ฉันใคร่ครวญหวนถึงซึ่งแรกเริ่ม
ครั้งประเดิมชั่วโมงพบประสบขวัญ
ฟ้าสดใสหรือสลัวมัวตะวัน
อาจคิมหันต์หรือเหมันต์ฉันพอจำ
ขาดลิขิตย้ำเตือนจึงเลือนลบ
โง่บอดกลบทับอุราพาถลำ
ต้นรักผลิแต่เพิกเฉยละเลยคำ
พฤษภย้ำก็เพียงเพ่งไม่เบ่งบาน
หากสามารถคืนแก่แก้อดีต
จักเขียนขีดจำนรรจ์แห่งวันหวาน!
แต่ฉันปล่อยโอกาสพลาดแก่กาล
ไร้รอยผ่านดุจหิมะยามละลาย
มันอาจแฝงความนัยให้ฉุกคิด
ดูน้อยนิดแต่ค่างามสูงความหมาย
ได้แต่เพียงรำลึกนึกเสียดาย
มือสอดส่ายแรกสัมผัสยังมัดใจ
The first day
I wish I could remember the first day,
First hour, first moment of your meeting me,
If bright or dim the season, it might be
Summer or Winter for aught I can say.
So unrecorded did it slip away,
So blind was I to see and foresee,
So dull to mark the budding of my tree
That would not blossom yet for many a May.
If only I could recollect it, such
A day of days! I let it come and go
As traceless as a thaw of bygone snow;
It seemed to mean so little, meant so much;
If only now I could recall that touch,
First touch of hand in hand – Did one but know!
Christina G.Rossetti (1830-1894)
ดงดิบลิบแดนด้าว กับคราบคาวความฉาวโฉ่
ถูกหยามเพราะความโง่ ไม่เก้โก๋เหมือนใครคน
ฝังซากความบัดซบ ไม่อยากสบความสับสน
หลีกเร้นเว้นเวียงวน รองอัสสุชลด้วยคนโท
ดาราระยับฟ้า ดูทีท่าหยิ่งยโส
ปลอบใจด้วยธรรมโม ท่องพุทโธ อีโธ่ศพ
ฉันรักใช่ฉันใคร่ แล้วทำไมไม่มาพบ
เชือดเฉือนแล้วเลือนหลบ คนประจบเจ้าสอพลอ
ดงดิบคือป่าช้า อย่าหวนหาอย่ามาง้อ
เหม็นสาบคนมอซอ เชิญลออกลับเวียงวัง
ฉันเขลามัวเมารัก จักเสียศักดิ์ตระกูลหวัง
ยอมช้ำแต่ลำพัง เจ้านั้นยังอีกยาวไกล
ง้างหินเกลี่ยดินกลบ ใต้พิภพ ฉันหลับใหล
เนื้อหนัง ผุพังไป อย่าอาลัยคนไร้ศักดิ์
(๑๔ มกราคม ๒๕๓๐)
เสียงพิณแผ่วแว่วผ่านกังวานล้ำ
คลอหมอลำพร่ำมาอุราหวิว
ว่าโอ้หนอคืนนี้ฤดีปลิว
ใจลอยลิ่วล่องหนถึงคนดี
ดอกอะไรไหนเรียมเทียมดอกรัก
ขอสมัครร่วมตายอย่าหน่ายหนี
อ้ายบ้านไกลใฝ่หายอดนารี
ฝ่าราตรีถึงบ้านจงขานคำ
พิณก็เร่งเปล่งคำลำต่อว่า
แม่น้องหล่าเอวกลมเจ้าคมขำ
อ้ายขี้เหล่เป๋ขาซ้ำหน้าดำ
บ่เว้านำเลยหนออ้ายขอลา
เสียงพิณผ่านหวานแว่วแผ่วๆลับ
น้ำหมอกซับพรมดินถวิลหา
พิณสายสองหมองหม่นปนน้ำตา
คลอช้าๆครวญคร่ำลำโศกตรม
โอ้ หนอกรรมค่ำคืนสะอื้นไห้
ถึงรักใคร่คงเพียงชู้มิคู่สม
ช่างอาภัพอับชาติจึงชวดชม
ลำฝากลมอ่อนๆค่อนราตรี
ถึงเถียงนากลางทุ่งมุงหญ้าแพรก
ดอกตะแบกร่วงคลุมมุมม่วงสี
นั่งเหม่อมองข้างซุ้มกลุ้มฤดี
ดีดอีกทีพิณพาทย์...ให้ขาดใจ
(พฤศจิกายน ๒๕๒๘)
Pin Tone;
A sweet sound
of Pin was slightly heard;
Mor Lum was also excitedly humming.
“Oh…tonight is so romantic, and my mind is now flown to meet her.
What kind of flower on earth is equal to Dok Rak, the love flower;
So I would like to be yours until my death, don’t be afraid.
Though my home is far away, but my mind is trying to find and reach you tonight.
Please reply.
Rousing Pin tone and singing of Mor Lum were performed with scorning;
You are so a beautiful girl with a slender contour.
But, my face is ugly dark, and my legs are disabling. You have no answer for me, so say goodbye.”
The sweet tone of Pin was gradually fading away,
Whilst the dew drop at night was found on the ground.
Affectionately, he slowed down the tone of two-strings Pin with a sadness melody and a regretful
singing of Mor Lum.
“Oh…my sin made me cries at night; love her so much though,
But having an affair is just only in my mind, it cannot be matched.
My fate is very unlucky so I missed you again in this life time.” He sang Mor Lum during near
dawn.
He came back to the rice field, reached the hut that covered with a purple of wild flowers.
With deeply sorrow, he sat down and the Pin was in his hands.
He started to play his Pin again… but, this time was the fatal Pin tone.
(November 1985)