คืนสงบซบม่านวิมานฟ้าจันทร์เจิดจ้าเต็มดวงในห้วงหาวแสงยิบยับดุจเพชรคือเกล็ดดาวงามวับวาวน่ารักจักรวาลวิสาขะเดือนเพ็ญเด่นสง่าขาดนางฟ้าคู่เคียงฟังเสียงหวานยินแต่คำผรุสวาทสาดวิมานคงแหลกลาญย่อยยับถึงอับจนเหลือเพียงแต่เทวานั่งว้าเหว่ต้องร่อนเร่พรายพลัดคราขัดสนเคยชี้ชวนยวนเย้าเสาวคนธ์กลับทุกข์ทนหม่นหมองนองน้ำตาวิมานแก้วแววไวเคยไสยาสน์ต้องนิราศแรมร้างห่างเวหาเมื่อเทวีศรีเสน่ห์เกลียดเทวาจักรวาลม่านฟ้าก็น่าชังจึ่งขอแต้มลายลักษณ์อักขระไว้พบปะอ่านจบสบสมหวังณ ห้วงหาวดาวเกลื่อนเตือนภวังค์ประหนึ่งดังเครื่องหมายนิยายรักวอนเทวีศรีนภาเมตตาบ้างถึงถากถางยอมช้ำระกำหนักมิรังเกียจพจมานยังหวานนักเถอะ...พบพักตร์คงสิ้นราคินใจ(๑๑ พฤษภาคม ๒๕๓๐)
ซ่อนรักไว้ในทรวงจึงหน่วงหนักดุจเม็ดถั่วคาฝักเกินผลักไสดุจเส้นสายลายกราฟขนาบในดุจฟืนไฟกับไม้ขีดสุมกรีดทรวงหามีใครล่วงรู้เธอชู้รักเธอยังไม่รู้จักใครรักหวงใครเล่านั่งมองเมียงหวังเคียงควงหากแต่ห่วงมิลวงหลอกหวังบอกรักมิกล้าเอ่ยเผยใจหทัยสั่นเธอหวาดหวั่นเผยจิตฤๅคิดหนักเกรงสัมพันธ์เราสลายเสียดายนักเกรงเราจักผิดแผกแปลกหน้ากันหากทุกสิ่งเหมือนเดิมคงเสริมส่งชีวิตคงทึ่งสนุกแสนสุขสันต์ไร้น้ำหนักบนบ่าเริงร่าพลันทุกข์มหันต์หากตรงข้ามหนามยอกใจคงเป็นความเลวร้ายเกินหมายรู้น่าอดสูชีวิตผิดวิสัยความแปลกต่างกางกั้นทุกวันไปย่อมห่างไกลเกินคบมาพบพาซ่อนรักไว้ในทรวงจึงหน่วงหนักคอยวันจักเปิดทรวงความห่วงหารักซุกซ่อนกร่อนกัดหัทยาดักวิญญาณ์ฉันติดค้างขังข้างในYou are my hidden love,The pea to my pod,The line to my graph,The match to my fire.Unknown to many,Including you,I sit sidelined,Waiting to tell you.I'm so afraid to tell you,For what would you think?For what would you say?Will it ruin the relationship,Will it make our encounters strange,Day by dayI wonder the same outcomes.It could be wonderful,Life would go onThe weight off my shoulders.It could be horrible,Life would go onA strange barrier between us.A hidden loveWaiting to be free,Eating away at my heartCapturing my soul inside.(Evan Skora)
ดอกเอย...ดอกหญ้าประดับหล้ารื่นรมย์ให้ชมชื่นเผยกลีบรับสุริยันทุกวันคืนแต่ไม่ยืนยาวนักจักโรยราหมู่ภมรละเลยเมินเฉยดอกจักช้ำชอกเพียงใดมาลัยหล้าจักสูญเปล่าเสียสิ้นเสื่อมวิญญาณ์โอ้ ดอกหญ้าเตี้ยต่ำระกำตรมต่างกันกับดอกฟ้าทิวาชื่นทุกค่ำคืนโสภาสง่าสมหมู่ภมรหมายกลิ่นถวิลชมมุ่งดอมดมดอกฟ้าสถาพรถึงดอกหญ้าดอกดินดูสิ้นศักดิ์แต่ฉันรักมั่นหมายมิถ่ายถอนแม้ถูกเหยียดถูกหยามนามกรมิอาทรหยามหมิ่นใครนินทาดอกหญ้าต้องลมลู่แล้วชูช่อเหมือนตัดพ้อคำมั่นที่สรรหามิอยากเชื่อลมลิ้นสิ้นสัจจาโถ บุปผาเตี้ยต่ำอย่าทำงอนเจ้ามิรู้ข้าด้อยสุดต้อยต่ำยิ่งกว่าคำเปรียบเปรยเผยสมรแค่สวะโสโครกโศกอาวรณ์หากตัดรอนคงม้วยด้วย...ดอกดิน(เหมันตฤดู ๒๕๒๘)
นิ้วนุ่มนวลควรเล่นโชว์เปียโนโน๊ตดนตรีโปรดโลดแล่นเพลงแสนหวานแต่เธอทำกรำเหล็กกลึงฤๅซึ้งปานหัวใจด้านงานเหล็กดัดจำกัดใจเงินเดือนต่ำแต่ชุดแต่งขายแพงลิ่วแฟนหน้านิ่วดิ้นรนสุดทนไหวระฆังแต่งแห่งฝันเจื่อนทันใดเขาส่งใบสมัครโยกหนีโลกเธอHer soft fingers are ideal for a piano reeds to make a classic musical noteBut she struggles with hard steel and turn them into tools.Sharpen tools go to the market and she comes home with a blunt heart.She re-counts her small daily wage for her wedding dressBut her partner still fights to earn something.In her fading dreams she hears the wedding bellsWhile the boy who writes his beautiful curriculum vitae to another World.(Nimal Dunuhinga)
พี่พร่ำเพรียกเรียกหาทั่วป่ากว้างไยทิ้งขว้างรักร้างไว้กลางเขาเหลือเพียงรอยพร่ำพรอดออดนงเยาว์เคยยวนเย้าเคล้าคู่ลืมชู้รักดอยตระหง่านเงียบเหงาดูเศร้าสร้อยเหลือริ้วรอยความช้ำระกำหนักหลงเสน่ห์คนเมืองเฟื่องฟูนักทิ้งเพิงพักเปล่าเปลี่ยวให้เหลียวมองดอกต๋าเหินบานสะพรั่งมานั่งเหม่อน้ำตาเอ่อท่วมท้นทนหม่นหมองรักไม่สมดั่งจิตที่คิดปองไม่อยากครองชีวิตเจ็บพิษใจจึ่งลำนำเพลงดอยลอยลมล่องครวญถึงน้องต้องจิตพิสมัยแม้นเธอลืมป่าเขาลำเนาไพรคิดถึงใครคนหนึ่งดีดซึงรอว่าหวานเอยเคยหวานมานานนับหวานไยกลับขื่นขมระทมหนอป่านฉะนี้ใครเค้าเคล้าเคลียคลอเชยชมช่อบุปผาแห่งป่าดอยสุดพร่ำเพรียกเรียกหาทั่วป่ากว้างไยเริดร้างทิ้งเราให้เหงาหงอยดอกต๋าเหินเหี่ยวแห้งแข็งใจคอยวันร่างลอยลงหุบฟุบเหวตาย(๑๔ สิงหาคม ๒๕๓๐)