อยากเชื้อเชิญเธอสถิตสู่จิตฉัน
เฉกเช่นกันกับพระเจ้าเฝ้าสถาน
ยามหลงเจิ่นเดินท้อทรมาน
ยินไหว้วานเรียกทัก
บ้านพักใจ
อยากให้ไนติงเกลอยู่จำเพาะ
สวนอันเหมาะหนึ่งเดียวไม่เที่ยวไหน
เพลงเสรีที่พร่ำเพรียกเรียกกลางไพร
สงวนไว้ฟังสำเนียง
เพียงลำพัง
อยากให้เธอถูกจำจองเป็นของฉัน
ในเนินถันอันละมุนอุ่นความหวัง
เฉกเช่นเลือดเวียนไหลในชีวัง
แกว่งไกวดังดุจ
กระดูกผูกกายา
อยากให้ชื่อของฉันผูกพันรัก
เขียนสลักหลังชีพสิ้นบนหินผา
ตรงส่วนแข็งที่สุดสะดุดตา
คือศิลาอนุสาวรีย์
หินหัวใจเธอ
Desire
I wanted to welcome you
into my soul like a god,
lost and road weary
to hear you calling this
home.
I wanted to restrict
the nightingale to but one
garden. And keep his free
songs for me
alone.
I wanted you jailed
in my breast as part
of the flow of my blood,
the sway of my
bones.
I wanted when I died
my name to be carved
on that hardest of monuments
your heart of
stone.
(Shushanig Gourghenian; Translated by Diana Der Hovanessian)
รุ่งอรุณเหมันต์ยังผันผ่าน
หนาวสะท้านซ่านจิตลิขิตไข
อิงไออุ่นแสงทองผ่องอำไพ
ฟ้าสดใสดุจแก้วแววประกาย
แคฝรั่งพรั่งพรูลู่ลมฉะ
ดุจหิมะประโปรยโรยเป็นสาย
กลีบชมพูขาวสลับระยับพราย
กับพื้นทรายรองรับวะวับวาว
แสงระวีสีเหลืองส่องเบื้องล่าง
ต้องน้ำค้างพร่างพรายบนทรายขาว
ปลุกให้ตื่นจากภวังค์ทุกครั้งคราว
เริ่มเรื่องราวชีวิตนิจนิรันดร์
หลายผู้คนเคลื่อนไหวพร้อมวัยร่วง
ภาพทั้งปวงบันทึกสำนึกฝัน
จิตรกรดวงจินต์สิ้นทุกวัน
ภาพเหล่านั้นอนันต์ค่ามหากาฬ
ต่างฟู่กันขันสีด้วยชีวิต
หากสัมฤทธิ์คงล้ำค่ามหาศาล
เพียรจากสิ่งเศษเสี้ยวคงเชี่ยวชาญ
เป็นตำนานภาพคิดจิตรกร
เมื่อกาลหยุดฉุดจิตรกรลับ
น้ำค้างซับหลุมศพซบสะท้อน
แคฝรั่งแสงทองต่างกองฟอน
อนุสรณ์นอกนี้...ไม่มีเลย
พฤศจิกายน ๒๕๒๙
แสงจรัสดวงดาวสกาวฟ้าต่อปุจฉาจักซื่อคือดาวไหมเด่นประดับราตรีศรีอำไพอยู่ภายใต้วงรอบขอบอนันต์จักเยี่ยงวัตรสัตย์ซื่อคือนักพรตมิกล่าวปด อดขยับ มิหลับฝันปานน้ำมนต์ประพรมนิยมกันต่างหมายมั่นบริสุทธ์มนุษย์มวลจักเหมือนยลแผ่นเบาบางหล่นล่างปะเยี่ยงหิมะห่มสิงขรแหละดอนสวนวิสัชนาว่าไม่ ใช่เรรวนแต่ใจล้วนสัตย์ซื่อถือความตรงอิงเขนยเกยถันคู่ขวัญชื่นแสนเริงรื่นหวานภิรมณ์สมประสงค์ลมหายใจชื่นฉ่ำชีพดำรงฤๅลุ่มหลงลงด้วยจนม้วยมรHis Last SonnetBright star, would I were steadfast as thou art! - Not in lone splendour hung aloft the night, And watching, with eternal lids apart, Like Nature's patient sleepless Eremite, The moving waters at their priestlike task Of pure ablution round earth's human shores, Or gazing on the new soft fallen mask Of snow upon the mountains and the moors - No -yet still steadfast, still unchangeable, Pillowed upon my fair love's ripening breast, To feel for ever its soft fall and swell, Awake for ever in a sweet unrest, Still, still to hear her tender-taken breath, And so live ever -or else swoon to death.
John Keats (31 Oct 1795 - 23 Feb 1821)
จับดินสอด้วยน้ำตามาลิขิตถึงคนเคยเชยชิดพิสมัยนี่คือสาส์นสั่งลายอดยาใจแสนอาลัยหน่วงหนักรักมลายชายคนยากรักจริงเพียงหญิงหนึ่งบุญไม่ถึงเชยชมได้สมหมายพ่อแม่นางกางกั้นเดียดฉันท์ชายมีความตายเท่านั้นคือวันรอณ ฟากฟ้ากว้างไกลจงไปพบพี่จะซบดาวเดือนเป็นเรือนหอคอยคนรักอิงแอบแนบพนอคำร้องขอเท่านี้ นะที่รักวันวิวาห์คือชีวาพี่ลาลับอภัยกับรักลวงจนทรวงหักแต่อย่าลืมนัดพบอย่าหลบพักตร์จะคอยทักรอยยิ้ม ณ ฉิมพลีด้วยบูชารักจริงเหนือสิ่งอื่นขอให้ชื่นในรักสมศักดิ์ศรีแม้ไม่ตามฉันไปในทันทีแต่ชีวีฉันม้วยลงด้วยใครแหละนี่เพียงเล็กน้อยจิ๊บจ้อยนักเพื่อคนรักได้เห็นเป็นไฉนวันวิวาห์ขอช่วยอวยพรชัยก่อนสิ้นใจเชือกรัด...ตวัดคอ(26 เมษายน 2530)
อยู่ทุ่งนาป่าเขาลำเนาพฤกษ์
อยู่ยามดึกฟ้าสางสว่างใส
ถึงยามเย็นมิเว้นแม้ยามใด
ความเสียใจยังจาบัลย์นิรันดร
ครั้นยามดิ่งนิทราถึงคราหลับ
เธอเหมือนกับใกล้ชิดอยู่ติดหมอน
ยามอยู่เพียงโดดเดี่ยวเปลี่ยวอาวรณ์
ให้สังหรณ์เธออยู่เคียงคู่กาย
ถึงยามตื่นยามนอนมิซ่อนเร้น
ยังแนบเน้นสารพางค์มิห่างหาย
สองเราชิดสนิทแนบแอบอุ่นอาย
ชั่วฟ้าดินสลายมิคลายรัก
The Absent One
Wherever I may be
In the woods or in the fields
Whatever the hour of day
Be it dawn or the eventide
My heart still feels it yet
The eternal regret.
As I sink into my sleep
The absence one is near
Alone upon my couch
I feel his beloved touch
In work or in repose
We are forever close.
(Mary, Queen of Scots, 7/8 Dec 1542 – 8 Feb 1587)