ลมพัดไผ่ไหวอ่อนเมื่อตอนค่ำสายัณห์ย่ำรำไรอยู่ไกลแสนสิ้นวันนี้วันหน้ายังมาแทนแต่สิ้นแฟนวันนี้ไม่มีมาถึงครวญคร่ำกำสรวลชวนสะอื้นยากจะคืนดีกันให้หรรษาต่างโบกมือหันกลับไกลลับตาดั่งนาวาไกลฝั่งสู่วังวนฉันจะเข้าไพรพฤกษ์เพื่อฝึกจิตหวังพิชิตบ่วงมารให้ผ่านพ้นไกลจากสิ่งยั่วยวนไกลมวลชนอยู่อย่างคนสมถะเป็นพระจริงลมพัดพลิ้วผ่านมาเวลาดึกนั่งตรองตรึกคนเดียวเปลี่ยวใจยิ่งพรุ่งนี้บวชแน่ล่ะไม่ประวิงขอแอบอิงเบื้องบาทพระศาสดาแว่วเสียงไก่ขันมาเวลารุ่งหยิบเอาถุงขึ้นสะพายแล้วบ่ายหน้าทิ้งกระท่อมพักกายไว้ปลายนากลอนธรรมาก้องโสตโอดในใจ“เมื่อเจ้ามามีอะไรมาด้วยเจ้าเจ้าจะเอาแต่สุขสนุกไฉนเมื่อเจ้ามาตัวเปล่าจะเอาอะไรเจ้าก็ไปตัวเปล่าเหมือนเจ้ามา”(ตุลาคม ๒๕๒๙)Leaving paddy field for Dhamma;Bamboo leaves were slightly moved when touching with the breeze.Sun set could be seen at afar, today was going to disappear;As it would be certainly replaced by tomorrow, but my love had gone and would be never returned.Moaning was a waste of time,Reconciliation of our love was impossible.Say goodbye to each other, as if the ship departed the port and disappeared.I will be heading the forest for practicing of mind fullness.In order to defeat the circle of being reborn,Stay away from all temped indulgences and people, but try to live alone as the genuine monk.The breeze came at late night,I sat up alone, in deep thought.To take a refuge and follow the footprint of Buddha, I would be ordained by tomorrow.In early morning when a cork gave the first cry,I picked up a cloth bag and walked away.Leaving the hut which located at the end of the rice field, whilst the Dhamma poem echoed in my head!“What did you bring to this world when you come?Why do you always seek to spoil yourself?What are you expect to take when you brought nothing?And nothing will be certainly taken both leaving and coming to this world alike.”By P. Pantasri (October 1986)
คืนแขไขใคร่ครวญเคยเคลียเคล้าแสงโสมส่องสุดเศร้าสบเสาสวนเหม่อมองเมียงแมกไม้มีมากมวลจิตรัญจวนหวลหอมยามดอมดมดุจดื่มด่ำพร่ำพะวงดงดอกรักกระหายหนักวักดื่มจนลืมขมราวภมรอ่อนโลกลืมโศกตรมลิ้มอารมณ์ชมชื่นลืมคืนวันเมืองมนุษย์สุดล้ำสร้างคำ “รัก”จิตประจักษ์จมทุกข์เห็นสุขสันต์พิษรักรุมสุมทรวงราวบ่วงทัณฑ์จึ่งเงียบงันงดปากบอกฝากรักดั่งมานพรบเร้าคอยเฝ้าเอ่ยโลกเฉลยเผยคำจึงช้ำหนักเอ่ยเบาๆเราสองคงต้องพักเผื่อใครจักแอบฟังเสื่อมขลังคำคืนจันทร์นวลยวนเย้าคลายเศร้าสร้อยจึ่งเรียงร้อยถ้อยถกอกถลำ“หาได้มิบอกรักไม่” หึ! ใจดำแต่แสร้งทำล่อหลอกแท้บอก “...”(๙ เมษายน ๒๕๕๗)
เธอและฉันมั่นรักประจักษ์จิตรักดั่งฤทธิ์ร้อนเร่าไฟเผาผลาญหุ่นดินเผารูปเราสองต้องไฟนานแล้วทุบแตกแหลกลาญปานธุลีผสมน้ำคลุกคลีบดบี้ซ้ำแล้วขยำแปะปั้นเสกสรรสีเป็นรูปเธอและฉันขวัญชีวีดินส่วนนี้ของฉันปันในเธอชั่วชีวิตชิดใกล้ผูกใจรักร่วมสมัครหนึ่งแพรพรรณมั่นเสมอแม้นมอดม้วยยังหมายสบมาพบเจอสองเราเพ้อละเมอเคียงร่วมเตียงเดียวYou and IHave so much loveThat itBurns like a fire,In which we bake a lump of clayMolded into a figure of youAnd a figure of me.Then we take both of them,And break them into pieces,And mix the pieces with water,And mold again a figure of you,And a figure of me.I am in your clay.In life we share a single quilt.In death we will share one bed.(Kuan Tao-Sheng, 1262-1319, translated from the Chinese by Kenneth Rexroth and Ling Chung)
สาวแม่ค้าขายไข่วิไลล้ำยังจดจำรูปลักษณ์จนหนักอกไม่เห็นหน้าคราใดใจช้ำพกดุจดั่งตกเหวรักกระอักตายจะซื้อไข่มากินลิ้นกระดากจะออกปากถามไถ่ก็ใจหายเห็นดวงตาน่ารักก็ชักอายแกล้งกรีดกรายเมินพักตร์ไม่ทักเลยเก็บมาคิดเช้าเย็นเห็นจะบ้าเหม่อมองฟ้าครวญคร่ำแล้วทำเฉยนั่งอมยิ้มคนเดียวกี่เที่ยวเอยพี่สาวเย้ยตัดพ้อว่าคลอเพลงจะกินไข่ครั้งใดใจยังนึกเห็นภาพตึกขายไข่กับใบเข่งพร้อมรอยยิ้มคนขายก็หายเซ็งจนท้องเต่งเต็มที่ทุกทีกินเจ้าของไข่ไม่รู้สู้แอบรักไม่ยอมทักเลยเจ้าเฝ้าถวิลลูกค้าไข่ไข้หนักรักยุพินเกรงจะสิ้นชีวาตม์ขาดลูกค้าแกล้งไม่รู้ว่ารักหรือจักรู้ก็อดสูแก่ใจจะไขว่คว้าเฝ้าแต่คอยซื้อไข่อยู่ไปมาจนใบหน้าจะเป็นไข่...เพราะใจรัก(๑๘ เมษายน ๒๕๓๐)
โฉมเอยโฉมงามทรามสวาทคือเทพีปราสาทพระคริสต์เจ้าย้อนอดีตโบราณแต่นานเนาภวังค์เก่าเข้าฝันกระสันครวญเสียงดนตรีไพเราะเสนาะนักนางเยื้องยักรำงามตามกระสวนเหล่านางรำอื่นๆต่างชื่นชวนคนทั้งมวลเพ่งพิศอย่างติดใจนัยว่าเป็นเทวาลงมาโปรดเพื่อชุบโบสถ์มวลชนพ้นสมัยอธิษฐานขอพรฟ้อนรำไปเพื่อบาปไถ่ถ่ายถอนคำสอนจริงชาวฝรั่งทั้งผองต่างจ้องจดเธอร่ายบทล้ำเลิศดูเพริศพริ้งให้นึกรักหนักเศียรจนเวียนวิงหลงยอดหญิงชาวฝรั่งจะคลั่งตายสงบเสียงดนตรีนารีหยุดก็สิ้นสุดขอพรฟ้อนถวายเหล่าชาวคริสต์ทุกคนบ่นเสียดายต่างแยกย้ายกันกลับลาลับไกลเหลือชายทาสความรักนั่งพักโบสถ์นางจงโปรดเมตตาได้ปราศรัยจะขอมอบรักหอมสู่อ้อมใจขอตามไปเมืองฟ้าโปรดปราณี(๑๓ มีนาคม ๒๕๓๐)Outside the churchPerfectly charming, how you look,Known as the female Servant in the house of Christ.It’s in the past, but refreshing vividly in trance of my dream.The tone of music was so sweet;Whilst she was beautifully dancing.And all other girl dancers admired her, and the audience was also enthralled.It’s a rumour of angel herself, who came down to earth;For a salvation of the Church’s people.Dancing was a performing of repentance and being released the sin.Attractive girl, all westerners watched her;Skillfully dancing was so wholeheartedly impressed.So my whole heart fell in love, my dearest foreigner, I was dying for love.As the end of the music, she stopped dancing;So the salvation pray was finished.All Christian was reluctantly walked away, heading their homes.Only one man left outside the Church, who was now a Servant of Love.“Please kindly come to talk to me!I would like to present my love to you,And ready to follow you, heading for the Heaven!”By P. Pantasri (13th March 1987)