เนื้อคู่
หากความรักนั้นเป็นเช่นกุหลาบ
ฉันใคร่ทาบเป็นใบใกล้บุปผา
เราเติบโตร่วมทุกข์สุขพบพา
สวนมาลาหรือทุ่งร้างต่างพบพาน
หากฉันเป็นถ้อยคำพร่ำสลัก
มีความรักดุจโทนเสียงสำเนียงหวาน
ริมฝีปากฝากสัมผัสรึงรัดนาน
หอมหวนปานนกเล่นฝนยลตะวัน
สุดที่รักหากเธอเป็นชีวิต
ฉันขอคิดเป็นความตายรักหมายมั่น
ร่วมเรืองรองหิมะหล่นทุกข์ทนกัน
หฤหรรษ์เดือนมีนาบุปผางาม
หากเธอเป็นเลดี้แห่งเมษา
พฤษภาฉันเป็นลอร์ดยอดสนาม
เฝ้าชี้ชวนสวนสนุกทุกโมงยาม
จวบวันข้ามคืนค่อนก่อนทิวา
หากเธอเป็นราชินีแห่งความสุข
ฉันเป็นทุกข์แห่งราชันย์ขวัญผวา
ร่วมกำราบความรักกันสักครา
ขนปีกกล้าถอนสิ้นหยุดบินจร
ตีนนั้นเล่าจำกัดคอยวัดไว้
ส่วนปากใส่บังเหียนเฆี่ยนสั่งสอน
เพียงเธอเป็นราชินีศรีอาทร
เจ็บปวดร้อนแห่งราชันย์...ฉันยินดี
A match
If love were what the rose is And I were like the leaf,
Our lives would grow together
In sad or singing weather, Blown fields or flower closes,
Green pleasure or grey grief;
If love were what the rose is,
And I were like the leaf.
If I were what the words are,
And love were like the tune,
With double sound and single Delight
our lips would mingle, With kisses glad as birds are
That get sweet rain at noon;
If I were what the words are,
And love were like the tune.
If you were life, my darling,
And I your love were death,
We’d shine and snow together Ere March made
sweet the weather With daffodil and starling
And hours of fruitful breath;
If you were life, my darling,
And I your love were death.
If you were April’s lady, And I were lord in May,
We’d throw with leaves for hours
And draw for days with flowers,
Till day like night were shady,
And night were bright like day;
If you were April’s lady,
And I were lord in May.
If you were queen of pleasure,
And I were king of pain,
We’d hunt down love together,
Pluck out his flying feather,
And teach his feet a measure,
And find his mouth a rein;
If you were queen of pleasure,
And I were king of pain.
(Algernon Charles Swinburne, 1837 – 1909, Translated by P.Pantasri)
ณ ซอกตึกแห่งนี้มีที่ว่าง
สำหรับวางหัวใจอันไร้ค่า
คนมอซอรอเศษความเมตตา
นั่งก้มหน้าคอตกอกขอทาน
ความเจ็บปวดรวดร้าวคราวแรกรัก
สะท้อนทรวงฮักฮักคอยหักหาญ
ดวงฤทัยรักแรกเหลวแหลกลาญ
จนพิการเช่นนี้ฤดีตรม
จึงกลายเป็นยาจกที่อกหัก
ขอเศษรักคนอื่นอย่างขื่นขม
พิการใจไร้หญิงอิงแอบชม
นั่งซานซมหน้าด้านขอทานรัก
ไม่เกินวันพรุ่งนี้หรอกชีวิต
คงปลดปลิดลงด้วยใจป่วยหนัก
ดุจไร้ญาติขาดหญิงไว้พิงพัก
โถ...ใครจักต่อชีพจงรีบไว
โปรดให้ทานรักล้นแด่คนยาก
ผู้ฝันฝากใฝ่รักเจียนตักษัย
มิเคยเกี่ยงเลี่ยงเว้นว่าเป็นใคร
ขอเพียงใจมีรักจักสมปอง
มัวชักช้าร่ำไรอาจใจร้าว
หากได้ข่าวยาจกอกกลัดหนอง
สิ้นชีวาตม์ขาดคนมาสนมอง
เมื่อนั้นน้องอาจช้ำนอนคร่ำครวญ
(ธันวาคม ๒๕๒๘)
อย่าครวญคร่ำรำพันหากฉันสิ้น
อย่าครวญคร่ำรำพันหากฉันสิ้น
เกินกว่ายินเสียงสั่งระฆังไข
สื่อโศกเศร้าเหงาผ่านส่งสาส์นไป
เตือนโลกให้รู้ทีฉันหนีมา
หนีจากโลกโสมมหนอนจมเจาะ
อย่าจำเพาะจดจำคำนี้หนา
ทั้งลายมือสื่อรักปักอุรา
จักชักพาให้ลืมหวานแห่งวันวาน
หากเธอคิดถึงฉันแล้วฝันเพ้อ
ยิ่งพาเธอโศกเศร้าสุดร้าวฉาน
ยามฉันผุพังสิ้นเป็นดินดาน
เหลือกลอนกานท์อ่านค้างเมื่อห่างกัน
อย่าใส่ใจชื่อเสียงใครเรียงร้อย
แต่เพราะรักเลิศลอยค่อยโศกศัลย์
แม้นชีวิตฉันปลิดปลงคงจาบัลย์
จึงรำพันเศร้าโศกให้โลกดู
No longer mourn for me when I am dead
No longer mourn for me when I am dead,
Than you should hear the surly sullen bell
Give warning to the world that I am fled
From this vile world with vilest worms to dwell:
Nay if you read this line, remember not
The hand that writ it, for I love so,
That I in your sweet thoughts would be forgot,
If thinking on me then should make you woe.
O if (I say) you look upon this verse,
When I (perhaps) compounded am with clay,
Do not so much as my poor name rehearse;
But let your love even with my life decay
Les the wise world should look into your moan,
And mock you with me after I am gone.
(William Shakespeare, 1564-1616, Translated by P.Pantasri)
เหมันต์หวนครวญหาคนน่ารัก
ได้รู้จักแล้วจากเพียงฝากฝัน
ลมหนาวโหมโถมมายิ่งจาบัลย์
ความโศกศัลย์ระคนปนหนาวใจ
เก็บเอาความอาภัพไว้คับอก
ถึงเข็นครกขึ้นเขาเรายังไหว
สุดยากเย็นเข็นรักหนักทรวงใน
เข็นเท่าไหร่ไม่พ้นวังวนลวง
เสียดายความรู้สึกที่นึกรัก
เสียดายที่สมัครปักใจหวง
สงสารความจริงแท้ในแดดวง
ที่เซ่นสรวงให้แด่ความแปรปรวน
พบกับความผิดหวังครั้งที่ร้อย
คิดแล้วน้อยใจช้ำสุดกำสรวล
เหมันตกาลผ่านผันยิ่งรัญจวน
ได้แต่ครวญเพลงเศร้าเคล้าสายลม
นี่ก็อีกราตรีที่หนาวเหน็บ
ทนปวดเจ็บอีกคราให้สาสม
เป็นทาสรักปักจิตคิดระทม
ร้าวระบมไร้คู่อดสูใจ
เหมันต์หวนครวญหาสุดว้าวุ่น
ได้พบคุณเพียงฝันยิ่งหวั่นไหว
หนาวลมโชยโหยหาห่วงอาลัย
ป่านนี้ใครเค้าหนอเคลียคลอคุณ
(เหมันตฤดู ๒๕๓๕)
ผู้หลงรัก : The Lover
สายตาฉันใคร่เชยชิดจุมพิตพักตร์
สุดห้ามหักหนักอุราดวงตาฉัน
มันอยากจูบดวงหน้าโฉมลาวัณย์
รุกโรมรันกระสันส่ายด้วยสายตา
สั่นสะท้านผ่านไหล่อุ่นไอร้อน
ค่อยแทรกซ้อนทรวดทรงคุณตรงหน้า
ฉันโลมไล้ไปยังปากฝากวาจา
วนไปมาทุกหนแห่งแหล่งของเธอ
ฉันมิอาจห้ามสายตามันพาสื่อ
นั่งสองมือซุกตักรักพร่ำเพ้อ
มิอาจทักแตะต้องเพียงมองเธอ
แต่ตาเผลอไล้ลูบจูบวงพักตร์
มิมีใครหยุดยั้งรั้งฉันอยู่
ดั่งลมลู่ลุกไป ไม่ประจักษ์
สุดห้ามจิตที่คิดวิ่งไหลยิ่งนัก
รื่นรมย์รักมิจบสิ้นสุดยินดี
ดวงตาเธอฉงนส่อสนเท่ห์
ออกรวนเรมิรับรู้ดูแปลกที่
ฉันซบลงกับมือฉันในทันที
ดวงตานี้กลิ้งกลอกเกลือกใต้เปลือกตา
The Lover
My eyes want to kiss your face.
I have no power over my eyes.
They just want to kiss your face.
I flow towards you out of my eyes,
a fine heat trembles round your shoulders,
it slowly dissolves your contours
and I am there with you, your mouth
and everywhere around you –
I have no power over my eyes.
I sit with my hands in my lap,
I shan’t touch you and I’ll never speak.
But my eyes kiss your face,
I rise out of myself and no-one can stop me,
I flow out and I’m invisible,
I can not stop this unfathomable flowing,
this dazzle that knows neither end nor beginning –
your unaware, questioning, stranger’s eyes,
I sink myself back into my hands
and take up my place again under my eyelids.
(Solveig Von Schoultz, Translated by Anne Born, in Thai by P. Pantasri)