โอ้ ไทยแลนด์แดนดินถิ่นขวานคล้ายฤๅดี-ร้ายหมายเจตแบ่งเขตขันธ์สปป. ปปส. หนอ งงงันสารพันคำย่อจนท้อใจหากตัดส่วนขวานงามให้ด้ามบิ่นขวานคงสิ้นคุณค่าจะหาไหนตัดทิ้งขวานทั้งเล่มฤๅเต็มใจแบ่งเขตไทยแม้น้อยนิดฤๅคิดควรแต่ต้องแบ่งปันรักทุกฝักฝ่ายรัก เหนือ ใต้ อีสาน ล้วนหว่านสวนรักไทยกลาง ยืนยั้งอยู่ทั้งมวลไทยจึงล้วนควรแบ่งหลัก...ปันรักเอย
เจ้าของร้างลาแล้วเหลือแก้วไว้
ดั่งธารใสไร้เงาจันทร์เป็นวันหมอง
ชุดเคยใส่ไร้คนรับคอยจับจอง
ดั่งรอยร่องจันทร์ผ่านม่านฟ้าครวญ
ทางที่เธอเทียวท่องไร้น้องเที่ยว
ดั่งวันเปลี่ยวคืนเปล่าร้าวกำสรวล
หมอนเคยอิงหญิงหลบหน้าพาซบซวน
รักเรรวนน้ำตาร่วงทวงคืนวัน
ดวงฤทัยไร้นุชสุดอ้างว้าง
คำของนางลางเลือนเคลื่อนห่างหัน
ยามขาดเธอเหม่อไปยิ่งไกลกัน
ดั่งเงากั้นเมฆป่าสบลบผืนนา
Without Her
What of her glass without her? The blank grey
There where the
pool is blind of the moon’s face.
Her dress without her?
The tossed empty space
Of cloud-rack whence the moon has passed away.
Her paths without her? Day’s appointed sway
Usurped by desolate night. Her pillowed place
Without her? Tears, ah me! for love’s good grace,
And cold forgetfulness of night or day.
What of the heart without her? Nay, poor heart,
Of thee what word remains ere speech be still?
A wayfarer by barren ways and chill,
Steep ways and weary, without her thou art,
Where the long cloud, the long wood’s counterpart,
Sheds doubled darkness up the labouring hill.
(Dente Gabriel Rossetti, 12 May 1829 – 9 April 1882)
แสงจันทร์นวลชวนให้หทัยคิด
ยามเพ่งพิศจันทราน้ำตาไหล
นิราศร้างห่างคู่ชู้ทางใจ
แสนอาลัยห่วงหาพะงางาม
หริ่งเรไรหรีดร้องยิ่งหมองหม่น
ดวงกมลหม่นไหม้ใคร่ไถ่ถาม
ใคร่ชี้ชวนยวนเย้าเคล้านงราม
ใคร่ติดตามนงนุชดุจเงานาง
ยิ่งสายลมพรมไล้ไผ่เอนลู่
ดั่งยอดชู้คู่ใจจะไกลร้าง
เมื่อเมฆคล้อยลอยเคลื่อนแสงเลือนราง
คล้ายรักจางห่างเหเสน่ห์คลาย
วอนดวงเดือนเคลื่อนไปดลใจนุช
อย่าสิ้นสุดรักเราที่เฝ้าหมาย
สุกสกาวขาวเด่นเป็นประกาย
จงเฉิดฉายคงอยู่คู่จันทรา
ขอให้รักดำรงซื่อตรงมั่น
ไม่มีวันเสื่อมสิ้นดุจหินผา
ไม่มีวันหม่นหมองนองน้ำตา
สุขอุราเชยชื่นทุกคืนวัน
ครั้นดวงเดือนเคลื่อนลับดับจากฟ้า
ยิ่งเหว่ว้าอาวรณ์นอนหลับฝัน
ถึงยอดชู้คู่ใจยามไกลกัน
เกรงสัมพันธ์ฟั่นเฝือมิเหลือใย
(๓ มีนาคม ๒๕๓๑)
น้ำตาหลั่งนั่งซบสงบนิ่ง
จำทอดทิ้งร้างลายอดยาหยี
หัวใจแหลกแตกร้าวเศร้าหลายปี
สองปรางที่เคยเห็นซีดเย็นชา
จุมพิตเธอยิ่งเห็นเยือกเย็นกว่า
จริงดั่งว่าตามทำนายใช่มุสา
ต้องประสบพบเหงาเศร้าโศกา
รุ่งทิวาหยาดหยดพลิ้วพรมคิ้วคาง
ยิ่งย้ำเยือนเตือนเรายามเหงานี้
สัญญามีเหลือเกินเธอเมินหมาง
แสงสว่างสร้างชื่อนั้นคือนาง
ยินเอ่ยอ้างนามเธอเหม่อละอาย
เขาเอ่ยชื่อกานดาต่อหน้าฉัน
หูก็พลันยินระฆังลั่นดังหมาย
ฉันสะท้านสั่นจังงังทั่วทั้งกาย
เธอวิเลิศเฉิดฉายเมียงมายมอง
หามีใครล่วงรู้เคยคู่รัก
ฉันตระหนักเธอดีไม่มีสอง
นานแสนนานในอดีตกรีดทำนอง
เกินกว่าร้องเรียกเอ่ยเผยให้ตรม
เป็นความลับอย่างชะงัดเรานัดพบ
เงียบสงบฉันสะอื้นและขื่นขม
หัวใจเธออาจลืมเรื่อยเฉื่อยอารมณ์
จิตเธอก้มรับฉ้อฉลแห่งกลลวง
หากหลายปีต่อไปในภายหน้า
เผื่อพบพาอดีตเก่าเคยเฝ้าหวง
จะทักเธออย่างไรในแดดวง
น้ำตาร่วงเงียบสงบยามพบกัน
When we two parted
When we two parted
In silence and tears,
Half broken-hearted,
To sever for years,
Pale grew thy cheek and cold,
Colder thy kiss;
Truly that hour foretold
Sorrow to this!
The dew of the morning
Sunk chill on my brow;
It felt like the warning
Of what I feel now.
Thy vows are all broken,
And light is thy fame:
I hear thy name spoken
And share in its shame.
They name thee before me,
A knell to mine ear;
A shudder comes o’er me-
Why wert thou so dear?
They know not I knew thee
Who knew thee too well:
Long, long shall I rue thee
Too deeply to tell.
In secret we met:
In silence I grieve
That thy heart could forget,
Thy spirit deceive.
If I should meet thee
After long years,
How should I greet thee?-
With silence and tears.
(George Gordon Lord Byron, 22 January 1788 – 19 April 1824)
ลมรำเพยเอ่ยเอื้อน กลอนกานท์ลิขิตตอบชอบสาส์น สุดซึ้งมโนหนึ่งเบิกบาน ครวญคร่ำ นำพาจิดบ่หยุดสุดอึ้ง กู่ก้อง ปองนวลฉันพบเธอในฝันทุกวันว่างมิเริดร้างดมดอมสุดหอมหวลแต่วันพบซบเกาะเยาะยียวนยังอบอวลอุ่นไอมิไคลคลาชอบคำค้อนค่อนขอดจิกตอดเล่นทั้งร้อนเย็น แสบคัน สุขหรรษาราวเจ้าเงาะเหยาะพจน์แหย่รจนาดุจมัจฉาคาตู้แอบดูเธอปิรันย่า-ปลากัด จึงจัดให้สองเราไซร้ลำซิ่ง ชิงเสมอด้วยกลอนรักหักใจใฝ่ละเมอเกี่ยวพันเพ้อเผลอเกี้ยวฮักเกี่ยวใจอาจจะเล่นเป็นเงาะฉอเลาะเจ้าคงคลายเศร้าเย้ายวนกวนไฉนประสาเงาะงี่เง่าจะเอาไงจะบอกให้รักจนหมดในรจนางั้นตามเงาะงี่เง่าไปเฝ้าเกาะย่าง เหยียบเหยาะเลาะชม ดิน ลม ฟ้าฟังทะเลเห่กล่อมย้อมอุราชื่นชีวาพ่อตาแกล้งไม่แล้งรักยามราตรีมีดาวขึ้นพราวพร่างแม้ไร้ร่างระหว่างจินต์มิสิ้นศักดิ์ร่วมใฝ่ฝันพันใจหทัยทักจวบจนจักรวาลสุดฤๅหยุดเรา(แด่ เธอผู้สวยงามยามสร้างฝัน)