” เจ้าหญิงบอกนาง“แล้วก็ขอให้ฉันเข้าไปดูอัศวินดำอยู่ข้างๆเตียง ขณะที่เขากำลังหลับคืนนี้ เพราะฉันปรารถนาอยากจะเห็นหน้าตาของเขามาก”เงื่อนไขเพียงเท่านี้เอง หญิงอาชีพซักผ้าจึงตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก นางจึงตอบตกลงตามที่ขอทันที ด้วยหญิงชราหวังเอาแต่ได้ในของมีค่าเหล่านั้น ซึ่งมันหมายถึงความร่ำรวยของนางไปจนตลอดชีวิต และอีกอย่างคำร้องขอของเจ้าหญิงก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไรมาก เพราะนางคิดอยู่ในใจแล้วว่า นางจะแอบใส่ยานอนหลับให้กับท่านอัศวินดำ เหตุนั้นเขาก็จะไม่มีโอกาสได้พูดคุยอะไรกันมากกับหญิงสาวแปลกหน้าคนนี้นางจึงหยิบเอาเพชรพลอยเหล่านั้นไปเก็บไว้ในตู้ของตน และลงสลักปิดไว้เป็นอย่างดี พร้อมกันนั้นวันแต่งงานก็ถูกเลื่อนไปอีกหนึ่งวัน พอตกกลางคืนเจ้าหญิงก็แอบเข้าไปในห้องของอัศวินดำ ผู้ซึ่งเวลานี้กำลังนอนหลับ เธอเฝ้าจดจ้องมองดูเขาอยู่ข้างๆเตียงนอน ตลอดห้วงเวลาหลายชั่วโมงอันยาวนาน เธอขับขานด้วยบทเพลง จิตบรรเลงอย่างเร้ารุก เผื่อจักปลุกเขาให้ตื่นมายลยิน กับน้ำเสียง และสำเนียงถ้อย อันเธอได้ร้อยจำนรรจ์ว่า...“โอ... ยอมเป็นทาสเจ็ดปีฉันพลีให้ขุนเขาไซร้ปีนป่ายเพื่อปลายฝันเสื้อกลับขาวฉันซักให้สมใจพลันถึงกระนั้นเธอมิจ้องตื่นมองฉันฤๅ”ถึงแม้บทเพลงดังกล่าวจะร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลายต่อหลายหน ประหนึ่งว่าหัวใจของเธอจะแยกแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทว่าเขาจะได้ยินหรือระแคะระคายแต่เพียงนิดก็หาไม่ ด้วยเหตุว่ายานอนหลับของหญิงอาชีพซักผ้านั้นส่งผล เขาจึงหลับเป็นตายในเช้าวันรุ่งขึ้น ด้วยใจที่ทุกข์ทรมานอย่างหนัก เจ้าหญิงจึงกะเทาะลูกแพร์และหวังใจไว้ว่าเธอจะได้รับความช่วยเหลือที่ดีกว่าลูกแอปเปิล แต่สิ่งที่เธอพบกลับเป็นอย่างเดียวกัน กล่าวคือมันเป็นเพชรนิลจินดาจำนวนมากและมีมูลค่าแพงกว่าอันก่อนมากมายนักดังนั้นจึงดูเหมือนว่ามีเพียงทางเดียวเท่านั้นที่เธอพอจะทำได้ คือนำมันไปให้หญิงชราเพื่อเป็นของกำนัลสำหรับการเลื่อนวันแต่งงานออกไปอีกสักหนึ่งวัน และขอให้เธอได้เข้าไปเฝ้าดูอยู่ข้างๆเตียงของอัศวินดำอีกสักหนึ่งคืนหญิงชราก็ตกลงตามนั้น “ดีแล้ว” นางกล่าว ขณะนำเอาเพชรนิลจินดาเหล่านั้นไปใส่ในตู้ของตนและลงสลักปิดเอาไว้“ไม่นานฉันก็จะยิ่งร่ำรวยขึ้นเรื่อยๆ หากมีรายได้มากมายขนาดนี้”อนิจจา! ความพยายามของเจ้าหญิงก็หาได้บังเกิดผลแต่อย่างใดไม่ ถึงแม้เธอจะเฝ้าขับขานบทเพลงนั้นจนสุดความสามารถตลอดห้วงเวลาอันยาวนานหลายชั่วโมงก็ตาม บทที่พร่ำร้องรำพันก็ยังคงย้ำอยู่ว่า...“โอ... ยอมเป็นทาสเจ็ดปีฉันพลีให้ขุนเขาไซร้ปีนป่ายเพื่อปลายฝันเสื้อกลับขาวฉันซักให้สมใจพลันถึงกระนั้นเธอมิจ้องตื่นมองฉันฤๅ”ทั้งนี้เจ้าชายหนุ่มที่เธอเฝ้าแต่จดจ้องมองเมียงอย่างทะนุถนอมนั่น ก็ยังคงเป็นเหมือนคนหูหนวกและใบ้ ไม่ไหวติง ดูแน่นิ่งราวกับก้อนศิลาอยู่เช่นนั้นเมื่อถึงรุ่งเช้า ความหวังของเธอก็แทบจะไม่มี ด้วยเวลานี้มีเพียงลูกพลัมเท่านั้นที่เธอยังเหลืออยู่ หากเธอพลาดอีกครั้งความหวังทั้งมวลก็คงเป็นอันสูญสลายหายไปด้วยกัน เธอหยิบลูกพลัมออกมากะเทาะด้วยมืออันสั่นเทาพลันสิ่งที่เห็นอยู่ข้างในก็คือเพชรนิลจินดาอันมีค่ามหาศาลและหาได้อย่างยากยิ่งกว่าอันก่อนหน้านี้ทั้งหมดเธอจึงรีบถือไปหาหญิงอาชีพซักผ้านั่นทันที พร้อมกับโยนมันลงบนตักของนาง และบอกแก่นางว่าเธอยินดีที่จะยกให้ทั้งหมดนี้ หากนางจะเลื่อนวันแต่งงานของลูกสาวออกไปอีกสักครั้งหนึ่ง และขอโอกาสให้เธอได้เข้าไปเฝ้าดูเจ้าชายอีกสักคืน หญิงชราก็ยินยอมตามนั้นเพราะความตื่นเต้นและยินดีในความร่ำรวยของตนคราวนี้ล่ะที่เปิดโอกาสให้กับอัศวินดำรู้สึกเบื่อหน่ายต่อการรอคอยวันแต่งงาน ที่เอาแต่เลื่อนออกไปเรื่อยๆติดต่อกันหลายวัน เขาจึงตัดสินใจเข้าป่าหาล่าสัตว์เป็นการผ่อนคลายโดยมีบริวารติดตามไปด้วยหลายคน ซึ่งในระหว่างที่พวกเขาขี่ม้ามาด้วยกันก็ได้สนทนากันถึงเรื่องๆหนึ่งที่ทำให้พวกเขาต่างก็ประหลาดใจตลอดห้วงเวลาสองคืนที่ผ่านมา ในที่สุด พรานอาวุโสจึงเร่งฝีเท้าม้าแซงหน้าขึ้นไปเพื่อถามไถ่เอากับอัศวินด้วยตนเอง“ท่านชาย” เขาเอ่ยขึ้น“พวกเราใคร่อยากทราบว่านักร้องคนใดกัน ช่างขับร้องได้อย่างไพเราะและหวานจับใจจนตลอดคืน ซึ่งแว่วดังมาจากห้องบรรทมของท่านนั่นเอง”“นักร้อง!” เจ้าชายทวนคำ“ไม่เห็นจะมีนักร้องที่ไหนนี่นา ห้องของฉันก็แสนจะเงียบเชียบราวกับป่าช้า ฉันเองก็หลับสนิท แม้แต่ฝันก็ไม่เคยมีเลย นับตั้งแต่ก้าวเข้ามาพักในบ้านหลังนี้”พรานอาวุโสจึงส่ายหน้า“ถ้าเช่นนั้น คืนนี้ท่านชาย อย่าได้ดื่มอะไรจากหญิงชราคนนั้นเป็นอันขาด”เขาพูดต่ออย่างหนักแน่น“แล้วท่านก็จักได้สดับว่าหูของคนอื่นๆเขาได้ยินอะไรกัน”หากเป็นเวลาอื่น อัศวินดำก็คงจะปล่อยหัวเราะออกมาอย่างแน่นอนกับคำพูดของพรานอาวุโส แต่ทว่าวันนี้เขาพูดด้วยท่าทีจริงจังซึ่งจะแฝงด้วยเรื่องตลกแม้แต่นิดก็หาไม่ เจ้าชายจึงไม่อาจจะเห็นเป็นเรื่องน่าขัน แต่จำต้องรับฟังด้วยความใส่ใจ ครั้นพอตกตอนเย็น หญิงชราก็นำเอาเครื่องดื่มมาวางที่ข้างเตียงนอนเหมือนเช่นเคย เขาจึงกล่าวแก่นางว่าความจริงแล้วเขาชอบรสหวานมากกว่านี้ พอนางหันหลังให้เพื่อกลับไปหยิบเอาน้ำผึ้งจากห้องครัว เจ้าชายจึงรีบกระโจนลงจากเตียงนอนแล้วก็เทมันทิ้งออกทางหน้าต่างจนหมดสิ้น พอนางเดินกลับเข้ามาอีกครั้งเขาก็แสร้งเป็นว่าได้ดื่มมันจนหมดเกลี้ยงแล้วดังนั้นจึงเป็นอันว่าเจ้าชายสามารถเอนหลังลงนอนโดยที่ยังไม่หลับได้ตลอดคืน เขาได้ยินเสียงแม้กระทั่งการย่องเข้ามาของเจ้าหญิง บทเพลงสั้นๆของเธอ และน้ำเสียงอันเต็มไปด้วยความระทมขมขื่นที่พร่ำพรรณนาว่า...“โอ... ยอมเป็นทาสเจ็ดปีฉันพลีให้ขุนเขาไซร้ปีนป่ายเพื่อปลายฝันเสื้อกลับขาวฉันซักให้สมใจพลันถึงกระนั้นเธอมิจ้องตื่นมองฉันฤๅ”ทันทีที่ได้ยิน เขาก็เข้าใจเรื่องราวโดยตลอด เจ้าชายจึงดีดผึงขึ้นจากเตียงนอน และสวบกอดเธอไว้ในอ้อมแขนแล้วก็จุมพิตเธอ พลางก็ขอให้เธอได้เล่าถึงเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังครั้นเจ้าชายได้สดับเรื่องราวจนหมดสิ้น ทรงกริ้วมาก จึงมีรับสั่งให้เนรเทศหญิงอาชีพซักผ้าผู้มากไปด้วยเหลี่ยมเล่ห์เพทุบายพร้อมทั้งลูกสาว ให้พ้นไปจากราชอาณาจักรของพระองค์โดยทันที ส่วนเจ้าชายและเจ้าหญิงก็ได้อภิเษกสมรสกันและมีความสุขสืบต่อมา จนตราบชั่วอายุขัย เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
เรื่องราวเกิดขึ้นในกาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว จนกลายเป็นเรื่องเล่า ของเหล่าชาวเปอร์เซียหรือประเทศอิหร่านในปัจจุบัน ยังมีชายยากจนคนหนึ่งนามว่าอารี มีอาชีพตัดฟืนไปขายในตลาด ณ เมืองเล็กๆแห่งหนึ่งในวันหนึ่งขณะที่เขาขี่ลากลับบ้านได้ผ่านไปทางป่าแห่งหนึ่ง ทันใดนั้นอารีก็มองเห็นฝุ่นตลบอบอวนมาแต่ไกลกำลังมุ่งตรงใกล้เข้ามาหาเขา จนใกล้ในระยะที่เขาสังเกตได้ ก็ปรากฏว่าคือหมู่คนขี่ม้าพร้อมอาวุธกำลังฮ้อมาเต็มที่ อารีจึงรีบลงจากหลังลาและปีนขึ้นไปซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ใหญ่ ด้วยความกลัวว่าอาจจะเป็นพวกโจรห้าร้อยจริงทีเดียว คนขี่ม้าเหล่านั้นเป็นพวกโจร มีจำนวนทั้งสิ้นสี่สิบคน พวกเขาขี่ม้าผ่านเลยต้นไม้ใหญ่ที่อารีซ่อนอยู่นั้น แล้วพากันไปหยุดม้าและลงจากหลังม้าบริเวณข้างๆโขดหินขนาดอันมหึมา พวกเขาต่างพากันเคลื่อนย้ายสัมภาระและถุงต่างๆจากหลังม้า เท่าที่เห็นดูท่าทางมันจะมีน้ำหนักเอามากต่อมาอารีก็ได้ยินเสียงของคนที่ขี่ม้านำหน้า ซึ่งความจริงแล้วเขาก็คือหัวหน้าของหมู่โจร ตะโกนด้วยเสียงอันดังว่า“เปิด จิ้งหรีด”พลันอารีต้องตกตะลึงเพราะประตูขนาดใหญ่ที่โขดหินค่อยๆเปิดออกอย่างช้าๆ แล้วพวกโจรทั้งสี่สิบคน ก็พากันขนเอาถุงและสัมภาระจากหลังม้าเข้าไปในนั้นครู่ต่อมาประตูก็ปิดเข้าอย่างช้าๆ ทำให้อารียิ่งอยากจะรู้ว่าพวกเขาจะอยู่ภายในถ้ำนั้นนานสักเพียงใดในที่สุดประตูก็เปิดออกอีกครั้ง พวกเขาพากันเดินออกมาพร้อมถุงเปล่าๆกับสัมภาระหลังม้าเปล่าๆและคนหัวหน้าก็ตะโกนว่า“ปิด จิ้งหรีด”ซึ่งประตูก็ปิด จากนั้นพวกเขาก็พากันมาขึ้นหลังม้า แล้วควบจากไป สักครู่ก็ลับสายตาของอารีอารีจึงลงมาจากที่ซ่อนบนต้นไม้ เขาเดินไปหยุดยังโขดหินนั้น แล้วก็ตะโกนขึ้นเหมือนกับที่หัวหน้าโจรทำ“เปิด จิ้งหรีด”พอประตูเปิดออกเขาก็เดินเข้าไปข้างในสิ่งที่เห็นต่อหน้าเขาคือถ้ำขนาดใหญ่ มันไม่ได้มืดเหมือนที่บางคนคาดคิด แต่มีแสงแพรวพราวอันสวยงามซึ่งเต็มไปด้วยทรัพย์สินมูลค่ามหาศาล ได้แก่ เพชรนิลจินดา ผ้าไหมชั้นดี พรมสีต่างๆ เหรียญอีกอย่างมีไม่ต่ำกว่าสองชนิดคือทองคำและเงิน กองพะเนินเทินทึกอยู่ภายในถ้ำอารีถึงกับตกตะลึงตาค้างไปกับกองทรัพย์สินมหาศาลที่เห็นอยู่ข้างหน้า เขาจึงสรุปว่า มันจักต้องเป็นการสั่งสมทรัพย์สิน ที่ได้จากการขโมยและปล้นจี้มา เป็นเวลาหลายต่อหลายปีโดยพวกโจรทั้งสี่สิบคนที่เขาเพิ่งเห็นผ่านมา หรือบางทีอาจจะสะสมมาจากโจรรุ่นพ่อและรุ่นปู่ของพวกโจรกลุ่มนี้ก็ได้อารีจึงขนเอาทรัพย์สมบัติเหล่านั้นขึ้นบรรทุกบนหลังลา เป็นจำนวนมากเท่าที่เขาจะขนเอาไปได้ แล้วก็เดินทางกลับบ้าน ก่อนหันหลังให้กับโขดหินใหญ่นั้น เขาก็ไม่ลืมที่จะตะโกนว่า“ปิด จิ้งหรีด”ครั้นอารีนำเอาทองคำ เงิน และเพชรนิลจินดาต่างๆที่ได้มาไปอวดภรรยา เธอก็รู้สึกยินดีเป็นล้นพ้นและให้ประหลาดใจเป็นที่ยิ่ง จึงอยากจะบอกเล่าให้เพื่อนบ้านได้รับฟัง แต่อารีกลับบอกเธอว่าอย่าให้ใครล่วงรู้เรื่องนี้เป็นอันขาด เขาจึงคอยอยู่จนถึงเวลาค่ำคืน แล้วจึงนำทรัพย์สมบัติเหล่านั้นไปฝังดินไว้ ในสวนหลังบ้านเป็นการชั่วคราวก่อน“คุณจะไม่นับมันก่อนเลยหรือ” ภรรยาของเขาถามขึ้น“ก็มันมากมายเกินกว่าที่จะนับได้นะสิ” อารีตอบ“ไม่เห็นเป็นไร อย่างน้อยก็ให้ฉันไปยืมถังตวง มาตวงเอาก็ได้” ภรรยายังยืนยัน ดูเหมือนจะเป็นความคิดที่ผิดวิสัยเอามากทีเดียว แต่อารีก็ไม่อยากขัดใจภรรยา ดังนั้นเธอจึงไปที่บ้านของกาซีม ซึ่งเป็นพี่ชายของอารีกาซีมเป็นคนที่ร่ำรวยมากแต่จิตใจคับแคบ และไม่คิดที่จะช่วยเหลือใครทั้งสิ้น แม้แต่อารีน้องชายแท้ๆผู้ยากจนของตัวเขาเองในเวลานั้นกาซีมไม่อยู่บ้าน คงอยู่แต่ภรรยาของเขา ซึ่งเป็นคนช่างสอดรู้สอดเห็นมาก เธอจึงอยากจะรู้เหมือนกันว่า น้องสะใภ้นั้นมายืมถังตวงไปตวงข้าว ถั่ว งา หรือธัญญาหารประเภทใดกันแน่ แต่เธอคงไม่คาดคิดหรอกว่า มันจะเป็นเงินทองสิ่งของอันมีค่า ดังนั้นเธอจึงแอบเอาไขมันสัตว์เหนียวๆ ขนาดแผ่นเล็กๆ ติดเอาไว้ที่ก้นถังตวง เพื่อให้เมล็ดธัญพืชที่นำมาตวงเกาะติดและค้างคาอยู่ที่ก้นถังตวง โดยที่น้องสะใภ้มิอาจจะทันสังเกตเห็นแต่แล้วเธอก็ต้องตะลึงเมื่อภรรยาของอารีนำถังตวงมาคืน สิ่งที่ติดอยู่กับไขสัตว์เหนียวที่ก้นถังตวง แทนที่จะเป็นเมล็ดธัญพืชตามที่เธอคาดคิด แต่ทว่ามันกลับเป็นเศษชิ้นของทองคำ“มันแปลกประหลาดเอามากทีเดียว” เธอสงสัยและอุทานขึ้น“ตวงทองคำ จริงๆด้วย! แต่ว่าเขาก็มีฐานะแค่เพียงคนตัดฟืนจนๆเท่านั้นนี่นา”ครั้นเศรษฐีกาซีมกลับมาถึงบ้านในคืนนั้น ภรรยาของเขาก็เล่าให้ฟังว่า“ฉันมีข่าวดีจะเล่าให้ฟัง สามีที่รัก คุณมีน้องชายที่ร่ำรวยมากทีเดียวนะ ร่ำรวยมากถึงขนาดจำเป็นต้องมีถังตวงไปตวงทองคำโน่นแหละ” เมื่อกาซีมผู้มีความละโมบได้รับฟัง จึงคั่งแค้นด้วยความริษยาพอรุ่งเช้าสิ่งแรกที่ทำก็คือตรงไปยังบ้านอารีแล้วตะโกนว่า“แกเสแสร้งทำเป็นยากจนรึ อธิบายนี่ซิ” พร้อมกับชูเศษชิ้นของทองคำที่ติดอยู่กับไขสัตว์เหนียวๆนั่นอารีจึงได้รู้ว่าภรรยาของเขาทำเหตุให้ความลับถูกแพร่งพรายออกไปเสียแล้ว เขาจึงยอมบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมด และเสนอส่วนแบ่งทรัพย์สมบัติที่มีให้กับพี่ชาย“มันจะง่ายไปแล้ว!” กาซีมพูด“แกจะต้องบอกฉันมาเดี๋ยวนี้ ว่าถ้ำทรัพย์สมบัตินั้นอยู่ที่ไหน ฉันจะไปเลือกเอาด้วยตัวเอง หรือถ้าแกไม่ยอมบอก ฉันก็จะไปแจ้งความแก่ทางการ”จึงเป็นอันว่าอารีถูกพี่ชายบังคับขู่เข็ญ ให้บอกทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่คำสั่งวิเศษ“เปิด จิ้งหรีด”ในวันถัดมานั่นเอง กาซีมก็ออกเดินทางไปยังถ้ำสมบัติพร้อมกับนำลาไปด้วยสิบตัว โดยมีถุงเปล่าและสัมภาระเปล่าผูกไว้กับลาทุกตัว ครั้นมาถึงบริเวณโขดหินเขาก็ตะโกนคำสั่ง ประตูก็เปิดออก พอเขาผ่านเข้าไปข้างในประตูก็ปิด เขาจึงนำถุงและสัมภาระเปล่ามาบรรจุเอาทรัพย์สมบัติ ให้ได้จำนวนมากที่สุดเท่าที่เขาจะสามารถนำเอาไปได้ มี ทองคำ เงิน และเพชรนิลจินดาต่างๆ แล้วก็วางไว้ข้างๆประตูก่อนที่เขาจะตะโกน“เปิด ...” แต่ปรากฏว่าคำที่สอง เขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกหรือบอกไม่ถูกไปจนชั่วชีวิต ด้วยจิ้งหรีดมันก็จัดเป็นสิ่งที่มีชีวิต ซึ่งมีชื่อใกล้ชิดกับชื่อของสัตว์อื่นๆ ซึ่งกาซีมก็พยายามคิด จนนึกได้มากมายหลายชื่อเว้นเสียแต่ชื่อของจิ้งหรีด ชื่อที่เขานึกได้และลองใช้ดูได้แก่ เปิดจิ้งโหลน เปิดจิ้งเหลน เปิดจิ้งจก เปิดจิ้งจอกเปิดจิงโจ้ เปิดกิ้งก่า และเปิดกิ้งกือ ตลอดจนชื่ออื่นๆอีกหลายชื่อ แต่ก็ไร้ผล ประตูก็ยังคงปิดอยู่นั่นเองแรกๆกาซีมก็โมโห พอเวลาผ่านไป เขาก็รู้สึกวิตกกังวลอย่างหนัก จนในที่สุดก็ลืมสิ้นเรื่องขนทรัพย์สมบัติกลับบ้าน เพราะความหวาดวิตกกังวลและหวั่นกลัวพอถึงเวลาเที่ยงพวกโจรก็กลับมายังถ้ำสมบัติ พวกเขาได้เห็นหมู่ลาพร้อมสัมภาระเปล่าอยู่บนหลัง กำลังยืนรออยู่ข้างนอกถ้ำ ทันทีที่ประตูเปิดออกด้วยการเปล่งคำพูดของหัวหน้าโจร กาซีมก็วิ่งถลันออกมาและปะทะเข้ากับอ้อมแขนของหัวหน้าโจรพอดี ด้วยความโกรธอย่างสุดขีดของขุนโจร เขาจึงชักกระบี่ออกมาสังหารกาซีมตายอย่างโหดเหี้ยม และเพื่อเป็นบทเรียนแก่ใครที่คิดจะเข้ามาขโมยเอาอีก พวกโจรจึงหั่นร่างกายของกาซีมออกเป็นสี่ส่วนและห้อยโตงเตงเอาไว้ข้างนอกโขดหิน มันจึงเป็นภาพที่น่าอเนจอนาถและหวาดผวาเอามากทีเดียวเมื่อไม่เห็นสามีกลับบ้านในคืนนั้น ภรรยาของกาซีมก็เอะใจ และหวั่นเกรงว่าจะมีภัยร้ายแรงเกิดขึ้นกับเขา เธอจึงวิ่งไปบ้านอารีและขอร้องเขาให้ออกไปตามหากาซีมเป็นการด่วนด้วย อารีจึงจัดแจงออกเดินทางไปยังโขดหินใหญ่พร้อมกับลาสองตัว พอเขาไปใกล้บริเวณโขดหิน ก็พบรอยเลือดซึ่งแสดงว่าย่อมมีเหตุร้ายเกิดขึ้นพลันอารีก็แทบลมจับเมื่อเขาเห็นซากศพของพี่ชาย ซึ่งถูกหั่นทิ้งไว้อย่างน่าสยดสยอง แต่รวดเร็วปานความคิดเขารีบเก็บเอาซากศพทั้งหมดของพี่ชายมาบรรทุกบนหลังลาตัวหนึ่ง แล้วปิดคลุมทับด้วยฟืนและฟาง ส่วนลาอีกตัวหนึ่งนั้น เขาบรรทุกมันด้วยทองคำและปิดคลุมอำพรางด้วยฟางเช่นกัน แล้วก็ขี่ลากลับบ้านเขานำลาตัวที่บรรทุกทองคำเข้าไปยังบ้านตัวเอง และปล่อยให้ภรรยาเป็นคนจัดการปลดของบรรทุกลงจากหลังของมัน ส่วนลาอีกตัวหนึ่งเขานำมันไปที่บ้านของพี่สะใภ้ พอไปถึงก็เคาะประตู โชคดีจริงๆที่คนเปิดประตูคือสาวใช้ของบ้านกาซีม ชื่อมีนา ผู้ปัญญาดีและเฉลียวฉลาด อารีจึงเข้าไปใกล้ๆเธอและกระซิบว่า“สองห่อใหญ่ที่อยู่บนหลังลานั่น คือซากศพถูกหั่นของเจ้านายเธอเอง พวกเราจะต้องทำพิธีฝังศพเขาให้เหมือนกับการตายอย่างธรรมดา ฉันไว้เนื้อเชื่อใจเธอว่านี่เป็นความลับนะ ขอให้เตรียมการสำหรับพิธีฝังศพได้เลย”จากนั้นอารีก็เข้าไปข้างในเพื่อปลอบโยนภรรยาหม้ายของกาซีม เขาต้องพยายามทำอย่างดีที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ซึ่งก็คงไม่ใช่งานง่ายเลยทีเดียวมีนาจึงไปที่ร้านขายยาใกล้ๆบ้าน และบอกกับเจ้าของร้านว่าเธอต้องการซื้อยาสำหรับรักษาโรคอันตรายร้ายแรงที่สุด“กาซีม เจ้านายของฉัน” เธอกล่าว“กำลังป่วยอยู่ในขั้นอันตรายและน่าเป็นห่วงมาก”พร้อมกับนำห่อยากลับบ้านไป แต่พอรุ่งเช้าเธอก็มาที่ร้านขายยาอีกครั้งหนึ่ง และอ้อนวอนเจ้าของร้านด้วยน้ำตานองหน้า อีกทั้งยังร้องห่มร้องไห้คร่ำครวญด้วยเสียงอันดัง ซึ่งอาจจะเป็นที่ได้ยินกันทุกคน เพื่อขอยาปัจจุบันสำหรับเจ้านายที่กำลังจะตาย ดังนั้นเมื่อตกตอนเย็น พอมีเสียงร้องไห้คร่ำครวญดังมาจากบ้านของกาซีม จึงไม่มีใครสงสัยหรือแปลกใจในการตายของเขารุ่งขึ้นในวันต่อมา มีนาก็ไปหาช่างเย็บรองเท้าที่ชื่อมุตาฟา และพูดกับเขาว่า“ฉันจะให้ชิ้นส่วนของทองคำเป็นรางวัล ถ้าท่านยอมมัดตาตัวเอง แล้วไปกับฉันยังที่ใดที่หนึ่งพร้อมเข็มและด้ายของท่าน”แรกทีเดียวมุตาฟาก็ยังแคลงใจและสงสัย แต่พอเธอเสนอเพิ่มจำนวนชิ้นส่วนของทองคำให้อีก เขาก็รีบตกลงทำตามข้อเสนอ และยอมมัดตาตัวเอง แล้วพากันเดินไปยังบ้านของเจ้านายเธอทันที มีนาต้องระวังให้เขาอยู่ในสภาพมัดตาไปตลอดทาง จนกระทั่งไปอยู่ในห้องที่มีซากชิ้นส่วนศพของกาซีม ซึ่งพร้อมที่จะถูกเย็บเข้าด้วยกันเธอจึงให้เขาแก้มัดตาออกได้“ท่านจะต้องเย็บชิ้นส่วนซากศพเหล่านี้เข้าด้วยกัน” เธอกล่าวกับมุตาฟา“แล้วฉันก็จะเพิ่มทองคำให้อีกสองชิ้น” มุตาฟาจึงลงมือทำงาน แม้ว่าเขาจะอีหลักอีเหลื่อและรู้สึกพะอืดพะอมแต่ไม่นานงานก็เสร็จเป็นที่เรียบร้อย มีนาจึงให้เขามัดตาอีกครั้ง แล้วพาเดินไปส่งกลับบ้าน ในวันถัดมาพิธีฌาปนกิจศพของกาซีมก็ถูกจัดขึ้น ซึ่งทุกคนก็เชื่อว่าเขาตายด้วยโรคเฉียบพลันอันมีอุบัติการณ์ที่น้อยมาก ต้องขอบคุณมีนาผู้ปัญญาดี ด้วยไม่มีใครเคลือบแคลงสงสัยถึงสาเหตุการตายของกาซีม ซึ่งอันที่จริงแล้วมันน่ากลัวและสยดสยองมาก สองหรือสามวันต่อมา อารีก็นำครอบครัวและข้าวของทั้งหมดของเขา ย้ายเข้ามาอยู่ร่วมบ้านหลังเดียวกันกับภรรยาหม้ายของกาซีมผู้ล่วงลับกล่าวถึงพวกโจรทั้งสี่สิบคน เมื่อกลับมายังถ้ำสมบัติอีกครั้ง พวกเขาก็ต้องประหลาดใจที่พบว่า ซากศพของกาซีมหายไปและซ้ำสมบัติก็ยังถูกขโมยไปอีกด้วย“อย่าให้เสียเวลาเลย พวกเราจักต้องสืบหาตัวการนี้ให้ได้” หัวหน้าโจรกล่าว“ไม่เช่นนั้นทรัพย์สมบัติที่สั่งสมมาเป็นเวลาอันยาวนานตั้งแต่รุ่นปู่ ก็จะร่อยหรอลงไปเรื่อยๆ”สมุนโจรคนหนึ่งจึงขันอาสาที่จะเข้าไปเป็นสายลับในเมืองโดยทันที เพื่อเสาะหาเบาะแสคนที่มาขโมยเอาความมั่งคั่งของพวกเขาไป“แกเป็นคนใจกล้ามาก” หัวหน้าโจรกล่าว“แต่ฉันขอเตือนก่อนว่ากฎของพวกเราคือ ถ้างานล้มเหลวก็หมายถึงต้องชดใช้ด้วยชีวิตของแก”สมุนโจรคนนั้นซึ่งพร้อมที่จะตอบตกลงและยอมรับเงื่อนไขอยู่แล้ว จึงได้รับการปรบมือจากกลุ่มโจรในความใจกล้า เขาจึงปลอมตัวแล้วก็แอบแฝงเข้าไปในตลาดทันที ช่างเป็นความบังเอิญโดยแท้ พอเข้าไปถึงตลาดสมุนโจรได้แวะเข้าไปในร้านเย็บรองเท้าของมุตาฟา“ดูท่านมีอายุนะ ผู้อาวุโส” เขากล่าวแก่มุตาฟา“แต่ยังสายตาดีพอ ที่จะแหย่รูเข็มได้”“ฉันนี่แหละเป็นช่างเย็บรองเท้าที่ดีที่สุดในเมืองนี้” มุตาฟาคุยโว“ตอนเช้าวันนี้ ฉันเพิ่งไปเย็บซากศพคนตายมาหยกๆ อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากย่านตลาดนี้เอง”“เป็นความจริงหรือ” สมุนโจรกล่าวในขณะที่ตื่นเต้นและเต็มไปด้วยความอยากรู้“ฉันใคร่อยากรู้เหลือเกินว่าสถานที่แห่งนั้นมันอยู่ที่ไหน” แล้วเขาก็เสนอชิ้นส่วนทองคำให้เพื่อเป็นการจูงใจมุตาฟา“ฉันเกรงว่าฉันจะไม่สามารถพาคุณไปที่นั่นได้หรอก เพราะว่าฉันถูกมัดตาเอาไว้ทั้งขาไปและขากลับในเวลานั้น” มุตาฟาตอบ“ไม่เห็นเป็นไร ก็ให้ฉันมัดตาคุณอีกที” สมุนโจรกล่าวและพยายามคะยั้นคะยอ“แล้วพวกเราก็เดินไปด้วยกันสักระยะหนึ่งเพียงสั้นๆ ใครจะไปรู้ คุณอาจจะสามารถจดจำเส้นทางขึ้นมาก็ได้”พูดพลางเขาก็ยัดเยียดชิ้นส่วนของทองคำใส่ในมือช่างเย็บรองเท้ามุตาฟาจึงมีผ้าเช็ดหน้ามัดตาเอาไว้ โดยมีสมุนโจรกึ่งเดินนำกึ่งเดินตามเขาไป ซึ่งเป็นอุบายให้ช่างเย็บรองเท้าพาไปพบบ้านของกาซีม แต่ในเวลานี้ แน่นอนล่ะ อารีและครอบครัวเป็นผู้อยู่อาศัย“คุณแน่ใจนะว่านี่คือบ้านหลังนั้น” สมุนโจรถามขึ้นในขณะที่แก้มัดออกจากตาของมุตาฟา“ฉันรู้สึกว่านี่คือระยะทางที่ไกลพอๆกันกับที่ฉันเคยมา” คือคำตอบ“เพราะฉันไม่ได้พักอาศัยอยู่แถวนี้ ฉันจึงไม่สามารถจะพูดอย่างมั่นใจได้”อย่างไรก็ตาม สมุนโจรคนนั้น ก็รีบนำชอล์กมาขีดทำเป็นเครื่องหมายไว้บนประตูบ้าน แล้วก็กลับเข้าป่าไปหาหัวหน้าโจรของเขาในระหว่างนั้นมีนากำลังจะกลับเข้าบ้าน เธอก็บังเอิญไปเห็นเครื่องหมายที่ขีดด้วยชอล์กบนประตูบ้านเข้าพอดี“มันออกจะแปลกอะไรอย่างนี้” เธอสงสัย“จักต้องมีใครสักคนวางแผนชั่วร้ายต่อเจ้านายของเราเป็นแน่”หญิงผู้ฉลาดจึงนำชอล์กไปขีดทำเครื่องหมายอย่างเดียวกันนั้นลงบนประตูทั้งสามบานของบ้านทั้งด้านนอกและด้านในสมุนโจรได้กลับไปรายงานแก่พวกพ้อง และคิดว่าตนเองประสบความสำเร็จในการทำงานเป็นสายลับแล้วพวกโจรจึงตัดสินใจพากันเข้ามาในเมืองในตอนเย็นวันนั้น เพื่อหวังจะเด็ดชีวิตศัตรูของพวกเขาให้ได้ แต่แล้วพวกเขาก็ต้องหมดหวัง ลองคิดดู พอมาถึงบ้านของกาซีมพวกเขาก็เห็นมีเครื่องหมายปรากฏอยู่บนประตูทุกบานเหมือนกันไปหมด สมุนโจรผู้ทำหน้าที่นำทางจึงเกิดความสับสนและเขาก็ต้องเตรียมตัวตายเพราะนำทางพวกพ้องมาอย่างผิดพลาดสมุนโจรคนนั้นถูกสังหารตายตามกฎของพวกเขาไปได้ไม่นาน ก็มีโจรอีกคนขันอาสาทำหน้าที่สายลับอีกครั้งซึ่งเขาก็ไปพบกับมุตาฟา แล้วก็ยังพากันเดินไปหยุดยังจุดเดิมอีกด้วย เขาทำเครื่องหมายไว้ที่ประตูอีกเช่นกันแต่คราวนี้ใช้ชอล์กสีแดงขีดไว้ที่มุมล่างของประตู แต่มีนาผู้ฉลาดก็สังเกตเห็นอีก เธอจึงทำเครื่องหมายที่ประตูให้เหมือนกันที่ตำแหน่งเดียวกันและใช้ชอล์กสีเดียวกันอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นโจรคนที่สองจึงต้องสังเวยชีวิต ชดใช้ความผิดพลาดตามกฎของเขาอีกคน เหตุนี้หัวหน้าโจรจึงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เขาจึงตัดสินใจที่จะเป็นคนไปสืบเรื่องราวด้วยตัวของเขาเอง หัวหน้าโจรก็ได้ไปพบกับมุตาฟาและถูกพาไปยังตำแหน่งเดียวกันอีกครั้งแต่คราวนี้เขาไม่ได้ทำเครื่องหมายด้วยชอล์กแต่อย่างใด เขาเพียงแต่ยืนจ้องมองเป็นเวลานานพอที่เขาคิดว่าเขาจะไม่ลืมมัน เมื่อกลับมาเขาจึงเรียกประชุมโจรทั้งสามสิบเจ็ดคน และออกคำสั่งให้พวกเขาเดินทางไปยังหมู่บ้านเพื่อซื้อลาสิบเก้าตัว พร้อมตุ่มขนาดใหญ่ทำจากหนังสัตว์จำนวนสามสิบแปดใบ ในจำนวนนี้ให้บรรจุน้ำมันไว้เต็มหนึ่งใบ ส่วนอีกสามสิบเจ็ดใบให้เหลือไว้เป็นตุ่มเปล่า จากนั้นก็จัดการบรรทุกลาทั้งสิบเก้าตัวด้วยตุ่มเปล่าทั้งหมด (ที่ไหนได้มีโจรสามสิบเจ็ดคนซ่อนอยู่ในนั้น!)และตุ่มที่บรรจุน้ำมัน ส่วนหัวหน้าโจรทำหน้าที่คุมคาราวานลาบรรทุกตุ่มออกเดินทางเข้าไปในเมืองทันทีที่ได้เวลาพลบค่ำ หัวหน้าโจรนำคาราวานลาไปถึงบ้านกาซีม และจำเพาะมาเคาะประตูเอาตอนที่อารีออกมาเอกเขนกนอกบ้าน หลังจากที่รับประทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว ในระหว่างที่แนะนำตัวเองต่ออารี หัวหน้าโจรพูดว่า“ฉันเดินทางมาจากแดนไกล เพื่อมาขายน้ำมันในตลาด ขอท่านได้โปรดกรุณาให้ความอนุเคราะห์ที่พักในคืนนี้ด้วยเถิด”อารีจึงยินดีต้อนรับด้วยอัธยาศัยไมตรีอันอบอุ่นตามปกติวิสัยของเขา แน่นอนล่ะเขาไม่รู้หรอกว่าคนนี้คือมหาโจร หลังจากรับประทานอาหารที่จัดต้อนรับอย่างเหลือเฟือเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็เข้านอนแต่หัวหน้าโจรคอยอยู่ครู่หนึ่ง พอสบโอกาสก็ย่องออกไปหากองคาราวานลาที่พักอยู่ข้างนอก ขณะที่เดินผ่านลาแต่ละตัวเขาก็แง้มฝาตุ่มและกระซิบเบาๆว่า“เมื่อได้ยินเสียงฉันโยนก้อนหินสองสามก้อนออกมาจากทางหน้าต่าง จึงค่อยออกมาจากตุ่มอย่างเงียบๆนะแล้วฉันจะออกมาสมทบ”จากนั้นเขาก็กลับเข้าไปยังห้องพัก ซึ่งอารีได้จัดเตรียมไว้ให้ทว่าเหตุการณ์หนึ่งก็เกิดขึ้น เมื่อมีนากำลังตระเตรียมอาหารไว้สำหรับมื้อเช้า บังเอิญน้ำมันตะเกียงที่กำลังไต้อยู่นั้นหมดลงพอดี เธอจึงออกมาข้างนอกหวังจะแบ่งเอาน้ำมันจากตุ่มใดตุ่มหนึ่งซึ่งวางอยู่กับกองคาราวานลา ทันทีที่เธอเข้าไปใกล้ๆตุ่มแรก เธอก็ได้ยินเสียงคนพูดออกมาจากข้างในตุ่ม“ได้เวลารึยัง”“หา” สาวใช้ผู้ชาญฉลาดคิดในใจ“ยุ่งล่ะสิ! เจ้านายของเรากำลังตกอยู่ในอันตรายถึงตาย”ด้วยสติสัมปชัญญะอันมั่นคงและคิดอย่างรอบคอบ เธอจึงกระซิบตอบไปว่า“ยัง คอยก่อนสักครู่ เร็วๆนี้ล่ะ”แล้วเธอก็กระซิบอย่างเดียวกันนี้กับทุกๆตุ่ม เว้นเสียแต่ตุ่มสุดท้าย แน่นอนล่ะ เพราะไม่มีเสียงพูดออกมามันคือตุ่มที่มีน้ำมันบรรจุอยู่เต็มนั่นเอง เธอจึงแบ่งเอาน้ำมันจากตุ่มใส่ในหม้อแล้วก็นำกลับเข้าไปในบ้านจุดตะเกียงให้สว่างอีกครั้ง จากนั้นเธอก็ฉวยเอากาต้มน้ำออกมาใส่เอาน้ำมันจากตุ่มแล้วนำไปต้มด้วยการเร่งสุมไฟจากฟืนจำนวนมาก ทันที่ที่น้ำมันในกาเดือดได้ที่ เธอก็นำน้ำมันเดือดนั้นมาเทลงไปในตุ่มทีละตุ่มจนครบดังนั้นพวกสมุนโจรทั้งหมดสามสิบเจ็ดคนจึงถูกน้ำมันร้อนลวกและคาอยู่ในตุ่มนั่นเองครู่ต่อมาเธอก็ได้ยินเสียงก้อนหินหล่นอยู่ข้างนอกบ้าน นี่คือการส่งสัญญาณจากหัวหน้าโจร เขากำลังจะออกมาสมทบกับกลุ่มโจร แต่ว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แน่นอนทีเดียว ก็เพราะว่าสมุนโจรพวกนั้นตายเรียบไปแล้วครั้นหัวหน้าโจรไปถึงตุ่มสุดท้าย ซึ่งพบว่าน้ำมันหายไป เขาจึงเข้าใจได้ทันทีว่าโจรพวกนั้นตายเพราะเหตุใดเขาโมโหสุดขีดจึงรีบลนลานไปควบเอาม้าและห้อหนีไปอย่างรวดเร็วเท่าที่จะเร็วได้พอรุ่งเช้า อารีต้องประหลาดใจเมื่อพบว่า“พ่อค้า” ออกจากบ้านเขาไปแล้วคงทิ้งไว้แต่กองคาราวานลาและตุ่มน้ำมัน เขาจึงถามมีนาว่าพอรู้เรื่องอะไรบ้างไหมทำไมเขาถึงหนีไป“เชิญเจ้านายตามฉันมาสิ” เธอตอบ“แล้วท่านจะเห็นว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงพิทักษ์ชีวิตท่านไว้อย่างไร”ทันทีที่อารีมองลงไปในตุ่ม เขาก็ต้องผวาถอยกรูดออกมาด้วยความกลัว“ชายคนนั้นไม่สามารถทำอันตรายแก่ท่านได้หรอก” มีนากล่าว“เขาตายแล้ว รวมทั้งพรรคพวกของเขาอีกสามสิบหกคนในตุ่มอื่นๆ”แล้วเธอก็อธิบายทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นให้อารีฟัง นำเขาไปดูตุ่มน้ำมันซึ่งถูกใช้ไปเกือบหมดและยังบอกเขาถึงความจำเป็นที่จะต้องปกปิดเป็นความลับโดยไม่ให้เพื่อนบ้านล่วงรู้“แล้วเกิดอะไรขึ้นกับพ่อค้าคนนั้น” อารียังสงสัย“ชายคนนั้นมิใช่พ่อค้าอีกต่อไปแล้ว เพราะว่าฉัน...”เธอไขปริศนา และยังอธิบายเรื่องทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ คือเรื่องขีดเครื่องหมายด้วยชอล์กบนประตู จนถึงเรื่องการทำลายล้างพวกกลุ่มโจรไปหยกๆอารีจึงมีความยินดีและรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณแก่มีนามาก“เธอได้ช่วยรักษาชีวิตของฉันเอาไว้แท้ๆทีเดียว” อารีกล่าว“ฉันขอให้เธอเป็นอิสระจากความเป็นสาวใช้ นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป”มีนารู้สึกเป็นสุขมาก แต่ส่วนลึกในใจแล้ว เธอก็ยังรู้สึกว่า เจ้านายยังคงต้องการความช่วยเหลือจากเธอดังนั้น อารีและมีนา พร้อมทั้งคนรับใช้ที่มีทั้งหมด จึงได้ช่วยกันขุดหลุมให้ลึกและทำเป็นร่องยาวแล้วก็นำศพพวกโจรทั้งหมดไปฝัง เพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัย พวกเขายังพากันนำตุ่มและอาวุธทั้งหมดไปซุกซ่อนไว้อย่างระมัดระวัง และต่อมาก็ค่อยๆทยอยนำลาไปขายทีละตัวๆจนหมดเมื่อหัวหน้าโจรกลับมาถึงถ้ำสมบัติ เขาก็จนปัญญาไม่รู้จะทำประการใดดี มันช่างเป็นความเลวร้ายที่สุดที่เขาต้องอยู่คนเดียวตามลำพังโดยปราศจากสมุนโจรทั้งสามสิบเก้าคน เขาจึงคิดวางแผนการใหม่เพื่อล้างแค้นอารี โดยตัดสินใจไปเปิดร้านใกล้ๆกับบ้านของกาซีม เนื่องจากเขาได้ข่าวมาว่าลูกชายของอารีก็มีร้านอยู่ที่นั่นเขาจึงไปเปิดร้านค้าขายพรมและผ้าไหมชั้นเลิศ ตลอดจนสินค้าอันมีราคาแพงอื่นๆ และพยายามทำให้ธุรกิจของเขาดูประหนึ่งว่าเป็นพ่อค้าผู้มั่งคั่ง ในที่สุดเขาก็มีโอกาสคบค้าสมาคมเป็นเพื่อนกับลูกชายของอารี เขาให้ของขวัญและเชิญลูกชายของอารีไปรับประทานอาหารที่บ้านหลายต่อหลายครั้ง ลูกชายของอารีจึงมีความรู้สึกว่าเขาเป็นหนี้ในความมีอัธยาศัยไมตรีและมิตรภาพของชายผู้มั่งคั่งคนนี้ เขาจึงถามพ่อของเขาว่า ถ้าจะเชิญเพื่อนพ่อค้าผู้มั่งคั่ง มาที่บ้านเพื่อเป็นการตอบแทนในมิตรภาพของเขา พ่อจะมีความเห็นอย่างไร อารีจึงบอกกับลูกชายของเขาว่า“ยินดีต้อนรับเต็มที่เลยลูกรัก เชิญเขามาที่บ้านพ่อพรุ่งนี้เลยสิ พ่อจักให้คนเตรียมอาหารการกินอันเลิศหรูไว้ต้อนรับ”ดังนั้นพอตกตอนเย็นของวันต่อมา ลูกชายของอารีก็ได้พาเพื่อนที่แสร้งทำตัวเป็นพ่อค้ามายังบ้านของพ่อเขาตามนัด เป็นที่น่าแปลก ทันทีที่ทั้งสองมาถึงหน้าประตู พ่อค้ากลับแสดงท่าทีอีหลักอีเหลื่อ และกำลังจะหันหลังกลับแต่ก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่อารีโผล่ออกมาจากบ้านพอดี อารีจึงรีบเข้าไปให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นและกล่าวขอบคุณแก่เขาที่ได้ให้ความเมตตาแก่ลูกชาย“ฉันดีใจมากที่ท่านให้เกียรติมาร่วมรับประทานอาหารเย็นด้วยในวันนี้” อารีกล่าว“ฉันก็ดีใจ” พ่อค้าตัวปลอมกล่าว“แต่ฉันได้ปฏิญาณตนไว้ว่าจะไม่รับประทานเกลือ เหตุนั้นฉันจึงไม่อาจจะนั่งโต๊ะของท่านได้”(ทว่าธรรมเนียมดั้งเดิมที่ปฏิบัติสืบทอดกันมา ในประเทศนี้นั้น การแสดงออกถึงมิตรภาพอันดีงามคือ นั่งโต๊ะของเจ้าบ้านและร่วมรับประทานเกลือ)“แต่การขอบคุณพระเจ้าร่วมกัน ก็ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องงดเว้นการรับประทานเกลือของท่านนี่นา” อารีกล่าว“ฉันจะสั่งคนห้ามใส่เกลือลงในกับข้าว สำหรับท่านก็แล้วกัน”ในเวลานั้น มีนากำลังช่วยทำกับข้าวอยู่ในครัว ครั้นได้รับทราบคำร้องขอ ฟังดูชอบกลเช่นนั้น ก็ใคร่จะรู้ว่าชายผู้นี้เป็นใครและเหตุใดจึงไม่รับประทานเกลือ เธอจึงทำเป็นช่วยนำจานอาหารออกมาเสริฟ ทันทีที่เธอเห็นชายพ่อค้าคนนั้นเธอก็จำได้ว่าเขาคือหัวหน้าโจร และระหว่างที่เธอผ่านเข้าไปใกล้ๆ สายตาพญาอินทรีย์ของเธอก็รับรู้ถึงการซุกซ่อนมีดสั้นซึ่งอยู่ภายใต้เสื้อนอกของเขา สาวน้อยผู้หลักแหลมจึงคิดวางแผนโดยฉับพลันเพื่อทำลายอุบายชั่วของขุนโจร ที่กำลังมุ่งร้ายต่อเจ้านายของเธอ ครั้นเดินคล้อยหลังลงไปข้างล่าง เธอจึงปลอมตัวเป็นนางรำ และนำกริชขนาดเล็กมาเหน็บที่เอวซึ่งคาดด้วยเข็มขัดเงินอันงดงาม ส่วนคนรับใช้ที่มีก็ทำหน้าที่เล่นดนตรี ต่างคนต่างเคาะตี สี เป่า ด้วยจังหวะเร่งเร้าเต้นรำระบำกลอง มีนากรีดกรายร่ายรำอย่างสวยงาม เข้าไปในห้องรับประทานอาหาร พลันเธอกระโดดขึ้นอย่างไม่คาดคิด พอเท้าถึงพื้นก็กลับตัวด้วยปลายเท้าอย่างรวดเร็วซึ่งขณะนี้กริชอยู่ในมือของเธอแล้ว ทันใดนั้นเธอก็นำกริชมาจี้ตรงหัวใจของเธออย่างน่าหวาดเสียว แต่เพียงเสี้ยววินาทีนั่นเอง เธอก็หันเหมันไปทางพ่อค้าที่กำลังนั่งอยู่ แล้วก็ปักมันลงไปตรงหัวใจของเขาจนจมมิดอารีและลูกชายของเขาถึงกับตกตะลึงแทบพูดไม่ออกและบอกไม่ถูกว่าจะทำประการใดดี“โอ นางผู้มีทุกข์! เธอทำอะไรลงไป! นี่มันหมายถึงความหายนะของฉันและครอบครัวเชียวนะ!”เสียงเจ้านายตวาด“อย่าเพิ่งด่วนโมโหไปเลย นายท่าน” มีนากล่าว“ฉันทำลงไปก็เพื่อปกป้องและรักษาชีวิตของท่าน”พร้อมกับดึงเสื้อนอกของคนตายออกและเผยให้เห็นมีดสั้นที่ซ่อนมา“ชายคนนี้คือหัวหน้าของกลุ่มโจรทั้งสี่สิบ ซึ่งเคยปลอมตัวเป็นพ่อค้าขายน้ำมัน คราวนี้ท่านคงจะเข้าใจดีว่าทำไมเขาถึงไม่รับประทานเกลือที่โต๊ะของท่าน”อารีจึงรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณแก่มีนามาก เพราะเธอได้ช่วยเหลือให้เขารอดชีวิตมาได้เป็นครั้งที่สอง“ไม่เพียงแต่ปลดปล่อยให้เธอเป็นอิสระได้เท่านั้น” อารีเอ่ยขึ้น“แต่ถือว่าเป็นการให้เกียรติต่อพวกเรามาก หากเธอจะแต่งงานกับลูกชายของฉัน”ดังนั้นวันวิวาห์พาสุข ที่หลายฝ่ายเฝ้าตั้งตารอคอยอย่างชื่นชม ก็ได้ถูกกำหนดขึ้น ทุกคนที่เกี่ยวข้องต่างก็ช่วยกันจัดเตรียมข้าวของสำหรับใช้ในพิธีตลอดจนอาหารการกินสำหรับเลี้ยงรับรองแขกเหลื่อ พอถึงวันแต่งงานได้มีการเลี้ยงฉลองกันอย่างเอิกเกริกพร้อมอาหารการกินอย่างบริบูรณ์ การเต้นรำอย่างสนุกสนาน และการร่วมอำนวยพรกันอย่างล้นหลาม และเป็นเรื่องที่ผู้คนยังบอกเล่ากล่าวขวัญกัน ในเวลาต่อมาอีกหลายต่อหลายปีส่วนคำว่า “เปิด จิ้งหรีด” ที่ใช้กับถ้ำมหาสมบัติ อารีก็ได้ถ่ายทอดความลับนี้ให้กับลูกหลานในครอบครัวของเขาและสืบทอดต่อมาอีกหลายต่อหลายชั่วอายุคน นอกจากนั้นพวกเขายังนำเอาความมั่งคั่งอันไพศาลนี้ ไปช่วยเหลือเกื้อกูลคนอื่นๆที่โชคไม่ดีเหมือนพวกเขา ให้ได้รับความผาสุกกันโดยทั่วไปอีกด้วย เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
กาลครั้งหนึ่งมีชาวนาผู้ยากจนคนหนึ่ง เขาไม่มีที่นาเลยแม้แต่น้อย แต่มีบ้านหลังเล็กๆอยู่หลังหนึ่งและมีลูกสาวอยู่เพียงคนเดียว วันหนึ่งเขาได้พูดกับลูกสาวว่า“ลูกรัก เราควรจะขอพระราชทานที่นาจากพระราชาสักแปลงเล็กๆนะ” ซึ่งต่อมาความยากจนแสนเข็ญของพวกเขาได้ทราบถึงพระราชา พระองค์จึงได้พระราชทานผืนนาผืนหนึ่งให้ดังนั้นชาวนาและลูกสาวจึงช่วยกันขุดดินเพื่อเตรียมการหว่านเมล็ดข้าวโพดและถั่วงาต่างๆครั้นพวกเขาขุดดินไปจนเกือบจะแล้วเสร็จ ก็ปรากฏว่าพบครกที่ทำจากทองคำบริสุทธิ์ ที่ถูกฝังอยู่ในดินใต้ผืนนา ชาวนาจึงพูดกับลูกสาวว่า“ฟังนะลูกรัก ด้วยพระราชาได้พระราชทานที่นาผืนนี้ให้กับเรานับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันล้นเหลือเราควรจักนำครกทองคำอันนี้ทูลเกล้าถวายเป็นการตอบแทนพระองค์” แต่ลูกสาวก็ไม่ได้เห็นด้วยและพูดกับพ่อว่า“พ่อคะ เมื่อพวกเรามีครกโดยปราศจากสาก เราก็จำเป็นต้องค้นหาสากอยู่ดี ฉันว่าเรื่องนี้เราควรเงียบไว้จะดีกว่า” แต่ชาวนาก็ไม่เชื่อฟังคำแนะนำของลูกสาว จึงได้นำครกทองคำนั้นไปทูลเกล้าถวายแด่พระราชาพร้อมกับเล่าว่าตนได้พบมันฝังอยู่ในที่นาที่ได้รับพระราชทานและขอพระองค์ได้โปรดรับไว้เป็นของขวัญเถิดครั้นพระราชารับครกทองคำมาแล้วก็ได้มีรับสั่งกับชาวนาว่านอกจากนี้แล้วไม่ได้พบเห็นสิ่งใดอีกหรือ“เปล่าพะยะค่ะ” ชาวนาทูลตอบแต่พระราชาก็มีรับสั่งว่าเขาจะต้องนำสากของมันมาทูลถวายด้วยถึงแม้ชาวนาจะทูลอธิบายอย่างไรว่าเขาเองนั้นไม่ได้พบสากเลย แต่ก็ไร้ผลประหนึ่งพูดกับสายลมเขาจึงถูกนำไปจำคุกจนกว่าจะนำสากมาทูลถวายได้ในคุกจะมีพนักงานนำอาหารมาให้เป็นประจำทุกวัน อาหารของคนที่ถูกจำคุกเหมือนกันหมดทุกคนก็คือขนมปังกับน้ำ ซึ่งชาวนาได้รับประทานพอประทังชีวิตไปวันๆ พวกพนักงานประจำคุกมักจะได้ยินเขาพูดบ่นเพ้ออยู่อย่างไม่ขาดระยะว่า“โอ…นี่ถ้าเพียงแต่ฉันเชื่อฟังลูกสาวบ้างสักนิด! อา…ถ้าเพียงแต่ฉันเชื่อฟังลูกสาวบ้างสักนิด!”ต่อมาพวกพนักงานจึงไปเข้าเฝ้าพระราชาและทูลเรื่องชาวนาที่เอาแต่พูดพร่ำเพ้อว่า“อา…ถ้าเพียงแต่ฉันเชื่อฟังลูกสาวบ้างสักนิด!” แล้วก็ไม่ยอมกินหรือดื่มอะไรทั้งนั้นพระราชาจึงมีรับสั่งให้นำตัวชาวนาเข้าเฝ้าแล้วตรัสถามชาวนาว่า เหตุใดเจ้าจึงเอาแต่พูดพร่ำเพ้อว่า“อา…ถ้าเพียงแต่ฉันเชื่อฟังลูกสาวบ้างสักนิด!” และความจริงแล้วลูกสาวเจ้าพูดว่ากระไรชาวนาจึงทูลตอบว่า“เธอบอกฉันไม่ควรจะทูลถวายครกทองคำแก่พระองค์ เพราะสมควรที่ฉันจะทูลถวายสากด้วย”“ถ้าเจ้ามีลูกสาวที่ฉลาดเฉลียวอย่างนั้น ก็จงไปนำเธอมาที่นี่ และนี่คือรับสั่ง เพื่อฉันจักได้ถามปัญหาเชาว์ต่อหน้าพระพักตร์ และหากเธอสามารถทายปัญหาได้ ฉันก็จะอภิเษกสมรสกับเธอ”ครั้นลูกสาวชาวนามาเข้าเฝ้าต่อหน้าพระพักตร์ เธอก็รับที่จะทายปัญหาโดยทันที พระราชาจึงตรัสปริศนาคำถามว่า“จงมาเข้าเฝ้าฉันโดยไม่สวมใส่เสื้อผ้า แต่หาได้เปลือยไม่ ห้ามขี่ม้า ห้ามเดินเท้า ห้ามใช้ในถนนและห้ามใช้นอกถนน ถ้าเจ้าสามารถทำได้ฉันก็จะอภิเษกสมรสกับเจ้า”เมื่อเธอกลับออกมาจากพระราชวัง เธอก็วางภาระทุกอย่างที่ทำแล้วก็จัดแจงเปลื้องเสื้อผ้าและสวมร่างกายแทนด้วยร่างแหขนาดใหญ่โดยพันรอบๆตัวหลายต่อหลายรอบ จนปกปิดร่างกายอย่างมิดชิด จากนั้นเธอก็ไปขอเช่าลามาตัวหนึ่งแล้วผูกร่างแหที่พันกายของเธออยู่นั้นกับหางของมัน เหตุนั้นลาจึงลากเธอไปด้วย จึงไม่ใช่ทั้งการขี่และการเดินเท้าแต่อย่างใด และลาก็ลากเธอไปตามร่องลึกของทางเกวียนโดยที่มีเพียงหัวแม่เท้าของเธอเท่านั้นที่สัมผัสกับพื้น ด้วยเหตุที่เธออยู่ระหว่างกึ่งกลางของร่องเกวียน เธอจึงไม่ได้ใช้ทั้งในถนนและนอกถนนเมื่อเธอมาถึงพระราชวังในลักษณะดังกล่าว พระราชาจึงตรัสว่าเธอทายปริศนาได้ถูกต้องและปฏิบัติได้ตามเงื่อนไขแห่งปริศนาทุกประการ พระองค์จึงมีรับสั่งให้ปลดปล่อยพ่อของเธอออกจากคุกและทำการอภิเษกสมรสกับเธอ กับทั้งมอบทรัพย์สมบัติและบริวารตามฐานันดรแห่งราชวงศ์ นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้