กาลครั้งนั้นยังมีผีร้ายตนหนึ่งชื่อกองกอย มันมีรูปร่างป้อมๆและอ้วนเดินกระโผกกระเผกและมันยังมีฟันที่ยาวบิดเบี้ยวยังกับขนมแท่งเคลือบน้ำตาล เจ้าผีกองกอยมันอาศัยอยู่ในปราสาทอันใหญ่โตพร้อมพรั่งด้วยบริวารหรือทาสรับใช้ของมันมากมาย พวกทาสรับใช้ก็จะทำหน้าที่ดูแลรักษาความสะอาดปราสาท หุงหาอาหารให้เจ้าผีกองกอยกิน นอกจากนั้นยังต้องทำงานในไร่นารวมทั้งต้องคอยดูแลฝูงแกะและวัวควายของมันอีกถึงแม้ว่าพวกทาสรับใช้จะทำงานอย่างหนักแสนหนักเพียงใดก็ตามแต่เจ้าผีกองกอยก็ไม่เคยจ่ายค่าแรงให้แก่พวกเขาแม้แต่สตางค์แดงเดียว ทั้งนี้ก็เพราะว่าเจ้าผีกองกอยมันมีอำนาจวิเศษ อำนาจนั้นก็คือถ้าหากมันทำให้ใครก็ตามมีความโกรธ คนๆนั้นก็จะกลายเป็นทาสรับใช้ของมัน และยอมเชื่อฟังมันทุกประการคราวนี้เจ้าผีกองกอยก็มีทาสรับใช้ทุกประเภทตามที่มันต้องการเว้นแต่อย่างเดียวที่ยังไม่มี คือมันยังไม่มีทาสหญิงที่ซักผ้าได้ขาวสะอาดหมดจดและเป็นระเบียบเรียบร้อย เสื้อผ้าของมันจึงมักจะสกปรกอยู่บ่อยๆและยับยู่ยี่เพราะรีดไม่ดีวันหนึ่งมันเดินผ่านเข้าไปในหมู่บ้านที่อยู่ไม่ไกลจากปราสาทของมัน วันนั้นเป็นวันจันทร์ขณะที่มันเดินผ่านกระท่อมหลังหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยเสื้อที่ขาวสะอาดที่สุดที่มันเคยเห็น เสื้อผ้าเหล่านั้นขาวปานหิมะปลิวไสวตากไว้ให้ลมโกรกอยู่กับราวตากผ้าที่โยงอยู่ระหว่างต้นแอปเปิลเจ้าผีกองกอยจึงตัดสินใจที่จะไปเอาตัวยายเจ้าของกระท่อมมาเป็นทาสเพื่อช่วยซักเสื้อผ้าให้มัน วิธีการก็ง่ายนิดเดียวเพียงแต่มันทำให้ยายคนนั้นรู้สึกโกรธมันก็จะได้นางมาอยู่ในอำนาจของมันทันทีดังนั้นในเช้าวันจันทร์ เมื่อราวตากผ้าเต็มไปด้วยเสื้อผ้าที่ซักแล้วอย่างขาวสะอาด มันจึงใช้มีดตัดเชือกซึ่งขึงไว้เป็นราวตากผ้านั้นให้ขาดลง ทำให้เสื้อผ้าที่ขาวปานหิมะร่วงลงมากองกับพื้นอันสกปรก ด้วยเหตุนี้จะต้องทำให้นางโกรธอย่างแน่นอนเมื่อคุณยายมาเห็นเข้าว่าอะไรเกิดขึ้น นางก็รีบวิ่งออกมานอกกระท่อม แต่แทนที่นางจะโกรธนางกลับพูดขึ้นมาเบาๆว่า“ดีแล้ว ดีแล้ว! เช้าวันนี้ควันไฟออกจะมากซะด้วย มันคงจะรมเสื้อผ้าให้เปื้อนอยู่ดี ฉันซักผ้าอีกเที่ยวหนึ่งก็ดีเหมือนกันนะ โชคดีแล้วที่เชือกตากผ้ามันขาดในเช้านี้แต่ไม่ขาดในวันอื่น”ดังนั้นนางจึงรวบรวมเอาเสื้อผ้าเปื้อนที่หล่นอยู่กับพื้นจนเต็มมือแล้วก็เดินกลับเข้าไปซักใหม่ในบ้านพลางก็ฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีเจ้าผีกองกอยจึงโกรธมากพร้อมกับขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอันยาวเฟื้อยของมัน แต่แล้วมันก็คิดได้ว่าจะทำให้นางโกรธอย่างไรในวันอังคารเจ้าผีกองกอยจึงไปที่กระท่อมของคุณยายอีกครั้ง มันเห็นว่านางเพิ่งรีดนมวัวมาใส่ไว้ในหม้อใหม่ๆหากมันทำให้นมวัวสดนั้นบูดเสีย นางจะต้องโกรธอย่างแน่นอนเมื่อคุณยายมาพบว่านมวัวสดที่เก็บไว้ในหม้อนั้นบูดเสียแล้ว นางก็พูดขึ้นว่า“ดีแล้ว ดีแล้ว! ฉันจะทำนมเปรี้ยวนี้ให้เป็นเนยครีมซะเลยจะได้เก็บไว้ให้หลานๆกินแกล้มน้ำชาเพราะพวกเขาชอบรับประทานขนมราดเนยครีมซะด้วย โชคดีแล้วที่นมมาบูดในวันนี้แต่ไม่บูดในวันอื่น”เจ้าผีกองกอยจึงโกรธมากพร้อมกับขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอันยาวเฟื้อยของมัน แต่แล้วมันก็คิดได้อีกว่าจะทำให้นางโกรธอย่างไรในวันพุธมันก็ไปที่กระท่อมของคุณยายอีกครั้ง มันได้กระทำให้ดอกไม้ซึ่งมีสีสันอันสวยงามทั้งสวนของยายกลายเป็นดอกไม้ป่าสลับสีปะปนกันไปหมด คุณยายเคยภาคภูมิใจกับสวนดอกไม้อันสวยงามของนาง เหตุนี้จะต้องทำให้นางโกรธอย่างแน่นอน“ดีแล้ว ดีแล้ว! นางพูดขึ้นเมื่อเห็นดอกไม้ป่าขึ้นแทนดอกไม้บ้านที่ปลูกไว้“ฉันตั้งใจว่าจะเก็บดอกไม้สวยๆที่ปลูกไว้ไปฝากเพื่อนในวันเกิดของเธอสักช่อ แต่คราวนี้คงจะต้องเก็บดอกไม้ป่ามาปักร้อยลงกับผ้าแล้วแต่งเป็นช่อแทน”ดังนั้นนางจึงปักร้อยด้วยดอกไม้ป่าลงกับผ้าและตกแต่งให้เป็นช่ออย่างสวยงามราวกับดอกไม้จริงจากสวนเลยทีเดียว“โชคดีแล้วที่ฉันสังเกตเห็นดอกไม้ป่าเสียก่อนในวันนี้แต่ไม่ไปเห็นในวันอื่น”เธอพูดขึ้นขณะที่นั่งปักร้อยดอกไม้ลงกับผืนผ้าเจ้าผีกองกอยจึงโกรธมากและขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอันยาวเฟื้อยของมัน แต่แล้วมันก็คิดได้อีกว่าจะทำให้นางโกรธอย่างไรในวันพฤหัสบดี มันจึงไปขึงเชือกตรงบันไดทางเดินของคุณยาย โดยคาดหวังว่าเมื่อคุณยายเดินลงบันไดก็จะสะดุดเชือกที่ขึงไว้นั้นแล้วล้มลงหัวคะมำ เหตุนี้นางจะต้องโกรธอย่างแน่นอนคุณยายได้ล้มลงหัวคะมำจริงๆ และบาดเจ็บที่หัวเข่าจนต้องเดินกระย่องกระแย่งด้วยขาข้างเดียวเพื่อไปรีดนมวัว“ดีแล้ว ดีแล้ว! คุณยายพูดขึ้น“ฉันคงไม่สามารถทำงานบ้านได้แล้ววันนี้ คงจะขอนอนเหยียดยาวบนผ้านุ่มๆที่โต๊ะรับแขกแล้วล่ะ ช่างเป็นการเปลี่ยนแผนที่วิเศษอะไรเช่นนี้ ฉันเกือบจะเสร็จธุระทุกอย่างแล้วไหมล่ะ โชคดีนะที่ฉันสะดุดล้มในวันนี้แต่ไม่เกิดขึ้นในวันอื่น”เจ้าผีกองกอยจึงโกรธมากและขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอันยาวเฟื้อยของมัน แต่แล้วมันก็คิดได้อีกว่าจะทำให้นางโกรธอย่างไรในวันศุกร์ มันจึงไปที่กระท่อมของคุณยายอีกครั้ง มันเห็นนางกำลังเดินไปเก็บไข่ไก่ที่เล้าไก่พอดี นางมีแม่ไก่สีขาวสามตัวแต่ละตัวก็กำลังวางไข่ ขณะที่นางเดินผ่านต้นแอปเปิล มันจึงเหนี่ยวกิ่งแอปเปิลแล้วก็ปล่อยไปปะทะใบหน้าของนางจนเสียหลักทำให้ขันที่ใส่ไข่มานั้นหลุดจากมือของนางและตกลงกับพื้นจนไข่แตกหมดด้วยเหตุนี้นางจะต้องโกรธอย่างแน่นอน“ดีแล้ว ดีแล้ว! คุณยายพูดขึ้น“คราวนี้ฉันจะได้ทำไข่เจียวไว้รับประทานทั้งตอนเที่ยงและตอนเย็นเลยล่ะ แถมไข่เจียวก็ยังเป็นอาหารจานโปรดของฉันซะด้วย โชคดีแท้ๆที่ไข่มาแตกในวันนี้แต่ไม่แตกในวันอื่น”คราวนี้เจ้าผีกองกอยจึงโกรธมากและขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอันยาวเฟื้อยของมัน แต่แล้วมันก็คิดได้อีกว่าจะทำให้นางโกรธอย่างไร ความคิดของมันจึงสุดแสนจะเลวร้ายเพราะว่ามันโกรธอย่างมากเลยจริงๆในวันเสาร์ มันจึงจัดการใช้ไฟเผากระท่อมของคุณยายทันที เพราะมันหวังว่าจะต้องทำให้นางโกรธอย่างแน่นอน เปลวไฟได้เผาผลาญเริ่มจากผนังกระท่อมลามไปจนถึงหลังคา“ดีแล้ว ดีแล้ว! นางพูดขึ้น“ถึงวาระสุดท้ายของกระท่อมโทรมๆของฉันล่ะสิคราวนี้ ฉันรักกระท่อมหลังนี้มากเหมือนกันแต่ว่ามันก็ผุพังแล้ว เวลาฝนตกหลังคาก็รั่วซ้ำร้ายพื้นก็ยังเต็มไปด้วยรู”ครั้นเจ้าผีกองกอยเดินเข้ามาดูว่ายายโกรธไปแล้วรึยัง มันก็กลับพบว่ายายกำลังง่วนอยู่กับการปิ้งหัวมันฝรั่งในถ่านไฟที่กำลังร้อนแดงแล้วก็แจกจ่ายหัวมันฝรั่งที่ปิ้งสุกแล้วให้กับเด็กๆในหมู่บ้านไปกินกันอย่างเอร็ดอร่อย“กินหัวมันฝรั่งด้วยกันสิ” นางพูดกับเจ้าผีกองกอย พร้อมกับจับไม้เสียบและยื่นหัวมันฝรั่งไปให้มันกลิ่นหัวมันฝรั่งปิ้งหอมน่ากินมากทำให้เจ้าผีกองกอยรีบคว้ามาใส่ปากทันทีหมดทั้งหัวเลย เพราะความตะกละในการกินของมันทำให้หัวมันฝรั่งบางส่วนไปอุดหลอดลม มันถึงกับตาค้างเหลือกถลนทั้งหายใจไม่ออกและทั้งความร้อนของหัวมันฝรั่งที่เพิ่งออกจากถ่านไฟใหม่ๆทำให้ท้องมันพองขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วก็แตกราวกับลูกโป่งแตกปรากฎว่าหลังจากตัวมันแตกแล้วไม่มีอะไรเหลือเลยนอกจากคราบชิ้นส่วนผิวหนังเหี่ยวๆสีเขียวของมัน พวกเด็กๆเห็นเข้าก็นึกว่าผ้าขี้ริ้วจึงจับโยนเข้าใส่กองไฟแล้วมันก็ถูกเปลวไฟสีเหลืองเผาผลาญเสียหมดสิ้นในขณะเดียวกันผู้คนเกือบทั้งหมู่บ้านก็มาเข้าแถวรอรับหัวมันฝรั่งปิ้งจากคุณยายและระหว่างที่รอพวกเขาก็หารือกันว่าจะช่วยเหลือคุณยายอะไรได้บ้าง“ฉันจะสร้างรั้วให้ใหม่” คนหนึ่งพูดขึ้น“ฉันจะทำหลังคากระท่อมให้ใหม่” อีกคนพูดขึ้นบ้าง“ฉันจะใส่หน้าต่างให้”คนที่สามพูดอีก“ฉันจะติดผนังด้วยกระดาษสวยๆให้” คนที่สี่พูดเสริมขึ้น“พวกเราจะให้ พรมปูพื้น ผ้าปูที่นอน ผ้าห่ม และถ้วยโถโอชามทั้งหลายแก่คุณยาย”พวกผู้หญิงในหมู่บ้านต่างก็พูดขึ้น หลังจากที่ปิ้งหัวมันฝรั่งสุกแล้วคุณยายก็ได้แจกให้ทุกๆคนที่มารอได้กินกันอย่างเอร็ดอร่อยและพวกเขาก็ได้บอกกับคุณยายว่าจะนำสิ่งของทุกอย่างที่คุณยายจำเป็นสำหรับกระท่อมหลังใหม่มาให้ในที่สุดกระท่อมหลังใหม่ก็สร้างเสร็จ มันไม่เก่าโกโรโกโสเหมือนหลังเก่าเลยแต่มันดูน่าอยู่อย่างสะดวกสบายขึ้นเยอะแถมยังมีที่นั่งตากอากาศนอกกระท่อมอีกด้วย แม่วัวนมของคุณยายก็ได้คอกใหม่มีหลังคาอย่างดี เจ้าหมาของคุณยายก็มีซุ้มนอนอันใหม่ จะผิดหวังหน่อยก็แต่เจ้าแมวเหมียวเพราะไม่มีหนูให้ไล่จับเลย ทั้งนี้ก็เพราะว่ากระท่อมหลังใหม่ของคุณยายไม่มี่รูพอที่จะให้หนูหลบอยู่อาศัยแม้แต่น้อย เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
สำหรับผู้ที่เป็นเจ้าของปราสาทมีนามว่า เซอร์ เบอติรัค เขามีศรีภรรยาผู้เลอโฉม นามว่า ฟิเดเลีย แม้ว่าจะผ่านเวลาแห่งการต้อนรับขับสู้ไปแล้ว ซึ่งรวมถึงการร่วมรับประทานอาหาร เล่นหมากรุก และดื่มไวน์ แต่ฟิเดเลียก็ยังคงโปรยเสน่ห์คอยเย้ายวนกาเวอินอยู่เรื่อยมา ซึ่งแสดงให้เห็นได้ชัดว่าเธอก็หลงใหลในความเป็นหนุ่มมีเสน่ห์ของกาเวอินอยู่ไม่น้อย จนแทบจะเรียกได้ว่าไม่เคยละสายตาไปจากเขาหลังจากผ่านพ้นคริสต์มาสไปแล้วสองวัน อากาศสดใสดีขึ้นมาก เบอติรัคจึงตัดสินใจที่จะเข้าป่าเพื่อล่าสัตว์“ฉันเห็นว่าท่านยังอ่อนเพลียจากการรอนแรมมานาน จึงไม่สมควรที่จะออกไปกับฉันหรอก” เขากล่าวขึ้น“ท่านจงพักผ่อนอยู่ที่บ้าน ทำตัวให้สบายๆ ภรรยาของฉันจะดูแลท่านเอง เออ! ฉันนึกอะไรได้อย่าง คือพอตกเย็น ฉันจะนำสิ่งที่ล่าได้จากป่ามาให้ท่าน แต่ท่านจะต้องมอบอะไรก็ตามที่ท่านได้มาในวันนั้นให้แก่ฉันเป็นการตอบแทน ตกลงไหม”“ด้วยความเต็มใจเลยท่าน” กาเวอินกล่าวตอบวันถัดมา เซอร์ เบอติรัค ก็เข้าป่าออกล่าสัตว์ ส่วนกาเวอินยังคงเอนหลังอยู่บนเตียงกำลังขีดเขียนอะไรสักอย่างเขาตั้งใจไว้ว่าจะแต่งบทร้อยกรองขึ้น เพื่อเป็นของแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่เบอติรัคล่าได้จากป่า มันคงจะเป็นบทกวีบทสุดท้ายแห่งชีวิตของเขา ดูสิว่าจะออกมาในแนวใดแต่ทว่าบทกวีก็ไม่มีโอกาสจะได้เขียนจนจบ เมื่อฟิเดเลียโผล่ศีรษะเข้ามายิ้มละไมอยู่ที่หน้าประตู“เป็นอย่างไรบ้าง พ่อกาเวอินผู้รูปหล่อ วีรบุรุษแห่งห้วงหัวใจฉัน”เธอเอ่ยขึ้น พร้อมกับพาตัวเองเข้ามาในห้องและนั่งลงบนเตียงนอนของเขา กาเวอินจึงรีบดึงผ้าห่มมาคลุมตัวเองให้มิดตั้งแต่เท้าจรดปลายคาง“เขาเล่าลือกันว่าเธอเป็นเสือผู้หญิงผู้ยิ่งใหญ่” แล้วนางก็กระซิบเบาๆต่ออีกว่า“ในระหว่างที่สามีฉันไม่อยู่ จะไม่แสดงให้ฉันเห็นเลยเหรอ”“ฉันไม่รู้ว่าใครบอกแก่เธอเยี่ยงนั้น” กาเวอินกล่าวอย่างเขินอายจนหน้าแดง“ฉันเป็นอัศวินจริงๆ ซึ่งอัศวินแท้จะไม่เคยแส่หรือยุ่งเกี่ยวกับสตรีที่แต่งงานแล้ว”ทว่าฟิเดเลียก็ไม่ยอมห่างไปไหน เธอปรารถนาการจุมพิตจากกาเวอินผู้มีชื่อเสียง ก็เห็นจะจริงว่าการจุมพิตของเขาถือเป็นสิ่งที่เลื่องลือ เพราะแม้แต่อยู่ไกลแสนแดนกันดารอีกด้านหนึ่งของโลกเช่นนี้ ก็ยังคงนับเนื่องอยู่เหมือนกัน เธอเองเล่าก็มีความสวยอันเลิศเลอเหนือกว่าสตรีใดๆ หากแต่ความคิดของกาเวอินนั้นหยุดอยู่แต่เพียงเรื่องของวันขึ้นปีใหม่ เขาปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะขึ้นสวรรค์เมื่อตายไป เขาจึงตั้งใจที่จะไม่ประพฤติตนผิดศีลธรรมอันดีงามแต่ก็อีกนั่นแหละ เขาก็ไม่อยากจะทำตัวให้ขัดใจหรือไม่สุภาพต่อความปรารถนาของสุภาพสตรีจนในที่สุด เขาจึงตัดใจได้ว่า ก็แค่จุมพิตเพียงครั้งเดียวคงจะไม่เสียหายอะไรนัก แล้วเขาก็ยอมให้ฟิเดเลียจุมพิตเขาเป็นการตอบคืนด้วย ซึ่งมันก็ให้ความรู้สึกสัมผัสคล้ายๆกับเวลาถูกแมวเลียแค่นั้นเองครั้นเซอร์ เบอติรัค กลับเข้าบ้าน สิ่งที่เขาล่าได้ก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากพวกหมาจิ้งจอกแก่ๆหลายตัวทีเดียวถึงอย่างไรเขาก็ได้นำมันมามอบให้แก่กาเวอินตามข้อตกลง กาเวอินสูดลมหายใจเข้าปอดจนเต็มอก“ถ้าเช่นนั้นฉันก็จะต้องรักษาสัญญาข้างฝ่ายฉันเช่นกัน” เขากล่าวพลาง ก็ตรงเข้าไปโอบไหล่เบอติรัคแล้วก็จุมพิตหนักๆลงที่หน้าผากของเขา“โอ้!” เบอติรัคอุทาน (กาเวอินรู้สึกโล่งใจ เมื่อเขาไม่ได้ซักถามอะไร)ในวันถัดมา เซอร์ เบอติรัค ก็ออกล่าเนื้ออีกครั้ง ในขณะที่กาเวอินยังอยู่บนเตียงนอน เขากำลังพยายามจะแต่งบทเพลง ซึ่งคงจะเป็นบทเพลงสุดท้ายแห่งชีวิต อย่างน้อยก็เพื่อดึงความคิดออกไป ไม่ให้ใจจดจ่ออยู่กับวันขึ้นปีใหม่ที่กำลังใกล้เข้ามาแต่แล้วบทเพลงดังกล่าวก็ไม่มีโอกาสจะได้แต่งจนจบ เมื่อฟิเดเลียเข้ามาหาเขาด้วยท่าทีอันปรารถนาที่จะอยู่ด้วยนั้น มีเพิ่มขึ้นหลายเท่านัก เขาพยายามอธิบายต่อเธอว่าการที่เขาขโมยจุมพิต ซึ่งเป็นสิทธิ์สมบูรณ์อันชอบแห่งผู้เป็นสามีนั้น เป็นสิ่งมิบังควรและขัดต่อศีลธรรมอันดีงาม ทว่าเธอก็ยืนยันแต่เพียงว่าเธอรักใคร่เขาและเหนือสิ่งอื่นใดเขาช่างเป็นสุภาพบุรุษที่สมบูรณ์แบบจริงๆ ในที่สุดเขาก็มิอาจจะยับยั้งการฝังรอยจุมพิตของเธอ ที่ประทับลงบนแก้มซ้ายและขวาของเขาครั้น เซอร์ เบอติรัค กลับเข้าบ้าน เนื่องจากวันนี้เขาล่าหมูป่าได้ เขาจึงมอบเขี้ยวหมูอันเงางามนั้นให้แก่กาเวอินและเพื่อเป็นการตอบแทน กาเวอินจึงตรงเข้าไปจับที่ข้อศอกของเขาแล้วก็ประทับจุมพิตลงที่แก้มทั้งสองข้าง“ดีแล้ว!” เบอติรัคอุทาน กาเวอินก็รู้สึกโล่งใจอีกครั้งที่เขาไม่ได้ซักถามอะไรในวันถัดมา ซึ่งเป็นวันส่งท้ายปีเก่า เซอร์ เบอติรัคก็ออกล่าสัตว์อีกครั้งหนึ่ง ส่วนกาเวอินก็ยังอยู่บนเตียงนอนและพยายามจะสวดมนต์อ้อนวอนพระผู้เป็นเจ้า และถือเป็นการสวดครั้งสุดท้ายแห่งชีวิต เพราะในวันรุ่งขึ้นเขาจะต้องออกไปพบกับอัศวินมรกตตามคำมั่นสัญญาแต่แล้วการสวดมนต์ของเขาก็ต้องถูกรบกวนอีกจนได้ เมื่อฟิเดเลียขึ้นมานั่งอยู่บนเตียงและปรารถนาใคร่จุมพิตเขาอีกคำรบหนึ่ง แต่คราวนี้ฟิเดเลียช่างมีความสวยสดงดงามเอามาก จนกาเวอินเองก็ถึงกับเผลอใจไปใหลหลงอย่างไรเสีย เขาก็คงม้วยมรในวันถัดมาอย่างแน่นอนและไม่มีโอกาสที่จะหาความสุขให้กับตนเองได้อีกต่อไปถึงปานนั้น กาเวอินก็เพียงแต่ยินยอมให้ฟิเดเลียจุมพิตเขาแค่สามครั้ง ทั้งนี้ก็เพราะเขาปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะได้ขึ้นสรวงสวรรค์เมื่อตายไปต่อมาฟิเดเลียได้มอบของขวัญให้แก่เขา กล่าวคือเธอแก้เอาเข็มขัดสีเขียวออกจากบั้นเอวของเธอเอง“โปรดเก็บรักษาสิ่งนี้เอาไว้ ถือว่าเป็นพยานแห่งความรักของฉัน” เธอกล่าว“มิได้หรอก ฉันรับไม่ได้”“เธอคงคิดว่ามันเป็นของธรรมดาๆและด้อยค่าเกินกว่าที่จะรับไว้”“หามิได้ คือฉันหมายความว่า...”“มันไม่ใช่ของธรรมดา มันเป็นเข็มขัดที่ทรงพลังอันมหัศจรรย์ ใครก็ตามที่สวมใส่จะปลอดภัยแคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งมวล ถึงถูกฆ่าก็ไม่อาสัญ”คราวนี้เองที่กาเวอินไม่อาจจะฝืนทนต่อความปรารถนาของตนเองได้ เขาจึงรับเอาเข็มขัดอันนั้นและสวมใส่เอาไว้ที่ไหล่ข้างหนึ่งครั้น เซอร์ เบอติรัค กลับเข้าบ้านในตอนเย็นวันนั้น เขาก็ไม่ได้นำมันมามอบให้แก่เบอติรัค ถึงแม้สิ่งที่นำมาแลกเปลี่ยนจะเป็นเนื้อกวางอย่างดีที่ได้จากการล่าก็ตาม เขาก็ตอบแทนคืนแต่เพียงให้การจุมพิตจุมพิตครั้งที่หนึ่ง“โอ้!”จุมพิตครั้งที่สอง“ดีแล้ว!”จุมพิตครั้งที่สาม“ดีจริงๆ!”ส่วนเข็มขัดสีเขียวกาเวอินได้เก็บเอาไว้เอง เผื่อว่ามันเป็นของวิเศษจริงๆมันก็อาจจะช่วยรักษาชีวิตเขาให้รอดได้ในวันรุ่งขึ้น กาเวอินจึงกล่าวคำอำลาแก่ เซอร์ เบอติรัคและภรรยาของเขา แล้วก็ขี่ม้าออกไปตามที่ได้ให้คำมั่นสัญญาเอาไว้ ในขณะที่ขวานอันเขื่องซึ่งห้อยอยู่ข้างอานม้าก็แกว่งไกวอยู่ไปมา คนรับใช้ของปราสาทเข้ามาทำหน้าที่นำทางให้แก่เขาจนมาถึงที่ ซึ่งเป็นทางแคบๆระหว่างหุบเขา และเต็มไปด้วยพวกมอสกับพฤกษ์พันธุ์อันเขียวขจี ตรงกลางทางเดินนั้นเป็นหิน และส่วนปลายสุดของกำแพงหินนั้นคือลานศิลา ซึ่งเป็นบริเวณหน้าทวารเข้าปราสาท“ต่อให้มีทองคำอยู่ในนั้น ฉันก็จะไม่เอาอย่างท่านหรอกนะ” คนรับใช้พูดเสร็จก็รีบควบม้าห้อหนีไปเท่าที่จะเร็วได้“ฉันมาตามสัญญาแล้วท่าน!” เสียงแหลมเล็กของกาเวอินสะท้อนไปตามกำแพงหิน เขารู้สึกหวาดกลัวเหลือที่สุดทันใดนั้น อัศวินมรกตก็กระโดดออกมาจากโขดหิน และแสดงตัวยืนตระหง่านอยู่ต่อหน้าเขานั่นเอง ศีรษะของเขากลับไปตั้งอยู่ที่คอเหมือนเดิมแล้ว ดวงตาแดงก่ำและดุดันนั้นส่องประกายอยู่วาววาม เขาสะแหยะยิ้มและเผยให้เห็นฟันสีเขียวอย่างชัดเจน“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ไม่ได้นำความอดสูมาสู่หมู่อัศวินแห่งวังคามีล็อตน่ะสิ เจ้าคือคนที่กล้าหาญกว่าทุกคนที่ข้าเคยพบเห็น ก้มหัวลงมาไอ้หนู เป็นทีของข้าได้ฟาดเจ้าด้วยขวานบ้างล่ะ ตามที่เราตกลงกันเอาไว้เมื่อหนึ่งปีก่อนยังไงล่ะ”กาเวอินถอดหมวกเหล็กสมรภูมิออกและพึมพำสวดมนต์เป็นครั้งสุดท้าย แล้วก็นั่งคุกเข่าและก้มศีรษะลง ผมหยักสีทองของเขาตกลงมาพาดที่แก้มทั้งสองข้าง ขณะเดียวกันอัศวินมรกตก็หยิบเอาขวานออกมาจากข้างอานม้าของกาเวอิน เขายกขวานขึ้นสูง เสียงคมขวานแหวกอากาศจนกาเวอินต้องเหลือบขึ้นมอง พลันที่เห็นคมบั่นกำลังฟันลงมา ด้วยสัญชาตญาณ เขาทรุดกายดำดิ่งลงกับโคลน คมขวานจึงพลาดและเฉียดไปห่างแค่เพียงเส้นผม“อะอ๋า! เจ้าก็คนขี้ขลาดนี่เอง ในที่สุด! ข้าเคยหดหัวไหม ข้าเคยขยับหลบทางขวานไหม”“แต่ท่านก็มิได้สูญเสียอะไรมากเลยนี่” กาเวอินกล่าวโต้ตอบ ในขณะที่ขยับกลับขึ้นมาจากโคลนตม“เมื่อศีรษะของฉันหลุดออกไปแล้ว มันไม่สามารถจะนำกลับมาต่อใหม่ได้ง่ายๆเหมือนอย่างของท่านนี่นา”แต่ว่ากาเวอินก็รู้สึกละอายในความขี้ขลาดของตน“ขอให้ท่านฟันอีกทีเถิด คราวนี้ฉันจะไม่หดหัวอย่างแน่นอน” เขากล่าว พลางก็นำมือมาประสานอกแล้วก้มศีรษะและหลับตาลงอย่างยอมรับในชะตากรรมแต่โดยดีขวานถูกเงื้อขึ้นจนสุดอีกครั้ง อัศวินมรกตตะเบ็งกำลังพร้อมจะลงขวานอย่างเต็มเหนี่ยว พอได้จังหวะก็ฟาดลงมาทันที เข็มขัดสีเขียวที่กาเวอินสวมอยู่ที่หัวไหล่ถูกมุมของคมขวานเฉือนขาดออกจากกันในทันใด คมขวานยังเฉียดไปเถือหนังคอของเขาจนเลือดสีแดงราวกับลูกฮอลลี่ไหลซิกๆออกมาอารามดีใจสุดขีด กาเวอินทะลึ่งพรวดลุกขึ้นมายืนทันที การฟันด้วยขวานได้ผ่านพ้นไปแล้ว ซึ่งเจ้ามนุษย์ยักษ์ได้ทำพลาด เขาจึงมีชีวิตรอดอยู่ได้! เขาดีใจมากจนไม่อาจจะรับรู้ถึงความเจ็บปวดที่เกิดจากบาดแผลที่คอ เขารู้สึกเป็นสุขมากที่สุดในชีวิตแต่ขณะเดียวกันอัศวินมรกตก็มิได้รู้สึกว่าเขาเองประสบกับความล้มเหลวแต่อย่างใด“จริงทีเดียว กาเวอิน” เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแปลกๆและคุ้นหู“จริงทีเดียว ท่านเป็นหนึ่งในอัศวินที่ดีเลิศที่สุดที่ฉันเคยพบเห็นมา ถึงจะไม่สมบูรณ์แบบนัก แต่ก็เพียงพอสำหรับความภาคภูมิใจในตัวเอง ท่านได้ให้การจุมพิตแก่ฉัน นับตั้งแต่จุมพิตครั้งเดียว สองครั้ง และแม้กระทั่งสามครั้ง แต่เข็มขัดสีเขียวนั่น ท่านกลับเก็บมันไว้สำหรับตัวเอง เหตุนั้นฉันถึงได้เถือหนังคอให้เป็นรอยแก่ท่าน มันเป็นบาดแผลแต่เพียงเล็กน้อยสำหรับการย้ำเตือนความทรงจำถึงคำโกหกนิดๆของท่านเท่านั้นเอง”“ท่าน เบอติรัค!”“ถูกต้องแล้ว ฉันก็เป็นคนๆเดียวกันกับที่ท่านเห็นที่ปราสาท การปลอมตนของฉันเกิดจากอำนาจเวทมนต์แห่งราชินีมอแกน เลอ เฟย์ ผู้เป็นพระพี่นางเธอแห่งพระเจ้าอาร์เธอร์นั่นเอง ด้วยพระนางประสงค์จะข่มขู่กษัตริย์อาร์เธอร์และเหล่าอัศวินโต๊ะกลมของพระองค์ พระนางเชื่อว่าคงจะไม่มีใครกล้าหาญพอที่จะรับคำท้าทายกับอัศวินยักษ์ในร่างของฉันอย่างแน่นอน ฉันรู้สึกดีใจ ซึ่งพระนางก็ได้เห็นแล้วว่ามิเป็นความจริง ฉันเป็นคนร้องขอให้ภรรยาของฉันทดสอบความสัตย์ซื่อของท่านเอง ท่านเกือบจะผ่านการทดสอบแล้วทีเดียว แต่จริงๆแล้ว ท่านก็ผ่าน!ส่วนเหตุผลที่ท่านเก็บเข็มขัดเอาไว้เองก็มุ่งหมายว่าจะได้มีชีวิตอยู่รอด สำหรับคนในวัยฉกรรจ์ทั่วไป ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ให้อภัยกันได้ จงมาจับมือและเป็นมิตรกันเถิดณ วันนี้! ท่านได้พิสูจน์ถึงความเป็นอัศวินอย่างแท้จริงแล้ว โปรดเก็บเข็มขัดนั้นเอาไว้ มันไม่ได้มีอำนาจมหัศจรรย์แต่อย่างใดหรอก แต่มันก็เป็นฝีมือถักของภรรยาฉันเอง ส่วนสีของมันก็จักเป็นสิ่งเตือนใจให้ท่านระลึกถึงฉันและภรรยาของฉันด้วย ฉันกล้าพูดเช่นนั้น”แต่แล้วความสุขใจของกาเวอินก็เป็นอันล่มสลาย และกลับกลายเป็นความรู้สึกที่ต่ำต้อย ขลาดเขลา และน่าอดสูใจ เพราะเหตุว่าเขาแอบเก็บเข็มขัดเอาไว้ ซึ่งเป็นการกระทำผิดต่อคำสัญญาที่ได้ให้แก่มิตรสหาย และยังได้เห็นด้วยว่าตัวเองก็เป็นคนขี้ขลาดคนหนึ่ง ความหนักอกที่ตกแก่เขาเองในข้อนี้จึงมีมากกว่าอัศวินมรกตเหลือคณานัก ผู้ซึ่งเวลานี้กำลังหัวเราะร่าอย่างเป็นสุข และดังก้องกังวานไปตามกำแพงหินที่อยู่เบื้องหลัง ราวกับเสียงสั่นของระฆังในเทศกาลคริสต์มาสถึงแม้อัศวินมรกตหรือ เซอร์ เบอติรัคจะเชิญชวนกาเวอินให้กลับไปร่วมดื่มและรับประทานที่ปราสาทกันอีกครั้งหนึ่ง แต่เขาก็หาได้ตอบรับคำเชื้อเชิญนั้นไม่ เขากล่าวขอบคุณและให้เหตุผลว่าเขาจากสำนักพระเจ้าอาร์เธอร์มานาน ป่านฉะนี้คงจะเป็นห่วงเขามาก เขากล่าวคำอำลาแก่อัศวินมรกตและฝากความระลึกถึงแด่ภรรยาของเขาด้วย“ฉันจะเก็บเข็มขัดนี้เอาไว้เป็นเครื่องเตือนใจ ในยามที่ฉันขาดความกล้าหาญ” เขากล่าว“บางที มันอาจจะช่วยให้ฉันรอดพ้นจากความขี้ขลาดที่อาจจะบังเกิดขึ้นอีกในวันข้างหน้าได้”กล่าวเสร็จเขาก็กระโดดขึ้นหลังม้ากรินกาเร็ตแล้วควบฝ่าหิมะมุ่งหน้าคืนสู่มาตุภูมิครั้นกลับมาถึงพระราชวังคามีล็อต กาเวอินก็ได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้เหล่าอัศวินทั้งหลายรับฟังโดยมิได้ปิดบังความจริงหรือเห็นว่าเป็นสิ่งน่าละอายสำหรับตนเลยแม้แต่น้อย เวลานี้ของตกแต่งต่างๆในเทศกาลคริสต์มาสก็ถูกรื้อถอนออกไปจนหมดสิ้นแล้ว สิ่งที่เคยห้อยไว้ประดับประดาก็ได้นำลงมาพับเก็บไว้เป็นที่เรียบร้อยแม้แต่ต้นคริสต์มาสก็ถูกนำไปเผาไฟจนสิ้นเมื่ออัศวินทั้งหลายเหล่านั้นได้รับทราบเรื่องราว ต่างก็พากันหัวเราะจนดังลั่นพอๆกับเสียงหัวเราะของอัศวินมรกต พระเจ้าอาร์เธอร์ทรงสดับเช่นนั้นจึงคว้าเอาธงทิวสีเขียวที่ประดับอยู่ ณ ข้างบัลลังก์ มาทรงตัดออกให้เป็นแถบบางๆหลายชิ้น“นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป” พระองค์ตรัสประกาศขึ้น“พวกเราทุกคนจักต้องคาดแถบเข็มขัดสีเขียวนี้ ให้เหมือนกันกับกาเวอิน เหตุไฉนจะต้องทำให้เขาผิดแผกไปจากหมู่เหล่าอัศวินของเขาด้วยเล่า พวกเราเองก็ไม่มีใครสักคนที่สมบูรณ์แบบ แต่มันก็เป็นความพยายามในสิ่งนั้น”ในห้วงเวลาแห่งการผจญภัยกับอัศวินมรกต ไม่มีใครเลยจะล่วงรู้ถึงความเลวร้ายที่กาเวอินได้ประสบพบพานเว้นเสียแต่ตัวของเขาเอง ซึ่งได้นำชีวิตจนรอดพ้นภยันตรายและอุปสรรคนาๆประการ อันเกิดจากความผิดบาปแห่งความหยิ่งในเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีของตน แต่ก็ทำให้เขาดูเป็นบุคคลที่ดีเด่นขึ้น หากจะจัดว่ายังไม่ใช่อัศวินที่สมบูรณ์แบบการพบกับอัศวิน*ที่สมบูรณ์แบบ ยังคงจะต้องรอคอยกันอีกต่อไป เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้*ถึงแม้นอัศวินที่สมบูรณ์แบบจริงๆอาจจะต้องรอคอยกันอีกต่อไป หรืออาจจะมีอยู่แต่เพียงในโลกแห่งอุดมคติทว่าสุภาพบุรุษอัศวินในโลกแห่งความเป็นจริงซึ่งเป็นที่ยอมรับกัน ก็สามารถจะพัฒนาขึ้นมาได้ อย่างน้อยหากมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้“สุภาพบุรุษอัศวินไม่สิ้นสูญหากเกื้อกูลนำพาความกล้าหาญสุจริตอุทิศตนพ้นประมาณรักเพื่อนบ้าน เกียรติ ชาติ ราชบัลลังก์รู้รักษาวาจาสัญญามั่นช่วยเหลือกันพ้นภัยสมใจหวังไม่หวั่นไหวการศึกผนึกพลังเป็นเหมือนดั่งผู้นำพร้อมกำชัยทรหดอดทนไม่บ่นพร่ำฝึกกำยำทุกกีฬาพาสดใสเอื้ออาทรคนอ่อนแอผู้แก่วัยสตรีไซร้ต้องให้เกียรติทุกชั้นชนช่วยคนอื่นก่อนตัวไม่มัวช้าเล่นกีฬามุ่งสนุกทุกแห่งหนมิมุ่งหมายกำชัยในกมลมิถือตนคุยโวอวดโอ้ใครมิหลงเพลินเงินทองให้หมองจิตผูกมัดติดหนึ่งเสน่ห์มิเฉไฉมีหญิงเดียวเกลียวแน่นกลางแก่นใจมิปราศรัยคำหยาบจ้วงจาบสตรี”
ในอดีตกาล จากตำนานสมัยของกษัตริย์อาร์เธอร์แห่งประเทศอังกฤษ(ปลายศตวรรษที่ ๑๔) เวลานั้นเป็นฤดูหนาว พระเจ้าอาร์เธอร์ พร้อมด้วยข้าทาสบริพารกำลังจัดให้มีงานฉลองคริสต์มาสขึ้นที่พระราชวังคามีล็อต ในงานกินเลี้ยงล้วนแต่บริบูรณ์ด้วยอาหารและเครื่องดื่ม ตลอดจนการละเล่นและสิ่งบันเทิงต่างๆ การจัดเลี้ยงฉลองดังกล่าวยิ่งเพิ่มความสนุกสนานและยิ่งใหญ่เมื่อถึงวันต้อนรับปีใหม่ ถึงแม้บรรยากาศภายนอกนั้นจะขาวโพลนไปด้วยหิมะ ซึ่งส่งประกายวาววับยามต้องแสงตะวัน ผสมกับความหนาวเหน็บของสายลมที่เฝ้ากรรโชกและโบกโบย แต่ภายในห้องโถงใหญ่ของปราสาทกลับอบอุ่นและมีสีสัน ทั้งนี้ก็เพราะมีกองไฟขนาดใหญ่กำลังลุกไหม้อยู่บนแท่นศิลากลาง ส่องสว่างให้เห็นสีสันไปทั่วทุกซอกทุกมุมระหว่างที่ทุกคนกำลังนั่งลงเพื่อร่วมรับประทานอาหารกันอย่างพร้อมหน้า พลันประตูอันสูงใหญ่ของปราสาทก็ถูกเปิดออกด้วยแรงลม พร้อมๆกับการปรากฏตัวของนักรบบนหลังม้า ควบฝ่าหิมะเข้ามา เขามีรูปร่างสูงใหญ่โตมากแทบจะเรียกได้ว่าขนาดของยักษ์ปักหลั่นทุกคนต่างตกอยู่ในอาการเงียบกริบด้วยความฉงนละคนกับความแปลกใจ เพราะใบหน้าและมือของเขาตลอดจนส่วนของร่างกายที่สามารถมองเห็นได้นั้น ล้วนแต่เป็นสีเขียว ดูราวกับสีของทุ่งหญ้าในหน้าฝน เขาตัดผมเผ้าและหนวดเคราซึ่งก็ออกสีเขียวให้เป็นทรงที่ตรงเรียบเสมอกัน โดยปล่อยยาวให้ตกลงมาถึงข้อศอกจึงแลดูราวกับผ้าคลุมไหล่ นอกจากนั้นเสื้อนุ่ง ถุงขา และผ้าคลุมหลังก็ล้วนแต่เป็นสีเขียว และยังปักดิ้นทองคำด้วยลวดลายที่เป็นรูปเหล่าปักษีและหมู่ผีเสื้อ แม้แต่ม้าที่เขาขี่มาก็เป็นม้าสีเขียว รูปร่างสูงใหญ่ดูสง่าน่าเกรงขาม ซึ่งเหมาะสมกับที่เป็นพาหนะของบุรุษร่างใหญ่ สายบังเหียนม้าล้วนแต่เป็นหนังสีเขียว มีมรกตเป็นเม็ดกระดุม แผงและหางสีเขียวของมันตกแต่งด้วยริบบิ้นทองคำ ที่หน้าผากของมันยังมีกระดิ่งทองคำห้อยลงมาเสียงดังกรุ่งกริ่งในมือของผู้แปลกหน้านั้น มือหนึ่งถือกิ่งฮอลลี่ อีกมือหนึ่งกำอยู่ที่ด้ามสีเขียวของขวานนักรบขนาดใหญ่ ซึ่งมีใบขวานทำด้วยเหล็กกล้าสีเขียวเช่นเดียวกันอัศวินมรกตผู้นี้ ขี่ม้าล่วงล้ำเข้ามาถึงในห้องโถงใหญ่ แล้วก็พูดขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า“ผู้เป็นใหญ่ของบ้านหลังนี้อยู่ที่ไหน”พระเจ้าอาร์เธอร์จึงยืนขึ้นแสดงตัวและกล่าวเชื้อเชิญเป็นเชิงต้อนรับ“ขอเชิญลงจากหลังม้า มาร่วมรับประทานกับพวกเรา นี่คืองานเลี้ยงฉลองต้อนรับปีใหม่ จึงขอต้อนรับแขกทุกๆท่านด้วยความยินดี”“หม่อมฉันไม่ได้มาเพื่อร่วมฉลองงานเลี้ยงกับท่าน” อัศวินมรกตเอ่ยตอบ“นี่เป็นเทศกาลแห่งความยินดีและมีไมตรีจิต” พระเจ้าอาร์เธอร์ตรัสต่อ“ในนามของพระผู้เป็นเจ้า ได้โปรดอำนวยพรให้ท่านจงมาอย่างสันติด้วยเถิด”“ณ เคหสถาน” อัศวินมรกตกล่าวต่อ“หม่อมฉันมาพร้อมหมวกเหล็ก เสื้อเกราะ โล่กำบัง ดาบอันคมกริบและอาวุธอื่นๆอีกมากมายก็หาไม่ ท่านไม่คิดเลยหรืออย่างไรว่า หากหม่อมฉันมาเพื่อการสู้รบกับใครสักคน หม่อมฉันจะมาโดยปราศจากอาวุธแต่เปล่าหรอก ข้าแต่พระเจ้าอาร์เธอร์ หม่อมฉันมาโดยสันติ ด้วยหม่อมฉันได้ยินกิตติศัพท์ล่ำลือกัน ถึงความองอาจกล้าหาญชาญชัย ของเหล่าอัศวินในสำนักโต๊ะกลมของพระองค์ หม่อมฉันจึงมาขอพบอัศวินที่อยู่ ณ ที่นี้ว่า จะมีใครสักคนที่กล้ามาร่วมเล่นเกมกีฬาที่หม่อมฉันจะเสนอนี้”“หากท่านประสงค์จะประลองยุทธ์กับอัศวินของฉัน” พระเจ้าอาร์เธอร์ตรัส“อัศวินหลายคน ณ ที่นี้ก็ย่อมอยากจะร่วมเกมกีฬา ตามที่ท่านท้าโดยมิต้องสงสัย”อัศวินมรกตส่ายศีรษะพลางกล่าวว่า“ที่หม่อมฉันต้องการนั้น มิใช่การต่อสู้แต่อย่างใด มันก็แค่ไม่มากไปกว่าการนำความสนุกสนานเฮฮา มาสู่วงรับประทานอาหารของพวกท่านเท่านั้นเอง”เขายกขวานสีเขียวขึ้น “ถึงแม้นมีการต่อสู้ เด็กๆเหล่านี้ ก็ไม่มีทางที่จะทำอะไรฉันได้อยู่ดี”พูดพลางเขาจ้องมองมาที่กาเวอิน จึงทำให้ความโกรธโหมกระพือไปในหมู่อัศวินโต๊ะกลม แต่ก็หามีใครสักคนปริปากพูดอะไรไม่“มีใครสักคนบ้างไหมที่กล้าแลกฟันขวานกับฉันกันคนละครั้ง หากมีใครสักคนที่ใจกล้า ปรารถนาขวานเล่มนี้ก็โปรดรับเอาไปเป็นเจ้าของได้เลย ฉันจะเป็นฝ่ายให้ฟันก่อน เลือกฟันตรงไหนก็ได้ รับรองฉันจะไม่มีการถดหรือหดหัว แต่ต้องให้สัตย์สัญญากับฉันว่า นับจากวันนี้ไปเป็นเวลาอีกหนึ่งปี เขาคนนั้นจะต้องติดตามค้นหาฉันเพื่อฉันจักเป็นฝ่ายฟันเขาบ้าง หนึ่งครั้งเช่นกันเป็นการแก้คืน”กล่าวเสร็จอัศวินมรกตก็กรอกสายตาอันแดงก่ำและดุดันของเขากวาดไปรอบๆห้องโถง ส่วนมือก็กวัดแกว่งขวานอยู่ไปมา คอยดูทีท่าใครจะเป็นคนรับคำท้าทาย ครั้นไม่เห็นมีใครก้าวออกมา เขาจึงตะเบ็ง ลั่นเสียงหัวเราะจนดังก้องแล้วก็ยืดกายตรงให้สูงเด่นยิ่งกว่าเดิม“ที่นี่เป็นราชสำนักแห่งพระเจ้าอาร์เธอร์จริงล่ะหรือ” เขาตะโกนถามอย่างเย้ยหยัน“แล้วยังจะเรียกได้อย่างไรว่า คนเหล่านี้คืออัศวินโต๊ะกลมผู้มีชื่อเสียง ฉันไม่ยักกะรู้จริงๆว่าพวกท่านเอาเกียรติภูมิมาจากไหน เพียงแค่ฉันเอ่ยถึงขวานเท่านั้น ต่างก็พากันกลัวจนตัวสั่นไปหมด!”แล้วเขาก็เปล่งเสียงหัวเราะออกมาอีกครั้ง จนพระเจ้าอาร์เธอร์ถึงกับพระพักตร์แดงขึ้นมาด้วยความละอายแต่แล้วความอายก็กลายเป็นความเดือดดาลในชั่วเวลานั้น จนเกินกว่าที่พระองค์จะทนฟังอีกต่อไป จึงพุ่งปราดออกไปยืนผงาดอยู่ข้างหน้าโดยพลัน“นี่จะบ้าไปแล้วหรือ ท่านอัศวิน!” พระองค์ตรัส พร้อมกับก้าวเข้าไปหามนุษย์ร่างยักษ์“แต่ถ้าท่านอยากจะเล่นเกมโง่ๆนั่นจริงๆ ก็จงเอาขวานนั้นมาให้ฉัน แล้วก็เตรียมพร้อมเอาไว้!”อัศวินมรกตจึงลงจากหลังม้าแล้วก็ยื่นขวานอันหนักหน่วงนั้นให้แก่พระเจ้าอาร์เธอร์ พระองค์จึงกระชับขวานเล่มเขื่องไว้ในมืออย่างมั่นคง และเตรียมที่จะฟันมันลงไป ทันใดนั้นกาเวอินก็กระโดดออกมาจากที่นั่ง“ได้โปรดเถอะเสด็จอา” เขาเอ่ยขึ้น“ให้หม่อมฉันเป็นคนรับแทนท่านเถิด ด้วยหม่อมฉันยังจะต้องพิสูจน์ตนเอง ว่าค่าควรแก่ความเป็นอัศวินโต๊ะกลมเพียงใด และนี่ก็ถือว่าเป็นโอกาสของหม่อมฉัน”แรกทีเดียวพระเจ้าอาร์เธอร์ก็ยังไม่ทรงวางพระทัย แต่พอเห็นความมุ่งมั่นของชายหนุ่มที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าพระองค์จึงมีดำริใหม่ แล้วก็มอบขวานนั้นให้กับเขา พร้อมทั้งทรงอำนวยพรให้โชคดี“ฉันรู้สึกดีใจที่อย่างน้อยก็มีคนในหมู่ที่เรียกตัวว่าอัศวิน มีความกล้าหาญพอที่จะเข้ามารับคำท้า”อัศวินมรกตกล่าว“เจ้าชื่ออะไรล่ะ ไอ้หนู”“ฉันมีนามว่ากาเวอิน” เสียงตอบกลับมา“และฉันก็เป็นอัศวินคนหนึ่ง ในหมู่อัศวินโต๊ะกลม หาใช่เด็กชายไม่ ฟังนะท่านอัศวินเขียวผู้แปลกหน้า ด้วยเกียรติของอัศวิน ฉันขอให้สัญญาว่าฉันจะฟันท่านหนึ่งครั้ง และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเมื่อล่วงไปอีกหนึ่งปี ฉันก็จะให้ท่านฟันแก้คืนหนึ่งครั้งเช่นเดียวกัน แต่ว่าฉันจะพบท่านได้ที่ไหนล่ะเมื่อเวลาผ่านพ้นไปจนครบกำหนด”อัศวินมรกตเปล่งเสียงหัวเราะ“นั่นเป็นเรื่องที่ท่านจะต้องค้นหาด้วยตัวท่านเอง เอาล่ะ ลงมือฟันฉันได้ ครั้งเดียวเท่านั้นนะไม่มีมากกว่านี้”พูดเสร็จเขาก็นั่งคุกเข่าและโน้มศีรษะลงมาเพื่อรองรับกับแรงขวานที่จะฟาดลงไป เขารวบผมไปข้างหน้า เผยให้เห็นต้นคอสีเขียวอย่างชัดเจน กาเวอินกระชับขวานไว้ในมือ สูดลมหายใจเต็มที่ เงื้อขวานด้วยแรงอย่างสุดกำลัง แล้วก็เขยิบเท้าไปข้างหน้าหน่อยหนึ่ง พร้อมๆกับนำขวานแหวกอากาศ ฟาดลงที่ก้านคออันเปลือยเปล่าของอัศวินมรกตจนสุดแรงเกิด คมขวานอันคมกริบเฉือนผ่านเนื้อหนังและกระดูก เลยลงไปกระทบกับพื้นหินจนเกิดสะเก็ดประกายไฟศีรษะอันใหญ่โตของผู้องอาจตกลงสู่พื้นและกลิ้งออกไปอย่างช้าๆ ภาพที่เห็นคือสีของเลือด แดงฉานตัดกับสีเขียวของร่างหัวกุด คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็ลุกขึ้นและส่งเสียงชื่นชมกับฝีมือการฟัน“เขาได้เล่นเกมสมใจกับที่เขาวอนหาจริงๆ บุรุษเขียวผู้แปลกหน้าเอ๋ย” อัศวินโต๊ะกลมท่านหนึ่งเอ่ยขึ้นแต่แล้วความชื่นชมของหมู่คนทั้งหลายที่อยู่ในเหตุการณ์ก็ต้องกลับกลายเป็นความฉงนสนเท่ เมื่อได้ประจักษ์แก่ตาว่าร่างของอัศวินมรกตไม่ยอมล้มคว่ำ หรือ แม้แต่แสดงอาการกระตุกเจ็บปวดเลยแม้แต่นิด ตรงกันข้ามเขากลับยืนขึ้น แล้วก้มลง เอื้อมมือไปรวบผมและหิ้วเอาศีรษะสีเขียวของตนขึ้นมา เดินไปที่ม้า แล้วก็กระโดดขึ้นไปนั่งบนอานม้า ดูประหนึ่งว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท่ามกลางสายตาที่มองมาด้วยความงุนงงสงสัย เขายกศีรษะตนเองขึ้นสูง หันใบหน้าไปทางกาเวอิน และมีเสียงเปล่งออกมาจากปากความว่า:“โปรดรักษาสัญญาเซอร์กาเวอินหนึ่งปีสิ้นพบกันไม่ทันสายใช่ลำบากหากตามถามทุกรายพบดั่งหมายปราสาทใหญ่ฉันไกลตาผ่านสิงขรจรหุบเหวเขตเวลส์โน้นดงดิบโพ้นเวอร์รัลไกลฟากไพรหนากรีนชัพเพิล เรียกขานบุราณมาที่สัญญาเราสองต้องพบกันจงถามหาอัศวินถิ่นดาบสคนรู้หมดถ้าถามถึงนามฉันหากตามหาย่อมพบประสบพลันลืมคำมั่นท่านคงอยู่...อดสูใจ”นับจากวันนั้นเป็นต้นมา ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรเป็นเรื่องพูดคุยที่ตื่นเต้นมากไปกว่าเรื่องของอัศวินมรกตศีรษะของเขา กับขวานเล่มเขื่อง ซึ่งยังคงวางไว้ที่ผนังห้องโถงให้ผู้คนได้ดูเป็นขวัญตา กาเวอินพยายามทำให้มันดูเป็นเรื่องเล็กน้อยแล้วก็หัวเราะ เขายังบอกว่า มันก็เป็นเพียงแค่การเล่นตลกวันคริสต์มาสเท่านั้นเองแต่เมื่อวันวาร ฤดูกาลผันผ่านไป หิมะหลอมละลาย ใบไม้ผลิเป็นสีเขียว พืชหัวแทงหน่อดีดยอดอ่อนขึ้นพ้นดินฤดูร้อนเข้ามาเยือน แล้วก็เลื่อนเข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยว กาลแห่งใบไม้ร่วงก็ใกล้มาถึง เมื่อปรากฏสีแดง สีเหลืองและสีส้มจนดูลานตา ขึ้นไปแต่งแต้มแทนสีเขียวของหมู่แมกไม้ ณ บัดนี้เอง กาเวอินถึงได้ตระหนักว่าเหตุการณ์ในวันนั้น มันไม่ใช่เพียงแค่การเล่นตลกวันคริสต์มาสธรรมดาอย่างแน่นอน เขาจึงเตรียมพร้อมที่จะออกเดินทางเพื่อติดตามหาอัศวินมรกต ตามที่ได้สัญญากันเอาไว้ดังนั้นในรุ่งเช้าวันแรกของเดือนพฤศจิกายน เขาจึงจัดแจงแต่งกาย ด้วยชุดนักรบ สวมใส่เสื้อเกราะ เหน็บดาบประจำกาย และในมือก็ถือเอาขวานเล่มเขื่องของอัศวินมรกต แล้วกระโดดขึ้นหลังม้าศึก นามว่ากรินกาเร็ตพร้อมกันนั้นทหารรับใช้ ก็รีบนำเอาหมวกเหล็กสมรภูมิมายื่นให้ ขณะที่ในใจก็เฝ้าตระหนักถึงคำพูดของบุรุษร่างใหญ่ที่ให้ไว้ก่อนไป จากนั้นก็ออกเดินทางมุ่งผจญต่อภยันตรายที่อาจรออยู่เบื้องหน้ากาเวอินควบม้าไปเพียงลำพัง เข้าสู่ดินแดนกันดาร ผ่านป่าทึบหนา ภูผาชัน ภูเขาหลายชั้น และลดหลั่นขึ้นและลงหุบเหว จนล่วงเข้าเขตเวลส์แดนไกล เขาต้องฝ่าฟันกับอากาศอันโหดร้าย ทั้งหิมะ พายุฝน ธารน้ำแข็ง และหมอกหนาอันมืดมนเขารอนแรมไปอย่างโดดเดี่ยว ในยามค่ำคืนก็หลับนอนทั้งในชุดนักรบ ท่ามกลางอากาศหนาวยะเยือก และโขดหินอันแหลมคม พบเห็นใครเขาก็ไต่ถามว่า“ท่านรู้จักสถานที่ซึ่งเรียกว่ากรีนชัพเพิล หรือ อัศวินมรกต ผู้ดูเขียวไปหมดทั้งกายบ้างไหม”แต่ก็หามีใครรู้จักไม่ บ่อยครั้งที่เขาถูกจู่โจมจากฝูงหมาป่า หมีป่า และพวกโจรไพร กระนั้นเขาก็ยังอุตส่าห์ถามไถ่พวกเขาว่า“พวกท่านพอจะรู้จักสถานที่ซึ่งเรียกว่ากรีนชัพเพิลหรืออัศวินมรกตซึ่งดูเขียวไปหมดทั้งกายบ้างไหม”เขาไม่ได้เบาะแสอะไรเลยจากพวกเขา คงทิ้งไว้แต่ร่องรอยของดาบบิ่นจากการต่อสู้กับความรอดของชีวิตเขาเองในระหว่างการเดินทางผจญภัย เขาได้ช่วยเหลือเด็กที่กำลังจะจมน้ำ ช่วยเหลือพวกผู้หญิงที่ถูกโจรจับไปเรียกค่าไถ่ ปลดปล่อยกวางป่าที่ติดกับดัก และช่วยเหลือผู้คนขึ้นจากหล่มลึก เขาก็มิวายที่จะถามคนที่ได้รับความช่วยเหลือจากเขาเหล่านั้นว่า รู้จักกรีนชัพเพิลและอัศวินมรกตบ้างไหม ทว่าเขาก็ได้รับแต่เพียงคำขอบคุณจากคนเหล่านั้น และการจุมพิตตอบอย่างซาบซึ้งในบุญคุณจากสุภาพสตรีกลุ่มดังกล่าวเขาขี่ม้าฝ่าลมแรง แข่งไปกับใบไม้ที่กำลังร่วงหล่นลงเป็นสาย ย่ำไปในป่าเฟิร์นที่เต็มไปด้วยเกล็ดน้ำแข็งซึ่งปกคลุมหุ้มห่อเพราะความเหน็บหนาว และความเลวร้ายของอากาศท่ามกลางเม็ดฝนที่กำลังเทกระหน่ำลงมาอย่างต่อเนื่อง พลางในใจเขาก็รำพึงขึ้นว่า เขาคงไม่มีทางพบเห็นกรีนชัพเพิลได้ทันในห้วงปีใหม่นี้เป็นแน่แท้ และอัศวินมรกตจักต้องตราหน้าเขาว่าเป็นคนขี้ขลาดและไม่รักษาคำมั่นสัญญาอย่างไม่ต้องสงสัยครั้นแล้วห่าลูกเห็บขนาดเขื่องก็เทลงมา คราวนี้เขาแทบจะไม่สนใจไยดีที่จะคิดเรื่องนี้ต่อไปอีกแล้ว เมื่อโดนเข้ากับห่าลูกเห็บประหนึ่งถูกปาด้วยก้อนศิลา จนเสื้อเกราะบุบบี้ เขาเองก็สะบักสะบอมแทบจะสิ้นแรงเพราะว่าฟกช้ำดำเขียวไปทั้งกาย มีเพียงปลายจมูกและนิ้วที่ยังพอเห็นเป็นสีผิวของคนอยู่บ้างทันใดนั้น เขาก็มองเห็นปราสาทใหญ่หลังหนึ่ง โดดเด่นปรากฏอยู่เบื้องหน้า เขาจึงใคร่ที่จะเข้าไปขออาศัยพักผ่อนเอาแรงในนั้นสักหนึ่งคืน ซึ่งวันนั้นเป็นวันก่อนคริสต์มาสหนึ่งวันหรือวันคริสต์มาส อีฟผู้เป็นเจ้าของปราสาทได้ให้การต้อนรับเขาเป็นอย่างดีเสมือนหนึ่งว่าเป็นมิตรสหายกันมาก่อน“ขอเชิญท่านเข้ามาข้างในเถิด! เชิญนั่งตามสบาย! เชิญรับประทาน! เชิญดื่ม! ทำตัวให้ท่านเองอบอุ่น! พักที่นี่สักคืน! หรือยี่สิบคืน! ท่านดูเหน็ดเหนื่อยเอามากเลย เดี๋ยวฉันจะไปหาเสื้อผ้าใหม่มาให้ท่านเปลี่ยน”“เตียงนอนคือสิ่งที่วิเศษที่สุดเลยทีเดียวสำหรับฉันเวลานี้ เฉกเช่นเดียวกันกับแมรี่ที่เมืองเบธเลเฮ็มของวันแรกแห่งคริสต์มาส อีฟ” กาเวอินเอ่ยขึ้น“แต่ฉันก็ไม่อาจจะพักอยู่ที่นี่ได้ เพราะฉันกำลังสืบเสาะหากรีนชัพเพิลและคนร่างยักษ์สีเขียวที่อาศัยอยู่ที่นั่นฉันจะต้องหาให้พบและทันกับวันขึ้นปีใหม่”“ถ้าเช่นนั้นท่านก็สามารถพักอยู่ที่นี่ได้เป็นสัปดาห์!” เจ้าของปราสาทอุทานขึ้น“เพราะว่ากรีนชัพเพิลก็อยู่ห่างจากที่นี่เพียงแค่สองไมล์เท่านั้นเอง”ข่าวนี้ทำให้หัวใจของกาเวอินฝ่อลงไปไม่น้อย แต่ถึงอย่างไรเขาก็จักต้องรักษาคำมั่นสัญญาเอาไว้ นั่นก็หมายความว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกไม่ทันได้เห็นฤดูใบไม้ผลิที่กำลังจะมาถึงนี้เป็นแน่ มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้แต่อย่างน้อยในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิตก็ไม่จำเป็นต้องทนเหน็บหนาวและเปียกปอนอยู่นอกบ้านเยี่ยงนี้อีกต่อไป เขาคิดอย่างปลงตกจึงได้ยินยอมรับคำเชื้อเชิญจากเจ้าของปราสาท
ในกาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ยังมีกษัตริย์พระองค์หนึ่งมีความสามารถพิเศษในการได้ยินหรือรับฟังเรื่องราวจากทุกสารทิศทั่วทั้งอาณาจักรของพระองค์ ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีเรื่องราวใดๆให้เหลือเป็นความลับสำหรับพระองค์เลยราวกับว่าความรอบรู้อันมหัศจรรย์นั้นถูกเสกเป่าขึ้นมาได้ดังใจนึกอย่างไรก็ตามพระองค์จะมีกิจวัตรที่น่าแปลกอยู่อย่างหนึ่งก็คือทุกๆวันหลังจากเสวยอาหารมื้อเย็นและเก็บจานอาหารออกจากโต๊ะหมดแล้ว เมื่อคนรับใช้ทั้งหมดออกไปแล้วก็จะมีคนรับใช้ที่ไว้วางใจได้ที่สุดคนหนึ่งนำจานใส่อาหารที่มีฝาปิดมิดชิดมาให้เสวยเสมอแต่คนรับใช้คนนั้นก็ไม่รู้ว่าอาหารในจานนั้นคืออะไร และไม่มีใครเลยที่จะล่วงรู้ได้นอกเสียจากพระองค์เองเพราะพระองค์จะรอจนกว่าจะมั่นใจว่าพระองค์อยู่เพียงตามลำพังเสียก่อนจึงจะเปิดฝาเพื่อเสวยอาหารในจานนั้นเหตุการณ์เช่นนี้ได้ดำเนินติดต่อกันมาเป็นเวลายาวนาน จนกระทั่งในวันหนึ่งชายคนรับใช้ผู้ทำหน้าที่นำจานอาหารปริศนาไปถวายกษัตริย์อยู่เป็นประจำนั้น อดทนต่อความอยากรู้อยากเห็นไม่ไหวเขาจึงแอบนำจานอาหารดังกล่าวเข้าไปที่ห้องส่วนตัวเขาและทันทีที่เขาปิดประตูลงกลอนอย่างดีแล้วเขาก็จัดการเปิดฝาจานอาหารออกดู ปรากฏว่าสิ่งที่อยู่ในจานอาหารนั้นคือเนื้องูเผือก เขาบังเกิดความอยากลิ้มลองรสชาดของเนื้องูเผือกนั้นเหลือที่สุด จึงอดไม่ได้ที่จะเฉือนเนื้องูเผือกหน่อยหนึ่งมาชิมดู ทันทีที่ลิ้นเขาได้สัมผัสกับเนื้องูเผือกเขาก็ได้ยินเสียงอันแปลกประหลาดแว่วเข้ามาทางหน้าต่าง เขาจึงเดินไปที่ริมหน้าต่างแล้วตั้งใจฟัง ปรากฏว่าเป็นเสียงสนทนากันของนกกระจอกที่กำลังบอกเล่าถึงทุ่งหญ้าและป่าไม้ที่ได้ไปเห็นมาของแต่ละตัวใช่แล้ว! เนื้องูเผือกได้ให้คุณวิเศษนี้ทำให้เขาสามารถฟังและเข้าใจภาษาของสัตว์ได้อย่างมหัศจรรย์ต่อมาในวันหนึ่งพระธำมรงค์หรือแหวนของพระราชินีได้หายไป ผู้ที่ถูกสงสัยมากที่สุดก็ได้แก่คนรับใช้ใกล้ชิดที่ได้รับความไว้วางใจ ซึ่งก็คือชายคนที่ถวายอาหารจานปริศนานั่นเอง เขาได้ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนขโมยแหวนไป ดังนั้นพระราชาจึงเรียกเขาเข้าเฝ้าและถูกตัดพ้อต่อว่าต่างๆนาๆและควรแก่การเป็นผู้รับผิดพร้อมกับถูกคาดโทษเอาไว้ เว้นแต่เขาจะสามารถหาตัวขโมยมาได้ภายในวันรุ่งขึ้น ไม่ว่าเขาจะพยายามชี้แจงแสดงเหตุผลถึงความบริสุทธิ์ใจของเขาอย่างไรพระราชาก็ไม่ยอมเชื่อหรือลดโทษให้เขาแม้แต่น้อย ความกลัดกลุ้มและวิตกกังวลอย่างมากจึงตกแก่เขา ด้วยเหตุนี้เขาจึงเดินเรื่อยเปื่อยไปตามอุทยานหลังพระราชวัง เพื่อคิดหาทางออกกับปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่เขาเดินผ่านไปทางฝูงเป็ดที่กำลังป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆคลองน้ำ มันใช้ปากแบนๆไซ้ขนอยู่ให้กับตัวเองในขณะที่พวกมันหยุดพักและพูดคุยกัน เขาจึงหยุดอยู่ตรงนั้นเพื่อตั้งใจฟังพวกเป็ดสนทนากัน พวกมันพูดถึงว่าเมื่อวานนี้ว่ายน้ำหากินกันตลอดช่วงเช้าเลยและมีของกินดีๆทั้งนั้น มีเป็ดตัวหนึ่งพูดขึ้นอย่างน่าเห็นใจว่า“มีอะไรบางอย่างหนักๆติดอยู่ที่คอหอยฉันนี่ มันคงจะเป็นแหวนซึ่งตกอยู่ใต้ถุนตรงหน้าต่างของพระราชินี ซึ่งข้าบังเอิญเผลอกลืนมันเข้าไปเพราะความรีบร้อน”เขาได้ยินดังนั้นก็ตรงเข้าไปจับเอาเป็ดตัวนั้นแล้วนำมันไปยังโรงครัวพร้อมกับกล่าวแก่พ่อครัวว่า“จัดการฆ่าเป็ดตัวนี้ซะ เพราะมันอ้วนพีพอที่จะทำเป็นอาหารได้แล้ว”“ได้ขอรับ” พ่อครัวรับคำ แล้วเขาก็ชั่งน้ำหนักมันคร่าวๆด้วยมือ“เออ! มันไม่มีไขมันเลยนี่ มันเหมาะถูกเชือดมาตั้งนานแล้วนี่นา”พ่อครัวจึงเชือดคอเป็ดตัวนั้นทันทีและสิ่งที่เห็นในเวลานั้น ก็คือแหวนของพระราชินีซึ่งติดอยู่ในคอหอยของมันนั่นเอง ดังนั้นคนรับใช้ก็สามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองได้และเพื่อเป็นการไถ่ถอนการกล่าวหาอย่างปักปรำที่ไม่เป็นธรรมแก่เขา พระราชาจึงขอให้เขาเรียกร้องเอาเกียรติยศสูงสุดเท่าที่พระราชสำนักจะประทานให้แก่เขาได้ตามความประสงค์แต่เขาก็ปฏิเสธที่จะเรียกร้องเอายศถาบรรดาศักดิ์หรือตำแหน่งใดๆ นอกจากขอเอาเพียงม้าและเงินจำนวนหนึ่งเพื่อใช้ในการเดินทางไปผจญภัยต่อโลกกว้าง พระราชาก็ประทานของดังกล่าวตามคำร้องขอ เขาจึงออกเดินทางด้วยการขี่ม้าพเนจรรอนแรมไปตามป่าเขาลำเนาไพรอย่างเสรี ในวันหนึ่งเขาก็มาถึงแอ่งน้ำแห่งหนึ่งเขาพบว่ามีปลาอยู่สามตัว กำลังกระเสือกกระสนดิ้นรนหาแหล่งน้ำแห่งใหม่เพราะน้ำในแอ่งนั้นกำลังแห้งขอดลงแม้ว่าปลาจะเป็นเพียงสัตว์ที่ไม่มีคุณค่าอะไรแต่เพราะความเข้าใจถึงความโศกสลดและสิ้นหวังที่พวกมันกำลังรอความตายอยู่ กอปรกับจิตใจของเขาที่มีความเมตตาอารี เขาจึงลงจากหลังม้าแล้วนำปลาทั้งสามตัวไปปล่อยยังแม่น้ำอันกว้างใหญ่ พวกมันตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างยิ่ง ก่อนที่จะว่ายน้ำหายไปพวกมันก็โผล่หัวขึ้นมาพูดกับเขาว่า“พวกเราจะจดจำและจะทดแทนบุญคุณแก่ท่านที่ได้ช่วยเหลือพวกเราในครั้งนี้”จากนั้นเขาก็ขี่ม้าต่อไปอีกและไม่นานเขาได้ยินเสียงเล็กๆดังแว่วมาจากพื้นดินบริเวณเท้าของม้า เขาจึงตั้งใจฟังก็รู้ว่าพญามดกำลังบ่น“นี่ถ้าเพียงแต่คนบังคับให้มันวิ่งไปทางอื่นนะ เจ้าม้าตีนหนักนั่นคงไม่ห้อมาเหยียบพวกเราชาวมดเป็นแน่ นั่นมันกำลังมาอีกแล้ว!”เขาได้ยินเช่นนั้นก็บังคับม้าให้หลบไปเดินข้างทางเพื่อหลีกเลี่ยงการรบกวนพวกมด พญามดเห็นเช่นนั้นก็กล่าวแก่เขาว่า“พวกเราจะตอบแทนบุญคุณแก่ท่าน!”เส้นทางหนึ่งได้นำเขาผ่านเข้าไปยังป่าทึบซึ่งมีกาตัวผู้กับตัวเมียคู่หนึ่ง กำลังขับไล่ลูกอ่อนของมันออกจากรัง“ไปให้พ้น! พวกไอ้ลูกกาเหลือขอ!” พ่อแม่กาตะโกนขับไล่ไสส่ง“พวกข้าจะไม่เลี้ยงดูเจ้าอีกต่อไปเพราะพวกแกโตพอที่จะหากินด้วยตนเองได้แล้ว !” พวกลูกกาตัวเล็กๆผู้น่าสงสารก็ถูกพ่อแม่กาเขี่ยให้ตกจากรังมานอนหงายอยู่กับพื้นดิน พยายามกระพือปีกที่บินยังไม่ได้แล้วก็พากันร้องไห้“พวกเราตกที่นั่งลำบากกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่อาจจะช่วยเหลือตัวเองอะไรได้ อย่าว่าแต่บินเลยแม้แต่จะปกป้องตนเองก็ไม่ได้! พวกเราคงจะตายกันเพราะความหิวโซ!”เขาได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกสงสารจึงลงจากหลังม้า และจัดการฆ่าม้าของตัวเองด้วยมีดพกแล้วทิ้งซากม้าไว้ ให้เป็นอาหารของลูกกาเหล่านั้นได้กินไปตลอดจนพวกมันโตขึ้นและแข็งแรงพอที่จะบินออกหากินได้เองในวันข้างหน้า พอพวกมันได้ซากม้าไว้กินก็พากันดีใจและกระโดดโลดเต้นพร้อมกับร้องบอกว่า“พวกเราจะไม่ลืมและจะตอบแทนบุญคุณของท่าน”คราวนี้เขาจึงต้องเดินทางต่อด้วยเท้าจนกระทั่งผ่านมาถึงเมืองใหญ่แห่งหนึ่ง ที่เมืองแห่งนี้กำลังคราคร่ำไปด้วยผู้คนและอึงอลไปด้วยเสียงของคนจำนวนมากในท้องถนน มีทหารขี่ม้ากำลังป่าวประกาศบอกว่า“ขณะนี้พระธิดาของพระราชากำลังเสาะแสวงหาเนื้อคู่ เพื่ออภิเษกสมรสด้วย หากชายหนุ่มคนใดปรารถนาจะแต่งงานกับพระธิดา จะต้องมีความสามารถทำงานอันยากยิ่งให้สำเร็จแต่ถ้าทำไม่สำเร็จก็หมายถึงชีวิต”ชายหนุ่มหลายต่อหลายคนต่างได้พยายาม แต่ก็ต้องสังเวยชีวิตของตนเองเป็นสิ่งตอบแทน เพราะทำงานอันยากยิ่งเหล่านั้นไม่สำเร็จ ต่อมาเมื่อเขาได้มีโอกาสพบเห็นพระธิดาเขาก็ต้องตกตะลึงในความสวยงามของเธอจนไม่นึกถึงภยันตรายใดๆดังนั้นเขาจึงเข้าเฝ้าพระราชาและขอรับทำงานอันยากยิ่งนั้นเพื่อชิงตำแหน่งคนรักของพระธิดาเขาถูกพาไปยังชายทะเลอันกว้างใหญ่จากนั้นผู้ทดสอบก็ได้ขว้างแหวนทองคำลงไปในน้ำต่อหน้าเขา พระราชาบอกให้เขาไปงมเอาแหวนขึ้นมาจากก้นทะเล โดยตรัสว่า“ถ้าเจ้าไม่สามารถนำแหวนกลับคืนมาได้ เจ้าจะต้องถูกจับกดหัวไว้ใต้คลื่นทะเลระลอกแล้วระลอกเล่าจนกว่าเจ้าจะจมน้ำตายไปในที่สุด”ทุกคนที่มามุงดูต่างก็รู้สึกสงสารชายหนุ่มรูปงามคนนั้นเหลือที่สุด แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรได้ นอกจากเดินจากไปและทิ้งเขาไว้แต่เพียงลำพัง เขายืนครุ่นคิดอยู่ริมฝั่งทะเลว่าจะทำอย่างไรดีแต่แล้วก็มีปลาสามตัวว่ายน้ำเข้ามาไม่ใช่ปลาอื่นไกลที่ไหนแต่เป็นปลาที่เขาเคยช่วยเหลือเอาไว้นั่นเอง หนึ่งในสามตัวอมเปลือกหอยไว้ในปากแล้วมันก็นำมาวางไว้ตรงเท้าของเขา พอเขาหยิบเปลือกหอยนั้นขึ้นมาและเปิดออกดูก็พบว่ามีแหวนทองคำอยู่ข้างใน!เขาสุดแสนจะดีใจและรีบนำแหวนนั้นไปคืนพระราชา โดยคาดหวังไว้ว่าจะได้แต่งงานกับพระธิดาเป็นของรางวัล แต่แล้วด้วยค่าอันสูงศักดิ์แห่งพระธิดาเขาก็ถูกให้ทดสอบกับงานอันยากยิ่งชิ้นใหม่ คราวนี้เขาถูกนำไปยังอุทยานหรือสวนหลังพระราชวังซึ่งใช้เป็นที่เทเมล็ดข้าวเปลือกไปทั่วสนามหญ้าจำนวนสิบกระสอบ พระธิดาได้พูดกับเขาว่า“ก่อนดวงตะวันจะโผล่พ้นขอบฟ้าในเช้าวันพรุ่งนี้ เจ้าจะต้องเก็บเมล็ดข้าวเปลือกใส่กระสอบเหล่านี้ให้เสร็จโดยไม่ให้หลงเหลือแม้แต่เมล็ดเดียว”ชายหนุ่มนั่งลงที่อุทยานแห่งนั้นและเฝ้าครุ่นคิดว่าเป็นไปได้อย่างไรที่จะทำงานชิ้นนี้ เมื่อคิดอะไรไม่ออกเขาจึงนั่งจับเจ่าอยู่ที่นั่น คร่ำครวญด้วยความโศกเศร้าด้วยคิดว่า ในวันพรุ่งนี้ชีวิตเขาคงไม่รอดแน่ แต่แล้วพอแสงเงินแสงทองเริ่มเยือนขอบฟ้าและทาบลำแสงแรกลงสัมผัสพื้นอุทยานเขาก็สังเกตเห็นว่ากระสอบข้าวเปลือกทั้งสิบกระสอบ ได้ถูกบรรจุไว้เต็มและวางเรียงกันอยู่เป็นที่เรียบร้อยแล้วโดยที่ไม่มีหลงเหลืออยู่กับพื้นเลยแม้แต่เมล็ดเดียว ก็เพราะว่าพญามดได้นำฝูงมดจำนวนมากมายมหาศาล มาในเวลาค่ำคืนนั้นแล้วช่วยกันขนเมล็ดข้าวเปลือกใส่กระสอบปานประหนึ่งโรงงานบรรจุหีบห่อด้วยความสำนึกในบุญคุณของชายหนุ่มนั่นเองในเช้าวันนั้นพระธิดาก็ได้มาเห็นและทึ่งในความสำเร็จของงานที่มอบหมายให้ชายหนุ่มทำ แต่ด้วยความเป็นสตรีสูงศักดิ์นางก็หาได้ใจอ่อนไม่ พลางก็พูดขึ้นว่า“ถึงแม้ว่าเขาจะทำงานอันยากยิ่งทั้งสองอย่างนั้นสำเร็จลงแต่ก็ใช่ว่าเขาจะเป็นเจ้าบ่าวของฉันเลยเสียทีเดียวเว้นเสียแต่ว่าเขาจะสามารถไปนำเอาผลแอปเปิลจากต้นไม้แห่งชีวิตมาได้”ชายหนุ่มไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าต้นไม้แห่งชีวิตที่ว่านั้นมีอยู่ ณ ที่แห่งหนตำบลใด เขาได้แต่ออกย่ำเท้าเดินป่าฝ่าดงไปอย่างไม่รู้จุดหมายปลายทาง แต่เขาก็ไม่พบวี่แววแห่งความหวังที่จะได้ผลแอปเปิลดังกล่าว หลังจากออกเดินทางผ่านไปได้สามอาณาจักร ในตอนค่ำวันหนึ่งเมื่อเขาเดินทางมาถึงป่าแห่งหนึ่งเขาจึงหยุดพักและนั่งลงใต้ต้นไม้ใหญ่เพื่อพักหลับนอน ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างปะทะกับกิ่งไม้และพลันผลแอปเปิลเหลืองทองก็หล่นลงมาใส่อุ้งมือของเขาพอดี อึดใจต่อมาก็มีกาสามตัวบินตรงมาเกาะที่หัวเข่าของเขาแล้วพูดว่า“พวกเราเป็นลูกกาสามตัวที่ท่านเคยช่วยให้รอดพ้นจากความหิวโซคราวนั้นอย่างไรล่ะ พวกเราโตกันหมดแล้วและได้ข่าวว่าท่านกำลังเสาะแสวงหาผลแอปเปิลเหลืองทอง พวกเราจึงได้บินข้ามน้ำข้ามทะเลไปยังดินแดนแห่งแผ่นดินสุดซึ่งมีต้นไม้แห่งชีวิตอยู่ ณ ที่นั่น แล้วก็คาบเอาผลแอปเปิลกลับมาให้ท่าน”เขารู้สึกปลื้มปิติยินดีเหลือที่สุด จึงได้รีบเดินทางกลับทันทีและนำผลแอปเปิลเหลืองทองนั้นมาให้พระธิดา ซึ่งคราวนี้นางก็ไม่อาจจะปฏิเสธความสามารถของเขาได้อีกต่อไปดังนั้นเขาและพระธิดาจึงได้แบ่งครึ่งผลแอปเปิลแห่งชีวิต และรับประทานด้วยกันคนละครึ่ง พอรับประทานเข้าไปเท่านั้นเอง ก็บังเกิดให้หัวใจของเขาทั้งคู่เอ่อท้นล้นไปด้วยความรักที่มีต่อกัน ทั้งสองจึงได้ครองชีวิตคู่ร่วมกันอย่างมีความสุขสืบต่อมาตราบชั่วอายุขัย เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้