เมื่อเข้าไปในพระราชวัง เธอก็ได้รับพระราชทานเสื้อผ้าอันสวยหรู ทำด้วยผ้าไหมและมัสลิน เธอมีความสวยและน่ารักกว่าใครๆที่พำนักอยู่ ณ ที่นั้น แต่น่าเสียดายที่เธอไม่สามารถพูดหรือร้องเพลงได้ มีนางสนมบางคนแต่งกายอย่างลวกๆในชุดผ้าไหมปักด้วยทองคำ ได้ออกมาขับร้องต่อหน้าพระพักตร์ของเจ้าชาย ตลอดทั้งพระราชบิดาและพระราชมารดาของพระองค์ หนึ่งในจำนวนนั้นสามารถขับร้องด้วยเสียงหวานอันสดใสจนเจ้าชายทรงปรบมือให้แก่เธอ หากแต่นางเงือกน้อยนั้นรู้สึกเศร้าสลดใจมาก เพราะเธอย่อมรู้ดีว่าเธอเคยขับร้องได้ไพเราะยิ่งกว่านางสนมนี้เป็นไหนๆ“อนิจจา!” เธอรำพึง“ถ้าเพียงแต่เจ้าชายรู้ว่าฉันได้เสียสละน้ำเสียงของฉันเพื่อเขา”เมื่อเหล่านางสนมเริ่มเต้นรำ นางเงือกน้อยผู้น่ารัก ก็ได้ยืนขึ้นแล้วกรีดกรายวาดแขนอันขาวผ่องละเมียดละไมพร้อมกับออกลีลาการฟ้อนรำไปรอบๆห้อง ทุกท่วงทีที่ออกท่า ล้วนแต่งามสง่าสมส่วนสรีระอย่างไม่มีที่ติ การส่งส่ายชายตาที่เธอแสดงออก ก็สุดแสนจะเป็นที่ต้องจิตและติดใจแก่ผู้เฝ้ายล ยิ่งเสียกว่าการขับร้องของนางสนมเป็นไหนๆ ทุกคนต่างตะลึงปานต้องมนต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าชายหนุ่มถึงกับทรงโปรดเรียกเธอว่า "สาวน้อยพลัดถิ่นผู้เป็นที่รักของฉัน" เธอได้พยายามเต้นรำครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงแม้นทุกก้าวย่างของเธอ จะนำมาซึ่งความเจ็บปวดสุดรวดร้าวเหลือคณา ซึ่งในเวลาต่อมาเจ้าชายทรงโปรดให้เธอเป็นผู้เข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิด และทรงโปรดให้จัดที่นอนซึ่งทำจากผ้าไหมอย่างดี โดยจัดให้เธอพักในห้องตรงกันข้ามกับห้องพักส่วนพระองค์ของเจ้าชายเจ้าชายยังทรงโปรดให้ตัดเสื้อผ้าชุดผู้ชาย สำหรับเธอสวมใส่เวลาขี่ม้าตามเสด็จเป็นเพื่อน ในบางคราวเธอเดินเท้าโดยเสด็จเพียงลำพังสองคนกับเจ้าชาย ฝ่าดงหนาป่ารกจนปรกไหล่ กลิ่นพฤกษ์ไพรกฤษณาปักษาขานเพียรอดทนด้นดั้นถิ่นกันดาร ทรมานเจ็บกายแทบวายปราณ เธอต้องปีนป่ายตามเสด็จขึ้นสู่ยอดภูเขาสูงแม้ว่าเท้าอันบอบบางของเธอจะมีเลือดไหลอาบซิบๆ เธอก็ได้แต่ยิ้มและเดินตามเจ้าชายผู้เป็นที่รักของเธอต่อไปจนกระทั่งทั้งคู่มาถึงความสูงที่สามารถมองเห็นหมู่เมฆเคลื่อนไหวไหลตามกันอยู่เบื้องล่าง ซึ่งมองดูราวกับฝูงวิหคย้ายถิ่นบินสู่แดนไกลในยามค่ำคืนเมื่อทุกคนในพระราชวังพักผ่อนกันหมด เธอก็มักจะเดินลงไปตามบันไดหินอ่อน เพื่อบรรเทาความร้อนรนที่เท้าโดยอาศัยความเย็นของน้ำลึก ซึ่งทำให้เธอหวนคิดถึงครอบครัวที่อยู่เบื้องล่าง แต่แล้วในคืนหนึ่ง เหล่าพี่สาวของเธอก็ได้แหวกว่ายเกี่ยวก้อยกันมาและพากันขับขานอยู่ ณ บริเวณนั้นอย่างน่าสมเพชเวทนา เธอจึงให้สัญญาณแก่พวกเขา พลันพวกเขาก็จำเธอได้และบอกเล่าถึงความโศกาอาลัยอันใหญ่หลวงจากพระราชวังของพระบิดาที่มีต่อเธอ หลังจากนั้นเป็นต้นมา พวกพี่สาวก็จะพากันมาเยี่ยมเธอทุกคืน ครั้งหนึ่งพวกเขาก็ได้พาเสด็จย่าผู้ชราภาพมาด้วย ซึ่งเธอไม่ได้พบเห็นโลกเบื้องบนมาเป็นเวลาหลายต่อหลายปีแล้ว นอกจากนั้นพวกเขาก็ยังพาพระบิดา ผู้สวมใส่มงกุฎ คือองค์ราชาแห่งเหล่าเงือกมาด้วย แต่ผู้อาวุโสทั้งสองจะกล้าฝ่าผจญเข้ามาใกล้ฝั่งพอที่จะสนทนากับเธอได้ก็หาไม่นางเงือกน้อยได้กลายเป็นที่โปรดปรานของเจ้าชายยิ่งขึ้นทุกวันๆ หากแต่เป็นความโปรดปรานเฉกเช่นที่มีต่อเด็กผู้น่ารักและอ่อนหวาน ส่วนการอภิเษกสมรสกับเธอเพื่อสถาปนาเป็นพระชายาจะมีในดำริแม้แต่นิดก็หาไม่ส่วนเธอเล่า การได้มาซึ่งความมีวิญญาณอันเป็นอมตะ จักต้องเป็นพระชายาของเจ้าชายเสียก่อน หาไม่แล้วเธอก็จะกลายเป็นฟองน้ำ ลอยฟ่องไปกับคลื่นน้ำทะเลอยู่เป็นนิตย์“คุณมิได้รักฉันยิ่งกว่าคนอื่นๆหรอกหรือ” ปุจฉาจากสายตาของเธอ ในระหว่างที่เจ้าชายประคองเธอไว้ในอ้อมแขนและจุมพิตลงที่หน้าผากอันน่ารัก“ถูกแล้ว” เจ้าชายอาจหมายวิสัชนา“สำหรับฉัน เธอเป็นคนที่น่ารักมากกว่าใครๆ จะหาใครสักคนมีดีเสมอเธอก็เปล่า เธอรักในตัวฉันมาก และเธอเองก็ช่างเหมือนกับหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งฉันเคยพบเพียงครั้งเดียวและอาจจะไม่ได้เห็นกันอีกเลย ครั้งหนึ่งเรือของฉันอับปางลงด้วยพายุ ฉันถูกคลื่นซัดลงทะเลบริเวณชายฝั่งใกล้กับวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ หญิงสาวผู้นั้นมาพบเข้าและช่วยชีวิตให้ฉันรอดมาได้ ฉันเห็นเธอเพียงครั้งเดียวเท่านั้น แต่ภาพพิมพ์แห่งเธอยังคงประทับอยู่ในความทรงจำของฉันอย่างมีชีวิตชีวา และเพียงเธอคนเดียวเท่านั้นที่ฉันจะรักได้ แต่ทว่าผู้ที่เป็นเจ้าของแห่งเธอคือวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ ส่วนเธอเองเล่า ผู้มีความละม้ายคล้ายคลึงกับเธอมาก ก็ยิ่งทำให้ฉันมีความมั่นคงและเข้มแข็งมากขึ้น เราทั้งสองจะไม่มีวันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเด็ดขาด!”“อนิจจา! เขาไม่รู้หรอกว่าผู้ที่ช่วยชีวิตให้เขารอดมาได้คือตัวฉันเอง” นางเงือกน้อยรำพึงและถอนหายใจอย่างแรง“เจ้าชายจะทรงอภิเษกสมรสกับพระธิดาแสนสวยของกษัตริย์จากต่างเมือง” พวกนางสนมพูดกัน“เหตุนี้เองที่เจ้าชายทรงโปรดให้ตกแต่งเรืออย่างวิจิตร ทำประหนึ่งว่าจะเสด็จออกประพาส แต่ความจริงแล้วเจ้าชายจะเดินทางไปพบเจ้าหญิงนั่นเอง” นางเงือกน้อยก็ได้แต่ยิ้มๆกับคำพูดหรือความคิดเห็นคล้ายๆกันนี้เพราะเธอล่วงรู้ถึงความประสงค์อันแท้จริงของเจ้าชาย ดีกว่าใครอื่นทั้งมวล“ฉันจำต้องไป” เจ้าชายตรัสกับเธอ“ฉันจะต้องไปพบเจ้าหญิงผู้เลอโฉมตามคำขอร้องของพระราชบิดาและพระราชมารดา แต่ท่านทั้งสองจะบังคับให้ฉันแต่งงาน และพาเธอกลับมาพระนครเยี่ยงเจ้าสาวก็หาไม่ มันคงเป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะรักเธอ เพราะหน้าตาของเธอย่อมไม่เหมือนกับหญิงสาวผู้เลอโฉมจากวิหาร ส่วนเธอเองสิเหมือน หากจะให้ฉันเลือก ฉันควรจะเลือกเธอมากกว่า สาวน้อยพลัดถิ่นนัยน์ตาทรงอานุภาพผู้เงียบเสียงของฉัน” กล่าวพลางเจ้าชายก็ประคองเธอไว้ในอ้อมแขนพร้อมกับบรรจงจูบลงที่ริมฝีปากอันระเรื่อสีชมพูของเธอ ด้วยเหตุนี้ความหวานซึ้งตามวิสัยแห่งมนุษยสุขและทิพยสุขอันเป็นอมตะก็บังเกิดขึ้นในหัวใจของเธอ“เธอไม่กลัวทะเลหรอกใช่ไหม สาวน้อยเงียบเสียง ผู้เป็นหวานใจของฉัน” เจ้าชายตรัสถามอย่างนุ่มนวลในระหว่างที่ยืนอยู่ด้วยกันบนเรืออันตกแต่งอย่างวิจิตร ซึ่งกำลังนำทั้งสองเดินทางมุ่งหน้าไปยังอาณาจักรของกษัตริย์ต่างเมือง ในระหว่างทางเจ้าชายก็ทรงบอกเล่าแก่เธอถึงพายุที่อาจจะมาปะทะเรือได้ในบางคราว ทรงเล่าถึงปลาแปลกๆที่อาศัยอยู่ใต้ท้องทะเลลึก ตลอดจนสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆที่พวกนักประดาน้ำได้พบเห็น ทว่าเธอก็เพียงแต่ยิ้มๆต่อสิ่งบอกเล่าเหล่านั้น เพราะเธอย่อมรู้ดีกว่า ว่ามีอะไรบ้างอยู่ ณ เบื้องลึกแห่งมหาสมุทรเมื่อแสงจันทร์นวลผ่องสาดส่องลงมาในยามราตรี และผู้คนบนเรือต่างก็หลับใหลกันหมดแล้ว เธอจึงขึ้นไปนั่งอยู่บนดาดฟ้าของเรือและจ้องมองลงไปในท้องทะเล พลันก็ดูเหมือนว่าเธอมองเห็นพระราชวังของพระบิดาและมงกุฎเงินของเสด็จย่า เธอมองเห็นเหล่าพี่สาวโผล่ขึ้นมาจากห้วงน้ำ พวกเขาดูโศกเศร้าเหงาหงอยและยังยื่นมือมาหาเธอ เธอพยักหน้าและยิ้มให้พวกเขา พลางก็หมายจะอธิบายให้พวกเขาฟังว่า ทุกอย่างกำลังเป็นไปตามความปรารถนาของเธอแล้ว ครู่ต่อมา เด็กประจำห้องบังคับเรือก็เข้ามาใกล้ พวกพี่สาวจึงพากันโผดำดิ่งลงน้ำลึกหายไปแต่พลันสิ่งที่เด็กห้องเครื่องคิดว่าเห็นลอยอยู่เหนือลูกคลื่นนั้น หาใช่สิ่งอื่นใดไม่ นอกเสียจากฟองน้ำพอรุ่งอรุณ เรือก็เข้าเทียบท่ายังเมืองหลวงอันโอ่อ่าของกษัตริย์ต่างเมือง เสียงระฆังลั่นเหง่งหง่าง เสียงดุริยางค์แตรเป่า แลล้วนเหล่าธงทิว อีกริ้วขบวนองครักษ์ที่พรักพร้อมด้วยศาสตรา คอยท้าแสงอยู่แวววับ และร่วมสลับสวนสนามแลงดงามไปทั้งเมือง ทุกๆวันก็จะมีมโหรีปี่พาทย์และนาฏศิลป์ชุดใหม่ๆมาแสดงเป็นเครื่องบันเทิงเริงรมย์ ตลอดจนการจัดงานราตรีราชสโมสรวันแล้ววันเล่า อย่างไรก็ตาม เจ้าหญิงพระองค์นั้น ก็ยังไม่เสด็จกลับจากการที่ถูกส่งไปรับการศึกษาอบรมยังสำนักแม่ชี ณ แดนไกล ซึ่งที่นั่นเธอจะได้รับการสอนสั่งถึงขนบธรรมเนียมและจริยวัตรอันเป็นทศพิธราชธรรมทั้งมวล และในที่สุดเจ้าหญิงก็ได้เสด็จกลับสู่พระนครในวันหนึ่ง“เธอจริงๆด้วย!” เจ้าชายทรงอุทาน ทันทีที่เห็นเจ้าหญิง“เธอคือคนที่ช่วยชีวิตฉันให้รอดมาได้ เมื่อคราวที่ฉันนอนแน่นิ่งเหมือนคนตายที่ชายฝั่งในครั้งนั้น”แล้วเจ้าชายก็ผวาเข้าสวมกอดเจ้าสาวของตนไว้แนบชิดกับหัวใจที่กำลังสั่นระรัว“โอ ฉันมีความสุขอย่างล้นเหลือ!” เจ้าชายตรัสกับสาวน้อยพลัดถิ่นผู้เป็นใบ้ของพระองค์“ฉันไม่เคยคาดคิดเลยว่าความหวังของฉันจะกลายเป็นจริง เธอต้องยินดีอย่างยิ่งกับความสุขของฉัน เพราะเธอเป็นคนที่รักฉันมากกว่าใครๆในบรรดาคนที่อยู่แวดล้อมฉัน” นางเงือกน้อยจึงจุมพิตลงที่หัตถ์ของเจ้าชายทว่าต่อความรู้สึกของเธอมันสุดแสนเจ็บปวดรวดร้าวราวกับหัวใจแยกแตกสลายครั้นเสียงระฆังของโบสถ์ลั่นขึ้น เจ้าสาวและเจ้าบ่าวก็ผสานมือกันและรับพรจากบาทหลวง ส่วนนางเงือกน้อยซึ่งอยู่ในชุดที่ทำจากผ้าไหมและผ้าฝ้ายขลิบทอง ได้ยืนถือส่วนท้ายของชุดวิวาห์อยู่เบื้องหลังของเจ้าสาว สำหรับเธอแล้ว หูก็ไม่ได้ยินเสียงดนตรีที่กำลังบรรเลงประกอบ ตาก็ไม่ได้เห็นพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เบื้องหน้า เธอคำนึงถึงแต่ความตายของเธอที่กำลังใกล้เข้ามาทุกขณะและการสูญเสียของเธอทั้งโลกนี้และโลกหน้า ในเพลาอัสดงของวันเดียวกันนั้น เจ้าสาวและเจ้าบ่าวก็พากันเสด็จขึ้นเรือ เสียงปืนใหญ่ยิงสลุด ธงทิวปลิวสะบัดและพัดโบกจากลมทะเลณ ท่ามกลางของดาดฟ้าเรือคือพลับพลาซึ่งตกแต่งด้วยผ้าสีม่วงขลิบทอง พร้อมทั้งที่นอนอันอ่อนนุ่มและหรูหราสำหรับคู่รัชทายาทได้ร่วมอภิรมย์บรรทมสุขยามราตรี พอพระพายพัดพา ลำนาวาก็เคลื่อนคล้อยลอยออกไป ด้วยใบโป่งจากแรงลม ล่องกลมกลืนไปกับน้ำสีฟ้าของมหาสมุทรชั่วเวลาไม่นานความมืดก็มาถึง ตะเกียงส่องสว่างให้สีสันต่างๆจึงถูกจุด และการเต้นรำบนดาดฟ้าของเรือก็ได้เริ่มขึ้น สิ่งนี้ทำให้นางเงือกน้อยรำลึกถึงครั้งแรกที่เธอโผล่ขึ้นมาเห็นโลกเบื้องบน ซึ่งบัดนี้ความวิจิตรตระการตาเช่นนั้นก็ได้ปรากฏอยู่ต่อหน้าแล้ว และเธอก็ถูกเชื้อเชิญเข้าร่วมเต้นรำอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทุกคนต่างตะลึงและชื่นชมเธอ เพราะเธอไม่เคยที่จะเต้นรำด้วยลีลาและท่าทีอันแพรวพราวด้วยมนต์เสน่ห์เยี่ยงนี้มาก่อน เท้าอันเล็กบอบบางของเธอนั้นได้รับความทรมานอย่างแสนสาหัส แต่เธอก็ไม่ได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว เพราะว่าหัวใจของเธอนั้นได้รับความขมขื่นและปวดร้าวยิ่งกว่าเหลือคณนา มันเป็นค่ำคืนสุดท้ายที่เธอจะยังเห็นชายหนุ่มผู้ซึ่งเธอยอมเสียสละบ้านเกิดเมืองนอนและเหล่าวงศ์วานของเธอมาเพื่อเขา ยอมสูญเสียน้ำเสียงอันแสนจะไพเราะอ่อนหวานและยอมทนแบกรับความเจ็บปวดทรมานเหลือที่สุดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน มันเป็นคืนสุดท้ายที่เธอยังพอได้ร่วมจดจ้องทะเลลึกสีฟ้า มองดาราร่วมอัมพร และผ่อนลมหายใจร่วมอากาศเดียวกันกับเขา ราตรีชั่วนิรันดรอันปราศจากซึ่งฝันและจินตนาการ กำลังคอยอยู่ข้างหน้า หัวใจของเธอนั้นระอุไปด้วยดำริแห่งมรณะ แต่เธอก็ยังยิ้มและเต้นรำร่วมกับคนอื่นๆ จวบจนเวลาได้ล่วงเลยเที่ยงคืน ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่เจ้าชายทรงจุมพิตเจ้าสาวผู้น่ารักของพระองค์ ทั้งสองประคองหัตถ์กระหวัดพระวรกายแล้วก็พากันเสด็จย้ายเข้าสู่ห้องบรรทมยังพลับพลาอันอลังการทุกสรรพสิ่งนิ่งงัน มีเพียงแต่นายท้ายเรือเท่านั้นที่ยังยืนอยู่ที่พวงมาลัย นางเงือกน้อยเท้าแขนอันขาวผ่องของเธอที่ขอบเรือและชะเง้อไปเบื้องบูรพา คอยท่ายามอุษาจะมาเยือน เพราะลำแสงแรกที่พ้นขอบฟ้าย่อมนำมาซึ่งความตายของเธอ พลันเธอก็เห็นเหล่าพี่สาวของเธอโผล่ขึ้นมาจากทะเล แต่ละคนดูขาวซีดสิ้นดี พวกเขากำลังชูไม้ชูมืออยู่เหนือไหล่ ต่างก็ไม่มีผมอันยาวสลวยเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว มันถูกเกรียนออกไปเสียจนหมดสิ้น“พวกเรายอมให้ยายแม่มดตัดเอาไป” เหล่าพี่สาวบอกแก่เธอ“เพื่อขอให้แกช่วยเธอ ดังนั้นเธอก็จะไม่ตาย มีดเล่มนี้อย่างไรล่ะ ที่แกให้พวกเรามา ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นเธอจะต้องปักมันลงไปตรงหัวใจของเจ้าชาย พอโลหิตอุ่นๆของเขาไหลออกมาและตกต้องยังเท้าของเธอ เท้าทั้งสองก็จะกลับกลายมาเป็นหางปลาทันที แล้วเธอก็จักคืนร่างมาเป็นนางเงือกอีกครั้งหนึ่ง และมีชีวิตอยู่สืบต่อไปจวบจนอายุครบสามร้อยปีก่อนที่จะตายและกลายไปเป็นฟองน้ำทะเล แต่จงรีบทำเร็วๆเข้า ถ้าไม่เขาก็เธอจะต้องตายก่อนพระอาทิตย์ขึ้น! อีกไม่กี่นาทีพระอาทิตย์ก็จะขึ้นมาแล้วเธอจะต้องตาย” พวกพี่สาวกล่าวเสร็จก็ถอนหายใจอย่างแรง ก่อนที่จะพากันดำดิ่งหายลงไปในทะเลนางเงือกน้อยค่อยๆเลื่อนม่านสีม่วงซึ่งเป็นพลับพลาของเจ้าชายออกไปช้าๆ แล้วเข้าไปก้มลงประจงจูบที่หน้าผากขององค์ชาย เวลาเดียวกันก็เหลือบมองดูท้องนภา เธอเห็นแสงสว่างรำไรกำลังเข้มเจิดจ้าขึ้นทุกขณะริมฝีพระโอษฐ์ของเจ้าชายก็กำลังพึมพำถึงพระนามของเจ้าสาว เจ้าชายกำลังฝันใฝ่ถึงเจ้าหญิง และเป็นเพียงผู้เดียวเท่านั้นคือเจ้าหญิง ในขณะที่มีดก็กระดิกอยู่ในมืออันสั่นเทิ้มของนางเงือกผู้ที่กำลังทุกข์ระทม ทันใดนั้น เธอก็ขว้างมันจนสุดไกลและตกลงไปในทะเล ด้วยสายตาที่กำลังพร่ามัว เธอจึงถอยออกมาและกระโจนลงไปในทะเล พร้อมๆกับมีความรู้สึกว่าร่างกายของเธอค่อยๆสลายกลายไปเป็นฟองน้ำทินกรขับเคลื่อนขึ้นเยือนฟ้า แต่รังสีอันเจิดจ้ากลับมาเยี่ยมยลเธออย่างละมุนละไม แม้นว่าก่อนหน้านี้ภาวะกำลังใกล้จะตายจะเป็นที่หวาดหวั่นและพรั่นพรึงต่อเธอ ทิพยสถานดูเหมือนว่ากำลังโบยบินอยู่ราวศีรษะของเธอเสียงขับขานก็แสนหวานสุดซึ้ง ส่วนดนตรีก็บรรเลงด้วยบทเพลงปลอบประโลมอันไพเราะยิ่งนัก ซึ่งไม่อาจจะยลยินได้ในหมู่มวลมนุษย์ พวกเขาโผผินอยู่รอบๆเธอ และท่องไปในอากาศด้วยความโปร่งเบาสบายด้วยตัวเขาเองพลันนางเงือกน้อยก็พบว่าตนเองมีสรีระอันโปร่งใสเช่นเดียวกันกับพวกเขา และเธอกำลังล่องลอยออกจากฟองน้ำสูงขึ้นไปอย่างช้าๆ“พวกท่านกำลังจะพาฉันไปที่ไหนกัน” เธอเอ่ยถาม“ไปเป็นธิดาแห่งพระพาย” คือคำตอบ“ด้วยนางเงือกนั้นไม่มีวิญญาณอันเป็นอมตะ แต่จะสามารถมีได้ก็ต่อเมื่อเธอได้กรำหัวใจอันเปี่ยมรักจากชายหนุ่มบุตรหลานของหมู่มนุษย์ ธิดาแห่งพระพายก็ไม่มีวิญญาณอันเป็นอมตะเช่นเดียวกัน แต่จะสามารถมีได้ด้วยการสร้างคุณงามความดี พวกเราโบกโบยไปยังประเทศอันร้อนรุ่ม ที่ซึ่งเหล่าเด็กๆจุ่มจมอยู่กับบรรยากาศอันร้อนระอุความสดชื่นและการหายใจรับเอาอากาศอันชุ่มเย็นก็จะช่วยให้พวกเขามีชีวิตชีวา พวกเรายังผสานตัวเองเข้ากับบรรยากาศ เพื่อให้กลิ่นหอมแห่งมวลบุปผชาติได้จรุงฟุ้งขจาย อันนำมาซึ่งความยินดีและผาสุกแผ่ปกคลุมออกไปทั่วโลก ด้วยการทำความดีเช่นนี้เป็นเวลาสามร้อยปี พวกเราก็จักได้รับวิญญาณอันเป็นอมตะและสามารถเสพทิพยสุขร่วมกับหมู่มนุษย์ได้ สำหรับเธอ นางเงือกน้อยผู้น่าสงสาร ผู้มีแรงบันดาลใจและได้เพียรพยายามกระเสือกกระสนอย่างสุดหัวใจ จนได้รับความทุกข์ทรมานมาเป็นอันมาก เธอจึงถูกยกขึ้นสู่โลกแห่งวิญญาณด้วยประการฉะนี้ และด้วยเหตุแห่งการบำเพ็ญคุณงามความดีอย่างมีจิตเมตตาปราณี เป็นระยะเวลาสามร้อยปี เธอก็อาจจะได้รับวิญญาณอันเป็นอมตะ”นางเงือกน้อยจึงผายแขนของเธอออกสู่ดวงตะวัน และนับเป็นครั้งแรกในชีวิตของเธอ ที่สองนัยนาชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำตาในเวลานี้ทุกคนตื่นนอนหมดแล้วและกำลังสนุกสนานกันอยู่บนเรือ เธอแลเห็นเจ้าชายและเจ้าสาวผู้เลอโฉมของเขา ดูทั้งคู่คงจะคิดถึงเธอมาก และพากันเหม่อมองลงไปที่ฟองน้ำทะเลอย่างเศร้าสร้อย เหมือนกับทั้งสองจะล่วงรู้ว่า เธอได้กระโจนลงไปในนั้น เธอจึงบรรจงจุมพิตลงที่หน้าผากของเจ้าบ่าวและยิ้มให้เขา แต่โดยที่ไม่มีใครจะสามารถมองเห็นเธอได้ จากนั้นเธอพร้อมด้วยหมู่ธิดาแห่งพระพายทั้งหลายก็พากันลอยสูงขึ้นไปๆ จนอยู่เหนือหมู่เมฆสีชมพูระเรื่อ ซึ่งกำลังล่องลอยอย่างสงบอยู่เบื้องบนของลำเรือ“หลังจากสามร้อยปีไปแล้ว พวกเราก็จักโบกโบยสู่ดินแดนแห่งสรวงสวรรค์”“พวกเราอาจจะไปถึงที่นั่นได้เร็วขึ้น” พวกพี่สาวคนใหม่ของเธอกระซิบ“พวกเราโบกโบยไปยังที่อยู่อาศัยของมวลมนุษย์โดยที่ไม่เห็นตัว หากไปพบเด็กดี ผู้ที่ทำให้บิดาและมารดาของเขามีความยินดีและประทับใจ อีกทั้งประพฤติตนสมกับเป็นที่รักของคุณพ่อและคุณแม่ ก็จะเป็นเหตุให้สามารถหักหนึ่งปีออกจากเวลาสามร้อยปีของพวกเราได้ แต่ถ้าพวกเราไปพบเห็นเด็กที่หยาบคาย ดื้อและซุกซน พวกเราก็จักร้องไห้และหลั่งน้ำตาอย่างขมขื่น และทุกๆหยดน้ำตาที่พวกเราเช็ด มันก็จะเป็นเหตุให้เพิ่มเวลาแก่พวกเราขึ้นมาอีกหนึ่งวัน”อวสาน
ชั่วเวลาไม่นานเธอก็มองเห็นแผ่นดินกับภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ มีป่าไม้สีเขียวทอดตัวยาวไปตามชายฝั่งที่ตรงปลายสุดของป่าไม้ มีโบสถ์หรือไม่ก็สำนักชีตั้งตระหง่านอยู่ ซึ่งเธอเองก็ไม่แน่ใจว่าเป็นอะไรกันแน่มีส้มสูกลูกไม้ปลูกอยู่ในสวนรอบๆโบสถ์นั้น มีต้นปาล์มสูงเรียงรายอยู่สองข้างทางที่นำไปสู่ประตูเข้า ทะเลบริเวณนั้นมีลักษณะเป็นอ่าวเล็กๆที่ราบเรียบแต่มีความลึกมาก บริเวณเบื้องล่างหน้าผานั้นเป็นทรายแน่นและแห้ง นางเงือกน้อยจึงนำเจ้าชายว่ายแหวกไปยังที่นั่น เธอวางเขาลงบริเวณทรายอุ่นๆและใส่ใจที่จะพยายามให้ศีรษะอยู่สูง กับทั้งจัดให้ใบหน้าของเขาบ่ายไปทางดวงอาทิตย์ในเวลาต่อมา ระฆังทั้งหมดที่มีในตึกสีขาวหลังใหญ่ซึ่งอยู่บริเวณใกล้ๆนั้น ก็ดังลั่นระงมขึ้น พร้อมกับมีสาวน้อยจำนวนมากพากันออกมาเดินในสวน นางเงือกจึงว่ายถอยห่างออกมาจากฝั่งเล็กน้อยและก็นำตัวเองไปซ่อนอยู่ระหว่างโขดหิน ปกคลุมอำพรางศีรษะของเธอด้วยฟองน้ำ ดังนั้นจึงไม่สามารถจะมองเห็นใบหน้าอันเล็กๆของเธอได้ ในขณะที่สายตาของเธอก็คอยจ้องไปที่เจ้าชาย ชั่วเวลามิช้ามินานก็มีหญิงสาวคนหนึ่งมาพบเจ้าชายเข้า หล่อนถึงกับตกใจกลัวเมื่อเห็นเจ้าชายอยู่ในสภาพเช่นนั้น แต่ประเดี๋ยวเดียวหล่อนก็ได้สติแล้วก็รีบวิ่งกลับไปบอกพวกพี่ๆของเธอ นางเงือกน้อยได้เห็นเจ้าชายฟื้นคืนสติอีกครั้ง กับทั้งยังได้เห็น ความปิติยินดี ยิ้มแย้มแจ่มใส และเป็นสุขใจจากบรรดาผู้คนทั้งหลายที่อยู่แวดล้อมพระองค์ หากแต่ว่าเจ้าชายมิได้มองหาตัวเธอเลยเจ้าชายไม่รู้หรอกว่า เธอคือผู้ให้ความช่วยเหลือจนกระทั่งรอดชีวิตกลับมา ครั้นพอเจ้าชายถูกเชิญเข้าไปยังบ้านพัก เธอจึงรู้สึกเศร้าและเสียใจมาก จนถึงกับกระโจนพรวดลงใต้น้ำโดยทันที และหวนกลับสู่ปราสาทของพระบิดา ณ ก้นทะเลลึกถ้าเธอเคยเป็นผู้ที่มีอุปนิสัยเงียบและสุขุมเยือกเย็นมาก่อน คราวนี้ล่ะอุปนิสัยเช่นนั้นยิ่งจะต้องมีมากขึ้นเป็นหลายเท่าทวีคูณ ถึงแม้เหล่าพี่สาวจะถามเธอถึงสิ่งที่ได้พบเห็นจากโลกเบื้องบน แต่เธอจะให้คำตอบแก่พวกเขาก็หาไม่ สนธยาแล้วสนธยาเล่าที่เธอเฝ้าแหวกว่ายขึ้นไปยังสถานที่ ที่เธอเคยละเจ้าชายเอาไว้ เธอได้เห็นหิมะหลอมละลายลงจากภูเขา ส้มสูกลูกไม้เริ่มสุกงอม แต่เธอก็ไม่เคยพบเห็นเจ้าชายอีกเลย เธอจึงหวนคืนกลับมาบ้านด้วยความระทมขมขื่นอยู่เสมอ มีเพียงสิ่งเดียวที่พอจะเป็นความสุขให้กับเธอได้ สิ่งนั้นก็คือ นั่งในสวนหย่อมและจ้องดูรูปแกะสลักอันสวยงามซึ่งมีความละม้ายคล้ายคลึงกับเจ้าชายนั่นเอง เธอไม่ได้สนใจใยดีต่อมวลดอกไม้ของเธออีกต่อไปแล้ว มันจึงเจริญงอกงามออกไปอย่างสะเปะสะปะ ปกคลุมอยู่ตามทางเดินและเกี่ยวกระหวัดไปตามกิ่งก้านของต้นไม้จนกระทั่งดูมืดครื้มไปหมดในที่สุดเธอก็ไม่สามารถอดทนต่อไปได้อีก เธอจึงได้บอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้แก่เหล่าพี่สาวฟังจนสิ้นไม่นานนักเรื่องนี้ก็เป็นที่รู้ไปถึงคนอื่น และหนึ่งในนั้นก็จำเจ้าชายได้เพราะเธอเองก็ได้พบเห็นการจัดงานเลี้ยงบนเรือในวันนั้น เธอยังรู้ด้วยว่าเจ้าชายมาจากอาณาจักรอะไรและใครเป็นพระเจ้าแผ่นดิน“ไปกันเถอะ น้องสาวคนเล็ก” เหล่าเจ้าหญิงผู้พี่เอ่ยขึ้น แล้วพวกเธอทั้งหมดก็พากันเกี่ยวก้อยแหวกว่ายติดตามกันไปเป็นแถวยาว ชั่วเวลาไม่นานก็พากันไปโผล่ขึ้น ณ บริเวณด้านหน้าพระราชวังของเจ้าชายพระราชวังแห่งนี้สร้างด้วยหินสีเหลืองอร่าม มีขั้นบันไดทำด้วยหินอ่อนสีขาวยื่นออกมาและลดหลั่นลงสู่ทะเลส่วนยอดโดมของพระราชวังและรูปปั้นหินอ่อนล้วนแล้วแต่ฉาบด้วยทองคำ บางครั้งจนเกือบจะเข้าใจผิดว่ารูปปั้นที่เรียงรายอยู่ระหว่างเสาพระราชวังนั้นเป็นคนจริงๆ หากใครมองผ่านกระจกใสของหน้าต่าง ก็จะเห็นภายในห้องอันวิจิตรตระการตาด้วยม่านที่ทำจากไหมและมีภาพเขียนอันงามวิจิตร นางเงือกจึงมองผ่านหน้าต่างของห้องที่ใหญ่ที่สุดห้องหนึ่ง เธอได้เห็นธารน้ำพุจำลองอยู่ตรงกลาง มีน้ำพุพุ่งกระเซ็นสูงถึงยอดโดมที่กำลังสะท้อนแสงอยู่แวววับ ลำแสงของทินกรก็กำลังฟ้อนรำอยู่ในธารา อีกทั้งยังส่งแสงกล้าให้เห็นเหล่าพฤกษาเด่นงามซึ่งปลูกไว้ตามบริเวณน้ำพุและอยู่โดยรอบขอบชลธารคราวนี้นางเงือกน้อยก็รู้แล้วว่า เจ้าชายผู้เป็นที่รักของเธอ มีที่พำนักอยู่ ณ แห่งใด จากนั้นเป็นต้นมา เธอก็จะเพียรแหวกว่ายไปที่นั่นเกือบทุกวันในเพลาเย็น บ่อยครั้งที่เธอเข้าไปใกล้ผืนดินและใกล้กว่าที่เหล่าพี่สาวของเธอจะกล้าล่วงล้ำเข้าไป เธอเคยว่ายเข้าไปใกล้แม้กระทั่งคลองแคบๆที่ไหลผ่านอยู่เบื้องล่างระเบียงที่ทำด้วยหินอ่อน ณ ที่ตรงนี้เองในราตรีที่สว่างไสวด้วยแสงนวลจันทร์ เธอก็สามารถมองดูเจ้าชายได้ แม้แต่ในยามที่องค์ชายคิดว่าตนเองอยู่เพียงคนเดียวตามลำพัง ในบางคราวเธอก็เห็นเจ้าชายออกไปแล่นเรือ ด้วยเรือใบที่แต่งแต้มสีสันอันงดงาม มีธงทิวหลากสีโบกสะบัดอยู่ตอนบน เธอเองก็จะเข้าไปซ่อนตัวอยู่ราวป่ากกอันเขียวสดที่ขึ้นอยู่ตามชายฝั่งและเงี่ยหูคอยฟังสุรเสียงของเจ้าชาย ค่ำคืนแล้วค่ำคืนเล่าที่เธอได้ยินพวกชาวประมงพูดคุยกันในขณะที่พวกเขาพากันไต้ไฟออกมาทอดแห พวกเขากล่าวชื่นชมและเชิดชูพระเกียรติในสิ่งต่างๆที่เจ้าชายทรงกระทำ เธอจึงรู้สึกเป็นสุขมากและทำให้หวนคิดถึงคราวที่เธอช่วยเหลือเจ้าชาย ศีรษะที่เคยหนุนพิงอกของเธอและจุมพิตที่เธอได้ประจงให้ แต่อนิจจา เจ้าชายก็หาได้รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ และไม่เคยแม้แต่จะฝันถึงเธอเลยความเป็นมนุษย์ได้กลายเป็นสิ่งอันน่าพิสมัยสำหรับเธอเข้าไปทุกวันๆ จนกระทั่งเธอตั้งความปรารถนาอยากเป็นมนุษย์อยู่ร่วมกับหมู่คนเหล่านั้น ในสายตาของเธอโลกของชาวมนุษย์ดูจะกว้างขวางกว่าโลกของชาวเงือกมาก พวกเขาสามารถแล่นเรือกางใบข้ามมหาสมุทร และปีนป่ายถึงยอดภูเขาที่สูงเหนือกว่าหมู่เมฆได้ ส่วนแนวป่าของพวกเขาก็ทอดยาวไกลออกไป จนสุดลูกหูลูกตา และอีกหลายสิ่งหลายประการที่เธออยากจะรู้ แต่เหล่าพี่สาวทั้งหลายก็ไม่สามารถให้คำตอบอันเป็นที่พึงพอใจแก่เธอได้ ดังนั้นเธอจึงไต่ถามจากเสด็จย่าผู้อาวุโส ผู้ซึ่งมีความรู้มากกว่าใครๆเกี่ยวกับโลกเบื้องบน ซึ่งเธอเคยเรียกว่า “อาณาจักรเหนือท้องทะเล”“ถ้าพวกมนุษย์ไม่ได้จมน้ำตาย พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ตลอดไปใช่ไหม” เธอถามขึ้นในวันหนึ่ง“พวกเขาตายไม่เป็น เหมือนกับที่พวกเราตายอยู่เบื้องล่างนี่หรอกหรือ”“ตายเป็นสิ” คือคำตอบจากเสด็จย่า“พวกเขาก็ต้องตายด้วยเหมือนกัน อายุขัยของพวกเขาสั้นกว่าของพวกเรามาก พวกเรามีชีวิตอยู่ได้จนถึงอายุสามร้อยปี ครั้นพวกเราตายลงก็จะกลายเป็นฟองน้ำในทะเล จึงไม่ต้องมีสุสานหรือหลุมฝังศพสำหรับคนที่เรารักพวกเราไม่มีวิญญาณอันเป็นอมตะ พวกเราจึงไม่สามารถที่จะมีชีวิตอีกครั้งหนึ่งได้ เฉกเช่นเดียวกันกับต้นหญ้าเมื่อถอดถอนหรือตัดทิ้งเพียงครั้งเดียว มันก็จะเหี่ยวแห้งไปชั่วนิรันกาล ซึ่งแตกต่างไปจากพวกมนุษย์ พวกเขามีวิญญาณที่จะสืบสานไปสู่การมีชีวิตใหม่ได้อีกครั้ง หลังจากที่ร่างกายกลายเป็นผุยผง อุปมาเหมือนที่พวกเราขึ้นจากน้ำที่นี่ไปยังแดนดินถิ่นมนุษย์ วิญญาณของพวกเขาก็จะล่องลอยขึ้นสู่ดินแดนเบื้องสรวงอันวิจิตรในนภากาศซึ่งพวกเราจะไม่เคยได้พบเห็นเลย”“ทำไมพวกเราถึงไม่มีวิญญาณอันเป็นอมตะบ้างล่ะ” นางเงือกน้อยเอ่ยถามขึ้นบ้าง“ฉันยินดีที่จะสละความมีอายุสามร้อยปีของฉันเพียงเพื่อความเป็นมนุษย์แค่หนึ่งวัน ถ้าหากฉันจะมีโอกาสได้เข้าสู่ดินแดนสรวงสวรรค์ ณ เบื้องบน”“อย่าไปคิดเช่นนั้นเลย” เสด็จย่าเอ่ยขึ้น“ที่เป็นอยู่เช่นนี้ ก็ดีกว่ามากแล้ว ที่พวกเรามีชีวิตยาวนานกว่าและมีความสุขมากกว่าพวกมนุษย์”“นั่นก็หมายความว่า ฉันจำต้องตายไปเป็นฟองน้ำลอยฟ่องในทะเล จะไม่เคยได้ขึ้นไปมากกว่านี้ จะไม่มีโอกาสยลยินเสียงเห่กล่อมแห่งมหาสมุทร และจะไม่เคยได้ชื่นชมมวลบุปผชาติอันสวยสดงดงามและความเจิดจ้าแห่งดวงสุรีย์! ได้โปรดบอกแก่ฉันเถิด เสด็จย่าผู้เป็นที่รัก มันไม่มีหนทางใดๆเลยหรือ ที่ฉันจะสามารถได้มาซึ่งวิญญาณอันเป็นอมตะ”“ไม่มีเลย” สตรีอาวุโสผู้สูงศักดิ์กล่าว“แต่เป็นความจริงอยู่อย่างหนึ่งว่า หากมีมนุษย์มารักเธอจนสุดหัวใจของเขา และสัญญาที่จะสัตย์ซื่อต่อเธอเมื่อนั้นวิญญาณของเขาก็จะถ่ายเทเข้าสู่ร่างกายของเธอและเธอก็จะสามารถร่วมรับรู้ความสุขตามแบบอย่างของมนุษย์ แต่มันก็ไม่มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้ ก็ดูอย่างหางของพวกเรานี่สิ แม้พวกเราจะคิดว่ามันเป็นส่วนที่สวยงามที่สุดในร่างกาย แต่ผู้คนบนโลกนั้นเขากลับคิดว่าเป็นสิ่งที่น่าขยะแขยงและไม่อาจจะทนกับมันได้ การปรากฏกายอันเป็นที่ต้องใจของพวกเขานั้น คือร่างกายจะต้องมีส่วนค้ำจุนอันเกะกะอยู่สองส่วนซึ่งพวกเขาเรียกกันว่า ขา”นางเงือกน้อยถอนหายใจแล้วก็มองดูร่างกายของเธอส่วนที่มีเกล็ดอย่างโอดครวญ ซึ่งอันที่จริงมันก็งดงามอย่างประณีตและมีเสน่ห์“พวกเราก็มีความสุขดี” เสด็จย่ากล่าวสำทับ“พวกเราอาจจะกระโดดโลดเล่นและแหวกว่ายไปมาอย่างร่าเริงจนตลอดสามร้อยปี นั่นเป็นระยะเวลาอันยาวนานทีเดียว และหลังจากนั้นพวกเราก็จะพักอย่างสงบในความตาย เอาล่ะ ตอนเย็นวันนี้ที่วังมีงานสังสรรค์นะ”งานวังสังสรรค์ที่สมเด็จย่าทรงเอ่ยถึงนั้น ช่างสุดแสนตระการตายิ่งกว่างานใดๆที่ชาวโลกจะพึงเห็น ผนังของห้องโถงจัดงานนั้นเป็นผลึกแก้วอย่างหนา แต่มีความโปร่งใสมาก มีเปลือกหอยขนาดใหญ่จำนวนเป็นร้อยวางเรียงรายเป็นแนวยาวไปตามผนัง บ้างก็เป็นสีดอกกุหลาบ บ้างก็เป็นสีเขียวของหญ้า ที่สำคัญคือทุกอันล้วนแล้วแต่สามารถส่งประกายอันเรืองรอง จึงไม่เพียงแต่ทำให้สว่างเรืองรองไปทั่วห้องที่จัดงานเท่านั้น แต่ยังสาดแสงไปถึงชั้นกำแพงไม้พันธุ์ต่างๆและย่านน้ำโดยรอบ พวกเขายังได้นำเอาเกล็ดปลาจำนวนนับไม่ถ้วนมาตกแต่ง ขนาดเล็กบ้างใหญ่บ้าง หลายหลากสี มีทั้งสีม่วง สีทับทิม สีเงิน และสีทอง ทำให้ปรากฏโดดเด่นสดใสกว่าที่เคยเห็น ตรงกลางห้องจัดงานมีสายธารอันใสแจ๋วไหลผ่านขึ้นมา หมู่ชาวเงือกทั้งหญิงและชายต่างก็พากันออกมาเต้นรำฮัมเสียงอยู่ล้อมรอบขอบธารไหลนั้นเองเจ้าหญิงองค์เล็กทรงขับร้องได้อย่างหวานซึ้งกว่าใครๆทั้งมวล และได้รับการปรบมือจากพวกเขาอย่างล้นหลามจึงเป็นเรื่องที่เธอโปรดเพราะเธอทราบดีว่าทั่วทั้งทะเลและบนโลกไม่มีใครจะมีเสียงไพเราะและหวานซึ้งยิ่งไปกว่าเธออีกแล้ว พลันความคิดของเธอก็หวนไปถึงโลกเบื้องบน เธอไม่อาจที่จะลืมเลือนเจ้าชายรูปงามได้ และไม่อาจที่จะระงับยับยั้งความเสียใจด้วยเหตุที่ไม่มีวิญญาณอันเป็นอมตะ เธอจึงแอบหนีออกมาจากพระราชวังของพระบิดา ในขณะที่พวกเขาทั้งหมดกำลังเพลิดเพลินกันอยู่ภายใน เธอออกไปนั่งที่สวนหย่อมของเธอซึ่งถูกละเลยไปนาน แล้วก็ปล่อยให้ความคิดเตลิดเปิดเปิง ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงเป่าแตรดังมาจากเหนือน้ำทะเลที่ไกลออกไป เธอจึงรำพึงกับตัวเองว่า“เจ้าชายกำลังจะออกไปล่าสัตว์ เขาผู้ซึ่งฉันรักมากกว่าบิดาและมารดา ฉันจะยอมเสี่ยงทุกสิ่งอย่างเพื่อเอาชนะใจเขาและให้ได้มาซึ่งวิญญาณอันเป็นอมตะ ในขณะที่พวกพี่สาวกำลังเต้นรำกันอยู่ในพระราชวัง ฉันจะออกไปพบยายแม่มดถึงแม้โดยปกติฉันจะกลัวเพียงใดก็ตาม แต่มีเพียงแกคนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถให้คำแนะนำและช่วยเหลือฉันได้”ดังนั้นนางเงือกน้อยจึงออกจากสวนหย่อมของเธอและมุ่งตรงไปยังวังน้ำวน ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของยายแม่มดเธอไม่เคยท่องเส้นทางนี้มาก่อน ตลอดเส้นทางไม่มีมวลดอกไม้และพืชพันธุ์ทะเลใดๆเลย เธอจำเป็นต้องเดินทางข้ามพื้นที่ว่างเปล่าอันกว้างใหญ่ของทรายสีเทาก่อนที่จะไปถึงวังน้ำวน ณ ที่นี้ มีกระแสน้ำหมุนวนราวกับกังหันลม มันสามารถที่จะปั่นเอาทุกสิ่งที่เข้าไปใกล้ให้จุ่มจมลงไปในหุบเหวซึ่งอยู่เบื้องล่าง เธอต้องผ่านบริเวณขี้โคลนอันเหนอะหนะและปุ่มปมของอากาศราวกับฟองน้ำเดือด ซึ่งยายแม่มดเรียกว่า นาร้างของแก ส่วนที่พักของแกตั้งอยู่ในราวป่าอันแปลกประหลาดซึ่งอยู่เลยออกไป หมู่ต้นไม้และสุมทุมต่างๆ ล้วนแต่มีปมยื่นออกมาเหมือนมือ ดูราวกับงูร้อยหัวที่โผล่ออกมาจากพื้นดิน กิ่งก้านยาวๆและเป็นเมือกของลำต้นก็ยังมีตีนของหนอนไต่ยั้วเยี้ยอยู่รอบๆเต็มไปหมด ไม่ว่ามันจะเกาะเกี่ยวกิ่งก้านไหน มันก็จะกอดรัดตัวเองติดไว้อย่างเหนี่ยวแน่นโดยไม่ยอมให้หลุดหรือเคลื่อนคลาย นางเงือกน้อยหยุดยืนนิ่ง มองดูราวป่าอันน่าสะพรึงกลัวอยู่ครู่ใหญ่ ด้วยหัวใจที่เต้นแรงเพราะความหวาดกลัว เธอคงหันหลังกลับอย่างแน่นอนหากไม่ใช่เพราะเรื่องของเจ้าชายและวิญญาณอันเป็นอมตะ ความคิดนี้จึงเป็นแรงบันดาลใจทำให้เธอเกิดความกล้า เธอจึงรวบผมอันยาวสลวยเข้าไว้เพื่อป้องกันไม่ให้มือเถาไม้มายุดผมของเธอ สองมือกอดผสานที่หน้าอกแล้วเธอก็พุ่งปราดผ่านไปด้วยความเร็วยิ่งกว่าปลาแหวกน้ำ เธอสามารถเล็ดลอดฝ่าดงต้นไม้อันตรายไปได้อย่างหวุดหวิด ซึ่งในขณะที่แขนของมันก็เป็นอันต้องยื่นค้างออกมาอย่างหื่นหิว เธอได้เห็นแล้วว่ามือเถาไม้เกือบทุกอันสามารถจับสิ่งต่างๆให้ติดคาไว้ในอุ้งได้อย่างไร ทั้งนี้ก็เพราะว่าในนั้นมันยังมีมือเล็กๆอีกจำนวนนับพัน ซึ่งทำหน้าที่ราวกับเหล็กดัดคุมขัง บริเวณนั้นยังเห็นโครงกระดูกมนุษย์ขาวโพลน หมวกเหล็กของนักรบ เสื้อเกราะ โครงกระดูกของสัตว์บกหรือแม้แต่ของเงือกน้อย ซึ่งแสดงว่าเจ้าของซากคงจะถูกดักจับและติดจองจำคาอยู่ที่นี่จนตาย สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนว่าจะเป็นภาพที่เลวร้ายที่สุดสำหรับวีรสตรีเงือกน้อยผู้น่าสงสารของเราไม่นานเธอก็มาถึงทำเลที่ลุ่มอันกว้างใหญ่ มีพื้นดินอันอ่อนนุ่ม มีหอยล้วนแต่ตัวอ้วนๆคลานอยู่ย่านนั้น บริเวณตรงกลางมีบ้านที่ทำจากโครงกระดูกของหมู่มนุษย์ ผู้ซึ่งโชคร้ายจากเรืออับปาง ณ ที่นี้เอง ยายแม่มดกำลังนั่งลูบไล้คางคกอยู่ ด้วยอากัปกิริยาอย่างเดียวกันกับที่มวลมนุษย์เล่นกับนกที่เป็นสัตว์เลี้ยง แกเรียกหอยอ้วนที่น่าเกลียดเหล่านั้นว่าฝูงไก่ของแก และปล่อยให้พวกมันไต่ไปทั่วทั้งตัว“ฉันรู้ทีเดียวล่ะว่าเธอจะมาถามฉันเรื่องอะไร” แกพูดกับนางเงือกน้อย“ความปรารถนาของเธอนี่ช่างเขลาเสียจริงนะ แต่มันก็อาจจะสมประสงค์ได้ โดยมีข้อแม้ว่ามันจะนำความโชคร้ายมาถึงเธออย่างแน่นอน เจ้าหญิงผู้แสนสวยของฉันเอ๋ย เธอมาได้ทันเวลาพอดี” แล้วแกก็พูดต่อ“ถ้าแม้นเธอมาหลังพระอาทิตย์ตก ฉันก็จะไม่สามารถช่วยเหลือเธอได้เป็นเวลาต่อไปอีกหนึ่งปี เอาล่ะ เธอจะต้องแหวกว่ายไปจนถึงบนบกและนั่งลงที่ฝั่ง แล้วจึงค่อยดื่มสิ่งที่ฉันจะเตรียมให้นี้ จากนั้นหางของเธอก็จะหดหายกลายเป็นสิ่งที่พวกมนุษย์เรียกกันว่าขา การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้มันจะนำความเจ็บปวดมาให้เธออย่างมากทีเดียว เธอจะเจ็บปวดราวกับถูกมีดคมๆทิ่มแทงทะลุผ่านร่างกายของเธอเลยล่ะ ทุกคนที่พบเห็นเธอก็จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเธอเป็นเด็กหญิงที่น่ารักที่สุดที่พวกเขาเคยเห็น เธอจะต้องพยายามเคลื่อนไหวอย่างช้าๆและระมัดระวัง ถึงแม้โดยปกติแล้วก็ไม่มีนักเต้นรำคนใดจะเคลื่อนไหวอย่างแผ่วเบา แต่อย่าลืมว่าทุกๆก้าวย่างของเธอมันจะทำให้เจ็บปวดเกินกว่าจะทนได้ มันจะเจ็บปวดราวกับเธอเดินอยู่บนคมดาบและอาบเลือดนั่นทีเดียวเธอจะอดทนต่อความทรมานทั้งหมดนี้ได้ไหมล่ะ ถ้าทนได้ฉันก็จะทำให้ตามที่ขอ”“ฉันอดทนได้” เจ้าหญิงตอบด้วยน้ำเสียงสะดุด เพราะเธอคิดว่าเจ้าชายอันเป็นที่รักและความเป็นอมตะแห่งวิญญาณอาจจะเอาชนะได้ด้วยความทนทุกข์ทรมานของเธอ“จงจำไว้นะ” ยายแม่มดกำชับ“ว่าเธอจะไม่สามารถกลับมาเป็นนางเงือกได้อีก ทันทีที่เธอได้กลายร่างเป็นมนุษย์ไปแล้ว เธอจะไม่มีโอกาสกลับคืนมาหาพวกพี่สาวและพระราชวังของพระบิดาอีกเลย เธอจะไม่มีโอกาสได้รับวิญญาณอันเป็นอมตะที่เธอกำลังปรารถนาเลย เว้นเสียแต่ ข้อที่หนึ่งเธอจะเอาชนะหัวใจของเจ้าชายถึงระดับที่เขาละบิดาและมารดามาเพื่อเธอ ซึ่งเธอก็จะเป็นส่วนหนึ่งของความคิดและความปรารถนาของเขา และข้อที่สองเธอจะต้องได้รับการผสานมือโดยบาทหลวงเพื่อรับรองความเป็นสามีและภรรยาของเขาและเธอ ถ้าแม้นว่าเขาแต่งงานกับหญิงอื่นเมื่อใดเธอก็จะต้องตายในวันถัดไป เพราะว่าหัวใจของเธอแหลกสลายด้วยความเสียใจอย่างใหญ่หลวง แล้วร่างกายของเธอก็จะแปรเปลี่ยนกลายไปเป็นฟองน้ำลอยฟ่องในทะเล”“ฉันก็ยังยืนยันว่าจะทำ!” นางเงือกน้อยกล่าว ด้วยอาการสั่นเทิ้ม หน้าซีดราวกับคนกำลังจะตาย“นอกจากนี้แล้ว ฉันก็จะต้องได้รับการตอบแทน ซึ่งมันก็ไม่ใช่สิ่งเล็กน้อยเลยนะที่ฉันขอสำหรับเป็นค่าเหนื่อยเธอเป็นผู้มีน้ำเสียงอันไพเราะหวานซึ้งที่สุดในบรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ใต้ท้องทะเล และเธอก็คิดว่าจะใช้เป็นเสน่ห์ดึงดูดเจ้าชาย ก็คือน้ำเสียงของเธอนี่ล่ะ ที่ฉันอยากได้เป็นรางวัล ฉันต้องการสิ่งที่ดีที่สุดที่เธอมี เพื่อแลกกับเครื่องดื่มอันวิเศษของฉัน เพราะมันได้มาจากการยอมพลีสังเวยด้วยโลหิตของฉัน เหตุนั้นมันจึงเป็นเครื่องดื่มที่อาจจะบาดเสมือนดาบสองคม”“แต่ถ้าท่านเอาเสียงของฉันไปแล้ว” เจ้าหญิงพูดบ้าง“ฉันจะมีอะไรเหลือไว้เป็นเสน่ห์เพื่อเจ้าชายล่ะ”“ก็เรือนร่างอันนวยนาด” ยายแม่มดตอบ“การเยื้องกรายและสายตาสื่อความหมายของเธออย่างไรล่ะ ด้วยสิ่งเหล่านี้ย่อมทำให้หัวใจอันว่างเปล่าของพวกมนุษย์หลงรักได้ง่ายๆ ก็หรือว่าเธอไม่กล้าเสียแล้ว เอาล่ะ แลบลิ้นเล็กๆของเธอออกมา ฉันจะได้ตัดเอาแล้วก็รับเครื่องดื่มวิเศษของเธอไป”“เอาสิ!” เจ้าหญิงตอบ ในขณะที่ยายแม่มดก็เอื้อมมือเอาหม้อโลหะใหญ่มาทำการผสมยา“ความสะอาดเป็นสิ่งที่ดี” แกเปรยขึ้นพร้อมกับจัดการขัดหม้อยาด้วยคางคกและหอยเต็มกำมือ จากนั้นแกก็ทิ่มที่หน้าอกของตัวเองให้เป็นแผล แล้วปล่อยให้เลือดสีดำค่อยๆไหลลงในหม้อ เสร็จแล้วก็โยนส่วนผสมบางอย่างใส่ลงไป เกิดเป็นไอควันออกมาจากส่วนผสม ซึ่งอาจหมายถึงปฏิกิริยาแห่งความน่าสะพรึงกลัว ความทุกข์ทรมานโอดครวญและโหยหวนอยู่ในนั้น พอได้เวลาเครื่องดื่มวิเศษก็กลายเป็นน้ำสะอาดใสแจ๋ว เป็นอันเสร็จเรียบร้อย“นี่ไง รับไปสิ!” ยายแม่มดกล่าวแก่เจ้าหญิง พร้อมกับตัดเอาลิ้นของเธอออกไปโดยฉับพลันนางเงือกน้อยผู้น่าสงสารจึงไม่สามารถพูดหรือร้องเพลงได้อีกต่อไป เพราะกลายเป็นใบ้ไปโดยปริยาย“ถ้าพวกมือเถาไม้จะพยายามยุดเธอไว้ระหว่างที่เดินทางผ่านสวนน้อยของฉัน” แกกล่าวแสดงความเป็นห่วง“เธอก็เพียงแต่สะบัดเครื่องดื่มวิเศษนี้ใส่แขนของมัน มันก็จะแตกทำลายกลายเป็นพันๆชิ้น”แต่ว่าเจ้าหญิงก็ไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้น เพราะทันทีที่พวกมันรับรู้ถึงความสว่างของขวดผลึกใส่ยาที่ส่องเป็นประกายราวกับดวงดาวอยู่ในมือของเธอ มันก็พากันหดหรือถดถอยกลับไป เธอจึงสามารถเดินทางข้ามพ้นป่าอันตราย นาร้าง และธารฟองน้ำ กลับมาได้อย่างปลอดภัยทินกรยังไม่ทันโผล่พ้นขอบฟ้า เธอก็มาถึงยังพระราชวังของเจ้าชาย ณ บริเวณที่เป็นที่รู้จักกันดี คือบันไดหินอ่อนทางลงทะเล แสงจันทร์ยังสาดส่องจากท้องนภาในเวลาที่เธอดื่มยามหัศจรรย์จากขวดผลึกพลันเธอก็รู้สึกเหมือนกับคมมีดทิ่มแทงทะลวงกายจนถึงกับล้มลงสลบไป ครั้นดวงตะวันลอยเคลื่อนมาเยือนอัมพร เธอจึงฟื้นคืนสติและรู้สึกปวดระบมไปทั่วส่วนล่าง พอลืมตาขึ้นเธอก็เห็นเจ้าชายรูปงามกำลังก้มมองเธออยู่ ความอายบังเกิดขึ้นเต็มกำลัง เธอเหลือบมองหลบลงต่ำ แต่สิ่งที่ปรากฏแทนที่จะเป็นหางปลาอันเรียวยาวของเธอ บัดนี้มันคือสิ่งที่เธอต้องทนแบกรับอย่างทรมาน สิ่งนั้นก็คือขาอันเรียวงามสองขาของเธอ แต่ทว่าเธออยู่ในสภาพอันเปลือยเปล่า ถึงจะพยายามปกปิดด้วยผมยาวและดกของเธอก็ไร้ผล เจ้าชายทรงถามว่าเธอเป็นใคร มาถึงที่นี่ได้อย่างไร แทนคำตอบเธอได้แต่ยิ้มและจ้องมองเจ้าชายด้วยดวงตาสีฟ้าอันสดใสของเธอ อนิจจา! เธอพูดไม่ได้ เจ้าชายจึงจูงมือเธอเข้าไปในพระราชวัง ทันทีที่เธอออกก้าวเดิน เธอก็รู้สึกราวกับเหยียบย่ำไปบนคมดาบอันแหลมคม แต่เธอก็ทนแบกรับความเจ็บปวดด้วยความยินดี ยามเธอเยื้องย่างไปนั้นก็แสนจะแผ่วเบาดูประหนึ่งวาโยโบก ใครๆที่ได้พบเห็น ต่างก็ฉงนต่อการเคลื่อนไหวของเธอ ซึ่งนุ่มนวลราวกับไร้กระดูกเป็นลูกคลื่น...
ไกลออกไปในท้องทะเลกว้าง ที่นั่นน้ำเป็นสีน้ำเงิน งดงามราวกับดอกข้าวโพดและใสแจ๋วราวกับผลึกอันบริสุทธิ์ ที่แห่งนั้น อยู่ลึกลงไปขนาดหลายต่อหลายชั่วความสูงของยอดแหลมหลังคาโบสถ์ ซึ่งเป็นจุดที่ลึกที่สุด ณ ที่นี้เป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าชาวเงือกมีพระราชวังของราชาแห่งชาวเงือก ตั้งอยู่ห้วงทะเลที่ลึกที่สุดผนังกำแพงปราสาท ล้วนทำด้วยปะการัง ถัดขึ้นมาคือส่วนยอดแหลมและหน้าต่างทำด้วยอำพัน ซึ่งคอยแต่พลิ้วไหวปิดๆเปิดๆเมื่อต้องลูกคลื่นของน้ำทะเล สำหรับหลังคาพระราชวังทำจากเปลือกหอยนาๆชนิด เหตุนี้จึงทำให้ปราสาทดูงดงามตระการตา โดยเฉพาะเหล่าเปลือกหอยที่อุดมไปด้วยไข่มุกอันมากมาย จะสะท้อนแสงอยู่แวววับนี่ถ้าหากปรากฏอยู่บนพื้นโลกมนุษย์ ไข่มุกเหล่านี้ก็ย่อมเป็นเครื่องประดับที่ล้ำค่าราคาแพงที่สุดราชาแห่งชาวเงือกในปราสาทแห่งนี้ ทรงดำรงความเป็นพ่อหม้ายมานานหลายปี แต่โชคดีทรงมีพระมารดาผู้ชราภาพคอยช่วยเหลือดูแลจัดแจงเรื่องราวต่างๆ ภายในครอบครัวให้กับองค์ราชา พระนางเพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติของกุลสตรี และในเวลาเดียวกันพระนางก็มีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ในชาติกำเนิดและสถานภาพของตน พระนางจึงสวมเครื่องประดับที่หางด้วยหอยนางรมถึงสิบสองตัว ในขณะที่เงือกชั้นเจ้านายอื่นๆจะอนุญาตให้ประดับได้เพียงหกตัว พระนางเป็นที่ยกย่องสรรเสริญเกินคณานับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความห่วงใยใส่พระหฤทัยเอ็นดู ที่มีต่อเจ้าหญิงองค์น้อยๆทั้งหกพระองค์ ซึ่งเป็นหลานสาวของพระนางนั่นเอง เจ้าหญิงวัยเยาว์เหล่านั้นล้วนแล้วแต่มีรูปร่างสะสวยงดงาม โดยเฉพาะเจ้าหญิงพระองค์เล็ก คนสุดท้องนั้นน่ารักที่สุดผิวพรรณของเธออ่อนนุ่ม ละเมียดละไมราวกับกลีบกุหลาบ ตาของเธอสีฟ้าราวกับห้วงที่ลึกสุดของมหาสมุทรอย่างไรก็ตามเธอก็เหมือนกับชาวเงือกทั่วไปคือเธอไม่มีเท้า ร่างกายของเธอสิ้นสุดลงตรงที่เป็นหางปลาตลอดวันอันยาวนานเมื่อครั้งยังเยาว์ เหล่าเจ้าหญิงทั้งหกก็จะละเล่นอยู่ในห้องโถงใหญ่ของปราสาท อันดารดาษไปด้วยมวลบุปผานาๆพันธุ์ที่ขึ้นอยู่โดยห้อมล้อมตามผนังกำแพง ครั้นหน้าต่างอำพันถูกเปิดออก ปลาก็จะแหวกว่ายเข้ามาข้างในราวกับนกกระจาบถลาเข้ามาภายในห้องของเราที่บ้าน แต่ที่นี่สิยิ่งกว่าเพราะพวกปลามันจะว่ายตรงไปหาเจ้าหญิงองค์น้อยๆเหล่านั้น เพื่อไปกินอาหารจากมือและยังยินยอมให้เล่นด้วยอย่างคุ้นเคยบริเวณด้านหน้าของพระราชวัง มีอุทยานขนาดใหญ่ที่อุดมไปด้วยหมู่แมกไม้สีแดงสดและน้ำเงินเข้ม ผลของมันทอประกายราวกับทองคำ ส่วนดอกของมันก็ส่งสีสันอันสดใสดุจเดียวกับแสงเจิดจ้าของดวงตะวันพื้นดินของอุทยานอันเกิดจากทรายละเอียดก็ให้สีน้ำเงินสดใส มีก๊าซบางอย่างพวยพุ่งออกมาราวกับเปลวของกำมะถัน ดูน่าแปลก สีน้ำเงินของมันแผ่กระจายปกคลุมไปทั่ว เหตุนี้บางคนอาจจะคิดไปว่า ตนเองอยู่ท่ามกลางเมฆหมอกบนท้องนภาแทนที่จะเป็นเบื้องล่างสุดของมหาสมุทรในยามที่น้ำทะเลสงบนิ่ง หากใครสักคนเหลือบมองขึ้นเบื้องบน ก็จะปรากฏเห็นดวงอาทิตย์เป็นเหมือนดอกไม้สีม่วงที่แผ่พะยับรำไรอันเกิดจากลำแสงของมันภายในอุทยานแห่งนี้ เจ้าหญิงองค์น้อยๆแต่ละพระองค์จะมีพื้นที่สวนหย่อมของตนเองสำหรับปลูกต้นไม้หรือหว่านเมล็ดพันธุ์ต่างๆตามแต่จะทรงโปรดพระองค์หนึ่งทรงโปรดทำสวนหย่อมเป็นรูปปลาวาฬ อีกพระองค์หนึ่งทรงโปรดทำเป็นรูปนางเงือกส่วนที่เป็นของเจ้าหญิงพระองค์เล็กสุดค่อนข้างกลมทีเดียวราวกับดวงตะวัน แล้วเธอก็ปลูกดอกไม้เลือกเอาแต่เฉพาะที่ให้สีสันอันเป็นสีของดวงอาทิตย์นั่นเอง เธอจึงเป็นเด็กที่โดดเดี่ยวโดยแท้มีอุปนิสัยเงียบและสุขุมเยือกเย็นเป็นอย่างยิ่งครั้งหนึ่งเหล่าพี่สาวของเธอต่างพากันแต่งกายด้วยสิ่งของต่างๆดูชอบกล อันได้มาจากเรือที่อับปางส่วนเธอเองไม่ได้ประสงค์สิ่งใดเลย นอกจากขอเอาหินอ่อนสีขาวที่แกะสลักอันสวยงามเป็นรูปเด็กผู้ชายที่พบตกอยู่ ณ ที่นั้น เธอจึงนำรูปแกะสลักไปวางไว้ในสวนหย่อมของเธอ แล้วก็ปลูกวิลโลพันธุ์สยายกิ่งต้นสีแดงไว้ข้างๆ ปล่อยให้กิ่งยาวเฟื้อยของมันตกลงมาและทาบเงาสีม่วงเข้มที่โบกไหวอยู่เป็นนิตย์ลงกับพื้นทรายสีน้ำเงิน ไม่มีสิ่งใดที่เจ้าหญิงพระองค์เล็กจะทรงโปรดมากไปกว่า การได้ยินได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับโลกมนุษย์ที่อาศัยอยู่เหนือท้องทะเล เธอจึงมักจะหว่านล้อมให้เสด็จย่าผู้ชราบอกเล่าทุกสิ่งอย่างที่พระนางทรงรับรู้เกี่ยวกับ เรือ บ้านเมือง ผู้คน สัตว์บนบก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเธอจะชื่นชอบมากเมื่อได้รับรู้ว่าดอกไม้อันมีอยู่ที่โลกเบื้องบนนั้นมีกลิ่นอันน่าพิสมัย (ทั้งนี้เพราะดอกไม้ทั้งหลายในมหาสมุทรนั้นหาได้มีกลิ่นไม่) ป่าไม้มีสีเขียวขจี หมู่ปลาที่ซอกซอนอยู่กับกิ่งก้านของแมกไม้ก็มีหลายหลากสีน่าประหลาดและยังสามารถร้องเพลงขับขานด้วยเสียงอันดังฟังชัด เสด็จย่าทรงหมายถึงมวลหมู่นก ที่พระนางทรงเรียกว่าหมู่ปลาก็เพียงแต่เปรียบเทียบให้เหล่าหลานๆพอเข้าใจ เพราะพวกเขาไม่เคยเห็นนกมาก่อนหากไม่เช่นนั้นก็อาจจะไม่เข้าใจ“เมื่อพวกเธออายุครบสิบห้าปี” พระนางตรัส“พวกเธอก็จะได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปเที่ยวเล่นยังพื้นผิวน้ำทะเลได้ พวกเธอก็จะมีโอกาสได้ไปนั่งที่ชะง่อนหินท่ามกลางแสงจันทร์ ดูเรือใบแล่นไปมาและเรียนรู้เกี่ยวกับบ้านเมืองและผู้คน อย่างไรล่ะ”ในปีถัดมาเจ้าหญิงพระองค์ใหญ่ก็เจริญชันษาถึงอายุดังกล่าว เธอจึงสัญญาว่าจะบอกเล่าให้แก่น้องๆฟังถึงเรื่องราวต่างๆที่เสด็จย่าทรงไม่เคยเล่ามาก่อน และเป็นเรื่องที่พวกเธออยากได้ยินได้ฟังมาก ในบรรดาพี่น้องด้วยกันไม่มีใครเลยที่จะใจจดจ่อเฝ้ารอคอยวันครบรอบปีเกิดที่สิบห้ามากเท่ากับเจ้าหญิงพระองค์เล็กสุดผู้ซึ่งมีระยะเวลาที่ต้องรอคอยยาวนานที่สุด แต่ก็ด้วยความเงียบและอย่างสุขุม หลายต่อหลายคืนที่เธอเอาแต่เฝ้ายืนอยู่ริมหน้าต่างและเหม่อมองผ่านน้ำสีครามอันสดใสขึ้นไปยังเบื้องบน พระอาทิตย์หรือพระจันทร์ก็เป็นที่ปรากฏต่อเธอ ในยามที่มีเงาเคลื่อนผ่านไป เธอเองก็รู้ดีว่ามันจะต้องเป็นปลาวาฬหรือไม่ก็เป็นเรือ ที่แล่นไปพร้อมกับหมู่มนุษย์โดยสารมาเต็มลำ แต่คงไม่มีใครแม้แต่น้อยที่จะคิดว่า ลึกสุดลงไปใต้ท้องเรือของพวกเขายังมีนางเงือกน้อยกำลังยื่นมืออันบอบบางมาทางเรืออย่างถวิลหาครั้นพี่สาวคนใหญ่กลับจากการเยือนดินแดนเบื้องบน เธอก็นำเรื่องราวหลายอันพันประการมาบอกเล่าให้ฟัง สิ่งที่เธอชื่นชอบมากที่สุดคือการได้ไปนั่งอยู่ที่หาดทรายท่ามกลางแสงจันทร์ เฝ้าจ้องดูบ้านเมืองอันใหญ่โตที่เรียงรายอยู่ตามชายฝั่ง มีแสงสว่างวับแวมราวกับหมู่ดวงดาว และบางคราวก็ได้ยินเสียงดนตรีบรรเลงเธอแว่วเสียงผู้คนและล้อเกวียนจากระยะไกล เธอได้ยลหอคอยโบสถ์อันสูงลิบ ได้ยินเสียงระฆังลั่นเหง่งหง่างเรื่องราวเหล่านี้ล้วนแต่เป็นมนต์สะกดเจ้าหญิงพระองค์เล็กสุดให้สดับตรับฟังทุกถ้อยคำที่เธอเล่าอย่างตั้งอกตั้งใจเมื่อเธอไปยืนอยู่ริมหน้าต่างคราวต่อไป และจับตาจ้องมองผ่านน้ำทะเลสีครามออกไปสู่เบื้องบน เธอก็มักจะคิดคำนึงอย่างมากถึงบ้านเมืองอันยิ่งใหญ่และอึงอนไปด้วยผู้คน จนทำให้ได้ยินเสียงระฆังลั่นหง่างเหง่งในจินตนาการในปีถัดมาพี่สาวคนที่สองของเธอก็ได้รับการอนุญาตให้ออกไปแหวกว่ายได้ตามแต่จะทรงโปรด เธอขึ้นไปสู่ผิวน้ำทะเลในยามพระอาทิตย์กำลังอัสดง ทัศนียภาพในเวลานี้ช่างสุดแสนเป็นที่ประทับใจเธอมาก เธอยอมรับว่ามันช่างดูสวยสดงดงาม ยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดเหนือท้องทะเลเท่าที่เธอเคยเห็นมา“ทั่วท้องนภาราวกับถูกฉาบทาด้วยทองคำ” เธอกล่าว“และความงดงามของหมู่เมฆก็เกินกว่าที่ฉันจะให้คำอธิบายได้ เดี๋ยวเป็นสีแดง เดี๋ยวเป็นสีม่วงเข้ม ล่องลอยอยู่เบื้องบน นอกจากนั้นยังมีฝูงหงส์สีขาวบินฉวัดเฉวียนอยู่เหนือท้องน้ำ บริเวณที่ดวงตะวันกำลังจะจมหายลงไปฉันเฝ้าจ้องมองและตามดูพวกมันจนกระทั่งดวงอาทิตย์จมลับหายไปจากสายตา พร้อมๆกับแสงระเรื่อชมพูที่พื้นผิวน้ำทะเลและตามขอบของม่านเมฆก็ค่อยๆจางลงและอันตรธานไปในที่สุด”พี่สาวคนที่สามดูจะเป็นที่ประทับใจที่สุด เมื่อเวลาแห่งการไปเยือนโลกเบื้องบนของเธอมาถึง เธอเลือกไปผจญภัยที่ลำน้ำแห่งหนึ่ง เธอได้เห็นเนินเขาอันปกคลุมไปด้วยป่าไม้ และยังมีบ้านเรือนที่อยู่อาศัยพร้อมไร่องุ่นและปราสาทอยู่ท่ามกลางป่าไม้นั้น เธอได้ยินเสียงนกกำลังขับขาน ในขณะที่แสงสุรีย์ก็สุดแสนจะแผดร้อนจนเธอต้องคอยกระโจนลงสู่เบื้องลึกเพื่อรักษาความชุ่มเย็นให้กับใบหน้าที่กำลังผ่าวร้อน เธอไปเห็นพวกเด็กๆกำลังเล่นกันที่ท่าน้ำเล็กๆแห่งหนึ่ง บ้างก็เล่นอาบน้ำ บ้างก็เล่นกระโดด เธอใคร่ที่จะเข้าไปร่วมเล่นเกมกับพวกเขา แต่แล้วพวกเขาก็วิ่งหนีขึ้นบนบกด้วยอาการหวาดกลัวอย่างสุดขีด และยังมีสัตว์ตัวเล็กๆสีดำเห่ามาที่เธอด้วยท่าทางน่าหวาดกลัวจนเธอต้องล่าถอยแหวกว่ายกลับสู่ท้องทะเล เธอไม่อาจที่จะลืมเลือนความเขียวชอุ่มพุ่มไสวของป่าไม้ เนินเขา และเหล่าเด็กๆที่น่ารัก ที่เคยพากันว่ายเล่น ณ ลำน้ำแห่งนั้น และโดยปราศจากความหวาดกลัวถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่มีหางเหมือนอย่างเธอสำหรับพี่สาวคนที่สี่ไม่สู้จะมีสิ่งประทับใจนัก กล่าวคือเธอไปอยู่ที่ทะเล ครั้นกลับลงมาเธอก็คิดว่าไม่มีสิ่งใดที่สวยไปกว่านี้อีกแล้ว สิ่งที่เธอได้พบเห็นในระหว่างนั้นคือ มีเรือแล่นผ่านเธอไป พอห่างไกลออกไปก็ดูราวกับนกนางนวล เธอได้เห็นหมู่ปลาโลมากระโดดโลดเล่น ได้เห็นปลาวาฬพ่นน้ำออกทางจมูกของมัน จึงดูราวกับมีธารน้ำพุอยู่โดยรอบตัวในวาระครบรอบวันเกิดของพี่สาวคนที่ห้านั้น เป็นห้วงฤดูหนาว ดังนั้นเมื่อเธอขึ้นมาสู่ยังพื้นผิวจึงเห็นทะเลเป็นสีเขียว และมีก้อนอันมหึมาของน้ำแข็งลอยล่องอยู่ ที่ผู้คนเรียกกันว่าไอซ์เบิร์กซ์ เธอกล่าวว่ามันดูราวกับไข่มุกขนาดใหญ่ และดูเหมือนว่ามันจะใหญ่กว่าหอสูงของโบสถ์เสียด้วยซ้ำ เธอนั่งลงบนก้อนน้ำแข็งอันมหึมานั่นแล้วก็ปล่อยให้สายลมโกรกเล่นอยู่กับเส้นผมของเธอ ทันทีที่พวกเดินเรือผ่านมาเห็นเธอเข้า ทุกๆลำก็จะหันเหเปลี่ยนเส้นทางการเดินเรืออย่างรวดเร็ว เมื่อเพลาย่างสู่สนธยา พายุใหญ่ก็อุบัติขึ้น ขณะที่ก้อนน้ำแข็งใหญ่ก็โยกโคลงขึ้นและลงตามคลื่นทะเลพร้อมกับการสะท้อนแสงของประกายไฟจากท้องนภา สายฟ้าแลบพาดผ่านไปยังหมู่เมฆ ตามด้วยเสียงฟ้าคำรามกึกก้อง ระลอกแล้วระลอกเล่า พวกเรือต่างพากันลดใบลงจนสิ้นตามด้วยความโกลาหลวุ่นวายอยู่บนเรือ ในขณะที่เจ้าหญิงองค์น้อยๆก็เพียงแต่นั่งอยู่บนก้อนน้ำแข็งอยู่อย่างเงียบๆและมองดูสายฟ้าสีน้ำเงินแยกเป็นแฉกพุ่งลงไปในท้องทะเลการไปเยือนยังดินแดนโลกเบื้องบนเป็นครั้งแรกของพี่สาวแต่ละองค์ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นที่ติดตาตรึงใจไปกับสิ่งใหม่ๆที่ได้พบเห็นและความสวยสดงดงามของวัตถุเหล่านั้น แต่ความใหม่ที่ว่าพอสักประเดี๋ยวก็ผ่านพ้นไปคือความใหม่อยู่ได้เพียงไม่นานก่อนที่สภาพตามบ้านเกิดของพวกเธอจะปรากฏขึ้นแทน ซึ่งเป็นสิ่งที่มีเสน่ห์ที่สุดยิ่งกว่าดินแดนใดๆทั้งมวล เป็นเวลาหลายต่อหลายวันในเวลาเย็น ที่เหล่าพี่สาวทั้งห้ายังคงเกี่ยวก้อยกันแหวกว่ายขึ้นมาจากเบื้องลึกของมหาสมุทร น้ำเสียงของพวกเธอนั้นสุดแสนจะหวานล้ำ และไพเราะยิ่งกว่าน้ำเสียงของหมู่มนุษย์ทั้งหลาย ในยามที่พายุกำลังจะมาพวกเธอก็จะพากันแหวกว่ายไปยังด้านหน้าของเรือและส่งสำเนียงขับขานพวกเธอช่างขับร้องได้อย่างไพเราะเสนาะเสียงสำเนียงหวานกระไรอย่างนั้น อันเป็นสื่อบ่งบอกถึงความสุขหฤหรรษ์ของหมู่เหล่าผู้มีถิ่นพำนักอยู่ ณ เบื้องล่างของท้องทะเล และยังเป็นการวิงวอนนักเดินเรือขออย่าได้มีความหวาดกลัว แต่จงได้โปรดลงมาหาพวกเขา อย่างไรก็ตามพวกชาวเรือก็หาได้เข้าใจในถ้อยคำเหล่านั้นไม่และต่างก็คิดไปว่าเสียงเพลงเหล่านั้น มันก็คงเป็นเพียงแค่เสียงกรีดหวีดหวิวของลมทะเลเท่านั้นเองในขณะที่เหล่าพี่สาวทั้งห้ากำลังพากันออกไปแหวกว่ายในห้วงเพลาเย็น พระธิดาองค์เล็กสุดก็ยังคงสงบนิ่งอยู่ในปราสาทของพระบิดา ได้แต่แหงนมองตามหลังพวกพี่สาวไป เธออยากจะร้องไห้แต่ก็ทำไม่ได้ เนื่องจากธรรมชาติของนางเงือกไม่สามารถจะหลั่งน้ำตาร้องไห้ได้ และเหตุนี้เองผลตามมาก็คือเมื่อเวลาที่พวกเขาเป็นทุกข์พวกเขาจึงมีความทรมานอย่างไม่มีที่สิ้นสุดยิ่งเสียกว่าความทุกข์ที่มวลมนุษย์พึงได้รับ“โอ! นี่ถ้าเพียงแต่ฉันมีอายุครบสิบห้านะ! เธอตัดพ้อ“ฉันรู้ว่า ฉันอาจจะรักดินแดนเบื้องบนและผู้คนของที่นั่นมาก”และแล้วในที่สุด วันที่เธอเฝ้ารอคอยนานแสนนานก็มาถึง“เอาล่ะ คราวนี้ถึงตาของเธอแล้ว” เสด็จย่าตรัส“มาทางนี้ซิ ย่าจะจัดแจงแต่งกายให้ จะได้เหมือนกับเหล่าพี่สาวของเธอ”พระนางจึงนำพวงมาลัยดอกลิลลี่มาพันรอบๆผมของเธอและมีรับสั่งให้นำหอยนางรมขนาดใหญ่แปดตัวมามัดเข้าประดับหางของเจ้าหญิง อันถือเป็นเครื่องหมายแห่งความสูงศักดิ์ของเธอ“แต่มันทำให้ไม่คล่องตัวเลยนะ!” เจ้าหญิงองค์เล็กทักท้วง“ใครที่ปรารถนาให้ตนเองมองดูดี เขาก็จะไม่กังวลกับความไม่สะดวกสบายเล็กๆน้อยๆ” เสด็จย่าทรงเอ่ยขึ้นเจ้าหญิงเองนั้นก็ยินดีที่จะถอดมงกุฎอันตระการตานี้ออกเสีย เพื่อเปลี่ยนเป็นแค่ปักแซมผมด้วยดอกไม้สีแดงจากสวนหย่อมของเธอ แต่ในเวลานี้เธอก็มิบังอาจที่จะทำเช่นนั้น “ฉันไปล่ะนะ” เธอกล่าวอำลาแล้วก็แหวกว่ายออกไปอย่างนุ่มนวลราวกับฟองน้ำในเวลาที่เธอมาถึงยังพื้นผิว ดวงอาทิตย์เพิ่งจะจมลงไปใต้เส้นขอบฟ้า แต่ยังฉาบทาด้วยสีทองและชมพูที่หมู่เมฆให้ยังพอมองเห็นอยู่รำไร ดวงดาราในเพลาพลบค่ำกำลังส่องประกายแต่เพียงน้อย ท่ามกลางนภาที่ฝ้าขาวทางทิศประจิม ขณะที่อากาศก็กำลังพอดีและสดชื่น เวลานั้นมีเรือสามกระโดงขนาดใหญ่ลำหนึ่ง จอดนิ่งอยู่กับพื้นน้ำทะเลที่เรียบสงบ มีธงทิวจำนวนนับไม่ถ้วนปลิวสะบัดอยู่ตามเสากระโดงเรือเหล่านั้น แต่มีอยู่เสาหนึ่งที่ไม่ได้ลดใบลง ถึงกระนั้นก็ไม่มีลมแผ่วพัดผ่านมารบกวนแต่อย่างใด ชาวเรือพากันนั่งเงียบๆที่เสากระโดงเรือและหมู่เชือกสาย ต่อมาดนตรีและเสียงขับร้องก็แว่วได้ยินมาจากทางดาดฟ้าของเรือ ครั้นความมืดเข้าปกคลุม ตะเกียงนับร้อยๆดวงก็ถูกจุดขึ้น นำเอาความสว่างไสวเข้ามาแทนที่โดยทันทีนางเงือกน้อยได้แหวกว่ายเข้าไปใกล้ๆห้องของกัปตัน แล้วมองผ่านเข้าไปทางหมู่หน้าต่างใสๆรูปกระทะเธอมองเห็นเสื้อผ้าอาภรณ์อันหรูหราของบุรุษอยู่ในนั้นมากมาย ผู้ที่มีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาที่สุดในบรรดาคนเหล่านั้นได้แก่พระราชโอรสผู้มีดวงเนตรโตและดำขลับ อีกทั้งยังทรงพระเยาว์ พระองค์มีอายุครบสิบหกชันษาซึ่งผู้คนทั้งหมดบนเรือในเวลานี้กำลังจัดงานเลี้ยงอันอลังการเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบวันเกิดของพระองค์ พวกลูกเรือทั้งหลายกำลังเต้นรำกันอยู่บนดาดฟ้า ครั้นพอเจ้าชายมาปรากฏตัวต่อบรรดาผู้คนเหล่านั้น หมู่พลุ ตะไล บั้งไฟ และดอกไม้เพลิงทั้งหลายจำนวนนับเป็นร้อยๆ ก็ถูกจุดส่งขึ้นสู่นภากาศ เปลี่ยนจากความมืดของรัตติกาลเป็นความสว่างของทิวาในบัดดล ในเวลาเดียวกันมันก็สร้างความตื่นกลัวให้กับนางเงือกน้อยเอามาก จนนางถึงกับดำดิ่งลึกลงไปใต้น้ำ แต่เวลาไม่นานเธอก็โผล่กลับขึ้นมาอีกครั้ง ในคราวนี้ดูเหมือนว่าดวงดาวทั่วทั้งอัมพรกำลังร่วงหล่นลงมายังเธอ นับว่าเป็นครั้งแรกของเธอที่เคยเห็นงานเผาเทียนเล่นไฟ และไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าพวกมนุษย์มีความสามารถและทรงไว้ซึ่งอำนาจอันอัศจรรย์เยี่ยงนี้ ดวงตะวันใหญ่หลายต่อหลายดวงหมุนควงอยู่รอบๆเธอ ปลาที่กำลังคึกคะนองดีดตัวขึ้นมาเหนือน้ำให้เห็น ทุกสิ่งอย่างมองเห็นภาพสะท้อนอันบริบูรณ์ด้วยฉากของพื้นผิวน้ำทะเลอันสดใสเนื่องมาแต่แสงสว่างจากเรือนั่นเอง ที่ทำให้ทุกสิ่งอย่างสามารถมองเห็นได้จากระยะไกล โอ! เจ้าชายช่างเป็นบุรุษที่หล่อเหลาเกินกว่าจะพรรณนา! พระองค์ทรงสัมผัสมือกับเหล่ากลาสีเรือและทรงพระสรวลขณะที่ตรัสหยอกล้ออยู่กับพวกเขา ในเวลาเดียวกันท่วงทำนองอันไพเราะหวานแว่วของดนตรีปี่พาทย์ ก็ยังคงบรรเลงไปอย่างสอดประสานกลมกลืนกับความเงียบสงัดแห่งรัตติกาลมันสายมากแล้ว แต่นางเงือกน้อยก็ยังไม่สามารถตัดใจตัวเองให้ปลีกหนีไปจากเรือและเจ้าชายหนุ่มรูปงามนั้นได้เลย เธอยังคงวนเวียนคอยจ้องมอง ผ่านทางหน้าต่างอยู่ร่ำไป โดยมีระลอกคลื่นซัดเธอกลับไปกลับมาอยู่ ณ ที่นั่น ฟองน้ำและปุ่มปมของอากาศคล้ายๆกับความเดือดพล่านของน้ำค่อยๆผุดขึ้นมาอย่างช้าๆจากเบื้องล่างส่วนลึกลงไป ครู่ต่อมาลูกคลื่นก็สูงขึ้นๆ ส่วนท้องฟ้าก็มีการก่อตัวของหมู่เมฆที่หนาดำ เสียงฟ้าร้องได้ยินมาแต่ไกลพวกเหล่ากลาสีเรือเห็นได้ชัดว่าพายุกำลังจะมา ใบเรือจึงถูกชักลงอีกครั้ง ด้วยแรงลมพายุมหาสมุทรที่กำลังปั่นป่วนถึงจะเป็นเรืออันใหญ่โต แต่ก็เห็นเป็นประหนึ่งเรือเล็ก เมื่อเทียบกับลูกคลื่นอันมหึมา ขนาดราวกับภูเขาดำทะมึนที่กำลังถั่งโถมเข้ามา เรือจึงดิ่งลงสู่หุบของคลื่นทะเลราวกับหงส์ป่าถลาร่อน แล้วก็ถูกซัดขึ้นสูงอีกระลอกหนึ่งเหตุการณ์นี้ดูจะเป็นที่พึงพอใจแก่นางเงือกน้อย หากแต่ว่าแตกต่างเป็นอย่างมากกับความคิดของพวกลูกเรือแผ่นไม้ของเรือแตกร้าว เสากระโดงอันแข็งแกร่งก็หักสะบั้นลง จากความรุนแรงของพายุทะเล น้ำจึงทะลักเข้าตามรูรั่ว นางเงือกน้อยเริ่มตระหนักดีว่า ผู้คนบนเรือกำลังตกอยู่ในอันตราย สำหรับตัวเธอเองก็ต้องคอยโผเข้าเกาะเกี่ยวเหนี่ยวรั้งกับชิ้นส่วนต่างๆ ที่ขาดออกมาจากเรือเพื่อให้ลอยคออยู่เหนือลูกคลื่นทันใดนั้นเอง มันกลับมืดลงสนิทจนมองไม่เห็นอะไรเลย เมื่อแสงสว่างของฟ้าแลบปรากฏขึ้นชั่วขณะในเวลาต่อมา ก็ทำให้เห็นเหตุการณ์ได้ทั้งมวลอย่างชัดเจนราวกับเป็นกลางวัน เธอจดจ้องมองหาเจ้าชายหนุ่มในขณะที่เรือกำลังแตกและอับปางลง พลันเธอก็มองเห็นเจ้าชายตกลงไปในน้ำและกำลังจะจมลงสู่ท้องทะเล เธอรู้สึกยินดีและเป็นสุขยิ่ง ด้วยคิดว่าพระองค์คงจะเสด็จลงมายังปราสาทของเธอได้ แต่แล้วเธอก็ฉกคิดขึ้นมาได้ว่า มนุษย์นั้นไม่สามารถที่จะอาศัยอยู่ในท้องทะเลได้“ไม่ ไม่นะ เขาจะต้องไม่ตาย!”เธอจึงแหวกว่ายฝ่าซากปรักหักพังของเรือเข้าไป โดยไม่คิดระแวงถึงอันตรายใดๆเลยแม้แต่นิด ในที่สุดเธอก็พบเจ้าชาย ซึ่งอยู่ในสภาพที่ไม่อาจจะทนว่ายต่อไปได้อีกเลย สองพระเนตรนั้นหลับลงสนิทแล้ว องค์ชายย่อมจะจมน้ำตายเป็นแน่ หากแม้นไม่มีนางเงือกน้อยมาช่วยไว้ทันเวลา เธอเข้าไปคว้าเอาร่างของเจ้าชายมายุดไว้ให้อยู่เหนือน้ำ และจำต้องยอมให้กระแสน้ำอันเชี่ยวกรากโอบรัดเขาทั้งสองเข้าไว้ด้วยกัน พอรุ่งอรุณมาถึง พายุก็เป็นอันผ่านพ้นไป แต่ไม่มีร่องรอยของเรือเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย ดวงตะวันสีแดงโผล่พ้นขึ้นมาจากน้ำ ดูเหมือนว่ารังสีแห่งแสงสุรีย์ได้ช่วยให้ใบหน้าอันซีดขาวของเจ้าชายค่อยมีสีผิวกลับคืนมาบ้าง แม้ว่าดวงเนตรทั้งสองจะยังคงหลับอยู่ ครั้นนางเงือกเสยเกศาอันเปียกโชกของเจ้าชายจนเห็นดวงพักตร์อย่างชัดเจน เธอถึงกับรำพึงว่า เขาช่างมีหน้าตาคล้ายคลึงกับรูปแกะสลักในสวนหย่อมของเธอยิ่งนัก เธอบรรจงจุมพิตเจ้าชายอย่างละมุนละไมและหวังใจไว้ว่าเขาอาจจะมีชีวิตรอดอยู่ต่อไป