ในกาลครั้งหนึ่งยังมีพระราชาที่มีพระราชธิดา ผู้ทรงมีความสวยสดงดงามจนเป็นที่เลื่องลือหากแต่ว่าพระธิดากลับเป็นผู้มากไปด้วยความหยิ่งทะนงในตนเองและถือดีเกินกว่าที่จะยอมรับใครได้ว่ามีความเหมาะสมและดีสำหรับเธอ หลายต่อหลายคนถูกเธอปฏิเสธแล้วปฏิเสธเล่า มิหนำซ้ำพระธิดายังทำให้พวกเขาเหล่านั้นต้องถูกหัวเราะเยาะอย่างน่าขบขันคราวหนึ่งพระราชาได้จัดให้มีงานเลี้ยงอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อเชื้อเชิญชายหนุ่มทั้งหลายที่ปรารถนาจะแต่งงานจากทั่วสารทิศทั้งใกล้และไกลมาร่วมงาน ชายหนุ่มเหล่านั้นก็จะถูกจัดให้นั่งเป็นแถวตามลำดับยศถาบรรดาศักดิ์ นับตั้งแต่พระราชา เจ้าชาย ขุนนางตามลำดับชั้นยศ และพ่อค้าคหบดีตามลำดับ จากนั้นเจ้าหญิงก็เสด็จทอดพระเนตรต่อหน้าเหล่าชายหนุ่มทั้งหลาย แต่ละคนก็ล้วนแต่ถูกพระธิดาล้อเล่น มีคนหนึ่งรูปร่างอ้วนท้วน“โอ่งน้ำ อะไรกันนี่!” เธอพูด อีกคนรูปร่างสูงมาก“ยาวแล้วผอมถนัด ดูขัดตา!” เธอตำหนิ อีกคนหนึ่งรูปร่างเตี้ย“อ้วนและเตี้ยเสียบุคลิก” เธอพูด อีกคนหนึ่งผิวซีดมาก“ซีดเป็นหัวไก่ต้ม!” แต่อีกคนหน้าแดงเธอก็เรียกเขาว่า“แดงเป็นหัวไก่ชน!” อีกคนที่ดูไม่ค่อยทะมัดทะแมงเธอก็เรียกเขาว่า“ไม้ตายซาก!” ด้วยเหตุนี้ทุกคนก็จะมีลักษณะเฉพาะตัวที่ถูกพระธิดาทรงเรียกล้อเลียน แต่มีเจ้าชายคนหนึ่งที่ถูกเธอล้อเลียนด้วยความประทับใจ ด้วยเจ้าชายรูปร่างสูงสมส่วนและที่คางมีเครากำลังขึ้นไม่มาก“นั่นดูสิ!” เธอร้องลั่น พร้อมกับหัวร่องอหงาย“เขามีคางยังกะรังนกกระจอกแน่ะ!”เหตุนั้นคนทั้งหลายจึงได้ขนานนามเจ้าชายพระองค์นั้นว่าเจ้าชายเครานกกระจอก ครั้นพระราชาทรงเห็นว่าพระธิดาของพระองค์เอาแต่พูดล้อเลียนชายหนุ่มทั้งหลายเหล่านั้นอย่างไม่ไว้หน้าใครเลย พระองค์ก็ทรงกริ้วมากและกล่าวเป็นคำขาดให้กับตนเองว่าพระธิดาจะต้องได้สามีเป็นชายขอทานที่เซซังมายังประตูของพระราชวังเป็นคนแรกสองสามวันต่อมาก็มีวณิพกเร่ร่อนผ่านมา เขาเข้ามาร้องเพลงเพื่อแลกเปลี่ยนกับเสื้อผ้าและอาหารเล็กๆน้อยๆอยู่เบื้องล่างหน้าต่างปราสาทของพระราชา ครั้นพระราชาได้ยินเสียงเพลงของวณิพก พระองค์ก็ให้นำตัวชายขอทานเข้าเฝ้า เขาเข้าไปในพระราชวังด้วยเครื่องนุ่งห่มอันสกปรกมอมแมมและได้ร้องเพลงต่อพระพักตร์พระราชาและพระธิดา เมื่อชายขอทานร้องเพลงเสร็จเขาก็ได้กล่าวขอรับรางวัลเล็กๆน้อยๆต่อพระราชาแต่พระองค์กลับพูดว่า“ด้วยเพลงของท่านไพเราะยิ่งนัก ข้าขอมอบบุตรสาว คือพระราชธิดาให้เป็นศรีภรรยาท่าน”เจ้าหญิงถึงกับหน้าซีดด้วยความตระหนกตกพระทัย แต่พระราชาก็ยังพูดสำทับอีกว่า“ด้วยข้าได้ให้สัตย์ปฏิญาณแล้วว่าข้าจะมอบเธอให้กับชายขอทานคนแรกที่มายังปราสาทของเราเหตุนั้นจึงสมควรให้เป็นไปตามนี้”ด้วยกษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ การแต่งงานของเจ้าหญิงกับชายขอทานจึงได้ถูกกำหนดขึ้นอย่างไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ และเมื่อพิธีการต่างๆได้ผ่านพ้นไปแล้วพระราชาก็ได้พูดขึ้นว่า“เอาล่ะ บัดนี้เธอได้เป็นภรรยาของคนขอทานแล้ว ฉะนั้นเธอจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะอยู่อาศัยในมหาปราสาทอีกต่อไป แต่จงตามไปอยู่กับสามียาจกของเธอนั้นเสีย”ชายขอทานจึงพาภรรยาของเขาออกจากพระราชวัง และพระธิดาก็จำเป็นต้องติดตามสามีของเธอด้วยการเดินเท้ารอนแรมไปตามป่าเขา ครั้นถึงป่าไม้อันกว้างใหญ่แห่งหนึ่งเธอจึงเอ่ยถามชายขอทานขึ้นว่า“โอ้โฮ! ใครกันหนอเป็นเจ้าของป่าไม้อันหนาทึบและอุดมสมบูรณ์เช่นนี้”ชายขอทานก็ตอบว่า “มันเป็นของเจ้าชายเครานกกระจอกและสมควรที่น่าจะเป็นของเธอ”เธอจึงกล่าวขึ้นด้วยความเสียใจว่า“โอ! ฉันรู้สึกว่าฉันโง่อะไรอย่างนี้ ฉันน่าจะเลือกเจ้าชายเครานกกระจอกนะ!”ต่อมาพวกเขาก็เดินผ่านมายังทุ่งหญ้าและดอกไม้ป่าอันสวยงาม เธอก็เอ่ยถามอีกว่า“โอ้โฮ! ใครกันหนอเป็นเจ้าของทุ่งหญ้าอันเขียวขจีและแต้มแต่งสีด้วยดอกไม้ป่าอันงดงามเช่นนี้”ชายขอทานก็ตอบว่า “มันเป็นของเจ้าชายเครานกกระจอกและสมควรที่น่าจะเป็นของเธอ”เธอจึงกล่าวขึ้นด้วยความเสียใจอีกว่า“โอ! ฉันรู้สึกว่าฉันโง่อะไรอย่างนี้ ฉันน่าจะเลือกเจ้าชายเครานกกระจอกนะ!”ต่อมาพวกเขาก็เดินทางผ่านมายังเมืองใหญ่แห่งหนึ่งแล้วเธอก็เอ่ยถามขึ้นอีกว่า“นี่เป็นเมืองของใครกันหนอช่างยิ่งใหญ่และสวยงามนัก”ชายขอทานก็ตอบว่า “นี่คือเมืองของเจ้าชายเครานกกระจอกและสมควรที่น่าจะเป็นของเธอ”เธอจึงกล่าวขึ้นด้วยความเสียใจอีกครั้งว่า“ฉันรู้สึกว่าฉันโง่อะไรอย่างนี้ ฉันน่าจะเลือกเจ้าชายเครานกกระจอกนะ!”ชายขอทานจึงเอ่ยขึ้นบ้างว่า “ฉันก็รู้สึกไม่สบายใจแล้วนะที่เธอเอาแต่พร่ำปรารถนาถึงสามีอื่น ตัวฉันไม่ดีพอสำหรับเธอหรืออย่างไร”ในที่สุดพวกเขาก็เดินทางมาถึงบ้านหลังเล็กๆหลังหนึ่ง ทันทีที่เห็นเธอก็พูดขึ้นว่า“ตายจริง! บ้านอะไรเล็กเป็นกระต๊อบดูยากไร้เช่นนี้ อาจจะมีแต่ช่องโหว่และรูรั่วเป็นแน่ อยากจะรู้เหมือนกันว่าใครกันนะเป็นเจ้าของ”ชายขอทานจึงตอบเธอว่า“นี่ล่ะบ้านของฉันและของเธอด้วย ซึ่งพวกเราจะต้องพักอาศัยอยู่ที่นี่ด้วยกัน”เธอต้องก้มตัวลงอย่างมากก่อนที่จะสามารถผ่านประตูบ้านเข้าไปได้“คนรับใช้ไปไหนกันหมดล่ะนี่” พระราชธิดาของพระราชาถามขึ้น“คนรับใช้อะไรกัน” ชายขอทานเอ่ยตอบ“เธอต้องการทำอะไรเธอก็ต้องจัดการด้วยตัวเอง เอาล่ะ ก่อไฟขึ้นเร็วเข้า แล้วก็ต้มน้ำให้เดือด ทำอาหารอะไรสักอย่างให้ฉัน ฉันรู้สึกเหนื่อยและหิวมาก”แม้แต่จะก่อไฟและทำกับข้าวพระธิดาก็ทำไม่เป็น ชายขอทานจึงต้องลงมือทำด้วยตัวเองทุกอย่าง หลังจากพวกเขารับประทานอาหารมื้อเย็นเสร็จไปอย่างอัตคัดแล้วก็เข้านอน ในวันรุ่งขึ้นชายขอทานก็ปลุกภรรยาของเขาแต่เช้าตรู่เพื่อให้มาทำความสะอาดบ้าน พวกเขายังคงใช้ชีวิตประจำวันอย่างนี้ต่อมาอีกสองสามวัน จนกระทั่งอาหารที่สั่งสมไว้ร่อยหรอลง“นี่เมียรัก” สามีเอ่ยขึ้น“เลิกทำงานนี้ซะ มันไม่มีรายได้อะไรเลย เธอจะต้องสานตะกร้าแล้วล่ะ”ดังนั้นเธอจึงออกไปหาตัดเอาเครือไม้แล้วก็นำกลับบ้าน จากนั้นเธอก็เริ่มสานตะกร้าแต่ปรากฎว่าเครือไม้ที่แข็งและเหนียวเป็นเหตุให้บาดมืออันอ่อนนุ่มของเธอจนเป็นแผลและเจ็บปวดสามีจึงพูดว่า “ฉันคิดว่าเธอไม่ต้องทำต่อแล้วล่ะ เธอลองไปทำปั่นด้ายน่าจะดีกว่า”ดังนั้นเธอจึงนั่งลงแล้วก็พยายามปั่นด้าย แต่ความแข็งและคมของเส้นด้ายก็เป็นเหตุให้บาดนิ้วมืออันอ่อนนิ่มของเธอจนเลือดไหล“ดูสิ !” ชายขอทานพูดขึ้น“เธอทำงานอะไรก็ไม่ดีไปเสียหมดเลยนะ ฉันไม่คุ้มเลยที่ตัดสินใจรับเธอมา คราวนี้ลองดูสิว่าฉันจะทำมาค้าขายพวกเครื่องปั้นดินเผาได้ไหม และเธอจะต้องไปนั่งเสนอขายของพวกนี้ในตลาดด้วย”“โอ! ตายจริง!” เธอคิดในใจ“ถ้าหากมีชาวเมืองของพระราชบิดามาเห็นฉันกำลังนั่งขายของอยู่ในตลาด พวกเขาจะไม่หัวเราะเยาะฉันแย่เรอะ!”แต่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพราะเธอจำเป็นต้องทำหรือถ้าไม่เช่นนั้นก็อดตายในวันแรกทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างเรียบร้อยดี ซึ่งปรากฏว่าชาวเมืองต่างก็มาซื้อหาหม้อดินกันเป็นที่คึกคัก ทั้งนี้ก็เพราะความสวยงามของเธอ พวกชาวเมืองก็ไม่เกี่ยงที่จะจ่ายไม่ว่าเธอจะบอกขายราคาเท่าไหร่หรือต้องการอะไร บางคนจ่ายแล้วก็เดินหนีไปโดยไม่แตะต้องหม้อดินเลยเสียด้วยซ้ำ งานขายหม้อดินก็พอช่วยให้เธอและสามีเลี้ยงชีพไปได้อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งวันหนึ่งสามีของเธอได้นำหม้อดินใหม่ๆจำนวนมากมายมาให้ขายดังนั้นเธอจึงเลือกเอาหัวมุมตลาดเป็นที่นั่งและวางขายหม้อดิน แต่แล้วทันใดนั้นก็มีทหารเมาสุราควบม้าฝ่าเข้ามาในตลาดและตรงมาเหยียบย่ำหม้อดินทั้งหลายของเธอที่ตั้งเรียงรายวางขายอยู่จนแตกละเอียดเสียหายหมด เธอก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากร้องห่มร้องไห้ด้วยความเสียใจ“โธ่เอ๋ย! เป็นความโชคร้ายอะไรของฉันอีกล่ะนี่” เธอคร่ำครวญ“แล้วสามีของฉันจะว่ากระไรกันหนอ”แล้วเธอก็รีบเดินทางกลับบ้านและบอกเล่าถึงความโชคร้ายให้สามีฟัง“ใครเขาทำกันล่ะ ที่ไปเลือกเอาหัวมุมตลาดเป็นที่วางขายหม้อดิน !” ฝ่ายสามีกล่าวขึ้น“เอาล่ะหยุดร้องไห้ได้แล้ว ฉันว่าเธอไม่เหมาะกับงานเหล่านี้แน่ ฉันได้ไปสอบถามที่ปราสาทของพระราชบิดาของเธอมาแล้ว เผื่อเขาต้องการคนทำงานในห้องครัว ซึ่งปรากฏว่าเขาไม่รังเกียจที่จะรับเธอและยังจะให้ค่าจ้างพร้อมที่อยู่ที่กินฟรี”ด้วยเหตุนั้นพระธิดาของพระราชาจึงได้กลายมาเป็นแม่ครัว ผู้ซึ่งพร้อมถูกเรียกใช้ได้ทุกเมื่อ และเป็นงานที่แสนจะหนักที่สุด ทุกวันก่อนจะกลับบ้านเธอก็จะเก็บเอาอาหารต่างๆที่เหลือใส่หม้อดินเล็กๆแล้วก็รัดไว้กับกระเป๋าเสื้อและกางเกงทุกๆกระเป๋า เธอและสามีก็สามารถเลี้ยงชีวิตมาได้จากอาหารเหล่านั้นต่อมาได้มีการจัดงานเลี้ยงฉลองในพิธีอภิเษกสมรสของเจ้าชายองค์ใหญ่ขึ้น แม่ครัวผู้น่าสงสารจึงเดินขึ้นบันไดไปยืนดูอยู่ข้างๆประตูห้องโถงที่ใช้จัดงาน ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ครั้นแสงสว่างถูกจุดขึ้นทั่วห้องโถง เหล่าแขกเหลื่อผู้มีเกียรติทั้งหลายก็ทยอยเดินเข้ามา แต่ละคนที่เข้ามาทีหลังก็ดูสง่างามยิ่งกว่าคนที่เข้ามาก่อนหน้านั้น พวกเขาล้วนแล้วแต่เริดหรู ดูโอ่อ่าอลังการ ทำให้เธอหวนคิดถึงโชคชะตาของตัวเองด้วยความปวดร้าวใจกับทั้งรู้สึกเสียใจกับความหยิ่งทะนงและถือดีของเธอเองในอดีต ซึ่งทำให้เธอตกต่ำและกลายเป็นผู้ยากไร้ในที่สุด เมื่อพนักงานถือถาดอาหารชั้นเลิศที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอันน่ากินผ่านไปผ่านมา พวกเขาก็จะโยนเศษอาหารมาให้เธอ แล้วเธอก็เก็บใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อและกางเกงเพื่อนำกลับไปรับประทานที่บ้านกับสามีครู่ต่อมาตัวเจ้าชายเองก็มาถึงงานในชุดผ้าไหมอันปราณีตและสวยงามมีสายสร้อยทองคำอันเหลืองอร่ามเป็นเครื่องประดับคอ ครั้นเจ้าชายเห็นหญิงสาวผู้เลอโฉมที่กำลังยืนอยู่ทางเข้าประตู เจ้าชายก็ตรงเข้าไปจับมือเธอและขอเต้นรำ แต่เธอก็ปฏิเสธ ตัวสั่นเทาราวกับลูกนกตกน้ำเมื่อเห็นว่าคนที่อยู่ต่อหน้าเธอไม่ใช่ใครที่ไหนหากแต่เป็นเจ้าชายเครานกกระจอก ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นชายหนุ่มมาให้เธอเลือกแต่ก็ตกไปแถมยังถูกเธอกล่าวล้อเลียน แต่ไม่ว่าเธอจะยืนกรานปฏิเสธอย่างไรเธอก็ยังไม่วายถูกเจ้าชายพาตัวเธอเข้าไปในห้องโถงทันใดนั้นเองเชือกรัดกระเป๋าเสื้อเกิดขาดลงเป็นเหตุให้หม้อดินร่วงลงแตก ทั้งน้ำซุปและเศษอาหารหล่นกระจัดกระจายไปทั่วพื้นห้อง ผู้มีเกียรติทั้งหลายที่มาร่วมงานก็เห็นเป็นเรื่องที่น่าขันและน่าหัวเราะเยาะกันเป็นที่สุดเธอเองก็รู้สึกสุดแสนจะอับอายขายหน้า หากแทรกแผ่นดินหนีได้ก็คงจะไปให้ไกลเป็นพันโยชน์ เธอรีบวิ่งไปที่ประตูอย่างรวดเร็วราวกับบินได้ ทันทีที่ก้าวเท้าลงบันไดก็ถูกชายคนหนึ่งยึดแขนเธอไว้ เขาอีกแล้วเมื่อเธอเหลือบมอง เจ้าชายเครานกกระจอกนั่นเอง เจ้าชายกล่าวแก่เธอด้วยสุ้มเสียงที่นุ่มนวลและอ่อนโยนว่า“อย่าได้หวาดวิตกไปเลย ฉันเองกับชายขอทานผู้ซึ่งอาศัยอยู่กับเธอ ในกระท่อมเล็กๆโกโรโกโสนั่นเป็นคนๆเดียวกัน เพราะความรักที่มีต่อเธอ ฉันจึงได้ปลอมตัว คนที่ไปทำให้หม้อดินเธอแตกเสียหายในตลาดก็ตัวฉันเองนี่แหละที่ปลอมเป็นทหารม้า ทุกอย่างที่ทำให้เธอรู้สึกต่ำต้อยก็ล้วนแล้วแต่เป็นการกระทำของฉันเอง ทั้งนี้ก็เพื่อต้องการกำราบความหยิ่งทะนงและถือดี จนทำให้เธอพูดล้อเลียนฉันในคราวนั้น”พระธิดาร้องห่มร้องไห้ด้วยความขมขื่นและกล่าวขึ้นว่า“ฉันได้กระทำผิดอย่างใหญ่หลวง และไม่มีค่าพอที่จะคู่ควรเป็นภรรยาของท่านหรอก”แต่เจ้าชายก็กล่าวว่า“เอาล่ะ! จงเข้มแข็งเถิด วันแห่งความเลวร้ายได้ผ่านพ้นไปแล้ว และจงให้วันอภิเษกสมรสวันนี้เป็นของพวกเรา”จากนั้นเหล่านางกำนัลที่คอยทีอยู่ก็ได้ออกมา และนำเสื้อผ้าอาภรณ์อันสวยหรูมาสวมใส่ให้แก่พระธิดา ขณะเดียวกันพระราชบิดาก็ออกมาพร้อมกับเหล่าบริพารทั้งหลาย ทุกคนต่างร่วมอำนวยพรในโอกาสวันอภิเษกสมรสระหว่างพระธิดากับเจ้าชายเครานกกระจอก ครั้นแล้วพระราชพิธีก็ได้เริ่มขึ้นอย่างยิ่งใหญ่และสมพระเกียรติ เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
ในอดีตกาลนานโพ้น ยังมีราชอาณาจักรแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ท่ามกลางความอุดมสมบูรณ์ มีมหานทีไหลเอื่อยๆผ่านเมืองอยู่ชั่วทิพาราตรี ในพระราชวังมีเจ้าหญิงพระองค์หนึ่งนามว่า จันทราเทวี ทรงเจริญวัยได้สิบพระชันษาและกำลังย่างเข้าพระชันษาที่สิบเอ็ด อยู่มาในวันหนึ่ง เจ้าหญิงทรงเสวยตำลูกยอมากจนเกินไป จึงทำให้รู้สึกไม่สบาย จนถึงกับประชวรล้มหมอนนอนเสื่อครั้นหมอหลวงมาถึงก็ได้ตรวจอาการ มีตรวจอุณหภูมิ คลำชีพจร และยังขอให้เจ้าหญิงแลบพระชิวหาออกมาเพื่อตรวจอีกด้วย หมอหลวงรู้สึกเป็นกังวลมาก จึงใช้ให้ม้าเร็วไปทูลเชิญพระราชาเสด็จมาเยี่ยมดูอาการของเจ้าหญิงเป็นการด่วน เมื่อพระราชบิดามาถึง พระองค์จึงตรัสกับเจ้าหญิงว่า“หัวใจของเจ้าปรารถนาในสิ่งใด ฉันจะหามาให้ทุกอย่าง”“มีอะไรที่พอจะเป็นสิ่งสุดยอดปรารถนาของเจ้าบ้างไหม” พระองค์ทรงตรัสถามพระธิดา“มี เพคะ” เจ้าหญิงทูลตอบ“หม่อมฉันอยากได้ดวงจันทร์ ถ้าได้ดวงจันทร์แล้ว หม่อมฉันก็จะหายจากการประชวรและกลับมีสุขภาพดีดังเดิม”ด้วยพระราชาทรงมีบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ในราชสำนัก ซึ่งล้วนแล้วแต่ฉลาดปราดเปรื่อง ไม่ว่าพระองค์จะประสงค์ในสิ่งใด พวกเขาก็สามารถจัดหามาทูลถวายได้ทั้งนั้น พระองค์จึงตรัสกับพระธิดาว่าเธอจักได้ดวงจันทร์อย่างแน่นอน ครั้นพระราชาเสด็จกลับถึงท้องพระโรง พระองค์จึงทรงรับสั่งให้นำท่านอุปราชหลวงเข้าเฝ้าทันทีท่านอุปราชหลวง เป็นคนรูปร่างใหญ่ อ้วนอุ้ยอ้าย สวมแว่นตาขยายอันหนาเตอะ จึงทำให้เห็นดวงตาของท่านมีขนาดใหญ่ขึ้นถึงสองเท่า และทำให้ดูเหมือนว่าท่านเป็นคนเฉลียวฉลาดมากกว่าความเป็นจริงของท่านถึงสองเท่าอีกด้วย“ฉันประสงค์ จะได้ดวงจันทร์” พระราชาทรงตรัส“เจ้าหญิงจันทราเทวี ต้องการดวงจันทร์ ถ้าเธอได้มันแล้ว เธอก็จักหายจากการประชวร”“ดวงจันทร์!”ท่านอุปราชหลวงอุทานขึ้น ดวงตาของท่านเบิกโพง ยิ่งทำให้ท่านดูเฉลียวฉลาดมากกว่าความเป็นจริงของท่านถึงสี่เท่า“ถูกต้องแล้ว ดวงจันทร์” พระราชาตรัสย้ำ“ดอ สระ อัว งอ ดวง และ จอ ไม้หันอากาศ นอ จัน ดวงจันทร์ เอาล่ะ ไปนำมาให้ภายในคืนนี้เลยหรือพรุ่งนี้เป็นอย่างช้า”ท่านอุปราชหลวง เหงื่อแตกพลั่ก ต้องคว้าผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อบนหน้าผากอันกว้างของท่านอยู่ไปมาพลางก็ถอนหายใจไล่ลมผ่านจมูกอยู่ฟืดฟาด“ขอเดชะ ตลอดเวลาที่ทำราชการสนองพระเดชพระคุณนั้น หม่อมฉันมีผลงานหลายสิ่งหลายประการอันยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นคุณแก่ราชสำนัก” ท่านอุปราชหลวงกราบทูล“คือเผอิญว่ามีบัญชีรายการผลงานเหล่านั้นติดตัวมาด้วย” ท่านอุปราชหลวงกล่าวพร้อมกับคลี่ม้วนสมุดข่อยออกมาจากกระเป๋ากางเกง“ขอพระราชทาน อ่านให้ฟัง พะยะค่ะ” ท่านอุปราชหลวงเพ่งดูรายการในม้วนสมุดข่อย พร้อมกับทำหน้านิ่วคิ้วขมวด“ผลงานของหม่อมฉันมีดังต่อไปนี้ ได้งาช้าง ลิง ค่าง บ่าง ชะนี นกยูง มุกดา หมาดำ อำพัน แมงคับ ทับทิมพิมเสน มรกต โคตรเพชร เกล็ดนาคราช หยาดน้ำตานางเงือก เปลือกไข่คน ผลนารี ดีตะกวด หนวดเต่าเขามังกร หงอนนาค ปากครุฑ มนุษย์วานร และ ขอนไม้กฤษณา และ ปลาร้าสองไห ไข่สองจาน น้ำตาลสองช้อน ชิมก่อนใส่เกลือ ขออภัย พะยะค่ะ อันหลังๆนี่ ภรรยาของหม่อมฉันเขียนสูตรทำกับข้าว”“ฉันจำไม่ได้ว่ามีหมาดำด้วยหรือ” พระราชาตรัส“หมาดำก็มีอยู่ในรายการด้วยพะยะค่ะ แต่ว่ามีรอยขีดฆ่าออกด้วยเส้นดินสอเบาๆ” ท่านอุปราชหลวงรีบกราบทูล“มันคงเป็นหมาดำที่พระองค์ทรงลืมกระมัง พะยะค่ะ”“เอาล่ะ มันจะมีหมาดำหรือไม่มีก็ไม่เป็นไร” พระราชาตรัสต่อ“แต่สิ่งที่ฉันต้องการอยู่ในเวลานี้คือดวงจันทร์”“หม่อมฉันได้ส่งคนออกไปไกลโพ้นถึง กรุงจีน ถิ่นคนขาว ชาวอาหรับ และดินแดนลึกลับแห่งคนดำ และก็ได้มาซึ่งสิ่งอันพึงประสงค์ทุกประการตามที่ได้ทูลถวายแด่พระองค์” ท่านอุปราชหลวงกราบทูล“แต่ดวงจันทร์นั้นเป็นเรื่องนอกประเด็น ซึ่งอยู่ไกลออกไปถึง สามหมื่นห้าพันไมล์และยังขนาดใหญ่กว่าห้องบรรทมของเจ้าหญิง และยิ่งไปกว่านั้นมันยังทำจากกระทะทองแดงอันร้อนเหลว หม่อมฉันจึงไม่สามารถจะไปเอามันมาได้ คือสำหรับหมาดำนั้น...ได้ แต่ดวงจันทร์นั้นเอามาไม่ได้หรอกพะยะค่ะ”พระราชาทรงกริ้วมากจึงไล่ให้ท่านอุปราชหลวงพ้นท้องพระโรงไป และมีรับสั่งให้นำท่านพราหมณ์หลวงเข้าเฝ้ายังท้องพระโรงโดยด่วนท่านพราหมณ์หลวงนั้น เป็นคนรูปร่างผอมบาง คางแหลม แก้มตอบ และขอบหน้ายาว ใส่หมวกหัวแหลมสีแดงมีลวดลายแพรวพราวด้วยรูปดาวสีเงิน สวมเสื้อคลุมสีกรมท่าซึ่งปักผ้าเป็นรูปนกเค้าแมว ท่านพราหมณ์หลวงถึงกับหน้าถอดสี เมื่อพระราชาตรัสว่าต้องการดวงจันทร์มาให้พระธิดา และคาดหวังว่าเขาจักต้องหามาให้ได้“ขอเดชะ ตลอดระยะเวลาที่ทำราชการสนองพระเดชพระคุณในพระองค์ หม่อมฉันได้ทำการอันยิ่งใหญ่มาไม่น้อย” ท่านพราหมณ์หลวงกราบทูล“อันที่จริง บัญชีรายการผลงานของหม่อมฉันบังเอิญติดกระเป๋ามาด้วย” ท่านพราหมณ์หลวงจึงล้วงลึกลงไปในกระเป๋าเสื้อคลุมและหยิบเอาแผ่นกระดาษออกมา“เริ่มต้นจาก เรียนท่านพราหมณ์หลวงทราบ พร้อมจดหมายนี้ ข้าพเจ้าขอส่งคืน สิ่งที่เรียกว่า ก้อนศิลานักปราชญ์ ซึ่งท่านอ้างว่า... อ้าว ไม่ใช่แผ่นนี้ นี่นา” ท่านพราหมณ์หลวงจึงหยิบเอาม้วนสมุดข่อยออกมาจากกระเป๋าอีกข้างหนึ่ง“อ๋อ อันนี้เอง” แล้วก็กล่าวต่อ“ขอพระราชทานอ่านให้ฟัง พะยะค่ะ หม่อมฉันมีผลงานดังต่อไปนี้ คั้นโลหิตจากหัวมันและเสกปั้นหัวมันจากโลหิต เสกนกพิราบจากพระพาย เสกกระต่ายจากอากาศและเสกบุปผชาติจากสายลม หม่อมฉันได้ทูลถวายไม้เท้าวิเศษ กับทั้งสิ่งบอกเหตุในอนาคต ซึ่งได้แก่ผลึกแก้วกลมอันสดใส หม่อมฉันได้ปรุงขี้ผึ้งตรึงเสน่ห์ ยาแก้ลมเพลมพัด แก้ปวดขัดหฤทัย และไล่เสียงอื้อในพระกรรณ หม่อมฉันยังได้ปรุงของพิเศษอันเป็นส่วนผสมของพิษหมาป่า น้ำตาทูตสวรรค์ และพันธุ์ไม้มรณะ เพื่อขับไล่พวกภูต ผี ห่า ซาตานและหมู่มารในยามค่ำคืน นอกจากนั้นหม่อมฉันยังได้ทูลถวายรองเท้าก้าวเจ็ดไมล์ ไก่ไข่เป็นทอง ฉลองภูษาพาตัวหาย ...”“ไม่เห็นมันจะทำให้หายตัวได้เลย” พระราชาตรัสประท้วง“ฉลองภูษาพาตัวหาย ที่ท่านเอ่ยถึงนั่น มันใช้ไม่ได้”“มันต้องใช้ได้สิ พะยะค่ะ” พราหมณ์หลวงกล่าวยืนยัน“มันใช้ไม่ได้จริงๆ” พระราชาตรัส“ก็ถึงแม้จะสวมเสื้อตัวนั้นแล้ว ฉันก็ยังชนนั่นชนนี่ได้อยู่เหมือนเดิม”“ฉลองภูษานั่นมันจะทำให้พระองค์เพียงแต่ทรงหายตัวได้เท่านั้น” ท่านพราหมณ์หลวงกล่าว“แต่การไปชนนั่นชนนี่ มันย่อมใช้ป้องกันไม่ได้ พะยะค่ะ”“ไม่รู้ล่ะ แต่ที่ฉันรู้แน่ๆ คือฉันก็ยังไปชนนั่นชนนี่ได้” พระราชาตรัสยืนยันท่านพราหมณ์หลวงจึงหันมาอ่านบัญชีรายการของท่านต่อไป“หม่อมฉันยังได้ทูลถวาย” แล้วกล่าวต่อ“ผงทรายจากชายคนรู เขาสัตว์คู่จากป่าหิมพานต์ และขันแก้วกาญจน์จากรุ้งกินน้ำ และขี้ผึ้งหนึ่งห่อ กร้อด้ายหนึ่งม้วนเต็มๆ พร้อมทั้งเข็มอีกหนึ่งแผง ขอภัยพะยะค่ะ อันหลังๆนี่ภรรยาของหม่อมฉันเขียนฝากมาให้ซื้อ”“แต่สิ่งที่ต้องการให้ท่านทำในเวลานี้” พระราชาตรัส“คือไปนำดวงจันทร์มาให้ฉัน เพราะเจ้าหญิงจันทราเทวีอยากได้ดวงจันทร์ ถ้าเธอได้มันแล้วเธอก็จะหายจากการประชวร”“ไม่มีใครจะสามารถไปเอาดวงจันทร์ได้หรอกพะยะค่ะ” ท่านพราหมณ์หลวงอธิบาย“มันอยู่ห่างไกลถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นห้าพันไมล์ ขนาดใหญ่กว่าพระราชวังถึงสองเท่า และยังร้อนเร่าเพราะมันเกิดจากการเผาขี้ผึ้งดิบ”พระราชาทรงกริ้วเป็นอันมาก จึงขับไล่ท่านพราหมณ์หลวงกลับคืนสู่ถิ่นพำนักในถ้ำดังเดิม และมีรับสั่งให้นำขุนคำนวณหลวงเข้าเฝ้าโดยด่วนขุนคำนวณหลวง เป็นคนหัวล้าน กบาลอ้า และสายตาสั้น ที่หูสองข้างนั้นท่านเหน็บดินสอไว้เสมอ ชุดที่สวมคือสีดำเป็นพื้นและมีสีขาวแต่งแต้มอยู่โดยทั่ว ซึ่งแสดงเป็นรูปตัวเลขและสัญลักษณ์“ฉันไม่ต้องการฟังบัญชีรายการ และผลงานต่างๆที่ท่านได้กระทำ ตั้งแต่ท่านเข้ารับราชการเมื่อปี พ.ศ. ๑”พระราชาตรัส“ฉันต้องการให้ท่านคิดคำนวณดูซิว่า จะนำเอาดวงจันทร์มาให้เจ้าหญิงจันทราเทวีได้อย่างไร เพราะหากเธอได้ดวงจันทร์ เธอก็จะหายจากการประชวร”“ขอเดชะ หม่อมฉันรู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นเหลือที่ได้ทรงเอ่ยถึงผลงานของหม่อมฉันนับตั้งแต่ พ.ศ. ๑ เป็นต้นมา” ขุนคำนวณหลวงกล่าว“หม่อมฉันก็บังเอิญมีบัญชีรายการผลงานดังกล่าว ติดตัวมาด้วยพะยะค่ะ”ขุนคำนวณหลวงจึงล้วงเอาม้วนสมุดข่อยออกมาจากกระเป๋าและยกขึ้นอ่าน“ขอพระราชทาน อ่านให้ฟังพะยะค่ะ หม่อมฉันมีผลงานดังต่อไปนี้ หาความห่างระหว่างเขาของตัวกลืนไม่เข้าคายไม่ออก บอกระยะทางระหว่างกลางคืนและกลางวัน วัดระยะไกลกันระหว่างก.ไก่และฮ.นกฮูก นอกจากนั้นยังวัดระยะทางตั้งแต่ขึ้นว่าห่างจากไปอยู่เท่าไร และเพราะเหตุใดจึงกลายเป็นหายลับ หม่อมฉันได้ค้นพบความยาวของนาคราชน้ำเค็ม หาพื้นที่ผิวจำนวนเต็มและยกกำลังสองของฮิปโป และยังสามารถโชว์คุณค่าของสิ่งที่ไร้ราคา ถ้าพระองค์อยู่ระหว่างหกและเจ็ด หม่อมฉันบอกได้อย่างเบ็ดเสร็จว่าพระองค์อยู่ที่ไหน มูลค่าเท่าใดที่เป็นปัจจัยให้พระองค์เปลี่ยนจากเอกพจน์เป็นพหูพจน์ พระองค์จะได้นกกี่ตัว ชั่วว่าดักจับได้ด้วยจำนวนเกลือจากมหาสมุทร ๑๙๘,๘๖๗,๓๒๑,... หากว่าพระองค์จะทรงสนพระทัย”“นกมันไม่ได้มีมากมายถึงเพียงนั้นนี่นา” พระราชาตรัส“หม่อมฉันพูดว่านกมีมากมายก็หาไม่” ขุนคำนวณหลวงกราบทูล“แต่หม่อมฉันพูดว่า ถ้านกมันมีมากมาย พะยะค่ะ”“ฉันไม่ต้องการจะฟังเรื่องจินตนการจำนวนนกเก้าร้อยเก้าสิบเก้าล้านโดยไม่รู้จบอะไรนั่นหรอก”พระราชาตรัส“ฉันต้องการดวงจันทร์มาให้เจ้าหญิงจันทราเทวี”“ดวงจันทร์มันอยู่ห่างไกลออกไปตั้งสามแสนไมล์” ขุนคำนวณหลวงกล่าว“มีลักษณะกลมและแบนเหมือนเหรียญกษาปณ์ กำเนิดจากใยแก้ว ขนาดใหญ่เพียงครึ่งหนึ่งของราชอาณาจักรเรา ยิ่งไปกว่านั้น มันยังติดแนบแน่นอยู่กับแผ่นฟ้า จึงไม่มีใครสามารถไปเอาดวงจันทร์มาได้หรอก พะยะค่ะ”จึงเป็นเหตุให้พระราชาทรงเดือดดาลเป็นที่ยิ่งอีกคำรบหนึ่ง และขับขุนคำนวณหลวงให้พ้นไปจากท้องพระโรงด้วยความกลัดกลุ้มในพระทัย พระองค์จึงสั่นกระดิ่งเป็นสัญญาณให้ขุนสังคีตส่วนพระองค์เข้าเฝ้า ขุนสังคีตนั้นสวมเสื้อลายหลากสี ถือเครื่องดนตรีมีพิณและฉิ่งฉับ ก็รีบเข้ามาถวายคำนับและคอยสดับพระกระแสรับสั่งอยู่ ณเบื้องบาทราชบัลลังก์“ขอเดชะ พระองค์จะทรงโปรดให้หม่อมฉันทำสิ่งใดมิทราบ พะยะค่ะ” ขุนสังคีตส่วนพระองค์กราบทูล“ไม่มีใครสักคนทำอะไรให้ฉันได้เลย” พระราชาทรงโอดคราญ“เจ้าหญิงอยากได้ดวงจันทร์ และก็จะยังไม่หายจากการประชวรจนกว่าจะได้มัน แต่ไม่มีใครสักคนที่จะสามารถเอามาให้เธอได้ ทุกครั้งที่ฉันถามแต่ละคน ดูเหมือนว่าดวงจันทร์มันจะมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และอยู่ห่างไกลออกไปๆ ฉันก็ไม่มีอะไรให้ท่านทำหรอก นอกจากเล่นดนตรีทำนองเศร้าๆให้ฉันฟัง”“ท่านเหล่านั้นกราบทูลว่าดวงจันทร์มีขนาดใหญ่แค่ไหน” ขุนสังคีตส่วนพระองค์ทูลถาม“และมันอยู่ห่างไกลเพียงใดล่ะ พะยะค่ะ”“ท่านอุปราชหลวงบอกว่ามันอยู่ห่างไกลออกไป สามหมื่นห้าพันไมล์ และมีขนาดใหญ่กว่าห้องบรรทมของเจ้าหญิงจันทราเทวี” พระราชาตรัส“ท่านพราหมณ์หลวงบอกว่ามันอยู่ไกลออกไป หนึ่งแสนห้าหมื่นห้าพันไมล์และมีขนาดใหญ่กว่าพระราชวังสองเท่า ส่วนขุนคำนวณหลวงบอกว่ามันอยู่ไกลออกไปสามแสนไมล์และมีขนาดใหญ่เพียงครึ่งหนึ่งของราชอาณาจักรเรา”ขุนสังคีตส่วนพระองค์ บรรเลงดนตรีไปได้สักพักหนึ่ง“ท่านเหล่านั้นก็ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ชาญฉลาด” ขุนสังคีตกล่าวขึ้น“เหตุนี้ ความเห็นของท่านเหล่านั้นก็ควรจะถูกต้องด้วยกัน ดังนั้นถ้าทุกคนถูกต้องกันหมด ก็แสดงว่าดวงจันทร์นั้น มันก็จะใหญ่และห่างไกลออกไปตามแต่ความคิดเห็นของแต่ละคน แต่สิ่งที่ควรจะรู้ก็คือความคิดเห็นของเจ้าหญิงเอง ว่าดวงจันทร์มันใหญ่แค่ไหนและอยู่ห่างไกลเพียงใด”“เออสินะ ฉันเองก็ไม่เคยคาดคิดอย่างนั้นเลย” พระราชาตรัส“หม่อมฉันจะไปทูลถามเจ้าหญิงเอง พะยะค่ะ” ขุนสังคีตกล่าว จากนั้นก็ค่อยๆย่องอย่างแผ่วเบาไปยังห้องบรรทมของเจ้าหญิงเจ้าหญิงจันทราเทวีทรงลืมตาและตื่นอยู่ ครั้นเธอเห็นขุนสังคีต ก็ดีใจมาก แต่เธอยังมีอาการอ่อนเพลีย ดูซีดและมีน้ำเสียงแผ่วเบามาก“ท่านนำดวงจันทร์มาให้ฉันรึยัง” เจ้าหญิงตรัส“ยัง พะยะค่ะ” ขุนสังคีตตอบ“แต่หม่อมฉันจะนำมาทูลถวายได้เลย ว่าแต่ว่ามันขนาดใหญ่แค่ไหนนะ พะยะค่ะ”“มันก็แค่ขนาดเล็กกว่าหัวแม่มือของฉันนี่เอง” เจ้าหญิงตรัสตอบ“เพราะพอเวลาฉันยกหัวแม่มือขึ้นทาบ มันก็พอดีปิดบังดวงจันทร์ไว้มิดเลย”“แล้วมันอยู่ไกลเพียงใดล่ะ พะยะค่ะ” ขุนสังคีตทูลถาม“มันก็ไม่สูงไปกว่าต้นไม้ใหญ่ ที่อยู่ข้างหน้าต่างของฉันนี่หรอก” เจ้าหญิงตรัสตอบ“ในบางคราวมันยังติดคาอยู่กับกิ่งบนสุดนั่นเลย”“ถ้าเช่นนั้นการนำดวงจันทร์มาให้เจ้าหญิงมันก็ง่ายนิดเดียวเอง” ขุนสังคีตกล่าว“หม่อมฉันจะปีนขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่คืนนี้ พอมันติดคาอยู่ที่กิ่งบนสุด หม่อมฉันก็จะนำมันมาให้เจ้าหญิงทันที"พลันขุนสังคีตก็คิดอะไรขึ้นได้“เอ เจ้าหญิง แล้วดวงจันทร์นี่มันทำจากอะไร พะยะค่ะ” ขุนสังคีตเอ่ยขึ้นทูลถาม“อ้าว!” เธออุทาน“แน่นอนล่ะ มันก็ต้องทำจากทองคำสิ ท่านก็เขลาไปได้”ครั้นขุนสังคีตส่วนพระองค์กลับออกไปจากห้องเจ้าหญิงแล้ว ก็ตรงดิ่งไปยังโรงกษาปณ์หลวง และขอให้ช่างทำการหล่อดวงจันทร์ทองคำ รูปร่างกลมๆ และมีขนาดเล็กกว่าหัวแม่มือของเจ้าหญิง ขุนสังคีตยังให้ช่างทำเป็นสายสร้อยทองคำคล้องไว้ด้วย เพื่อให้เจ้าหญิงนำมาสวมพระศอได้“ฉันไม่รู้ว่าตัวเองหล่ออะไรกันแน่นะนี่” ช่างกษาปณ์หลวงสงสัย หลังจากหล่อเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว“ท่านหล่อดวงจันทร์” ขุนสังคีตกล่าว และยังสำทับอีกว่า“นี่ล่ะคือดวงจันทร์”“แต่ว่าดวงจันทร์มัน...” ช่างกษาปณ์หลวงทักท้วง“มันอยู่ห่างไกลออกไปตั้งห้าแสนไมล์และทำจากทองสัมฤทธิ์ รูปร่างกลมๆคล้ายหินอ่อนนะท่าน”“นั่นคือดวงจันทร์ในความคิดของท่าน” ขุนสังคีตกล่าวในขณะที่เดินจากไปพร้อมดวงจันทร์ทองคำในมือและนำไปทูลถวายแด่เจ้าหญิงจันทราเทวี ซึ่งก็นำความพอพระทัยและเป็นสุขมาสู่เธอเป็นที่ยิ่งในวันรุ่งขึ้นเจ้าหญิงก็สามารถลุกจากเตียงบรรทมได้ หายจากการประชวรและกลับมีสุขภาพดีดังเดิม สามารถออกไปทรงสำราญในอุทยานได้เช่นเคยอย่างไรก็ตาม ความวิตกกังวลของพระราชาก็ยังไม่สิ้นไปเลยทีเดียว ด้วยพระองค์ทรงตระหนักดีว่า ดวงจันทร์จักต้องขึ้นไปส่องสว่างในนภายามราตรีอีกตามปกติวิสัย พระองค์จึงไม่ประสงค์ที่จะให้เจ้าหญิงได้เห็นมัน หาไม่แล้วเจ้าหญิงก็จะเข้าพระทัยว่า ดวงจันทร์ทองคำที่สวมอยู่ในพระศอไม่ใช่ของจริงดังนั้นพระราชาจึงมีรับสั่งให้ท่านอุปราชหลวงเข้าเฝ้า และตรัสว่า“พวกเราจักต้องไม่ให้เจ้าหญิงจันทราเทวีมองเห็นดวงจันทร์บนนภาในคืนนี้ ท่านคิดว่าเราควรจักทำประการใดดี”ท่านอุปราชหลวงใช้นิ้วมือเคาะหน้าผากตัวเองอยู่ไปมาอย่างคนใช้ความคิด ก่อนที่จะกราบทูลว่า“หม่อมฉันรู้เพียงว่าจะต้องตัดแว่นตาดำมืด เพื่อให้เจ้าหญิงสวมใส่ พะยะค่ะ และต้องทำให้มันดำมืดสนิทด้วยเจ้าหญิงก็จะไม่สามารถมองเห็นอะไรเลย ดังนั้นเธอก็จะไม่สามารถมองเห็นดวงจันทร์เมื่อมันขึ้นมาส่องสว่างบนท้องฟ้า พะยะค่ะ”ความเห็นนี้ทำให้พระราชาทรงกริ้วมากพร้อมกับส่ายศีรษะไปมา“ถ้าเจ้าหญิงสวมแว่นดำมืดที่ว่า มันก็อาจจะทำให้เธอเดินไปชนนั่นชนนี่” พระราชาตรัส“ประเดี๋ยวก็จะเป็นเหตุให้เธอไม่สบายอีกได้” พระราชาจึงให้ส่งท่านอุปราชหลวงพ้นท้องพระโรงไปและมีรับสั่งให้ท่านพราหมณ์หลวงเข้าเฝ้าทันที“พวกเราจักต้องซ่อนดวงจันทร์ไว้” พระราชาตรัส“เพื่อไม่ให้เจ้าหญิงมองเห็นเมื่อมันขึ้นมาส่องสว่างในนภาของค่ำคืนนี้ พวกเราควรจักทำประการใดดี”ท่านพราหมณ์หลวงครุ่นคิด ยืนอยู่บนมือตัวเองก็ยัง ขึ้นไปนั่งอยู่บนหัวตัวเองก็แล้ว เลยต้องมายืนแกล่วอยู่บนเท้าของตัวเองเหมือนเดิม“หม่อมฉันคิดออกแล้ว ว่าควรจะทำอย่างไร” ท่านพราหมณ์หลวงกราบทูล“พวกเราควรจะขึงม่านสีดำและผูกโยงไว้ โดยให้ครอบคลุมไปทั่วพื้นที่อุทยานทั้งหมดคล้ายๆกับพวกล้อมผ้าเล่นกายกรรมเก็บสตางค์ เจ้าหญิงก็จะไม่สามารถมองเห็นผ่านผ้าคลุมได้ ดังนั้นเธอก็จะมองไม่เห็นดวงจันทร์ในท้องฟ้า พะยะค่ะ”แต่ความคิดเห็นนี้ก็ทำให้พระราชาทรงกริ้วและโบกพระหัตถ์อยู่ไปมา“ผ้าม่านสีดำมันก็จักปิดกั้นอากาศบริสุทธิ์” พระองค์ตรัส“ประเดี๋ยวก็จะทำให้เจ้าหญิงหายใจไม่ออก แล้วก็อาจจะเป็นเหตุให้ไม่สบายอีกได้”ดังนั้นพระองค์จึงให้ส่งท่านพราหมณ์หลวงพ้นท้องพระโรงไป และมีรับสั่งให้ขุนคำนวณหลวงเข้าเฝ้าทันที“พวกเราจักต้องทำอะไรบางอย่าง” พระราชาตรัส“เพื่อไม่ให้เจ้าหญิงมองเห็นดวงจันทร์ที่จะขึ้นมาส่องสว่างบนนภาในคืนนี้ ถ้าท่านรู้อะไรดี ก็ช่วยออกความเห็นหน่อยเถอะ”ขุนคำนวณหลวงจึงเดินใช้ความคิดเป็นรูปวงกลม แล้วเดินก้มเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า แล้วกลับมายืนสง่าอย่างสงบ“หม่อมฉันรู้แล้ว” ขุนคำนวณหลวงกราบทูล“พวกเราจะต้องจัดให้มีงานเผาเทียนเล่นไฟภายในเขตพระราชอุทยานเป็นประจำทุกคืน โดยจัดให้มีธารน้ำพุสีเงิน ธารน้ำตกทองคำ และปล่อยให้คลาคล่ำไปทั้งอัมพร จากแสงสะท้อนอันเจิดจ้า ย่อมดูประหนึ่งว่าเป็นเวลากลางวัน เหตุนั้นเจ้าหญิงก็จะไม่สามารถมองเห็นดวงจันทร์ พะยะค่ะ”พระราชาทรงเดือดดาลเป็นที่ยิ่งและทรงกระทืบพระบาทอยู่ปังๆ“งานเผาเทียนเล่นไฟ ไฉนเจ้าหญิงจะหลับนอนได้” พระองค์ตรัส“เมื่อไม่ได้พักผ่อนหลับนอน ประเดี๋ยวก็เป็นเหตุให้ไม่สบายอีกได้” พระราชาจึงให้ส่งขุนคำนวณพ้นท้องพระโรงไปความมืดคืบคลานเข้ามาทุกขณะ ครั้นมองไปเบื้องบูรพา ก็ทรงเห็นแสงเรื่อเรืองของดวงจันทร์กำลังแผ่ขึ้นมาจับขอบฟ้า พระองค์สะดุ้งโหยงด้วยทรงหวาดวิตก จึงสั่นกระดิ่งเป็นสัญญาณเรียกขุนสังคีตส่วนพระองค์เข้าเฝ้าเป็นการด่วน ขุนสังคีตก็รีบมาน้อมคำนับและนั่งลงรอรับพระราชดำรัสอยู่ ณ เบื้องบาทราชบัลลังก์“ขอเดชะ พระองค์จะทรงโปรดให้หม่อมฉันทำสิ่งใดมิทราบ พะยะค่ะ” ขุนสังคีตกราบทูล“ไม่มีใครสักคนพอที่จะทำอะไรให้ฉันได้เลย” พระราชาตรัส“ดวงจันทร์ก็กำลังเคลื่อนสูงขึ้นไปๆทุกขณะ เดี๋ยวมันก็จะส่องแสงไปยังห้องบรรทมของเจ้าหญิง คราวนี้ล่ะเธอก็จะรู้ว่ามันยังอยู่บนท้องนภา และใช่ว่าเธอจะสวมมันอยู่ที่คอก็หาไม่ ท่านจงบรรเลงบทเพลงอันแสนเศร้าที่สุดให้ฉันฟัง ด้วยทันทีที่เจ้าหญิงเห็นดวงจันทร์ เธอก็จะไม่สบายอีกเป็นแน่”ขุนสังคีตเกริ่นเพลงไปได้สักครู่หนึ่ง ก็ทูลถามพระราชาว่า“เหล่านักปราชญ์ทั้งหลายของพระองค์พูดว่ากระไรบ้าง พะยะค่ะ”“พวกเขาจนปัญญาที่จะซ่อนดวงจันทร์ ซึ่งอาจจะเป็นเหตุให้เจ้าหญิงประชวร” พระราชาตรัสตอบขุนสังคีตจึงบรรเลงอีกบทเพลงหนึ่งซึ่งนุ่มนวลและแผ่วเบามาก“เหล่านักปราชญ์ของพระองค์นั้นรอบรู้ทุกสิ่งอย่าง” ขุนสังคีตเอ่ยขึ้น“ถ้าท่านนักปราชญ์เหล่านั้นไม่สามารถซ่อนดวงจันทร์ได้ ก็แสดงว่าดวงจันทร์ไม่สามารถถูกนำไปซ่อนเร้นไว้ที่ไหนได้”ระหว่างที่พระราชาทรงเอกเขนก พระหัตถ์ก่ายพระนลาฏ และถอนหายใจอยู่ไปมา พลันพระองค์ก็ทรงกระโดดโหยงลงจากบัลลังก์ และทรงชี้ไปทางหน้าต่าง“ดูนั่น!” พระราชาทรงอุทาน“ดวงจันทร์ได้ฉายรัศมีไปถึงยังห้องบรรทมของเจ้าหญิงแล้ว ใครล่ะจักอธิบายได้ว่าดวงจันทร์มันไปเปล่งประกายอยู่บนนภาได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าหญิงกำลังสวมใส่ และแขวนไว้อยู่ในพระศอด้วยสายสร้อยทอง”ขุนสังคีตจึงหยุดการบรรเลงลงทันใด“ก็ใครล่ะที่อธิบายถึงการได้มาของดวงจันทร์ ในเมื่อเหล่านักปราชญ์ของพระองค์บอกว่ามันทั้งขนาดใหญ่และอยู่ไกลเกินไป เจ้าหญิงจันทราเทวีเองมิใช่ดอกหรือ ฉะนั้นก็แสดงว่าเจ้าหญิงมีความชาญฉลาดมากกว่าท่านเหล่านั้น และทรงรู้เรื่องเกี่ยวกับดวงจันทร์มากกว่า หม่อมฉันจะไปทูลถามเจ้าหญิงเอง”และก่อนที่พระราชาจะทันห้ามเขาไว้ ขุนสังคีตก็แอบย่องออกไปจากท้องพระโรงอย่างเงียบเชียบ และเดินขึ้นบันไดหินอ่อนอันกว้างใหญ่ และตรงไปยังห้องบรรทมของเจ้าหญิงทันทีระหว่างนั้นเจ้าหญิงทรงเอนอยู่บนเตียง สายพระเนตรจับจ้องไปยังแสงดวงจันทร์ทางหน้าต่าง ขณะที่ในอุ้งหัตถ์ก็มีดวงจันทร์ทองคำ ซึ่งขุนสังคีตได้นำทูลถวายกำลังสะท้อนแสงอยู่แวววาว แต่ว่าคราวนี้ขุนสังคีตดูเศร้าซึมลงมาก และดูเหมือนว่าจะน้ำตาไหล“ได้โปรดบอกแก่หม่อมฉันเถิด เจ้าหญิง” เขาทูลถามอย่างโอดครวญ“เหตุใดดวงจันทร์ยังสามารถส่องสว่างในนภา ในเมื่อนำมาแขวนกับสร้อยทองและคล้องอยู่ในพระศอของเจ้าหญิงแล้ว”เจ้าหญิงทอดพระเนตรไปยังขุนสังคีตแล้วก็ทรงพระสรวล“มันง่ายนิดเดียวเอง ท่านก็เขลาไปได้” เจ้าหญิงตรัส“เมื่อพระทนต์ฉันหลุดไป พระทนต์ใหม่ก็ผุดขึ้นมาแทน มิใช่หรือ”“เป็นความจริง พะยะค่ะ” ขุนสังคีตทูลตอบ“เมื่อตัวยูนิคอนสูญเสียเขาในป่าหิมพานต์ จึงบันดาลให้เขาใหม่งอกขึ้นมากลางหน้าผาก”“ถูกต้องแล้ว” เจ้าหญิงตรัสเสริม“เมื่อคนดูแลอุทยานตัดเอาดอกไม้ ก็ยังมีดอกใหม่เกิดขึ้นมาทดแทน”“หม่อมฉันน่าจะคิดเช่นนั้น” ขุนสังคีตกล่าว“เฉกเช่นอย่างเดียวกันกับกลางวัน”“แล้วก็ดุจเดียวกันกับดวงจันทร์” เจ้าหญิงตรัส“ฉันคาดว่ามันก็น่าจะดุจเดียวกันกับทุกๆสิ่ง” น้ำเสียงของเธอต่ำลงและขาดหายไป ขุนสังคีตสังเกตเห็นว่าเจ้าหญิงทรงบรรทมและหลับไปแล้ว เขาจึงค่อยๆเหน็บผ้าห่มไปรอบๆเตียงบรรทมของเจ้าหญิงอย่างแผ่วเบาทว่าก่อนที่ขุนสังคีตจะออกจากห้องบรรทมของเจ้าหญิงไป เขาก็โผล่หน้าออกไปทางหน้าต่าง และขยิบตาให้กับดวงจันทร์ พลันขุนสังคีตก็เห็นเหมือนว่า ดวงจันทร์มันก็ขยิบตาตอบรับเขากลับมาเช่นเดียวกัน
กาลครั้งหนึ่งในอดีต ยุคดึกดำบรรพ์ ณ แดนดินถิ่นฐานย่านเอเชีย ยังมีเขตแคว้นแดนกันดาร ขนานนามว่าภูเวียระ ที่นั่นเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ประหลาดดุร้ายตัวหนึ่ง ซึ่งผู้คนเรียกกันว่างูซวง ลมหายใจของมันนั้นสามารถพ่นออกมาเป็นไฟและไอควันโดยผ่านทางรูจมูกอันใหญ่ นอกจากนั้นมันยังสามารถที่จะกลืนกินใครก็ตามที่บังอาจผ่านเข้าไปใกล้ๆ ไม่ว่าจะเป็น ช้าง ม้า วัว ควาย ผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กๆ ตลอดทั้งสัตว์ป่าอื่นๆผู้คนทั้งหลายจึงพากันหวาดกลัวและไม่กล้าที่จะออกจากบ้าน ส่วนพระราชาผู้เป็นใหญ่ก็ไม่อาจจะบรรทมหรือทรงพระสำราญอยู่ได้ ด้วยเป็นกังวลว่าจะกำจัดสัตว์ชั่วร้ายตัวนี้ออกไปจากบ้านเมืองได้อย่างไร ใครกันเล่าจะมีความกล้าหาญชาญชัย พอที่จะรับงานอันน่าหวาดกลัวเช่นนี้ เจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้มันมีไม่ต่ำกว่าสามหัว ซึ่งได้แก่ หัวแพะ หัวสิงโต และหัวอสรพิษ นอกจากนั้นมันยังสามารถพ่นเปลวไฟต่างลิ้นยาวๆของมันออกมาเผาผลาญป่าเขา หรือเหย้าเรือนให้วอดวายไปได้อย่างกว้างไกล ลำตัวของเจ้างูซวงนั้นคล้ายคลึงกับของมังกรส่วนหางของมันนั้นเหมือนกับของงูเหลือมในเวลานั้นยังมีหนุ่มน้อยผู้กล้าหาญอยู่คนหนึ่งนามว่า สินไชย ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระราชา ชายหนุ่มผู้นี้เองที่มีความปรารถนาใคร่แสดงความกล้าหาญเยี่ยงวีรบุรุษ ครั้นพระราชาทรงเสนอให้เขาออกไปทดสอบความแข็งแกร่ง โดยการเข้าต่อกรกับเจ้างูซวง เขาก็ยิ่งมีความกระตือรือร้นและขันอาสาที่จะรับภาระงานอันยิ่งใหญ่นี้ เขาจึงกราบทูลแก่พระราชาว่าเขาจักบั่นมันให้แดดิ้นหรือไม่มันก็จักต้องพินาศสิ้นลงด้วยกำลังของเขาแต่ทว่าสินไชยเองก็รู้อยู่เต็มอกว่า เขาไม่สามารถที่จะบั่นมันให้บรรลัยด้วยลำพังแห่งกำลังเขาเพียงคนเดียวก่อนที่จะได้เข้าประชิดตัว เขาคงจะถูกไฟบรรลัยกัลป์ของมันเผาผลาญกลายเป็นเถ้าถ่านเป็นแน่แท้ แต่เขาก็ทราบดีอีกด้วยว่า มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่จะสามารถให้ความช่วยเหลือแก่เขาได้ ผู้นั้นก็คือ ม้าปีกมหัศจรรย์แต่ว่าเขาจะจับม้าวิเศษตัวนั้นได้อย่างไร เพราะมันสามารถโผบินได้ราวกับนกอินทรีย์และเหินลอยอยู่สูงลิบเหนือหมู่เมฆ อีกทั้งไม่คุ้นเคยกับการบังคับขับขี่หรือมีบังเหียน พาชีผู้มีปีก ซึ่งชาวตะวันตกรู้จักในนามพีกาซัส เกือบจะเรียกได้ว่าเป็นสัตว์แห่งสรวงสวรรค์ และจะลงมายังพื้นโลกก็ต่อเมื่อต้องการดื่มน้ำจากสระอโนดาตแต่เพียงเท่านั้นในราตรีหนึ่งขณะที่สินไชยกำลังนอนหลับอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ เขาได้ฝันไปว่า มีผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ในชุดอันเหลืองอร่ามด้วยทองคำ สวมใส่มงกุฎส่งประกายระยิบระยับ เหาะลอยตรงมาที่เขา แล้วนางก็กล่าวต่อสินไชยว่า“เธอจงตื่นนอนเถิด แล้วจงไปจับเอาม้าปีก เวลาที่เขาลงมาดื่มน้ำจากสระอโนดาต”พร้อมกันนั้นนางก็ยื่นสายบังเหียนและลูกบังเหียนทองคำ ซึ่งสะท้อนแสงอยู่แวววาว ให้กับเขาและกล่าวอีกว่า“ทันทีที่เธอใส่ลูกบังเหียนทองคำไว้ระหว่างฟันและสวมสายบังเหียนลงที่หัวของเขา ม้าปีกก็จะเชื่อฟังในคำสั่งและพาเธอเดินทางอย่างปลอดภัย เพื่อไปยังดินแดนของงูซวง”ครั้นสินไชยตื่นนอน เขาก็เห็นสายบังเหียนและลูกบังเหียนทองคำวางอยู่ข้างๆตัว เขาจึงเชื่อว่าผู้หญิงที่มาในฝันนั้น ย่อมเป็นนางฟ้าผู้ปรารถนาดี ซึ่งถูกส่งลงมาให้ความช่วยเหลือแก่เขาอย่างแน่นอนหลังจากรอนแรมมาหลายเพลา จนกระทั่งในวันหนึ่ง สินไชยก็เดินทางมาถึงยังสระอโนดาต เขาจึงเข้าไปซ่อนตัวอยู่ระหว่างโขดหินและเฝ้าคอยทีม้าปีกจะลงมา จนเวลาผ่านไปนานพอสมควร เขาก็ได้ยินเสียงกระพือปีกกำลังแหวกม่านผ่านเมฆลงมา ทันใดนั้นม้าสีขาวจ้า จนพร่าแก่สายตาที่จ้องมองก็ค่อยๆปรากฏตัวขึ้นอย่างละมุนละไม มันค่อยๆม้วนพับเก็บปีกเข้าที่ แล้วก็ลงเหยียบสัมผัสพื้น และยืนอยู่ข้างธารทิพย์ ชั่วอึดใจนั้นสินไชยต้องแสงมหัศจรรย์อันเจิดจ้าจนพร่ามัว เกินกว่าที่จะเพ่งมองได้ เขาจึงจดจ้องมองจากเงาของม้าที่อยู่ในน้ำแทน ทันทีที่ม้าปีกก้มหัวลงต่ำเพื่อจะดื่มน้ำ รวดเร็วปานสายฟ้าแลบ สินไชยพุ่งทะยานออกจากที่กำบังด้านหลัง และตวัดสายบังเหียนครอบหัวของมันพร้อมๆกับกระโดดขึ้นคร่อมขี่บนหลังของมันโดยฉับพลันในเวลาเดียวกันกับเจ้าพาชีผู้มีปีก ก็ทะยานขึ้นสู่เวหาด้วยพลังปีกของมันเพียงกระพือเดียว โอ!วิวที่เห็นจากเบื้องบนมันช่างสุดแสนจะสวยวิเศษอะไรเช่นนี้ เจ้าสัตว์สีขาวเจิดจ้าสง่างาม มีหางและแผงที่ปลิวสะบัด กำลังพาเขาล่องเหินไปในอากาศและมันก็กำลังดิ้นรนเพื่อสลัดให้ผู้ขับขี่ตกไปจากหลังของมัน มันพุ่งตัวไปอยู่เช่นนี้และเพิ่มความเร็วอย่างรุนแรงยิ่งขึ้น จนสินไชยแทบจะหายใจไม่ทัน มันบิดตัวและทะยานใส่หมู่เมฆกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า แต่เขาก็พยายามเกาะเอาไว้ไม่ให้หลุด ต่อมามันก็พาพุ่งเหินขึ้นสูงลิบและยังสูงขึ้นไปอีกในเมฆา จากนั้นมันก็แสดงความบ้าระห่ำ ด้วยการหกคะเมนตีลังกา และตีปีกอยู่ไปมาอย่างน่าหวาดกลัว พลันมันก็พุ่งหลาวลงสู่เบื้องต่ำอีกครั้งหนึ่ง แต่สินไชยก็ยังเกาะแน่นอยู่บนหลังของมันอย่างมั่นคง และคราวนี้ล่ะที่เขาได้โอกาสใส่ลูกบังเหียนวิเศษสอดเข้าไปในระหว่างฟันของมัน ทันทีที่เขาทำสำเร็จ มันก็กลับอาการเป็นสงบนิ่งและตอบรับการสัมผัสจากผู้ขับขี่อย่างน่าอัศจรรย์สินไชยจึงลูบไล้มันเพียงเบาๆ และกล่าวอย่างนุ่มนวลแต่เป็นการด่วนว่า“ฉันต้องการความช่วยเหลือจากท่าน พาชีผู้มีปีก หากปราศจากท่านเสียแล้ว ฉันก็ไม่สามารถจะบั่นคอเจ้างูซวงและกำจัดซึ่งความหวาดกลัวออกไปจากแดนดินถิ่นภูเวียระได้”คราวนี้พาชีผู้มีปีกจึงเริ่มโบยบินไปอย่างนุ่มนวล แล้วก็พาเขาร่อนกลับลงมายังบริเวณสระอโนดาต ในมือเขายังกุมบังเหียนเอาไว้ ขณะที่กระโดดแผล็วลงจากหลังเจ้าพาชี เขาก็สังเกตเห็นสองตาของมันเอ่อท้นไปด้วยน้ำตาความกล้าหาญที่มีจึงกลับกลายเป็นความโศกสลดและสงสาร เขารู้ตัวว่าเขาได้ดักจับเอาสัตว์มหัศจรรย์แห่งฟากฟ้า และพรากไปเสียซึ่งความเป็นอิสรภาพของมัน เขาจึงไปถอดเอาบังเหียนออกแล้วกล่าวแก่มันว่า“ท่านพาชีผู้มีปีก มันไม่เป็นการบังควรเลยที่ฉันจะเอาไปเสีย ซึ่งความเป็นอิสรเสรีของท่าน ในการท่องนภาและเหินฟ้าไปในหมู่เมฆโดยปราศจากบังเหียน”เขากล่าวพลางม้าปีกก็ทะยานขึ้นสู่อากาศ พออยู่ในระดับความสูงราวเหนือยอดขุนเขา สินไชยก็จำต้องเบือนหน้าหนีด้วยความเศร้าเสียดาย แต่อีกใจหนึ่ง เขาก็รู้สึกปลื้มปิติและยินดีที่ได้ให้ไปซึ่งความเป็นอิสระแก่ม้าชั้นยอดแต่แล้วทันใดนั้นเอง ความสุขและความรู้สึกลิงโลดใจอย่างบอกไม่ถูกก็บังเกิดขึ้น เมื่อเขาได้ยินเสียงกระพือปีกอยู่ข้างหลัง และพลันส่วนหัวของเจ้าพาชีก็มาซุกอยู่ใต้แขนของเขา ครั้นเห็นเช่นนั้น สินไชยจึงปักใจเชื่อว่าเจ้าพาชีผู้มีปีกได้กลับมาหาเขาเอง และเป็นไปตามความปรารถนาของมัน เพื่อจักได้ให้ความช่วยเหลือแก่เขาในภาระงานอันยิ่งใหญ่นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา พาชีผู้มีปีก ก็ให้ความเชื่อฟังแก่ผู้ขับขี่ทุกประการแม้แต่เพียงการสัมผัสและกระซิบเบาๆ ดังนั้นคนและม้าจึงได้เริ่มต้นฝึกฝนวิทยายุทธ์ด้วยกัน ประหนึ่งว่ากำลังต่อสู้อยู่กับศัตรูจริงๆ พวกเขาเหยาะย่างไปในอากาศ เอี้ยวตัวกลับอย่างฉับพลันและโผนทะยานขึ้นสูงลิ่ว แล้วกลับพุ่งปราดปลิวถลาลง จากนั้นหยุดยืนทรงตรงนิ่งอย่างสงบอยู่เหนือหมู่เมฆ การฝึกฝนเช่นนี้ได้ดำเนินติดต่อกันไปเป็นเวลาหลายวัน จนกระทั่งสินไชยและพาชีผู้มีปีกต่างก็เรียนรู้กันจนสิ้นและรู้ใจซึ่งกันและกันเป็นอย่างดีเมื่อวันเวลาแห่งการพบกันของสินไชยและงูซวงมาถึง เขาก็ฉวยเอาดาบอันวาววับกับโล่กำบังแล้วก็กระโดดขึ้นขี่หลังเจ้าม้าปีก ทะยานขึ้นเวหา ถลาบินข้ามทะเล ถิ่นกันดาร ด่านสิงขร ดอนป่า และถิ่นศิลาแลง จนกระทั่งมาถึงเถื่อนถ้ำอันห่างไกล ที่ซึ่งไม่มีสิ่งใดให้เห็นเลย นอกเสียจากซากกระดูกสุมกันอยู่มากมาย ณ ที่ตรงนี้เองคือถ้ำของสัตว์ชั่วร้าย สินไชยจึงกระตุกที่แผงของเจ้าพาชีพลางพูดว่า“ท่านพาชีผู้มีปีกอันเป็นที่รัก ฉันจะไม่ขอให้ท่านก้าวล้ำเข้าไปมากกว่านี้ ฉันไม่ต้องการให้สรีระอันงดงามของท่านต้องมาพิการเพราะลมหายใจของงูซวง จงปล่อยให้ฉันลงไปต่อสู้กับมันเพียงลำพังบนดินเถิด”แทนคำตอบ พาชีผู้มีปีก กลับหันหัวเอาจมูกมาดุนแขนของสินไชยความหมายเป็นนัยเช่นนี้ ยิ่งทำให้เขาบังเกิดความฮึกเหิม สินไชยจึงกระชับดาบแน่นไว้ในมือ แล้วพาเจ้าม้าปีกเหยาะย่างตรงไปยังปากถ้ำ เขาทั้งสองต้องผจญกับเสียงคำรามอันน่าสะพรึงกลัวที่สุดและถูกบดบังด้วยเปลวไฟและควันดำซึ่งกำลังพ่นออกมาจากปากถ้ำของงูซวง กลิ่นเหม็นของควันกำมะถันทำเอาเจ้าม้าปีกถึงกับผงะและสำลัก ในขณะที่สินไชยเองก็จามอย่างรุนแรงและต้องคอยปิดป้องดวงตาเอาไว้ แต่เพียงชั่วเศษเสี้ยวของวินาทีนั่นเอง พอเขาละมือที่ป้องตาออก เจ้าม้าชั้นยอดของเขาก็โผถลาลงราวกับสายฟ้าแลบ และพุ่งดิ่งไปยังตำแหน่งสามหัวของมัน ซึ่งกำลังส่ายไปมาอย่างเกรี้ยวกราด มองดูราวกับอสรพิษร้ายน่าเกลียดน่ากลัวถึงสามตัว ในขณะที่เจ้าม้าปีกก็ผกผันกลับตัวอย่างชำนิชำนาญ และเป็นจังหวะเดียวกันกับที่สินไชยได้โอกาส จึงเงื้อดาบฟันฉับลงที่หัวๆหนึ่งของมันระหว่างที่มันกำลังพ่นเปลวไฟออกมา พอเขาเหลือบลงไปดูอีกที ก็เห็นว่าหัวที่ได้รับบาดเจ็บอย่างแสนสาหัส มีเลือดกำลังไหลออกมาและแน่นิ่งคลุกฝุ่นอยู่นั้นคือหัวแพะเจ้าสัตว์ชั่วร้ายจึงคำรามลั่นด้วยความดุดันยิ่งขึ้น พร้อมกับฉกเข้าใส่สินไชยและม้าปีกของเขาเป็นพัลวัน กรงเล็บอันน่าขยะแขยงของมันก็ตะปบออกมาอยู่ปับๆ ส่วนหางก็คอยตวัดกวัดแกว่งและฟาดฟัดไปมาอย่างบ้าคลั่งขณะที่ความชาญฉลาดของพาชีผู้มีปีกนั้นก็คือ จะต้องคอยระแวดระวังไม่ให้ถูกทำร้ายหรือถูกจับได้ รวดเร็วปานสายฟ้า พาชีทะยานสูงขึ้นไปแล้วก็หวนพุ่งกลับลงมาอีกครั้ง จึงเป็นการเปิดโอกาสให้กับสินไชยได้ทีและฟันดาบลงบั่นหัวสิงโตของมันโดยฉับพลันหัวสิงโตก็เป็นอันชะตาขาด ซวนซบลงไปแน่นิ่งจมกองเลือดอยู่เคียงข้างหัวแพะของมันนั่นเอง หัวงูซวงที่เหลือจึงเป็นหัวอสรพิษหรือหัวพญางูใหญ่ ซึ่งมีพิษมหาศาล และกำลังขู่ฟ่อๆอยู่ทีเดียว มันบิดตัวอยู่เร่าๆเพราะความโกรธจัด แล้วมันก็ชูลำตัวผงาดขึ้นและยืนอยู่บนหางของตัวเองเพื่อจะคอยดักจับศัตรูผู้ชาญฉลาดของมัน คราวนี้สินไชยได้รวบรวมพละกำลังที่มีทั้งหมดอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็ควบม้าชั้นยอดตรงรี่เข้าหามันเป็นครั้งสุดท้าย เสียงคำรามและกรีดร้องของงูซวงนั้นน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงยิ่งนัก แม้จะอยู่ห่างไกลออกไปหลายไมล์ พระราชาและพลเมืองของพระองค์ยังต้องอกสั่นขวัญแขวนเมื่อได้ยินเสียงของมัน อย่างไรก็ตาม คราวนี้เจ้าสัตว์ชั่วร้าย มันกระโจนเข้าใส่ศัตรูของมัน และเกาะติดสีข้างของเจ้าม้าปีกเอาไว้ ในขณะที่เจ้าพาชีเองก็ทะยานเหินสู่หมู่เมฆาเวลานี้สินไชยรู้ตัวว่ากำลังถูกหางของงูซวงรึงรัดอยู่รอบเอว และเปลวไฟอันร้อนแรงก็เผาลนอยู่ที่ใบหน้า และยังเห็นมันกำลังอ้าปากหวาพร้อมจะกลืนกินเขาอยู่ลอมล่อ เขาจึงใช้โล่กำบังคอยปกป้องตัวเองเอาไว้ พอได้จังหวะเขาก็ใช้พละกำลังทั้งหมดจ้วงแทงด้วยดาบ โดยปักเข้าตรงคอหอยจนจมมิดด้าม และยังทะลวงลึกจนตัดขั้วหัวใจของมัน เจ้างูซวงกรีดร้องเสียงหลงจนหูแทบแตก พร้อมๆกันนั้นหางอันทรงพลังของมันที่พันรอบตัวสินไชยอยู่ ก็คลายออก ส่วนที่เรียกว่าซากของสัตว์ชั่วร้ายจึงร่วงลง และลอยละลิ่วตกสู่บริเวณถ้ำของมันเองยังเบื้องล่างพอตกถึงพื้นดินซากของมันก็ถูกเผาผลาญวอดวายด้วยเปลวไฟอันเกิดจากตัวของมันนั้นเองเจ้าพาชีผู้มีปีกจึงโผบินสูงขึ้นไปๆ อย่างสง่าผ่าเผย สู่ดินแดนแห่งสรวงสวรรค์ ในขณะที่สินไชยก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบดูซากสัตว์ชั่วร้ายและความพินาศของมันเป็นครั้งสุดท้าย ในเวลาต่อมาม้ามหัศจรรย์ก็ได้โบยบินกลับลงมายังพื้นโลก ทันทีที่ถึงพื้นดินผู้ขับขี่ก็ลงจากหลังและเข้าไปสวมกอดยอดม้าผู้กล้าหาญของเขาและเอาใจใส่ดูแลบาดแผลให้ด้วยเหตุนี้ แดนดินถิ่นภูเวียระ จึงอยู่เย็นเป็นสุข ปราศจากความหวาดผวางูซวง นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ทั้งนี้ก็ด้วยความกล้าหาญและเสียสละ ของผู้ที่สมควรได้รับการขอบคุณและกล่าวขวัญถึงเป็นอย่างยิ่ง สินไชยและพาชีผู้มีปีก เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
ตามตำนานกรีกโบราณ ย้อนอดีตกาลไปหลายศตวรรษ เล่าขานกันมาว่า มีกษัตริย์พลัดถิ่นพระองค์หนึ่งนามว่าพระเจ้าเอกภพ สัญจรรอนแรมไปตามป่าเขาลำเนาไพร ทรงเสด็จดำเนินไปเพียงลำพังสองพระองค์กับพระราชโอรสผู้ทรงพระเยาว์นามว่าเจ้าชายเจนภพ พระราชบิดาทรงแบกพระราชกุมารผู้อ่อนวัยไว้บนไหล่ตลอดการเดินทาง ด้วยพระองค์ทรงถูกน้องเขยผู้มีจิตใจอันอำมหิต นามว่าพระเจ้าไพลาศ แย่งชิงเอาราชสมบัติไปอย่างไร้ความชอบธรรม มิหนำซ้ำยังขับไสไล่ส่งให้พระองค์พ้นจากอินทรนครสองพ่อลูกจึงต้องหลบหนีและซัดเซพเนจรเพื่อเอาชีวิตของตนให้รอดพ้นไว้ก่อน สองเท้าย่ำป่า ฝ่าดง ลงหุบเหวปีนผา ฝ่าเขาสูง รอนแรมมาเป็นระยะทางอันยาวไกลจนในที่สุดก็มาถึงยังถ้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่บริเวณหน้าตีนผาอันสูงชัน ถ้ำแห่งนี้เป็นที่พำนักของมนุษย์อาชาไนยนามว่าธนู ซึ่งเขาเองก็มีรูปร่างเหมือนมนุษย์อาชาไนยโดยทั่วไป กล่าวคือธนูมีร่างกายเป็นคนตั้งแต่ส่วนหัวถึงเอว แต่ส่วนที่ต่ำกว่าเอวลงมานั้นเป็นม้าชั้นดีมีสง่า ธนูเป็นผู้ที่ฉลาดหลักแหลมและมีความเมตตากว่าคนทั้งมวลในโลก ผมสีขาวของเขาสยายตกมาปรกไหล่ ในขณะที่หนวดเคราอันยาวและหงอก ออกสีเงิน ถูกปล่อยลงมาปิดคลุมไปครึ่งหน้าอกอันใหญ่และผึ่งผายของเขาพระเจ้าเอกภพจึงได้มอบเจ้าชายเจนภพให้อยู่ในความดูแลของท่านธนู เพื่อให้เจ้าชายผู้ยังเยาว์วัย ได้อยู่ศึกษาเล่าเรียนวิทยาการและสรรพศิลป์ทั้งมวล อันจักเป็นคุณสมบัติแห่งมกุฎราชกุมารจะพึงมีสืบไป วงศ์กษัตริย์จากหลายแว่นแคว้นแดนไกลในอดีต ต่างก็เคยส่งพระราชกุมารมาอยู่ศึกษาเล่าเรียนสรรพศิลป์ต่างๆจากท่านธนูด้วยไม่มีสิ่งใดเลยในโลกหล้าที่ท่านธนูจะไม่สามารถประสิทธิ์ประสาทให้กับพระราชกุมารเหล่านั้นได้ ท่านมีความสามารถในการบรรเลงพิณได้อย่างไพเราะเสนาะกังวาน ทั้งเชี่ยวชาญยิงธนูด้วยฝีมืออันฉมัง ขับเพลงดั่งมนต์ขลังใครได้ฟังต้องพะวง เล่าตำนานดั่งใจจงย้อนอดีตแต่บรรพกาล อีกทั้งยังชำนาญการยุทธ์ใช้หอกและดาบทั่วทั้งยุทธภพไร้ซึ่งคนทาบทันในฝีมือเจ้าชายเจนภพผู้ยังอยู่ในวัยเด็กเวลานั้น หัวใจจึงเต็มเปี่ยมไปด้วยความชื่นชอบและศรัทธาในท่านอาจารย์เป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้ก็เพราะเจ้าชายทรงทึ่งในความสามารถอันไร้ขีดจำกัดของท่านธนูนั่นเอง นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเจ้าชายเจนภพจึงเติบโตขึ้นในสำนักของท่านธนู ท่ามกลางบุคคลอื่นๆร่วมสำนัก อาทิ วีรบุรุษผู้กล้าทั้งหลาย และเจ้าชายจากต่างเมืองอื่นๆวันเวลาผ่านไป หนุ่มน้อยเจนภพได้เจริญวัยเป็นผู้ใหญ่ที่แกร่งกล้า ใบหน้าสง่างาม ลือนามเพลงขับขาน เชี่ยวชาญการเต้นรำ ดีดพิณพร่ำอย่างเพราะพริ้ง เก่งช่วงชิงอย่างมีชั้นเชิงในการล่า ขับขี่ม้าอย่างชำนาญ ทั้งห้าวหาญในการปล้ำ และแม่นยำในการรักษา จนได้รับสมญานามว่า เจนภพครบเครื่องยาในที่สุดเวลาแห่งการจากถ้ำ ถิ่นพำนักของเจ้าชายเจนภพก็มาถึง เมื่อเขามีภาระต้องเดินทางกลับไปจัดการลงทัณฑ์กับพระเจ้าไพลาศผู้ทรยศ ผู้ซึ่งเคยก่อกรรมทำเข็ญกับพระเจ้าเอกภพ ผู้เป็นพระราชบิดาของเขา การเดินทางจากไปในคราวนี้ดูจะนำมาซึ่งความโศกเศร้าแก่ท่านอาจารย์ผู้ชาญฉลาดของเขาอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อถึงกาลเวลา สิ่งใดก็ไม่อาจจะหยุดยั้งได้ เขาพาดไหล่อันกว้างใหญ่และสง่างามของเขาด้วยผ้าหนังเสือลายพร้อย มือทั้งสองกระชับหอกไว้คู่กาย ครั้นอำลาท่านอาจารย์แล้วก็ออกสัญจรรอนแรมไปตามเส้นทางอันยาวไกลในระหว่างที่เดินทาง เจ้าชายยังใส่รองเท้าอันประณีตสวยงาม ที่สลักทำด้วยทองคำ ซึ่งก็เป็นสมบัติของพระราชบิดาของเขานั่นเองในวันหนึ่ง เมื่อเจ้าชายเจนภพมาถึงบริเวณตีนเขาอันสูงตระหง่าน มีลำธารที่เชี่ยวกรากหลากไหล กระแสน้ำมีความรุนแรงอย่างน่ากลัว อันเนื่องมาแต่ห่าฝนที่เพิ่งกระหน่ำลงมาอย่างหนัก ณ ที่ฝั่งน้ำเขาเหลือบเห็นหญิงชราผู้หนึ่ง มีขนนกยูงประดับอยู่ที่ไหล่ กำลังรีๆรอๆ ด้วยนางมิกล้าที่จะข้ามลำธารอันน่ากลัวนั้น หนุ่มแน่นเจนภพจึงให้รำลึกถึงคำสอนสั่งของท่านอาจารย์ที่ว่า“ผู้แข็งแรงจักต้องให้ความช่วยเหลือผู้อ่อนแอ”ถึงแม้เขาเองก็ยังกึ่งกล้ากึ่งกลัวที่จะก้าวเท้าลงไปในลำธาร แต่เขาก็เข้าไปเสนอความช่วยเหลือแก่หญิงชราคนนั้นเพื่อพานางข้ามลำธาร แต่ปรากฏว่าหญิงชราผู้นั้นกลับมีน้ำหนักไม่เบาเอาเสียเลย ในขณะที่เขาก็ต้องฝ่าฟันกับกระแสน้ำที่ปั่นมาอย่างรุนแรง แทบจะผลักและพัดพาให้ขาและน่องของเขาเซถลาไปตามแรงน้ำ ซ้ำร้ายเท้าเขายังไปสะดุดเข้ากับท่อนไม้ใต้น้ำที่ถูกพลังกระแสน้ำถอนรากถอนโคนพัดพามา จนเขาต้องถลาเซซวน แต่ก็สามารถทรงตัวไว้ได้และเดินลุยต่อไป ขณะที่กำลังจะก้าวขึ้นฝั่งตรงกันข้ามได้ รองเท้าข้างหนึ่งก็เผอิญติดหนับเข้ากับโคลนตมที่อยู่ใต้ท้องลำธาร ทันทีที่ก้าวขึ้นฝั่งไป รองเท้าข้างนั้นก็หลุดจากเท้าของเขาและถูกน้ำพัดพาจมหายไปในกระแสน้ำเชี่ยว แต่ที่สุด เขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ระหว่างที่ค่อยๆบรรจงวางหญิงชราลงอย่างระมัดระวัง ทว่าทันใดนั้นเขาก็ต้องตกตะลึง เมื่อหญิงชราเปลี่ยนร่างเป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่แห่งเทพธิดาทั้งมวล พระนางคือเทพธิดาเฮร่า ผู้เป็นมเหสีในเทพเจ้าซีอุส พระนางได้สัญญาที่จะให้ความช่วยเหลือแก่เขาเมื่อไหร่ก็ตามที่เขาต้องการความช่วยเหลือ จากนั้นก็อันตรธาน หายวับไปกับอากาศ คงปล่อยให้เจ้าชายเจนภพ ยืนเปียกโชก เหลือรองเท้าเพียงข้างเดียว และเหลียวซ้ายแลขวาแทบจะไม่หายใจด้วยความพิศวงหลังจากรอนแรมมาไกล ในที่สุดเจ้าชายผู้ใส่รองเท้าข้างเดียวก็มาถึงยังอินทรนคร ผู้คนตามถนนรนแคมต่างก็จ้องมองหนุ่มแปลกหน้าผู้งามสง่าซึ่งสวมใส่เสื้อผ้าด้วยหนังของเสือ แต่ครั้นพวกเขามองดูที่เท้าต่างก็กระซิบกันว่า“ดูนั่น เขาใส่รองเท้าเพียงข้างเดียว!” การกระซิบต่อกันจนกลายเป็นเสียงขรม ไม่นานก็ได้ยินเสียงคนตะโกนบอกกันดังมาจากทุกทิศทาง“ชายผู้มีรองเท้าข้างเดียวมาถึงแล้ว ชายผู้มีรองเท้าข้างเดียวมาถึงแล้ว!” พอข่าวนี้ล่วงรู้ไปถึงพระราชาพระองค์จึงกลัวจนตัวสั่นด้วยเคยมีคำพยากรณ์ไว้ว่า สักวันหนึ่งจะมีชายผู้สวมรองเท้าเพียงข้างเดียวเดินทางมาถึงแล้วก็จักเอาไปเสียซึ่งพระราชอาณาจักรของพระองค์ อย่างไรก็ตามพระองค์ก็ทรงแสร้งทำเป็นโปรดปราณที่ได้พบเห็นกับชายหนุ่มแปลกหน้า และยังทรงตรัสแก่เจ้าชายเจนภพว่า เขาคือบุคคลที่พระองค์กำลังรอคอยอยู่เพราะว่าพระองค์กำลังต้องการชายหนุ่ม ผู้กล้าหาญ เข้มแข็ง และบังอาจพอที่จะล่วงล้ำไปยังดินแดนแห่งโคจรบุรีเพื่อนำเอาเสื้อขนแกะทองคำกลับมาเจ้าชายเจนภพก็พอทราบเรื่องราวเกี่ยวกับเสื้อขนแกะทองคำนี้เป็นอย่างดี ซึ่งมันถือกำเนิดมาจากแผ่นหลังของแกะขนทองคำมหัศจรรย์ และครั้งหนึ่งแกะมหัศจรรย์ตัวนี้ เคยช่วยชีวิตเด็กพี่น้องสองคน คือ เฮลเล่ และพรีซัสไม่ให้ถูกแม่เลี้ยงฆ่าตาย ด้วยการให้เด็กทั้งสองขึ้นขี่บนหลัง แล้วก็พาเหินฟ้าหนีไป แต่เฮลเล่ เด็กผู้หญิงได้พลัดตกจากหลังแกะและร่วงลงไปในทะเล (ซึ่งรู้จักกันในเวลาต่อมาว่าเฮลเล่สปอนต์) ส่วนพรีซัสเดินทางไปจนถึงดินแดนแห่งโคจรบุรี และนำสุพรรณภูษาหรือเสื้อขนแกะทองคำไปพาดไว้ที่กิ่งของต้นโอ๊คใหญ่ เหตุนี้ป่าทึบบริเวณนั้นจึงสว่างไสวและแวววาวไปด้วยประกายจากทองคำ ซึ่งแผ่กระจายขยายรัศมีออกไปโดยรอบตั้งหลายไมล์ ในเวลานี้ยังมีมังกรดุร้ายตัวหนึ่ง ซึ่งไม่เคยมีเวลาหลับนอนเลย คอยเฝ้าระวังรักษาเขตป่าโคจรบุรีแห่งนั้นอยู่ ความพยายามของวีรบุรุษผู้กล้าทั้งหลายที่จะนำเอาเสื้อขนแกะทองคำออกมา ต่างก็ล้มเหลว การอาสากล้าเผชิญและเดินสู่ที่แห่งนั้นก็หมายถึงความตายอย่างแน่นอน เจ้าชายเจนภพรู้ดีในเรื่องนี้และยังรู้ด้วยว่าแท้จริงแล้วพระเจ้าไพลาศแฝงไว้ซึ่งความประสงค์ที่จะกำจัดเขานั่นเอง จึงทรงชักนำให้เดินทางไปชิงเอาเสื้อขนแกะทองคำ พลันเขาก็ได้ยินเสียงกระซิบของเทพธิดาเฮร่า (ผู้ซึ่งเคยแปลงร่างเป็นหญิงชรา มาลองใจเขา ถึงความกล้าหาญและความมีเมตตาโดยขอร้องให้ช่วยพาข้ามลำธารอันเชี่ยวกรากในคราวนั้น) พระนางกระซิบว่า“อย่าได้หวั่นกลัวไปเลย เจนภพ ฉันจักช่วยเธอเอง”ดังนั้นเขาจึงจ้องตรงและมองลึกเข้าไปในดวงเนตรของพระเจ้าไพลาศและกล่าวขึ้นอย่างเยือกเย็นว่า“หม่อมฉันจักไปชิงเอาเสื้อขนแกะทองคำและนำมันกลับมา ณ ที่นี้ หรือไม่ก็ม้วยมรอยู่ ณ ที่นั้น แต่มีเงื่อนไขอยู่ว่า”“เจ้ามีเงื่อนไขว่ากระไรหรือ เจนภพ” พระราชาตรัสถาม“พระองค์จักต้องสละและคืนสิทธิ์อันชอบธรรมแห่งราชอาณาจักร ซึ่งเป็นสิทธิ์ของพระบิดาหม่อมฉันอยู่แต่เดิม” เจ้าชายเจนภพกล่าว“ฉันขอสัญญาด้วยความสัตย์จริงว่าฉันจักคืนให้” พระราชาตรัสด้วยเสียงอันดัง แต่ในทางตรงกันข้ามพระองค์กลับดำริในพระทัยว่า “ดีล่ะ มันคือจุดจบของเขา”แล้วพระองค์ก็ทรงกระหยิ่มกับตัวเองอย่างมีเลศนัย ด้วยทรงมั่นพระทัยว่า พระองค์ได้ลวงชายหนุ่มผู้กล้าหาญให้เข้ามาติดกับดักแห่งภารกิจมรณะเป็นที่เรียบร้อยแล้วเช้าวันต่อมาเมื่อฟ้าสางย่างเยือนรุ่งอรุณ สิ่งแรกที่เจ้าชายเจนภพต้องทำก็คือออกไปขอคำแนะนำจากต้นไม้มหัศจรรย์ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม ต้นโอ๊คพูดได้ ลำต้นสูงตระหง่านเกินกว่าหนึ่งร้อยฟุต อยู่ ณ ใจกลางพันธุ์ไม้ป่าดึกดำบรรพ์ดงโดโดน่า“ฉันจักต้องทำประการใด” เขาถาม“เพื่อให้ได้มาซึ่งเสื้อขนแกะทองคำ” โดยการสั่นไหวของใบไม้ที่หนาดก เจ้าชายเจนภพได้ยินเสียงตอบมาอย่างชัดเจนว่า“จงไปหาช่างต่อเรือนามว่า อากาศะ และขอให้เขาต่อเรือรบขนาดห้าสิบฝีพาย”สมจริงทีเดียวในอินทรนครนั่นเอง เขาสามารถเสาะหาช่างต่อเรือจนพบ ซึ่งตกลงรับทำงานต่อเรือให้เขาทันทีโดยได้รับความช่วยเหลือจากลูกมือจำนวนมากมาย ซึ่งหวังแค่การเรียนรู้เอาทักษะการต่อเรือจากนายช่างอากาศะเพียงเท่านั้น ครั้นการต่อเรือสำเร็จลงเป็นที่เรียบร้อย พวกเขาจึงพากันขนานนามเรือลำนั้นว่า อาโปผู้คนทั้งใกล้และไกลต่างหลั่งไหลพากันมาชื่นชมเรืออาโปกันอย่างล้นหลาม เพราะเหตุว่าไม่เคยมีการต่อเรือที่มีขนาดใหญ่และหนักเอามากถึงเพียงนี้มาก่อน ต่อมาเจ้าชายเจนภพก็ไปขอคำแนะนำจากต้นโอ๊คพูดได้อีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ต้นไม้บอกให้เขาตัดเอากิ่งแรกของต้นโอ๊คนั้น และนำไปแกะสลักเป็นรูปนางกินรีเพื่อประกอบเข้าเป็นส่วนหัวของเรืออาโป หลังจากเขาทำตามคำแนะนำนั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็ต้องแปลกประหลาดใจเมื่อได้ยินเสียงพูด ดังออกมาจากปากของนางกินรีที่หัวเรือ“จงส่งคนนำสาส์นออกไป” คือเสียงที่ดังมาจากหัวเรือ“เพื่อแจ้งให้วีรบุรุษผู้กล้าทั้งหลายและเจ้าชายทุกๆพระองค์ ที่เคยร่วมศึกษาเล่าเรียนในถ้ำของท่านธนู โดยเป็นการร้องขอในนามของท่าน เพื่อแสวงหาเพื่อนร่วมเดินทาง ให้ได้ทั้งหมดจำนวนสี่สิบเก้าคน สำหรับการไปชิงเอาเสื้อขนแกะทองคำ”ดังนั้นคนนำสาส์นจึงถูกส่งออกไปยัง ทุกๆเมืองและตำบลต่างๆ ทั่วทั้งอาณาเขตประเทศกรีซ (พื้นที่ในปัจจุบัน)“ใครมีความกล้าหาญชาญชัย เจ้าข้าเอ๊ย!” เสียงคนนำสาส์นป่าวประกาศ“ผู้ใดใจกล้าที่จะไปช่วยพายเรือให้กับเจ้าชายเจนภพ และมีความอาจหาญพอที่จะไปประสบ พบเผชิญกับมังกรมหาภัย เพื่อชิงชัยเอาเสื้อขนแกะทองคำ แล้วนำกลับมายังอินทรนคร”ข่าวนี้ทำให้หัวใจของชายหนุ่มทุกผู้ทุกนาม ล้วนแต่มีความกระสันฝันใฝ่ถึงแม้จะเกินวิสัยสำหรับการร้องขอ แต่ก็สนใจอาสาสมัครมากันอย่างล้นหลาม ทว่าเจ้าชายก็จำเป็นต้องคัดเลือกเอาเพียงจำนวนจำกัดคือสี่สิบเก้าคนเท่านั้น โดยคัดเลือกจากผู้ที่มีประสบการณ์ผ่านพ้นภยันตรายนาๆจากการต่อสู้ ตัวอย่างวีรบุรุษผู้กล้าหาญเหล่านั้นได้แก่ คู่ฝาแฝด พอลลัส และ คัสเตอร์ เฮอคิวลีส ธีสซีออส และ ออร์ฟีอุส โดยเฉพาะออร์ฟีอุสนั้น มีความสามารถในการขับกล่อมและดีดไลร์ (เครื่องดนตรีประเภทสายของชาวกรีกโบราณ) ได้อย่างไพเราะจับใจ ดุจดังมีมนต์ขลัง แม้นแต่สัตว์ป่าดุร้ายเพียงได้ฟัง ก็จังงังนั่งเหม่อ ไม่เผลอกัด กลายเป็นสัตว์เชื่อง แต่หากเขาดีดด้วยท่วงทำนองอันเร่งเร้าเขย่าขวัญ ทำให้ทั่วไพรวัลย์สั่นคลอนถึงถอนราก เกิดกำลังมากถึงลากกลิ้งโขดสิงขร หล่นจากเขาเป็นศิลาบ้าฝ่าดงดอน คือบางตอนจากนิ้วกรีดเพียงดีดไลร์เมื่อกำลังคนพร้อมเพรียงแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะนำเรืออาโปลงทะเล แต่แล้วก็ปรากฏว่า พวกเขาไม่สามารถจะขยับเขยื้อนเรือได้ เนื่องจากความใหญ่โตและน้ำหนักอันมหาศาลของเรืออาโปนั่นเอง นอกจากนั้นสันใต้ท้องเรือยังจมลึกลงไปในทราย ดังนั้นเจ้าชายเจนภพจึงขอคำแนะนำจากหัวเรือนางกินรีมหัศจรรย์อีกครั้ง ซึ่งส่วนของกิ่งไม้โอ๊คพูดได้แนะนำว่า“จงให้ออร์ฟีอุสดีดไลร์บรรเลงบทเพลงอันนุ่มนวล”ด้วยเหตุนั้น เหล่าวีรบุรุษทั้งหลายจึงพากันยกไม้หมอนมาถือรอไว้อย่างมั่นคง ในขณะที่ออร์ฟีอุสก็เริ่มบรรเลงเพลงดีดไลร์ โอ ท่านทั้งหลายจงดูนั่น! เรืออาโปทั้งลำเริ่มสั่นสะท้านและคืบคลานขยับเขยื้อนเคลื่อนขึ้นมาอย่างช้าๆตั้งแต่หัวจรดท้าย ในที่สุดก็ดีดตัวขึ้นมาอยู่บนไม้หมอนที่รองหนุน พอไม้หมอนหมุนก็ส่งให้ลำเรือไหลลื่นชั่วไม่นานเรืออาโปก็ลงไปลอยโต้คลื่นอยู่ในน้ำทะเลหลังจากขนเสบียงอาหารและน้ำดื่มลงไปไว้ในลำเรือ จนเป็นที่เพียงพอเรียบร้อยแล้ว เหล่าวีรบุรุษผู้กล้าทั้งหลายก็เข้าประจำที่นั่งของฝีพาย แล้วก็พากันออกเรือมุ่งหน้าสู่มหาสมุทร ท่ามกลางเสียงร้องตะเบ็งเซ็งแซ่ ของเหล่ามหาชนที่แห่แหนกันมาส่ง และคอยให้กำลังใจกันอย่างเหลือล้นจากบนฟากฝั่งของทะเลลำนาวาล่องลอยมาเป็นเวลาหนึ่งจึงพากันเข้าหยุดพักเป็นจุดแรก ตรงนั้นคือถิ่นถ้ำ แหล่งพำนักของท่านธนูผู้เป็นอาจารย์พวกเขาในอดีตนั่นเอง การแวะพักเพื่อมาเยี่ยมเยือนท่านอาจารย์นับว่าผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็วก่อนเดินทางจากไป ท่านธนูก็ได้ให้คำแนะนำ และอำนวยพรแก่พวกเขากันอย่างทุกถ้วนหน้า เรืออาโปเดินทางต่อมาไม่นานก็ประสบเข้ากับปราการด่านมหาภัยลำดับแรก สิ่งนั้นก็คือเขากระแทกกระทบมรณะแห่งทะเลดำซึ่งมันสามารถที่จะบดขยี้บี้แบนอะไรก็ตามที่ผ่านเข้ามา ด้วยการกระทบกันของก้อนหินขนาดมหึมา หากจะรอโอกาสให้ช่องหินกระทบเปิดอ้าจึงค่อยฝ่าฟันไป พวกเขาย่อมไม่มีวันผ่านไปได้เป็นแน่แท้ แต่ทันใดนั้นก็ปรากฏว่า มีนกทะเลตัวหนึ่งบินผ่านเข้ามาอยู่เหนือภูเขากระทบ แล้วก็บินร่อนและเฉียดเฉี่ยวอยู่รอบๆเขากระทบไปๆมาๆอยู่พักหนึ่งราวกับรอจังหวะจะบินลอดผ่านช่องเขากระทบ เจ้าชายเจนภพเห็นเช่นนั้นก็เชื่อในทันทีว่านกทะเลตัวนั้นถูกส่งมาจากเทพธิดาเฮร่าให้มาทำหน้าที่นำทางเป็นแน่แท้ พลันพวกเขาก็เห็นนกทะเลบินเฉี่ยวลอดผ่านช่องหินกระทบไปอย่างหวุดหวิด ระหว่างที่เขาสองลูกพุ่งเข้ากระแทกกันและคงทันทำอันตรายได้ก็แต่เฉพาะขนส่วนหางของนกเท่านั้น ทันทีที่แรงกระแทกส่งผล โขดเขาก็แยกแตกกระจายออกจากกัน จึงเปิดช่องทางให้กับเรืออาโป และก่อนที่มันจะเคลื่อนตัวเข้ามากางกั้นไว้อีกครั้ง เหล่าวีรบุรุษผู้กล้าซึ่งทำหน้าที่ฝีพายก็พร้อมเพรียงกันจ้วงพายด้วยพละกำลัง โหมเร่งความเร็วของเรืออย่างฉับไว จนสามารถนำเรือข้ามช่องอันตรายไปได้อย่างปลอดภัยพวกเขาพากันล่องเรือต่อไปอีกเรื่อยๆทางเบื้องบูรพา ตามความยาวชายฝั่งตอนใต้ของทะเลยูไซน์ หลังจากสู้ผจญกับปราการด่านมหาภัยหลายครั้งหลายหน แต่ละครั้งก็เรียกได้ว่าเอาชีวิตรอดมาได้อย่างหวุดหวิด ในวันหนึ่งพวกเขาก็ต้องตื่นตาตื่นใจ เมื่อแลเห็นแสงอร่ามเรืองรองจากทองคำส่งประกายมาแต่ไกล สิ่งที่เห็นนั้นก็คือปราสาทราชมนเทียรทองคำของพระเจ้าอาทิตยะแห่งเมืองโคจรบุรี ดินแดนที่มีเสื้อขนแกะทองคำซุกซ่อนอยู่ในป่าลึกครั้นพระราชาทรงรับทราบถึงการมาของเรือผู้แปลกหน้า พระองค์จึงทรงประทับราชรถทองคำเทียมม้า เสด็จพร้อมด้วยเสนาอามาตย์ ข้าทาสบริพาร และเหล่าทวยหาญล้วนแต่หน้าเกรงขาม นำขบวนเสด็จมาหยุดรออยู่ ณชายฝั่งมหานที ทรงฉลองพระองค์ด้วยสุพรรณภูษา อันประดับประดาด้วยทองคำจนหนักอึ้ง มงกุฎบนพระเศียรเล่าก็แพรวพราวราวดวงไฟ เพราะประดับไว้ด้วยเพชรนิลจินดาอันประเมินค่ามิได้ พระองค์จึงทรงสง่างาม สมกับพระนามว่า หน่อเนื้อเชื้อวงศาแห่งพระอาทิตย์อย่างไรก็ตาม เจ้าชายเจนภพและเหล่าวีรบุรุษผู้กล้าของเขา ก็หาได้หวั่นหวาดขยาดกลัวแต่อย่างใดไม่“พวกเราเดินทางมาเพื่อรุกรานราชอาณาจักรของพระองค์ก็หาไม่” เจ้าชายเจนภพกราบทูลแก่พระราชาด้วยสุรเสียงอันสงบและเยือกเย็น“หากแต่มาเพื่อนำเอาเสื้อขนแกะทองคำกลับไปยังอินทรนคร ถ้าพระองค์ประสงค์จะทำศึกสงคราม พวกเราก็จักต่อสู้ แต่หม่อมฉันขอทูลเตือนไว้ก่อนว่า คนของหม่อมฉันล้วนแล้วแต่เป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ทั้งนั้น ซึ่งบางคนเป็นถึงผู้บุตรแห่งองค์อมตะ”แต่การณ์กลับเป็นที่ประหลาดใจแก่เจ้าชายเจนภพยิ่งนัก เมื่อพระเจ้าอาทิตยะทรงตรัสตอบกลับมาอย่างผ่อนปรน“ไยพวกเราจักต้องทำศึกสงครามกันล่ะ” พระราชาตรัส“มันไม่ดีกว่าหรอกหรือ ถ้าเพียงแต่คัดเลือกคนที่ดีที่สุดในพวกท่าน แล้วให้เขาทดลองความสามารถตามที่ฉันจักกำหนด หากเขาทำได้สำเร็จ ฉันก็จักให้โอกาสสำหรับการไปชิงเอาเสื้อขนแกะทองคำ”เจ้าชายเจนภพในฐานะผู้นำของคนในเรืออาโป จึงตกลงตามข้อเสนอ โดยยอมรับคำท้าและขันอาสาที่จักทำด้วยตนเอง แต่แล้วเขาก็ต้องพบว่าโอกาสที่จะประสบความสำเร็จตามความประสงค์นั้นแทบจะไม่มีเลย ด้วยเงื่อนไขสามประการแห่งคำท้าทายนั้นสุดแสนจะยากยิ่งประการที่หนึ่ง ปราบพยศคู่กระทิงไฟเสียให้สิ้น เชื่องแล้วใช้ไถดินห้าสิบไร่ประการที่สอง นำเขี้ยวมังกรยิ่งยงหว่านลงไป อุบัติใหม่เป็นไพร่พลคณนาประการที่สาม จงต่อสู้ไพร่พลให้ป่นปี้ จึงจักชี้ว่ามีชัยในคำท้ากล่าวถึงพระราชธิดาของพระเจ้าอาทิตยะ นามว่าเจ้าหญิงจันทรวตี ผู้ทรงครอบครองของวิเศษ เพียงครั้งแรกที่ได้พบเห็นเจ้าชายเจนภพ พระธิดาก็บังเกิดความรักใคร่และลุ่มหลงในเจ้าชายเป็นยิ่งนัก เธอจึงต้องการที่จะช่วยให้เจ้าชายรอดพ้นจากความหายนะ ดังนั้นเมื่อตกตอนเย็นเธอจึงส่งเด็กนำสาส์นไปที่ชายฝั่ง ซึ่งมีเจ้าชายและคนของเขาคอยเฝ้าระแวดระวังดูแลเรืออาโปอยู่ที่นั่น“ท่านจงไปที่พระราชวังเร็วเข้า” เด็กนำสาส์นกระซิบกับเจ้าชายเจนภพ“เจ้าหญิงจันทรวตีประสงค์ที่จะพบท่านเป็นการด่วน”ครั้นเจ้าชายได้พบเจ้าหญิง เขารู้สึกว่า เธอมีพร้อมทั้งความสวยสดงดงามเป็นเลิศ และความน่ากลัวอยู่ในตัวก็ไม่น้อย“เจ้าชายเจนภพ” เธอกล่าว“หากท่านไว้วางใจฉัน และปราศจากซึ่งความหวาดกลัวอย่างแท้จริง ฉันสามารถบอกท่านได้ ถึงวิธีที่ทำให้กระทิงไฟมันเชื่อง เรื่องหว่านเขี้ยวมังกร รอนรานกับพลไพร่ และไขว่คว้าเอาเสื้อขนแกะทองคำ ฉันเป็นผู้ครอบครองของวิเศษ ฉันรู้ดีเกี่ยวกับหญิงชราที่ท่านนำพาข้ามน้ำข้ามทะเลมาด้วย ต้นไม้โอ๊คพูดได้ นั่นอย่างไรล่ะตลอดจนการผจญภัย ที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคนาๆในระหว่างทางที่ท่านมุ่งมายังดินแดนโคจรบุรี” เจ้าชายเจนภพตั้งใจสดับรับฟังอย่างกระหายใคร่รู้ แต่ดูเหมือนว่าความสวยงามของเจ้าหญิงจะมีอิทธิพลเหนือยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด“นี่อย่างไรล่ะ ขี้ผึ้งมนต์ขลัง” เจ้าหญิงจันทรวตีกล่าวต่อ พร้อมกับยื่นกล่องทองคำให้กับเจ้าชาย“เมื่อนำขี้ผึ้งนี้ทาตามตัวของท่านแล้วไซร้ ลมหายใจอันร้อนเร่าของเจ้ากระทิง ก็ไม่สามารถจะทำอันตรายแก่ท่านได้แม้แต่น้อย”จากนั้นเธอก็นำเอาตะกร้า ซึ่งเต็มไปได้ด้วยเขี้ยวมังกรมายื่นให้แก่เจ้าชาย แล้วพาเขาเดินออกไปยังทุ่งนา ณ ที่ตรงนี้ กระทิงไฟคู่หนึ่งกำลังและเล็มหญ้าอยู่อย่างเงียบๆครั้นเจ้าหญิงคล้อยหลังให้เขา เจ้าชายก็ค่อยๆย่องด้วยปลายเท้า เข้าไปใกล้ๆกระทิงไฟคู่นั้น จนกระทั่งเขาสามารถสังเกตเห็น ไอร้อนของไฟพวยพุ่งออกมาจากจมูกของมัน เขาจึงหยุดอยู่แล้วก็นำขี้ผึ้งมนต์ขลังออกมาทาตามเนื้อตัว เสร็จแล้วเขาก็ย่างก้าวเข้าไปหามันทันที พลันที่มันได้ยินเสียงเท้าเหยียบย่างเข้ามา มันก็โผนออกจากที่ แล้ววิ่งปราดเข้ามาหาเขาทันที ลมหายใจที่ร้อนเป็นไฟของมันเผาผลาญหญ้าจนไหม้เกรียมมาเป็นทางแต่ความร้อนก็หาได้ระคายผิวของเจ้าชายไม่ กอปรกับหัวใจอันองอาจและกล้าหาญของเขา ก่อนที่จะถูกกระทิงไฟขวิดส่งขึ้นไปลอยในอากาศ เจ้าชายก็คว้าได้ที่เขาของมันตัวหนึ่ง อีกตัวหนึ่งจับทันได้ส่วนหาง ด้วยพละกำลังจับถือปานมือเหล็ก เจ้าชายตรึงมันไว้ในมืออย่างมั่นคง แต่ทันใดนั้นเองโดยไม่คาดคิด กระทิงไฟคู่นั้นก็เปลี่ยนเป็นกระทิงเชื่องธรรมดาๆและมีลมหายใจเป็นปกติในบัดดล ทั้งนี้ก็ด้วยความองอาจสามารถของเจ้าชายและอิทธิฤทธิ์ขี้ผึ้งมนต์ขลังของเจ้าหญิงนั่นเอง จึงสามารถลบล้างอาถรรพ์ของกระทิงไฟได้โดยสิ้นเชิง จากนั้นเจ้าชายจึงนำกระทิงทั้งคู่ไปเทียมแอกและไถ แล้วก็ลงมือไถนาด้วยความชำนิชำนาญไปจนทั่วท้องทุ่ง ตามแบบอย่างที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาจากท่านธนู เมื่อไถเสร็จเขาก็นำเขี้ยวมังกรมาหว่านให้กระจายไปตามรอยไถดินดำนั้นพลันแต่ละเขี้ยวก็อุบัติขึ้นเป็นหมวกเหล็กและนักรบพร้อมอาวุธครบมือ พวกเขาผสานกันตามลำดับชั้นยศ แล้วผนึกกำลังกันเข้า ดูพร้อมพรั่งดุจดั่งกองทัพ เมื่อเสร็จสรรพก็ยาตราเข้าหาเจ้าชายโดยมิชักช้า พวกเขาต่างกวัดแกว่งอาวุธ และสองมือกระชับลับศาสตรา เกิดสะเก็ดประกายเจิดจ้าจนน่าสะพรึง“คว้าเอาก้อนหินขึ้นมา แล้วทุ่มเข้าไปในหมู่ไพร่พลนั่น” เสียงเจ้าหญิงจันทรวตีตะโกนมาแต่ไกล เพื่อชี้แนะหนทางตอบโต้ให้แก่เจ้าชาย เขาปฏิบัติตามนั้นโดยทันที ก้อนหินถูกขว้างไปโดนหมวกเหล็กของคนหนึ่งจนหลุดกระเด็น และลอยไปกระแทกพวกเดียวกันเข้า จึงเป็นเหตุให้เกิดความสับสนอลหม่านขึ้นในหมู่นักรบเพราะแทนที่พวกเขาจะเข้าโจมตีเจ้าชายเจนภพ แต่พวกเขากลับหันเข้าประหัตประหารห้ำหั่นในระหว่างหมู่นักรบด้วยกันเอง จึงเปิดโอกาสให้เจ้าชายหลบหนีพวกไพร่พลไปได้อย่างปลอดภัยเช้าตรู่ในวันรุ่งขึ้น เจ้าชายก็รีบเดินทางเข้าไปในพระราชวังโดยทันที และกราบทูลแก่พระราชาว่า เขาได้ปราบพยศกระทิงไฟ ไถนาเสร็จห้าสิบไร่ หว่านเขี้ยวมังกรลงไป กระทั่งลวงพลไพร่ให้ฆ่ากันเอง ทันทีที่ได้รับทราบข่าวนี้ พระเจ้าอาทิตยะถึงกับพระพักตร์ซีดเผือด ด้วยทรงทราบในบัดเดี๋ยวนั้นว่า พระราชธิดาผู้เลอโฉมของพระองค์ซึ่งครอบครองของวิเศษอยู่ ได้ให้ความช่วยเหลือแก่เจ้าชายเป็นแน่โดยมิต้องสงสัย ดังนั้นเจ้าชายเจนภพย่อมมีความสามารถที่จะสังหารมังกรที่อารักขาเสื้อขนแกะทองคำอยู่นั้นได้โดยง่ายดาย“ท่านกระทำการลงไปโดยมิซื่อ” พระราชากล่าวแก่เจ้าชายอย่างไม่ไยดี“เหตุนั้นฉันจักไม่ยินยอมให้ท่านได้ไปซึ่งเสื้อขนแกะทองคำเป็นอันขาด”เจ้าชายเจนภพจึงออกจากพระราชวังด้วยความวิตกกังวล และในระหว่างที่กำลังเดินครุ่นคิดอยู่นั้น ว่าจักทำประการใดดีต่อไป เขาก็ต้องหยุดกึกลงทันใดเพราะได้ยินเสียงของเจ้าหญิงจันทรวตี“เจ้าชายเจนภพ” เธอเอ่ยขึ้น“พระบิดาทรงคาดโทษฉันถึงตาย พระองค์ทรงวางแผนที่จะเผาทำลายเรือรบของท่านและสังหารพลพรรคของท่านทั้งหมด ถ้าเพียงแต่ท่านมีความเชื่อใจ ฉันจักสามารถช่วยท่านได้ จงมาคอยฉันอยู่ที่นี่ เวลาเที่ยงคืน”เจ้าชายเจนภพจึงกล่าวแก่เธอว่า“เธอจะต้องไม่ได้รับอันตรายใดๆ เราทั้งสองจักชิงเอาเสื้อขนแกะทองคำให้จงได้ แล้วเธอก็เดินทางกลับไปพร้อมกับฉัน ไปเป็นพระราชินีแห่งฉัน ยังอินทรนคร เมืองอมรชายฝั่งทะเล”ครั้นถึงชั่วโมงนัดหมาย ทั้งสองก็มาพบกันตามนัดและพากันเล็ดลอดไปยังสวนป่าอาถรรพ์ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่เจ้าชายได้สัมผัสกับแสงสว่างแวววาว อันเป็นส่วนหนึ่งของรัศมีจากเสื้อขนแกะทองคำ ด้วยความใคร่ที่จะได้ยลความงดงามอันวิจิตรของมันอย่างเต็มตา เขาผลีผลามตรงเข้าไปอย่างลืมตัว หากแต่เจ้าหญิงจันทรวตีฉุดรั้งแขนเขาไว้นั่นดอกถึงได้สติ“ระวัง!” เธอร้องเตือน“ท่านลืมไปแล้วล่ะหรือว่ามีมังกรดุร้าย”พูดยังไม่ทันขาดคำ เจ้าสัตว์ชั่วร้าย หัวมีเกล็ดสีดำ ก็กลายกล้ำเข้ามาทันที ลิ้นแฉกรูปส้อมของมันแลบออกมาอยู่แผล็บๆ ระหว่างที่มันรับรู้ถึงการก้าวย่างของเขาทั้งสอง เจ้าหญิงจันทรวตีจึงล้วงเอากล่องทองคำออกมาจากพกห่อของเธอ พลันเธอก็โยนสิ่งที่บรรจุอยู่ในกล่องทองคำนั้น เข้าไปในขากรรไกรอันทรงพลังของมัน เพียงชั่วอึดใจ มันก็ตวัดปัดป่ายหางไปมาอย่างบ้าคลั่ง ยืนเหยียดโก่งหลังและโน้มตัวไปข้างหน้า แล้วก็กลับล้มครืนลงมานอนแน่นิ่งไม่ไหวติง โดยไม่ชักช้า เจ้าชายเจนภพรีบกระโดดข้ามลำตัวเจ้ามังกร ไปคว้าเอาเสื้อขนแกะทองคำที่พาดอยู่บนต้นไม้นั้นทันควัน จากนั้นทั้งเจ้าชายและเจ้าหญิงก็รีบพากันเดินทางกลับมายังเรืออาโป ซึ่งทอดสมอรออยู่ ณ ชายฝั่งทะเล พวกเขาทั้งหมดจึงได้ถือโอกาสจัดเลี้ยงฉลองความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ด้วยการทำอาหารอันหรูหราพร้อมทั้งมีเครื่องดื่มสุราและไวน์ แต่แล้วการเลี้ยงฉลองของพวกเขาก็ต้องสิ้นสุดลงในเวลาอันรวดเร็วเมื่อมีเสียงจากนางกินรีที่หัวเรืออาโปพูดเตือนภัยขึ้นว่า“ไม่มีเวลาแล้ว เร็วเข้า เจนภพ จงพากันรีบหนีเอาชีวิตของพวกเจ้าให้รอด เร็วเข้า!”พอเจ้าชายเจนภพมองขึ้นไปบนฝั่ง ก็เห็นราชรถม้าศึกของพระเจ้าอาทิตยะสะท้อนแสงอยู่วาววับ ติดตามด้วยขบวนพหลพลพยุหเสนา ยาตราทัพตามกันมามืดฟ้ามัวดิน และกำลังเร่งความเร็วมุ่งหน้ามายังชายฝั่งทะเลครั้นเห็นเช่นนั้น เหล่าวีรบุรุษผู้กล้าทั้งห้าสิบ จึงปราดเข้าประจำตำแหน่งฝีพายของตัวเองราวกับเป็นคนๆเดียวกัน ในขณะที่เจ้าชายเจนภพก็ชูเสื้อขนแกะทองคำมหัศจรรย์ไว้อยู่เหนือศีรษะ ทว่ากองทัพที่ยกไล่ติดตามมาก็จำเป็นต้องหยุดเพราะสุดแผ่นดินตรงชายฝั่งด้วยความเดือดดาล พระเจ้าอาทิตยะจึงมีรับสั่งให้พลธนูของพระองค์ ระดมยิงลูกเกาทัณฑ์อาบยาพิษเข้าใส่เป้าหมายเรืออาโปอย่างหนาแน่นประหนึ่งว่าเป็นห่าฝน แต่ก็หาได้เป็นอันตรายต่อคนบนเรือไม่ เพราะลูกเกาทัณฑ์ต้องแข่งกับความเร็วของเรือ ซึ่งกำลังเร่งออกสู่ทะเลและห่างไกลออกไปอย่างว่องไวเหล่าวีรบุรุษผู้กล้ายังใช้โล่กำบังปัดป้องไว้อยู่ตลอดเวลา นอกจากนั้นออร์ฟีอุสยังช่วยบรรเลงบทเพลง คอยปลุกเร้าและเฝ้าชื่นชมเหล่าวีรบุรุษผู้กล้าทั้งหลาย ด้วยการกรีดดีดไลร์เสริมส่งอีกแรงหนึ่งและด้วยบทเพลงอันสุดแสนจะซาบซ่านหวานซึ้งตรึงหฤทัย ยิ่งช่วยเร่งเรืออาโปให้ล่องลอยไกลออกไป และย้อนกลับยังทิศประจิมสมดั่งใจปรารถนา มุ่งหน้าสู่อินทรนคร เมืองอมรฝั่งทะเล จนในที่สุด เจ้าชายเจนภพและเหล่าวีรบุรุษทั้งหมด ก็เดินทางกลับมาถึงพระนครโดยสวัสดิภาพ ภายหลังจากการทวงสัญญากับพระเจ้าไพลาศและเรียกคืนสิทธิ์อันชอบธรรมแห่งราชอาณาจักร เจ้าชายก็เสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติ พร้อมทั้งได้อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงจันทรวตี ซึ่งสถาปนาเป็นองค์พระราชินี และอยู่ร่วมปกครองไพร่ฟ้าประชาชี บ้านเมืองจึงมีแต่ความผาสุกสืบต่อมา เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้