ลับแล
คำพันเป็นหนุ่มอีสาน มีชีวิตที่เติบโตมากับท้องไร่ท้องนา เมื่อเสร็จสิ้นจากงานนาก็รับหน้าที่เลี้ยงควาย พอฤดูฝนหวนกลับมา กิจกรรมหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินก็ตกมาอยู่ในมือของเขาอีกครั้ง วนเวียนอยู่เช่นนี้ปีแล้วปีเล่า กาลเวลาเหมือนมันติดปีกบิน จากวัยเด็กก็ย่างสู่วัยหนุ่มอย่างไม่ทันรู้ตัว ความจำเจในการงาน บางครั้งทำให้เขาอยากเดินหนีออกจากวังวนของความจนยากเอาเสียดื้อๆ แต่ว่าโลกแห่งความเป็นจริงมันก็ยังพันธนาการเขาไว้เยี่ยงทาสผู้สัตย์ซื่ออยู่ดี ในราตรีหนึ่ง อากาศค่อนข้างอบอ้าวเมื่อตอนหัวค่ำ คำพันทนนอนอุดอู้ในห้องนอนไม่ไหว ก็เลยออกมาปูผ้าขาวม้านอนเล่นตากอากาศที่นอกชานบ้าน “มันร้อนระอุจริงๆ” เขาบ่นพึมพรำ หรือว่าโลกมันกำลังคืบคลานเข้าสู่ความหายนะอย่างที่พวกนักวิทยาศาสตร์ย้ำเตือนกันนักกันหนาว่าอุณหภูมิของโลกกำลังสูงขึ้นเรื่อยๆ ภูเขาน้ำแข็งที่ขั้วโลกกำลังหลอมละลายกันขนานใหญ่จึงส่งผลให้น้ำทะเลสูงขึ้นทุกปีๆ ชายฝั่งทะเลก็จะหดหายลงไปเรื่อยๆ อีก ๒๐ กว่าปีข้างหน้า เมืองฟ้าอมรของเรา ก็อาจจะต้องเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองสินสมุทรมนุษย์มัจฉา เพราะน้ำมันท่วมหมดแล้ว ถ้าเป็นจริงเช่นนี้ในที่สุดโลกก็จะเต็มไปด้วยน้ำ หรือ น้ำท่วมโลกนั่นเอง แล้วผู้คนจะไปอยู่ที่ไหนกันล่ะเนี่ย แต่ก็ช่างมันเถอะเมื่อถึงเวลานั้นมันก็คงอีกนาน อายุขัยของพวกเราก็คงอยู่ไปไม่ถึงเหตุการณ์นั้นหรอก หรือบางทีก่อนที่จะมีมหาวิปโยคน้ำท่วมโลก ลูกอุกาบาตรหรือพวกดาวเคราะห์เล็กๆน้อยๆทั้งหลาย ก็อาจจะโคจรมาโหม่งโลกเข้าให้ เกิดเป็นไฟประลัยกัลป์เผาผลาญมวลมนุษยชาติให้สูญเผ่าพันธุ์ไปก่อนแล้วก็ได้ หรือ หากมันเกิดขึ้นภายหลังจากน้ำท่วมโลก ก็ถือเป็นการทำฌาปนกิจศพมวลมนุษยโลกไปในตัว เฮ้อ...เราคิดมากไปหรือเปล่าเนี่ย เขาเริ่มรู้ตัว
“อืมม์ ค่อยยังชั่ว อย่างน้อยก็ยังพอมีลมโชยมาช่วยเสริมความเย็นให้บ้างเป็นครั้งคราว” เขารำพึงกับตัวเองขณะเอนกายลงนอนหงายตรงนอกชานบ้าน
มันช่างเป็นคืนที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง โล่งแจ้งดีแท้ หมู่ดวงดาวที่ดารดาษกลาดเกลื่อนอยู่บนเวหา ก็กำลังส่งประกายเจิดจ้า ไร้ซึ่งหมอกเมฆามาบดบัง จินตนาการของเขาโลดแล่น ท่องไปในหมู่ดาวนพเคราะห์ เลาะตระเวนไปทั่วจักรวาล นานเท่าไรไม่รู้ แต่พอได้สติรู้ตัวอีกที ก็ต่อเมื่อมาพบว่าตัวเองยืนอยู่ริมฝั่งน้ำ มองลงไปยังลำน้ำ เห็นหญิงสาวหน้าตาสะสวย สองคนกำลังล่องเรือผ่านมา พวกหล่อนไม่ได้ผ่านเลยไป แต่กลับนำเรือมาเทียบฝั่งแล้วยังเชื้อเชิญให้เขาลงเรือไปกับพวกเธออีกด้วย
แรกๆคำพันก็ไม่ค่อยแน่ใจสักเท่าไหร่ว่าจะลงเรือไปกับพวกเธอดีหรือไม่ แต่เมื่อทนถูกรบเร้าคะยั้นคะยอไม่ไหว เขาจึงตัดสินใจได้ในที่สุด คำพันก้าวลงไปนั่งอยู่ในเรือ พลันพวกเธอก็กล่าวแสดงตัวต่อเขาว่า เธอทั้งสองเคยช่วยเหลือเขามาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อเขาประสบชะตากรรม แต่เขาอาจจะไม่รู้ตัวว่ามีคนคอยช่วยเหลือ พวกเธอยังแจ้งให้เขารู้ด้วยว่า ตัวเขาเองเป็นหนึ่งในมวลสมาชิกของพวกเธอ ซึ่งเวลานี้เขากำลังถูกปล่อยให้อยู่เผชิญกับโลกบนดินไปตามลำพัง เมื่อเป็นพวกเดียวกันหรือมนุษย์ร่วมสายพันธุ์กันก็จะต้องมีธรรมเนียมร่วมปฏิบัติอย่างเดียวกัน
สิ่งหนึ่งที่ต้องปฏิบัติเป็นอันดับแรกก็คือ เปลื้องเครื่องนุ่งห่มที่ติดตัวมาแต่เดิมนั้นออกทิ้งไปเสียทั้งหมด
ดังนั้นหนึ่งในสองสตรีผู้เลอโฉมนั่น จึงออกคำสั่งให้เขาถอดเสื้อผ้าออกให้หมด คำพันเองก็ทั้งอายและรู้สึกแปลกประหลาดใจเป็นที่ยิ่ง แต่เมื่อทนถูกรบเร้าไม่ไหวเขาก็จำใจเปลื้องเสื้อออก ในขณะที่เขากำลังจะถอดกางเกงออกตามคำสั่งอย่างอีลักอีเหลื่อ ทั้งสองสาวเห็นเขาปฏิบัติอย่างกล้าๆกลัวๆ จึงบอกแก่คำพันว่า
“ต้องถอดอย่างนี้สิ”
พูดพลาง พวกเธอก็นำร่างอันเปลือยเปล่าของตน ออกมาเปิดเผยจากเครื่องนุ่งห่ม ไม่แต่เพียงเท่านั้น หนึ่งในนั้น ยังก้าวขึ้นไปนั่งอยู่บนกาบเรือ โดยที่ยังเจตนานั่งหันหน้าและแยกขามาทางเขา เพื่อคำพันจักได้ยลเต็มสองลูกตาโดยไม่ต้องพึ่งจินตนาการ เลือดลมของคนหนุ่มจึงฉีดพุ่งขึ้นสุดแรงเป็นธรรมดา เพราะเหตุว่าความงดงามอันวิจิตรพิสดารของสาวสวยได้ปรากฏเป็นที่ประจักษ์แก่เขาอย่างไม่มีสิ่งใดมาบดบัง
เขาจำไม่ได้ว่าในระหว่างที่ท่องมาในเรือ เขาได้ถอดกางเกงของตนเองออกหรือไม่ แต่คิดไปคิดมาก็น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะหาไม่แล้วสองสาวผู้เลอโฉมก็คงจะไม่ยินยอมหรือเป็นธุระนำพาเขามาจนถึงปลายทางนี้เป็นแน่แท้ ความจดจำได้หมายรู้ระหว่างการเดินทางโดยเรือร่วมกับสองสาวชาวชีเปลือยถูกลบเลือนไปเสียสิ้น แต่มาจำได้อีกทีก็ต่อเมื่อขึ้นฝั่งมาแล้ว คราวนี้เขาถูกนำทางไปโดยบุรุษ เมื่อเดินผ่านสิ่งปลูกสร้างต่างๆ เขาก็พอจะคะเนได้ว่า สถานที่แห่งนี้ไม่ใช่บ้านเมืองที่โดยปกติตั้งอยู่บนแผ่นดินของโลกเราเป็นแน่แท้ มันเป็นสิ่งแวดล้อมที่ปราศจากต้นไม้ ความสว่างพอประมาณ แสงที่เขาสัมผัสได้ออกสีแดงสลัวๆ อาคารที่ปลูกสร้างไม่มีเหลี่ยม ไม่มีมุม มองผ่านทะลุเข้าไปเห็นผู้คนในอาคาร ซึ่งกำลังเดินกันอยู่ขวักไขว่ราวกับผู้คนในซุปเปอร์มาเก็ต จึงพอจะสันนิษฐานได้ว่าน่าจะเป็นอาคารเรือนกระจกทั้งหลัง นอกจากนี้ ลิฟต์ที่ทำหน้าที่ขนส่งผู้คนภายในตัวอาคารก็ดูแปลกประหลาด กล่าวคือมันมีรูปร่างเหมือนจานหลายๆใบหรือแผ่นซีดีหลายแผ่น เรียงรายลดหลั่นกันตามแต่ละชั้น แต่ทั้งหมดจะติดอยู่กับแกนเดียวกัน เมื่อแกนหมุนก็จะพาจานขนาดใหญ่ หมุนเวียนไปตามชั้นต่างๆ ผู้คนที่ต้องการจะขึ้นหรือลงไปชั้นใดก็เพียงแต่ก้าวเท้าไปยืนอยู่บนจานใบใหญ่นั่นเท่านั้นเอง
“นี่มันเป็นเครื่องใช้อำนวยความสะดวกที่เป็นเทคโนโลยีของมนุษย์ยุคไหนกันแน่”
เขารำพึงและกรำความสงสัย บุรุษผู้มีอัธยาศัยดี พาเขาเข้าไปพักในโรงเรือนของอาคันตุกะ เอาอีกแล้วล่ะสิ ความมึนงงสงสัยยิ่งทวีเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว เมื่อภายในโรงเรือนแห่งนั้นเต็มไปด้วยเฒ่าทารก คือ ตามสภาพแล้วก็ดูเหมือนพวกเขาเหล่านั้นต่างก็โตเป็นผู้ใหญ่กันหมด หากใช้มาตรฐานเดียวกันกับวิสัยของคนเราในแบบของโลกบนดินธรรมดา แต่พอมาอยู่ ณ ดินแดงแห่งนี้ พวกเขาต้องถูกอภิบาลเลี้ยงดูใหม่ โดยเริ่มจากชีวิตในปฐมวัยอีกที หมายถึงเริ่มจากการเป็นทารกอีกครั้ง หลายคนยังมีสายระโยงสอดคาอยู่ตามปากตามจมูก นอนแน่นิ่งอยู่กับที่นอน ทำให้เกิดบรรยากาศราวกับห้องผู้ป่วยตามโรงพยาบาล สำหรับที่นอนก็มีขนาดเล็กพอๆกับเบาะนอนของเด็กสักสามหรือสี่ขวบ บุรุษผู้เป็นมักคุเทศน์ เอ่ยขึ้นกับเขาว่า
“ที่นอนเล็กๆที่ว่างอยู่เหล่านี้ล้วนแต่มีเจ้าของแล้วทั้งนั้น แต่กำหนดเวลาของพวกเขายังมาไม่ถึง ส่วนที่นอนตรงนี้เป็นของคุณ” บุรุษผู้นั้นชี้ไปที่ๆเตรียมไว้สำหรับเขา
คำพันก็ให้รู้สึกแปลกใจอีกครั้งเพราะที่นอนของเขากลับมีขนาดปกติ เพราะเขาสามารถที่จะนอนลงไปได้อย่างสบายๆ คราวนี้เขามีโอกาสได้ชมท้องฟ้าอีกครั้ง แต่ต้องตะลึงอีกทีกับความผันผวนของสิ่งแวดล้อม เพราะแทนที่จะเห็นเป็นท้องฟ้าเหมือนที่เขาคุ้นเคยมาตลอดชีวิต มันกลับเป็นความมืดดำ มีหมู่วัตถุสุกใสสีนวลขาว รูปร่าง ทรงเรขาคณิต ต่างๆนาๆ เคลื่อนตัวอยู่ไปมา ประกอบตัวเป็นสัญลักษณ์ต่างๆ ที่เขาไม่เคยรู้และไม่สามารถจะแปลเป็นความหมายใดๆได้ อย่างไรก็ตาม วัตถุเรืองแสงเหล่านั้นก็อยู่ห่าง และอยู่สูงออกไปในความมืด ทำให้เขาได้คำตอบอย่างชัดเจนเลยว่านี่มันไม่ใช่ท้องฟ้าของบ้านเรา ก็แสดงว่าเขาตกอยู่ในดินแดนลี้ลับเข้าล่ะสิ
“เอาล่ะคุณ ตื่นได้แล้ว ได้เวลากลับของคุณแล้ว” บุรุษผู้ทำหน้าที่นำเที่ยวกล่าวเตือน ก่อนออกนำเดินทางเตรียมพากลับทันที
ในระหว่างที่เดินทางมาด้วยเท้า คำพันพยายามสังเกตสิ่งแวดล้อมสองข้างทางอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่เห็นต้นไม้แม้แต่ต้นเดียว ดูๆไปเหมือนกับอาณานิคมของมนุษยชาติแห่งใหม่ มีสิ่งหนึ่งที่สะดุดตาเขา คือระบบสื่อสารของบ้านเมืองแห่งนี้ ก็ยังใช้สื่อสารผ่านระบบตามสาย เพราะเผอิญเขาผ่านมาเห็นช่างกำลังซ่อมระบบสายโทรศัพท์ แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ นายช่างแปลกหน้าผู้นั้นสามารถนำเครื่องมือมาดักจับสายที่ทอดไปตามข้างทางนี้ได้โดยตรง และสามารถจะทราบได้ว่า ใครกำลังใช้เครื่องมือสื่อสารอยู่ พร้อมกับขึ้นภาพของคนที่กำลังใช้ หรือแม้แต่อ่านมาตรวัดคิดค่าใช้จ่ายแล้วพิมพ์ออกมาเพื่อเรียกเก็บตังค์จากผู้ใช้แต่ละคนได้ ณ เวลานั้นเลย คำพันยังเห็นใบสีชมพู นัยว่าเป็นใบเรียกเก็บตังค์ที่พิมพ์ออกมาใหม่ๆห้อยอยู่แถวนั้น สองหรือสามใบ ยิ่งอยู่นานไปก็ยิ่งเห็นแต่สิ่งที่ทำให้เขาพิศวงงงงวย ตื่นนอนดีกว่า มันเป็นเรื่องของความฝันบ้าๆบอๆแน่ๆเลย
คำพันตื่นแล้ว เขาตื่นจากหลับแล้วจริงๆ!
แต่ข้างกายของเขากลับไม่ใช่นอกชานบ้าน มือที่กะจะคว้าเอาผ้าขาวม้าที่ใช้ปูนอน ก็กลายเป็นกำเอาเม็ดทรายขาวสะอาดติดมือขึ้นมาพอเขามองไปโดยรอบ บ้านของเขาอันตรธานไปได้อย่างไร รุ่งอรุณกำลังมาเยือนฟ้า เมื่อทอดสายตาออกไปเบื้องหน้า เห็นแต่ห้วงน้ำสุดลูกหูลูกตา เปล่าหรอกบ้านของเขาคงไม่ได้หายไปไหน แต่เขาเองมาปรากฏกายอยู่ ณ ที่แห่งหนตำบลนี้ได้อย่างไรกัน
“นี่มันคงจะเป็นชายทะเล ล่ะกระมัง” คำพันครุ่นคิด
จริงดังว่า คุณวารี ลูกสาวแสนสวยเพียงคนเดียวของท่านผู้การ ออกมาพบคำพันเข้าโดยบังเอิญ ระหว่างที่เธอมาพักผ่อนตากอากาศที่บ้านพักส่วนตัวชายทะเล คุณวารีครองโสดมานาน ถึงแม้ความสวยของเธอจะเลิศเลอกว่าเพื่อนสาวในแวดวงของเธอ แต่ความอาภัพอับเสียงก็มีส่วนทำให้โอกาสดีๆพลอยหายไปและทั้งยังเป็นปมด้อยแก่ท่านผู้การผู้เป็นบิดาอีกด้วย เพราะเหตุว่าคุณวารีเป็นใบ้มาแต่กำเนิดนั่นเอง คำพันเดินง่วนวกวนอยู่แถวนั้นจนเหนื่อยอ่อน เพราะไม่ค่อยแน่ใจว่าตัวเองอยู่ในฝันหรือว่าเป็นโลกของความจริงกันแน่ ทันทีที่เห็นหญิงสาว เขาก็รีบเข้าไปขอน้ำดื่มดับกระหายเพราะหลงกลืนเอาน้ำทะเลเข้าไปหลายอึกด้วยนึกสำคัญว่าเป็นหนองน้ำจืด แรกๆวารีก็ไม่ค่อยจะไว้วางใจนัก เกรงว่าจะเป็นพวกอันธพาลหรือพวกติดยาบ้า เสพกัญชา คว้าเฮโรอีน ที่กล้าปีนป่ายกล้ำกรายบุกรุกเข้ามาถึงพื้นที่ส่วนบุคคล เพราะโดยปกติย่านนั้นท่านผู้การจะกำชับให้ทหารเวรยามมาคอยตรวจตราอยู่อย่างเข้มงวด เพื่อความปลอดภัยของบุตรสาวและบ้านพักหลังหรูของท่าน วารีเองก็ยังแคลงใจอยู่เหมือนกันว่าชายหนุ่มผู้นี้เล็ดลอดเข้ามาถึงพื้นที่หลังบ้านของเธอได้อย่างไร ทว่าด้วยบุคลิกและจริตอันไม่เป็นพิษเป็นภัยของคำพันนั้นเองที่ทำให้วารีวางใจลงได้ระดับหนึ่ง
“นี่เราตกมาอยู่ในดินแดนไหนอีกล่ะเนี่ย หน้าตาก็ออกจะสะสวย แต่กลับไม่มีสำเนียงเสียงพูด” เขายังวิตกกังวลกับชะตาชีวิตของตนเอง
“เอาล่ะเมื่อไม่อยากพูดกับฉันก็ไม่เป็นไร ฉันจะใช้ภาษามือ โบ้ยใบ้ไปมาเรื่อยๆก็แล้วกัน” คำพันพยายามจะหาวิธีสื่อสารกับหญิงสาวชาวเงียบปาก
แต่กว่าที่ทั้งสองจะวางใจซึ่งกันและกันได้ก็เล่นเอาทั้งคู่เหนื่อยอ่อน เพราะเขาพยายามที่จะพิสูจน์ว่าตนเองไม่ได้ฝันไป เป็นต้นว่า พยายามจะสัมผัสคุณวารี ขอร้องให้คุณวารีหามีดมากรีดเขาลองดูซิว่าจะเจ็บหรือมีเลือดออกหรือไม่ การได้มารู้จักกันอย่างไม่คาดคิดและเป็นลักษณะของการล่วงละเมิดเคหสถานโดยเฉพาะกับครอบครัวที่มีชื่อเสียงในสังคมเช่นนี้ จึงเสี่ยงต่อคำครหา การรักษาไว้ซึ่งเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีของวงศ์ตระกูลย่อมเป็นสิ่งที่สำคัญอยู่ไม่น้อย นั่นคือสิ่งที่คุณวารีตระหนักดีอยู่ตลอดเวลา แต่ก็เป็นที่น่าแปลกว่าคำพันเรียนรู้ที่จะเข้าใจภาษากายซึ่งใช้มือและสีหน้าได้เป็นอย่างดีในเวลาอันสั้น ทว่าภาษาใจต่างหากเล่าที่ทำให้เขาทั้งคู่เข้าใจกันได้อย่างรวดเร็วยิ่งกว่า ไฟสาวที่กำลังอยู่ในวัยสุกงอมมีหรือจะทานทนต่อความปรารถนาของบุรุษเพศที่แฝงเร้นอยู่ในท่วงที คำพันเองก็เช่นเดียวกันเขาแทบจะลืมอะไรไปจนหมดสิ้นทุกสิ่งอย่างในชีวิต เว้นเสียแต่การเฝ้ายลโฉมคุณวารีอย่างไม่ละสายตา ในเวลาต่อมาการตกลงหลบซ่อนเพื่อคบหากันต่อไปจึงไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้
หลังจากที่ทั้งสองแอบนำเรือแล่นออกไปเที่ยวในทะเลแต่เพียงลำพัง พวกเขาก็มาประสบกับเหตุการณ์อันแปลกประหลาดคล้ายกับการถูกกลืนหายเข้าไปในโลกใหม่แห่งหนึ่ง คุณวารีได้รับการรักษาอาการใบ้แต่กำเนิดของเธอจนหายเป็นปกติ ด้วยเทคโนโลยีการรักษาของผู้คนในโลกลี้ลับนั้น ในขณะที่คำพันได้แอบนำเอาอุปกรณ์ประหลาดอย่างหนึ่งติดมือกลับมาสู่โลกบนดิน มันคือเครื่องมือสื่อสารอย่างหนึ่งของผู้คนที่นั่น แต่มันก็ไม่ต่างอะไรกับก้อนหินก้อนหนึ่งเมื่อตกมาอยู่ในมิติของโลกบนดินธรรมดา ช่างเป็นความบังเอิญหรือคราวเคราะห์ ที่สาวใช้บ้านคุณวารีมาพบอุปกรณ์ประหลาดนั้นเข้าในวันหนึ่ง เธอได้นำเรื่องไปเล่าให้ทหารยามซึงเป็นแฟนหนุ่มฟัง พวกเขาจึงพยายามกลับมาค้นหามันอีกแต่ไม่พบ ความไม่ชอบมาพากลทำให้ทหารยามอดที่จะเล่าเรื่องและเรียนให้ท่านผู้การทราบไม่ได้ คนทั้งหมดจึงพากันวางแผนลับ คอยจับตาดูคุณวารีอยู่ตลอดเวลาโดยมิให้เธอได้ทันรู้ตัว
เมื่อคำพันและวารีออกมาพบกันในวันหนึ่ง คำพันจึงถูกท่านผู้การและทหารยามรวบตัวเอาไว้ โดยมิไยดีต่อคำร้องขอของวารี ผู้การสั่งให้จองจำคำพันเอาไว้ก่อน ในฐานะผู้ต้องสงสัยเป็นจารชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้หลักฐานเป็นอุปกรณ์แปลกประหลาดไว้มัดตัวอีกด้วย พวกเขายังได้ส่งมันไปพิสูจน์ที่หน่วยข่าวกรอง แต่ความหวังดีของผู้การกลับถูกผู้ใหญ่มองผิด กล่าวคือเรื่องได้ขยายใหญ่โตเมื่อคณะกรรมการสภาความมั่นคงแห่งชาติมีความระแวงว่าท่านผู้การจะสมคบกับกองกำลังต่างชาติเพื่อบุกเข้าทำการปฏิวัติโค่นล้มอำนาจรัฐบาล โดยประสานงานผ่านอุปกรณ์ลึกลับชิ้นนั้น ท่านผู้การจึงตกอยู่ในสถานะลำบากอาจต้องคดีร้ายแรง โทษฐานเตรียมการเป็นขบถต่อแผ่นดิน ในระหว่างการต่อสู้คดีความ พยานหลักฐานสำคัญในชั้นศาล ที่ผู้การจะพ้นมลทินจากข้อกล่าวหาได้ก็ต่อเมื่อต้องได้รับการยืนยันจากหน่วยซีไอเอของสหรัฐอเมริกาว่า อุปกรณ์ชิ้นนั้นมิได้ถูกนำไปใช้ในกิจกรรมดังที่ถูกกล่าวหา
ความเดือดร้อนที่กำลังเกิดขึ้นกับครอบครัวและคนรักจึงเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสสำหรับวารีเป็นอย่างยิ่งในเวลานี้ ในที่สุดเธอจึงได้ตัดใจเล่าเรื่องราวอันพิสดารพรรค์ลึกที่เกิดขึ้นกับเธอและแฟนหนุ่มทั้งหมดนี้ให้พี่เลี้ยงและสาวใช้ฟัง พวกเขาต่างก็เห็นอกเห็นใจในชะตากรรมและความบริสุทธิ์ใจของเธอ สาวใช้จึงไปขอร้องแฟนหนุ่มที่เป็นทหารเวร ต่อมาในวันที่เขาเข้าปฏิบัติหน้าที่เฝ้าเรือนจำ เขาจึงแอบช่วยเหลือคำพันจนหลบหนีออกจากที่กักขังได้ ดังนั้นวารีและคำพันจึงพากันหลบหนีมาขึ้นเรือและแล่นเรือมุ่งหน้าสู่ทะเลลึกภายในคืนนั้นโดยทันที
ในตอนเย็นของวันนั้นนั่นเอง ที่หน่วยบัญชาการทหารสูงสุดได้รับแฟกซ์ด่วนจากหน่วยซีไอเอแจ้งผลการตรวจพิสูจน์หลักฐานแต่เพียงสั้นๆว่า
“สิ่งที่ท่านส่งมาให้ตรวจพิสูจน์นั้นพบว่า มันเป็นอุปกรณ์ที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นแต่ไม่เชื่อว่าเป็นฝีมือหรือเทคโนโลยีของชนชาติใดบนโลกมนุษย์ในยุคปัจจุบัน จึงขออนุญาตเก็บไว้เพื่อทำการศึกษาอย่างละเอียด จนกว่าจะได้รับความกระจ่างเป็นที่พึงพอใจ จึงจะส่งคืนให้แก่ทางรัฐบาลไทยในโอกาสต่อไป”
เมื่อได้รับข้อมูลเช่นนั้น ท่านผู้บัญชาการทหารสูงสุดจึงได้รีบโทรศัพท์ด่วน มาขอโทษผู้การยังบ้านพักกักบริเวณของท่าน และสั่งระงับการลงทัณฑ์ใดๆตลอดจนการถอนฟ้องข้อกล่าวหาที่มีทั้งมวลโดยทันที ผู้การจึงรีบเดินทางกลับบ้านพักตากอากาศ แต่ต้องกลับมาพบกับการหายตัวไปของวารีและคำพัน พอรุ่งเช้าผู้การจึงได้ระดมกำลัง ทั้งตำรวจน้ำ ทหารเรือ และหน่วยนาวิกโยธิน ออกค้นหาสองหนุ่มสาวเป็นการใหญ่ พวกเขาพบแต่เพียงเรืออันว่างเปล่าที่วารีและคำพันขับขี่มาในคืนนั้น มันจอดนิ่งอยู่กลางทะเล ซึ่งไม่ไกลจากชายฝั่งของเกาะร้างเล็กๆแห่งหนึ่ง เรือยังอยู่ในสภาพปกติดีทุกอย่าง ไม่มีร่องรอยของการอับปาง ที่น่าแปลกใจคือเสื้อผ้าของเขาทั้งคู่ถูกถอดกองไว้อย่างเรียบร้อย ผู้พบเห็นก็ได้แต่คาดคะเนว่าพวกเขาทั้งคู่คงจะพากันลงเล่นน้ำในชุดเปลือยเปล่า ท่ามกลางแสงจันทร์ของคืนนั้นแล้วอาจจะพากันประสบอุบัติเหตุจมน้ำเสียชีวิต แต่ยังน่าฉงนยิ่งกว่าเมื่อเหล่านักประดาน้ำทั้งหลายกลับค้นหาร่างของสองหนุ่มสาวไม่พบเลย การอันตรธานของคนทั้งคู่จึงยังเป็นปริศนาให้กับคณะกู้ภัยและค้นหาและโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อตัวผู้การเองอย่างน่าเศร้าสลดใจ
ไม่มีใครเลยจะล่วงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับสองหนุ่มสาวในคืนนั้น เว้นแต่วารีและคำพัน แสงจันทร์นวลผ่องเป็นยองใย เรือแล่นไปในนาวา นำพาคู่รักทะยานสู่เวิ้งน้ำยามราตรี ต่างชี้ชวนสรวลเส แต่หารู้ไม่ว่าผืนทะเลและแผ่นฟ้ากำลังแปรปรวนท่ามกลางความเงียบสงบอย่างผิดปกติ พลันน้ำทะเลเบื้องหน้าก็บังเกิดลูกคลื่นขนาดใหญ่โถมถั่งเข้ามาเป็นระลอก เรือโคลงไปมาอย่างรุนแรง เล่นเอาคำพันและวารีแทบจะตกกระเด็นออกจากเรือ ท้องฟ้าที่เห็นแจ่มใส ซึ่งมีพระจันทร์และหมู่ดาวก็กลับกลายเป็นมืดมัวสลัวหม่นไปเสียสิ้น ทั้งคู่อ้าปากค้างเมื่อลักษณะของหัวเรือขนาดใหญ่ราวกับตึกหลายสิบชั้นค่อยๆโผล่ลำขึ้นมาจากใต้ท้องทะเลลึก เหมือนกับมีการตระเตรียมไว้ล่วงหน้า ทันทีที่โผล่พ้นเหนือน้ำ ประตูที่คล้ายปากของปลาวาฬที่อยู่ส่วนหัวของเรือก็เปิดออก พร้อมกันนั้นก็เกิดกระแสน้ำไหลเชี่ยวในรัศมีหนึ่งหรือสองกิโลเมตร พัดพาเข้าสู่ประตูปากปลาวาฬอย่างรุนแรง วารีและคำพันต่างก็พยายามช่วยกันบังคับเรือให้เบนออกจากทิศทางของกระแสน้ำเชี่ยว แต่สายไปเสียแล้ว เรือของพวกเขาแล่นลิ่วผ่านประตูปากปลาวาฬเข้าสู่ข้างในราวกับมีแรงดึงดูดของแม่เหล็กมาช่วยผลักไสเสริมกับกระแสน้ำไหลนั่นอีกแรง
ภายในเรือดำน้ำขนาดใหญ่ เรือเล็กของพวกเขาไม่สามารถจะบังคับขับขี่ได้อีกต่อไป แต่มันถูกอำนาจหรือพลังลึกลับนำพาเข้าเทียบท่าอย่างง่ายดายโดยมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้ ทั้งคู่ตกตะลึง เพราะเบื้องหน้าคือขบวนแถวตั้งรับของชาวลับแล ทุกคนอยู่ในชุดมนุษย์กบบางใสแนบเนื้อราวกับไม่ได้สวมใส่อะไร สุภาพสตรีที่เป็นหัวหน้าคณะจ้องมองมาที่พวกเขา เธอยิ้มให้เล็กน้อยก่อนที่จะกล่าวต้อนรับสู่โลกใหม่อีกครั้ง เธอยังเอ่ยเป็นนัยว่าเราเคยพบกันมาแล้วครั้งหนึ่ง คำพันจ้องเธออีกทีก็รับรู้ในทันใดว่าเธอคงจะเป็นหนึ่งในสองนางที่เดิมทีเคยฝันเห็นว่ามาเชื้อเชิญให้เขาลงไปในเรือด้วยกัน เรือนร่างอันงดงามละหงภายใต้ชุดมนุษย์กบอันใสแจ๋ว จึงเปิดเผยความอวบอิ่มแห่งสรีระอิตถีเพศให้สามารถเยี่ยมยลได้อย่างง่ายดาย มันจึงช่วยเรียกความทรงจำของเขาในบัดดล พวกเขาเหล่านั้นต่างก็มีทีท่าเป็นมิตร ความรู้สึกราวกับพี่น้องที่จากกันไปนานแล้วได้กลับมาพบกันใหม่ การกลับคืนสู่หมู่ญาติมิตรของที่นี่ ช่างประหลาดเหลือที่เมื่อสตรีผู้เป็นหัวหน้าได้แนะนำให้วารีและคำพันปลดเปลื้องเสื้อผ้าชุดที่สวมใส่มานั้นออกไปเสีย และถอดกองไว้ในเรือให้เรียบร้อย เหมือนดังถูกมนต์สะกดใจ พวกเขาปฏิบัติตามอย่างว่าง่าย ในขณะเดียวกันก็มีสตรีสองนางย่างก้าวขึ้นมาจูงแขนวารีและคำพันลงจากเรือ สองหนุ่มสาวถูกนำทาง เดินผ่านแถวตั้งรับของเหล่าหญิงและชาย สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือสายตาทุกคู่ที่กำลังจ้องมองมาที่สองหนุ่มสาวผู้มาใหม่นั้น ล้วนแต่แสดงออกถึงความชื่นชมยินดี คำพันและวารีพอที่จะเริ่มเข้าใจแล้วว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับเขาทั้งสอง เมื่อสุภาพสตรีอาวุโสแต่ยังไม่มีวี่แววของความแก่ชรา กำลังจะนำพาพวกเขาให้ทำอะไรสักอย่าง
“หรือว่ามันจะเป็นดินแดนที่ความแก่ชราไม่สามารถจะชำแรกแทรกเข้าครอบงำสรีระได้” คำพันตั้งข้อสังเกตในใจ
เธอก้าวเข้ามาเอ่ยคำแนะนำถึงการหล่อหลอมจิตวิญญาณเข้าเป็นหนึ่งเดียว ระหว่างเพศบุรุษและสตรี พวกเขาถูกนำเข้าสู่กระโจมแก้วใส ซึ่งภายในนั้นตกแต่งเป็นเตียงนอนอันวิจิตรตระการตา ราวกับว่ามันเกิดจากการเนรมิต ทันทีที่ฝากระโจมแก้วปิดลง สิ่งแวดล้อมเมื่อสักครู่ก็ถูกปิดกั้น เขามองไม่เห็นผู้คนเหล่านั้นอีกเลย แต่ภาพที่มองผ่านกระโจมแก้วได้เปลี่ยนเป็นบรรยากาศใหม่ บัดนี้สิ่งแวดล้อมของกระโจมทั้งสี่ด้านปรากฏบรรยากาศอันพึงปรารถนาอย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งคู่มองเห็นชายหาดอันขาวสะอาดสดใส อีกด้านเป็นทิวทัศน์ของขุนเขา มีลำธารน้ำไหล พร้อมน้ำตกจากผา ยินเสียงน้ำสาดซ่ามองเห็นสัตว์ป่านาๆชนิดอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าอันเขียวขจีอีกด้านหนึ่งของกระโจม และอีกด้านหนึ่งนั้นสะดุดตาด้วยมวลบุปผานาๆพันธุ์หลายหลากสี มีหมู่ผีเสื้อสีสวยโบกบินไปมาแล้วถลาลงไต่ตอม จึงเห็นเป็นการเคลื่อนไหวของสีสัน ราวกับทุ่งดอกไม้ถูกย้อมด้วยสีที่มีชีวิต นอกจากนั้นยังมีฝูงวิหคนกกานาๆประเภท โผผินบินไปมาส่งเสียงกล่อมแนวป่า รังสรรค์ความมีชีวิตชีวาราวกับว่าเขาทั้งคู่ได้พลัดหลงเข้าไปยังดินแดนแห่งสวนสวรรค์อีเดน
ในเวลานี้ ดูเหมือนว่าทั่วทั้งจักรวาลอันไร้ขอบเขตจะมีเพียงเพศแห่งบุรุษและสตรี ไฟปรารถนาได้ถูกโหมกระพือขึ้นมาอย่างแรงกล้า จนนัยน์ตาของทั้งสองมันฟ้องและร่ำร้องอยู่ในที เรือนร่างอันปราศจากเครื่องห่อหุ้มของวารีอ่อนระทวยลงกับอกและร่างอันเปล่าเปลือยของคำพัน บัดนี้โลกภายนอกและโลกบนดินจึงถูกทอดทิ้งให้อยู่เบื้องหลัง ส่วนโลกใหม่ในแดนดินถิ่นลับแลก็กำลังรอคอยให้เผชิญอยู่เบื้องหน้า แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ปัจจุบันกาลคือห้วงเวลาแห่งการลิ้มรสความหอมหวานสำหรับเขาและเธอโดยจำเพาะแล้ว “ส่วนกาละของกระโจมแก้วหรือกระโจมทองฉลองวิวาห์หรือคาบเวลาของการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ จะยาวนานหวานชื่นไปอีกกี่คืนกี่วัน คู่บ่าวสาวแต่เพียงเท่านั้นที่จักเป็นผู้กรำคำตอบ”
................................................
ความทุกข์ของกะทอ
เมื่อคืนที่ผ่านมาคุณพ่อยังเดินเข้ามาโอบกอดกะทออยู่เลย พ่อบอกว่าถึงวันเวลาต้องจากครอบครัวและลูกไปอีกแล้ว พอตื่นเช้ามาจึงเห็นแต่คุณแม่ง่วนงานครัวอยู่เพียงลำพัง
“พ่อกลับไปแล้วเหรอครับ แม่” ความจริงฉันก็รู้คำตอบดี แต่ไม่รู้จะทักแม่ว่าอย่างไร เพราะใจฉันและใจแม่ต่างก็คิดถึงพ่อเหมือนๆกัน
“กะทอ นี่ลูก พ่อเขาฝากตังค์ให้ลูกไว้สำหรับซื้อเต็นท์ตอนออกค่ายลูกเสือ ตามที่ลูกเคยเอ่ยขอกับพ่อเอาไว้ไงล่ะ”พูดพลางคุณแม่ก็เดินเอาตังค์มาวางไว้บนโต๊ะข้างจอทีวีก่อนที่จะรีบหันกลับเข้าไปในครัว
กะทอเดินเลยไปแง้มบานหน้าต่างออกแล้วก็ยื่นหน้าโผล่ไปดูที่โรงจอดรถ ใช่เลย...มันว่างเปล่าอย่างไม่ต้องสงสัย รถแท็กซี่คู่ชีพของพ่อไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว มันเข้ากรุงเทพฯไปทำงานหาเงินพร้อมกับเจ้าของของมันตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว อีกนานไหมหนอมันจะพาคุณพ่อกลับเข้าบ้านอีกครั้ง กะทอรำพึงในใจ วันนี้ฉันจะต้องตั้งอกตั้งใจแต่งเนื้อแต่งตัวไม่ให้ผิดพลาด จะทำหลงๆลืมๆอีกไม่ได้เป็นอันขาด ดีนะคราวก่อนมีคุณพ่ออยู่ด้วย จึงได้ช่วยขับรถตามเอาหมวกไปส่งให้ถึงโรงเรียน พอกลับเข้าบ้านในตอนเย็น พ่อยังบอกว่าวันนี้พ่อภูมิใจที่มีลูกชายเป็นลูกเสือที่สมบูรณ์แบบ
“ทำไมล่ะครับ” ฉันรีบถามพ่ออย่างงงๆ
“อ้าว หมวกก็หมายถึงหัวของลูกเสือ หากไม่มีหมวกมันก็กลายเป็นลูกเสือหัวกุดหรือไม่ก็กลายเป็นลูกหมาลูกแมวไปซะเนี่ยใครจะไปรู้” พ่อตอบข้อสงสัยด้วยท่าทางเรียบๆ
เช้าวันนี้คุณแม่หมกไข่ใส่เห็ดขอน ห่อด้วยใบตองกล้วย มันกำลังสุกส่งกลิ่นหอมฉุยโชยมาเหมือนทุกๆครั้ง ฉันรีบไปหิ้วเอาก่องข้าวเหนียวที่เพิ่งนึ่งสุกกำลังร้อน พอเปิดฝาออก ไออุ่นกลุ่นหอมของมันก็ถูกส่งออกมาต้องจมูกชวนให้น้ำลายสอแต่เช้า โดยไม่ชักช้าฉันนั่งลงรับประทานข้าวเหนียวกับหมกไข่ใส่เห็ดขอนอย่างเอร็ดอร่อยอีกเช้าหนึ่ง
“กะทอพยายามกลับเข้าบ้านอย่าให้เย็นมากนักนะลูก...แม่ได้ข่าวว่าวันนี้คุณหนูจะมาพักบ้านสวน” เสียงคุณแม่กำชับตามหลังมา ก่อนที่ฉันจะเดินพ้นหน้าบ้านออกไป
เธอจะมาอีกแล้วเหรอเนี่ย มาคราวนี้จะมีเรื่องยุ่งอะไรอีกหนอ ฉันครุ่นคิด วันนั้นทั้งวันความคิดของฉันผูกพันวนเวียนอยู่แต่เรื่องของคุณหนู ฉันเองก็ไม่รู้ว่าทำไมคุณแม่มักเรียนเธอว่าคุณหนู เพราะหนูมันไม่ค่อยน่ารัก มันชอบกัดแทะทำลายฟูก ที่นอน หมอนและมุ้ง และยิ่งไปกว่านั้นมันยังนำมาซึ่งโรคภัยร้ายแรง ถึงตายเลยทีเดียว ยกตัวอย่าง โรคฉี่หนู บางทีก็อยากจะแนะนำชื่ออื่นๆที่น่ารักให้กับคุณแม่ไว้ใช้เรียกแทนคุณหนู เป็นต้นว่า คุณแมว คุณนกแก้ว คุณกระต่าย แต่ก็ช่างแกเถอะ คุณแม่มีความพึงพอใจจะเรียกเธอว่าอะไรก็ตาม แต่ฉันเองรู้ดีว่าเธอชอบที่จะให้ฉันเรียกเธอว่าอย่างไร ฉันรู้ก็เพราะตอนที่เราเจอกันใหม่ๆเมื่อหลายปีก่อน อย่างไรล่ะ
“บ้านเธอหลังนี้เองเหรอ ดูเล็กน่ารักจังเลย”เธอทักฉันก่อน ในขณะที่ฉันกำลังเล่นรถไม้งิ้วอยู่หน้าบ้าน
“สักวันหนึ่ง คุณพ่อคงจะหาเงินมาสร้างให้มันใหญ่โตขึ้นละมั้ง”ฉันไม่รู้จะตอบคำทักทายของเธอว่ากระไรดี ครั้นจะตอบว่าฉันพึงพอใจกับบ้านหลังเล็กนี้อยู่แล้ว ก็เกรงว่าเธอจะคิดว่าฉันไม่ชอบบ้านหลังใหญ่อย่างที่เธอมี
“อุ๊ย...หลังเล็กๆอย่างนี้ล่ะน่ารักออก” เธอพูดต่ออย่างอารมณ์ดี
“แล้วทำไมเธอไม่สร้างบ้านของเธอให้มันหลังเล็กลงบ้างล่ะจะได้น่ารักเหมือนๆกัน” ฉันถามไปตามประสาซื่อ
“แหม...ฉันไม่ได้สร้างเอง คุณพ่อกับคุณแม่ของฉันต่างหากล่ะ ที่ช่วยกันปลูกบ้านสวนนี้ขึ้นมา” เธออธิบายด้วยท่าทีจริงจังขึ้นเล็กน้อย
“บ้านเธอยู่ที่ไหนนะ” ฉันพอจะรู้ว่าเธอมาจากกรุงเทพฯ แต่ถามเพื่อความแน่ใจ
“กทม” เธอตอบ
“เธอคงจะอาศัยอยู่ทั่วๆไปทั้ง กอทอมอ สินะ” ฉันตั้งใจถามแบบกวนๆ
“เขตอะไรเอ่ยที่สามีและภรรยานิยมไปจดทะเบียนสมรสกันมากที่สุด” เธอบอกใบ้ให้เป็นปริศนา
“เขตบางรัก มั้ง” ฉันตอบ
“ถูกต้อง บ้านฉันอยู่เขตนั้นแหละ” เธอยืนยันคำตอบ
“แล้วเขตอะไรล่ะที่สามีและภรรยานิยมไปจดทะเบียนหย่ากันมากที่สุด” ฉันเป็นฝ่ายถามเธอบ้าง
“ก็ต้องเป็นเขตเดียวกันกับที่นิยมไปจดทะเบียนสมรสกันนั่นแหละ” เธอตอบและแสดงความคิดเห็นสนับสนุน
“บางรัก...อีกนั่นเหรอ...ผิด” ฉันฟันธง
“อ้าว แล้วจะมีเขตอะไรอีกล่ะ” เธอทำหน้างงๆ
“ยอมฉันรึยัง” ฉันถามอย่างได้ที
“ยอมอะไร!”สีหน้าเธอตื่นๆ
“ก็ยอมจำนนว่าเธอตอบคำถามของฉันไม่ได้น่ะสิ” ฉันขยายความให้เธอเข้าใจ
“อ๋อ...ก็ได้ ยอมก็ยอม” เธอตั้งใจฟังคำเฉลย
“เขตที่คนนิยมไปจดทะเบียนหย่ากันมากที่สุดก็ต้องเป็น...บางพลัด”
“ความคิดดีนี่” เธอชม
“คุยกันมาตั้งนาน เธอชื่ออะไรนะ” ฉันอยากรู้จักชื่อของเธอขึ้นมาทันที
แทนคำตอบเธอเอาเท้ากวาดตรงพื้นทรายหน้าลานบ้านของฉันจนดูราบเรียบ แล้วเธอก็ก้มลงเอานิ้วชี้ลากไปบนพื้นดินตรงนั้นให้ปรากฏเป็นตัวอักษรต่างด้าวด้วยตัวขนาดเท่าฝ่าเท้าพอดี
KATI
“เธอมีชื่อเป็นภาษาฝรั่งด้วยเหรอ” ฉันถาม
“เธอคิดว่าจะอ่านออกเสียงว่าอย่างไรล่ะ” เธอย้อนถามฉัน
“เค-ตี้” ฉันออกเสียงสองพยางค์อย่างชัดเจน
“จริงเร้อ...” เธอหัวเราะร่า
“ไม่รู้สิ...ตกลงเธอชื่ออะไรนะ” ฉันถามเธออย่างยอมจำนนอยู่ในที
“ฉันชื่อ กะทิ จ้ะ” เธอยิ้มระรื่นอย่างภาคภูมิใจ
“แล้วเธอล่ะชื่ออะไร” เธอถามฉันบ้าง ฉันจึงก้มลงลากนิ้วชี้เขียนเป็นตัวอักษรฝรั่ง ถัดจากชื่อของเธอ
KATO
“เธอชื่อคาโต้ เหรอ” เธออาจจะเสแสร้งไม่อ่านเป็นไทย หรือว่า เธอจะเข้าใจเป็นอย่างนั้นจริงๆก็ไม่อาจจะทราบได้
“เปล่า ฉันชื่อ กะทอ ต่างหากล่ะ” ฉันรีบเฉลยกลัวเธอจะอ่านเพี้ยนเป็นอย่างอื่น
“เธอเรียนโรงเรียนฝรั่งรึเปล่า” เธอถามถึงสำนักหลักแหล่งที่เรียนรู้ของฉัน
“จะเรียกอย่างนั้นก็คงไม่ผิด เพราะด้านหลังโรงเรียนของฉันเต็มไปด้วยต้นฝรั่ง คนอีสานเรียกกันว่าต้นหมากสีดา ด้านข้างของโรงเรียนมีสระเลี้ยงกบ อึ่งอ่างก็มี พอถึงหน้าหนาวคุณครูก็ให้ตักน้ำจากสระขึ้นมารดแปลง หอม กระเทียม ผักกาดและผักชี...” ฉันหยุดไปชั่วอึดใจก่อนจะเอ่ยต่อ
“แล้วเธอล่ะเรียนที่ไหน”
“โรงเรียนนานาชาติ” เธอตอบ
“โอ้โฮ...เธอต้องตื่นแต่เช้ามากสินะ เพราะต้องเทียวไปและกลับจากโรงเรียนต่างประเทศทุกวัน” ฉันรู้สึกว่าเธอเก่งจริงๆที่ทำได้ ขนาดโรงเรียนของฉันอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่กิโลเมตรฉันยังไปสายออกหลายครั้ง
“มันไม่ใช่อย่างที่เธอเข้าใจหรอก” เธอพูดและอมยิ้ม
“นั่นสิ ประเทศไชนา นี่ฉันก็รู้จัก กานา ฉันก็เคยได้ยิน แต่ว่า นานา นี่มันเป็นชนชาติที่อยู่ทวีปไหนกันแน่” ฉันหันไปถามเธอ
“นี่กะทอ เลิกพูดยียวนกับฉันซะทีได้ไหม นานา ในที่นี้หมายถึงไม่ว่าจะเป็นคนชนชาติไหนมาเรียนก็ได้ ไม่มีการแบ่งสีผิว ชนชั้น วรรณะ เชื้อชาติ และศาสนา มันไม่ใช่ชื่อประเทศอย่างที่เธอเข้าใจหรอก แล้วมันก็เป็นโรงเรียนที่อยู่ในบ้านเมืองของเรานี่เองแหละ เธอเรียนอยู่ที่โรงเรียนไหนกันแน่ถึงไม่ค่อยจะรู้เรื่องอะไรเอาเสียเลย” เธอเริ่มอารมณ์เสียและหน้างอ
“แหม บูดง่ายจัง สงสัยจะเป็นกะทิค้างคืน ฉันก็บอกแล้วไงว่าฉันเรียนอยู่ที่โรงเรียนสอนฝรั่ง เฮ้ย สวนฝรั่ง มีแต่ต้นดกๆทั้งนั้นกำลังห่ามดีซะด้วย เธอชอบรับประทานฝรั่งมั้ยล่ะ หลังเลิกเรียนพรุ่งนี้ฉันจะไปปีนเก็บเอามาฝาก”
ฉันไม่ค่อยจะแน่ใจนักหรอกว่าข้อเสนอของฉันจะทำให้เธอพึงพอใจหรือไม่เพียงใด แต่มันก็เป็นความพยายามที่จะชดเชยค่าที่ฉันทำให้เธอหน้างอ ฉันเองก็ไม่รู้ว่านึกยังไงถึงอยากจะเอาใจเธอขึ้นมา พอตกเย็นในวันรุ่งขึ้นฉันก็ไปปีนต้นฝรั่ง แต่ฉันก็ไม่ได้เอาไปฝากเธอด้วยตนเองหรอก ฉันฝากคุณแม่เอาไปให้ แล้วฉันก็ยังกำชับนักกำชับหนาโดยขอร้องคุณแม่ไม่ให้พูดเรื่องของฉันให้เธอรับรู้เป็นอันขาด คือฉันอายที่ฉันต้องนอนซมกินน้ำต้มสมุนไพรกลางบ้านเพราะเย็นวันนั้น ฉันตกต้นฝรั่ง!
เมื่อไม่นานมานี้ความเป็นพลเมืองดีและถือคติของลูกเสือ ที่จักต้องช่วยเหลือผู้อื่นทุกเมื่อ ทำให้ฉันตัดสินใจเข้าไปยุ่งกับผู้บุกรุก เพราะฉันรู้ว่าคุณแม่ห่วงใยบ้านสวนของเธอมากเพียงใด แต่โชคไม่เข้าข้างพลเมืองดีอย่างฉันเอาซะเลย ฉันถูกผู้ร้ายแทง จนกระทั่งบาดแผลจากคมมีดเกือบจะหายดีนั่นแหละ เธอถึงกลับมาเยี่ยมบ้านสวนอีกครั้ง ฉันก็ขอร้องคุณแม่ไม่ให้พูดถึงเรื่องนี้ให้เธอได้รับรู้อีกเช่นกัน
“เป็นธรรมดาของนักเลงก็ต้องลำบาก ปากไม่ดีก็ต้องโดนบ้างล่ะ” เธอเปรยขึ้นเมื่อเห็นบาดแผลของฉันระหว่างที่คุณแม่ใช้ให้ไปดายหญ้าหลังบ้านเธอ
“เจ็บนี้...ก็เพราะเป็นพลเมืองดีแท้ๆ” ฉันพูดเบาๆพอให้เธอได้ยิน
“เฮ้อ ถ้ากะทอเป็นพลเมืองดี บ้านนี้เมืองนี้ก็คงมีแต่ผู้วิเศษเต็มบ้านเต็มเมือง” เธอพูดไปโดยไม่ได้หันหน้ามามองฉันหรอก
ว่าที่จริงแล้วเธอดูเป็นผู้ใหญ่กว่าอายุ ฉันรู้ว่าฉันอายุน้อยกว่าเธอ คงเป็นเพราะธรรมชาติสร้างให้เพศหญิงเติบโตเป็นสาวเร็วกว่าเพศชาย ฉันจึงเอียงอายที่จะทายทักเฉกเช่นคนรู้จักมักคุ้นทั่วๆไป บางครั้งฉันก็อยากโตเป็นหนุ่มไวๆเธอจะได้ตั้งใจพูดดีๆกับฉันเสียมั่ง แต่ก่อนแต่ไรเมื่อเธอจะไปจะมาก็เห็นเป็นเรื่องธรรมดาของเธอ แต่เวลานี้พอได้ข่าวว่าเธอจะมาฉันรู้สึกว่าฉันกระตือรือร้นที่อยากจะเห็นหน้าและได้ฟังสำเนียงเสียงพูดอันไพเราะ ฉันจึงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าหลังจากเลิกโรงเรียนเพื่อไปดูแลบ้านสวนและก็...เพราะอยากชวนเธอพูดคุย
“คุณหนู...กะทิ มาถึงเมื่อไหร่ครับ” ฉันถามอย่างเขินๆเพราะเป็นครั้งแรกที่นำคำว่าคุณหนูมาใช้ (พยายามจะเลียนแบบคุณแม่) แต่ก็ยังตามด้วยชื่อกะทิอยู่ดี
“เดี๋ยวนี้คงจะมีสมบัติผู้ดีกับเขาขึ้นมาบ้างแล้วสินะ ใช่มั้ย กะทอ” เธอเอ่ยขึ้นแทนคำทักทายขณะที่ฉันกำลังรดน้ำไม้พุ่มและไม้ยืนต้นอยู่ข้างบ้าน
“ผู้ดี...ก็คงพอจะหาได้บ้าง เพราะแม่เคยบอกว่าทวดของเราชื่อบุตรดี ป้าก็ชื่อทองดี แม้แต่น้าของฉันที่อยู่บ้านคุ้มใต้ก็ยังชื่อจันดีเลย แต่ว่าแต่ละคนก็ไม่มีสมบัติอะไรมากนักหรอก นอกจากไหปลาร้า ปลาช่อน ปลาหมอ กะทอเกลือ มะเขือ และพริก คือว่าพวกเราก็พอจะมีผู้ดีกันอยู่หรอก หากแต่ว่าไม่มีสมบัติอะไรเลย” ฉันพูดโดยไม่ได้หันหน้าไปมองเธอ
“กะทอ!” เธอตะเบ็งเสียงเรียกชื่อฉันดังมากผิดปกติ
“ฉันไม่ใช่คนหูตึงนะ ขอบอกไว้ก่อน” ฉันหันไปปรามเธอ
“...* ÷ ฿٣ ☻...” เสียงเธอบ่นพึมพำ เดินกระฟัดกระเฟียดกลับเข้าไปในบ้าน
วันเวลาได้ผันผ่านไปอีกเหมือนติดปีกเหินเวหน แต่ความยากจนก็ยังคงเป็นเพื่อนครอบครัวของฉันอยู่เหมือนเดิม (ความจริงจนกว่าเก่า เพราะรถของพ่อก็คันเก่า บ้านก็หลังเก่า) ดูเหมือนว่าความเป็นนักศึกษาน้องใหม่ในรั้วมหาวิทยาลัยภูธรของฉันเท่านั้นเองที่พอจะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งใหม่ ชีวิตของฉันมันช่างไม่ต่างจากนิยายน้ำไม่ดี (เน่า) พอฉันขึ้นมาเรียนชั้นปีที่สี่ซึ่งเป็นปีสุดท้าย มหาโจรใจร้าย ใจโหด ใจโฉด ใจชั่ว ราวกับมีความอาฆาตมาดร้ายพยาบาทผูกใจเจ็บเหน็บในทรวงมาแต่ชาติปางก่อน ตามย้อนมาล่อลวงทวงเอาชีวิตของคนขับแท็กซี่โดยการฆ่าชิงรถ เหยื่อของความเหี้ยมโหดโฉดชั่วนั้นตายอย่างทารุณด้วยคมมีด ภาพศพข้างพงหญ้าของคนขับแท็กซี่ที่ปรากฏในหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ประจำวันนั้นก็มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นศพคุณพ่อของฉันนั่นเอง ทันทีที่ทราบข่าวคุณแม่ถึงกับเป็นลมล้มพับสลบไสลจนไปฟื้นที่โรงพยาบาล นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา คุณแม่ก็กลายเป็นคนขวัญผวา สติปัญญาคลาดเคลื่อน แน่นอนล่ะเมื่อขาดผู้ส่งเสียเงินทอง ฉันจึงไม่สามารถจะเรียนต่อให้จบได้ ฉันจำเป็นต้องยุติการเล่าเรียนและออกจากมหาวิทยาลัยมารับจ้างทั่วไป โดยปราศจากซึ่งดีกรีใดๆติดตัวสำหรับเป็นใบเบิกทางหางานทำ
ทุกๆครั้งที่เธอกลับมาบ้านสวน คุณแม่ดูจะมีชีวิตชีวาขึ้นมาก แกมักจะพูดชื่นชมในตัวเธอให้ฉันฟังอยู่เสมอๆ คุณแม่ชมชอบเธอสารพัดเรื่อง เธอดีอย่างนั้น เธอดีอย่างนี้ สรุปแล้วคือดีไปทั้งหมด แล้วก็ยังกำชับฉันให้เอาใจใส่ดูแลบ้านและสวนของเธอให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยเป็นอย่างดีที่สุดด้วย แต่แล้วในวันหนึ่งคุณแม่ก็ได้พูดขึ้นมาอย่างตื่นเต้นและแสดงออกซึ่งความยินดีไปกับเธอ เพราะแกไปทราบข่าวมาว่าหลังจากที่เธอเรียนจบโทจากต่างประเทศแล้ว เธอก็จะกลับมารับการหมั้นหมายกับผู้กอง นายร้อยตำรวจหนุ่ม บุตรชายนักการเมืองผู้กว้างขวาง แต่คุณแม่หารู้ไม่ว่าข่าวนี้มันกลับนำมาซึ่งความเจ็บปวดอันสุดแสนจะทรมานที่ประหัตประหารหัวใจของคนหนุ่มอีกคน นั่นก็คือลูกชายของแกเอง ฉันเคยพูดเปรยๆให้คุณแม่ฟังว่าหัวใจของคนหนุ่มอย่างฉันมันกำลังร้อนรุ่มและถูกสุมด้วยไฟอะไรบางอย่างอยู่ ฉันเพิ่งจะเห็นเป็นครั้งแรกนี่เองที่คุณแม่เงื้อมือหมายจะลงทัณฑ์ ติต่างว่าเป็นมีดพร้าจะผ่าลงกลางกบาลของฉันหากยังดื้อดึงขึงแข็งพาใจให้คิดเห็นเป็นเช่นนั้นอีกต่อไป “จนแล้วยังไม่เจียมอีกเหรอ เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวเถอะ...” คุณแม่ยังคำรามสำทับ ไม่แต่เพียงเท่านั้นในวันที่เธอพาผู้กองมาเที่ยวบ้านสวน ฉันเองก็ง่วนสาละวนคอยทำหน้าที่ให้บริการอย่างเต็มที่เพื่อมิให้มีสิ่งหนึ่งประการใดขาดตกบกพร่อง ผู้กองเขาเป็นคนสมาร์ทอาจอง พูดตรงๆจัดเป็นคนรูปหล่ออยู่ไม่เบา ในขณะที่เงาของฉันในกระจกนั้นมันกลับรกไปด้วยอุปสรรคแห่งความหล่อ สิ่งที่ฉันกลัวมากที่สุดในวันนั้นก็คือฉันกลัวเธอจะถูกสัมผัสและมัดใจโดยผู้กองหนุ่ม วันนั้นทั้งวันฉันจึงเหมือนคนละเมอเพ้อพกวิตกจริตจนรู้สึกตัวได้ว่ามีอะไรผิดเพี้ยนไปจากธรรมดา ฉันพยายามที่จะไม่ให้เธอและผู้กองคลาดสายตาไปได้ ทั้งนี้และทั้งนั้นฉันก็พยายามเป็นอย่างดีอีกเช่นกัน ที่จะไม่ให้คนทั้งสองรับรู้ว่ามีหูของฉันคอยติดตามเฝ้าฟังความเคลื่อนไหวของพวกเขาอยู่ตลอดเวลาอย่างใกล้ชิด
“นี่ถ้าผมอยู่ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่นะ ผมจับไอ้หนุ่มคนสวนนั่นเข้าตะรางไปแล้ว” เสียงผู้กองหนุ่มพูดกับเธอเมื่อคิดว่าปลอดจากสายตาผู้คน
“เขาทำอะไรผิดเหรอคะ” เธอสงสัย
“ความผิด...โทษฐานฆาตกรรมอำพรางทางสายตา” ผู้กองพูดด้วยท่าทางจริงจัง
“มีพยานหลักฐานมั้ยคะ” เธอรับมุก
“ผมเองเป็นพยานบุคคล ส่วนหลักฐานก็คือคุณกะทินั่นเองแหละที่ตกเป็นเหยื่อจนเหลือแต่กระดูก ขาวล่อนจ้อน” ผู้กองรักษาระดับเสียงราวกับรายงานผลการชันสูตรพลิกศพ
“เพ้อกันไปใหญ่แล้วล่ะ...คุณกำลังพูดถึงอะไรกัน” เธอค้อน
“ก็ไม่จริงเหรอ...ที่คุณถูกเขาแทะโลมด้วยสายตา” ผู้กองแฉถึงข้อกล่าวหาที่มีต่อหนุ่มคนสวน
“แต่ความสัตย์ซื่อของเขานั่นแหละจะเป็นหลักทรัพย์ประกันตัวเขาเองออกมาจากตะรางใจของคุณ” เธอพูดกลางๆเป็นเชิงปกป้องหนุ่มยียวนคนสวนประจำบ้านของเธอไปในตัว
ทุกครั้งที่เธอมาแล้วกลับ เธอเหมือนผู้มาปลุกให้ฉันตื่นจากหลับแล้วก็กลับหายลับลา ใจฉันมันรวนเรเหว่ว้าอาวรณ์นอนไม่ลงปลงไม่วาง ร่างกายผ่ายซูบและรูปผอม จนดูไม่ต่างจากคนระทมตรมตรอม อะไรประมาณนั้น
“ฉันกลับล่ะนะกะทอ ฝากดูแลสวนและบ้านด้วยนะ” เธอมักจะพูดเช่นนั้น
“แล้วเจ้าของของบ้านและสวนไม่เอาฝากไว้ให้ฉันดูแลบ้างเหรอ” ฉันมักจะพูดเช่นนี้ แล้วเธอก็หัวเราะ
ในที่สุดข่าวลือไปลือมาก็เป็นความจริง เธอและผู้กองเตรียมจัดพิธีหมั้นที่บ้านสวน ในห้วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่จะถึงนี้ พิธีจะมีขึ้นในวันอาทิตย์ แต่เธอก็มักจะมาถึงบ้านสวนในตอนเย็นของวันศุกร์เสมอไป ทุกครั้งที่เธอมาถึงเธอจะตรงไปที่ต้นฝรั่งที่ฉันปลูกและดูแลมาโดยตลอด เธอชอบไปเก็บลูกฝรั่งมารับประทาน ฉันจึงไปหาไม้มาทำม้านั่งไว้ใต้ร่มของมัน ฉันเป็นสุขใจมากที่เธอมานั่งเล่นอยู่ที่นั่นนานๆตลอดเย็น บางครั้งเมื่อปลอดคนฉันก็จะแฝงตัวเข้าไปข้างหลังเธออย่างเงียบกริบ บางทีเข้าไปใกล้จนความหอมของกลิ่นสาวโชยมาต้องนาสิก ฉันอยากจะสัมผัสเธอบ้างแต่ก็มิบังอาจด้วยเป็นคำสั่งแกมขอร้องอย่างเด็ดขาดของคุณแม่ ฉันรักแม่ของฉัน...ฉันก็ต้องเชื่อฟังคำขอร้องของท่าน เพราะคุณแม่ชื่นชมเธอและให้เกียรติครอบครัวของเธอเป็นอย่างดียิ่ง แค่ฉันคิดก็รู้สึกว่ามันเป็นความผิดอยู่มากโขแล้ว แต่ในบางคราวก็อยากจะให้เธอได้รับรู้ไว้บ้างว่าฉันคิดอย่างไร แต่ที่แน่ๆฉันไม่อาจจะทนทำงานสวนอยู่อีกต่อไปแม้แต่เพียงวันเดียว
เมื่อเธอกลับมาถึงบ้านสวนในตอนเย็นวันศุกร์ เธอจะต้องเดินเข้ามาที่ม้านั่งใต้ต้นฝรั่งเหมือนเช่นเคย
“เอ๊ะ มูลดินอะไรใหม่ๆ” ความสงสัยจะทำให้เธอใช้ความสังเกตมากขึ้น
GOODBYE KATI
ก็เพราะว่าฉันได้ลากนิ้วชี้ไปตามมูลดินที่ราบเรียบข้างม้านั่งนั้นด้วยข้อความอำลาเป็นภาษาฝรั่ง เพื่อย้ำเตือนถึงความหลัง เมื่อครั้งเธอและฉันมาพบกันในวาระแรก ข้อความล่าสุดนี้ แปลว่า “ลาก่อน กะทิ” ฉันไม่มีความอดทนพอที่จะอยู่รับใช้ให้บริการในงานหมั้นของเธอได้เลย ฉันอ่อนแอเกินกว่าที่จะอยู่สู้หน้าอำลาเธอด้วยตนเองเสียด้วยซ้ำ ในเย็นวันนี้จึงไม่มีกะทอมาปีนต้นฝรั่งให้เธอลองลิ้มชิมลูกห่าม และยามสนธยาเพลานี้ก็จึงไม่มีกะทอมานั่งเล่นเป็นเพื่อนเหมือนคราวก่อนๆ
ฉันเดินออกจากใต้ต้นฝรั่งด้วยสายตาที่พร่าเลือน ทำไมความเป็นลูกผู้ชายของฉันถึงไม่มีหลงเหลือเอาเสียเลย ร้องไห้ทำไม เสียใจทำไม ฉันถามตนเอง เธอมีคู่หมั้นคู่หมายสมชายสมหญิงและสมใจนึกดังปรารถนาทุกประการเช่นนั้น จะมามัวพร่ำรำพันรำพึงคะนึงหาก็ย่อมจะเป็นการเปล่าซึ่งประโยชน์ สู้หลบหลีกหันหน้าเข้าหาโบสถ์บำเพ็ญบุญยังจะพอมีนิสัยไปในทางหนีทุกข์หนีวัฏฏะสงสาร ฉันพยายามค้นหาสารพัดเหตุผลหลายๆประการเพื่อมาปลอบประโลมใจให้กับตนเอง เวลานี้ฉันจึงเหมือนคนใจลอยและน้อยเนื้อต่ำใจ ฉันต้องการหลีกลี้หนีไปให้ไกล ให้ไกลสุดขอบหล้าฟ้าเขียว จะได้ไม่ต้องเกี่ยวข้องและมองหน้าเธออีกต่อไปชั่วนิจนิรันดร
ฉันทอดสายตาฝ่ายามค่ำย่ำสนธยาออกไปอย่างหมดอาลัยตายอยาก ในขณะที่สองเท้าก็ยังก้าวไปข้างหน้า แต่ทว่าเป็นหัวใจที่ว้าเหว่เร่ร่อนดุจวิหคบินจรไร้คบคอนไร้ที่หวัง หมดสิ้นแรงพลัง เมื่อถูกเหนี่ยวรั้งด้วยวังวนแห่งความหม่นหมอง ฉันเดินผ่านทุ่งนา ป่าละเมาะแล้วเลาะลัด จิตประหวัดคำนึงถึงความหลัง ค่ายลูกเสือเหลือสนุกสุขชีวัง เต็นท์พ่อยังซื้อให้ใหม่สมใจปอง ฉับพลันฉันก็กลับหลังหัน แล้วจ้ำฝีเท้าเร่งกลับเข้าบ้าน เผื่อว่าฉันซมซานต้องนอนพักค้างอ้างแรมกลางทุ่งนาป่าเขา แม้นพกเอาผ้าเต็นท์ของคุณพ่อไปด้วยคงจักช่วยให้ฉันหลับนอนได้สะดวกสบายขึ้น
คุณแม่เปิดไฟที่หน้าบ้านแล้ว เมื่อฉันมองเข้ามาแต่ไกล แกเดินไปเดินมาอยู่หน้าบ้านเหมือนคนฟุ้งซ่าน ออกอาการเหมือนคนใจลอยคอยใครสักคน คุณแม่คงวิตกกังวลเรื่องของฉันหายไปอย่างไม่ต้องสงสัย ฉันรู้สึกเวทนาและสงสารแกขึ้นมาอย่างจับจิต แต่พอคิดๆไปแล้วหากฉันเข้าไปปรากฏกายให้แกเห็น ก็ย่อมเป็นอันว่าฉันไม่ต้องได้หนีหน้าเธอผู้ที่ฉันไม่อยากจะเจอในเวลาอันใกล้นี้ ฉันไม่อยากจะทนอยู่ดูเธอในวันรับหมั้น เพราะฉะนั้นฉันจึงตัดสินใจเล็ดลอดเข้าทางหลังบ้านเพื่อหลบหน้าคุณแม่อีกคนทั้งที่ใจจริงฉันนั้นอยากจะเข้าไปกอดท่านให้ท่านได้หายวิตกกังวลเสียเต็มประดา ฉันเข้าไปคว้าควานหาเต็นท์ที่อยู่ใต้เตียงนอนของฉันอย่างรีบร้อน พอมันติดมือออกมา ฉันก็รีบย่องตรงไปทางห้องครัวที่เปิดออกสู่ประตูหลังบ้าน พลันฉันก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหู จนถึงกับทำให้ฉันหยุดเพราะมันสะดุดเข้าถึงหัวใจ
“จนป่านนี้แล้ว กะทอก็ยังไม่กลับเข้าบ้านอยู่อีกเหรอคะ คุณป้า”
“ยังเลยจ้ะ...ขอบใจคุณหนูมากนะที่เป็นห่วง อุตส่าห์เทียวกลับมาถามตั้งหลายเที่ยว”
ฉันหยุดกึก ใจก็นึกเฉลียวใคร่อยากจะรู้นักเชียวว่าเธอจะคุยอะไรต่อไปกับคุณแม่ ฉันจึงแอบแนบตัวเข้าชิดกับฝาผนัง สอดส่ายสายตาผ่านรูรอยแยกฝาผนังแตกของห้องครัว ออกไปจดจ้องอยู่ที่บุคคลทั้งสอง
“ขอฉันถามอะไรคุณป้าสักอย่างได้มั้ยจ้ะ”
“คุณหนูมีอะไรหรือจ้ะ” เสียงคุณแม่สั่นเครือ
“กะทอเคยพูดอะไรเกี่ยวกับฉันให้ฟังบ้างรึเปล่า”
“ก้อ...เคยพูดอยู่เหมือนกัน” เสียงคุณแม่เบาลง
“พอจะบอกให้ฉันรู้ได้มั้ยจ้ะ” น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความอยากรู้
“ป้าคิดว่าคงไม่เหมาะควรที่จะบอกคุณหนูหรอกมั้ง” คุณแม่พูดอย่างลังเลใจ
“บอกมาเถอะคุณป้า กะทิไม่ถือสมถือสาอะไรทั้งนั้นแหละ”
“เขาพูดอะไรเหรอจ้ะ” น้ำเสียงของเธอคะยั้นคะยอกรายๆ
“เขาเคยบอกป้าว่าเขา...คุณหนูกะทิมาก” เสียงคุณแม่สั่นเครือและเกือบขาดหาย
“หา!”
สิ้นเสียงอุทาน เธอก็เบือนหน้าหลบและหันหลังให้คุณแม่ แต่เป็นความบังเอิญแท้ๆที่เธอหันหน้ามาทางรอยแตกของฝากั้นครัว นี่นับว่าเป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นน้ำตาของความเป็นผู้ใหญ่อย่างเธอ แต่ฉันเองกลับเผลอให้อุทกภัยมันไหลบ่าจนท่วมท้นนัยนาอีกคน ฉันกำลังสับสน จนไม่รู้ว่าตัวเองดีใจหรือเสียใจ เพราะเหตุว่าน้ำตาของเธอมันกลับกลายเป็นทิพยโอสถ ที่หลั่งลงมาราดรดเยียวยาให้ดวงชีวาน้อยๆของฉัน รู้สึกแช่มชื้นและฟื้นไข้จากพิษรัก...
อย่างน้อยความทุกข์ก็มิได้เป็นของฉันแต่เพียงผู้เดียว
.............................................................
รัก(ไม่)ข้ามโขง
“โน่นแน่ะ ขึ้นทางโน้นอีกดอกแล้วพี่ สวยงามและขึ้นสูงมากทีเดียว” ดวงตาเธอลุกวาวและจับจ้องไปที่ลูกไฟมหัศจรรย์นั้นด้วยท่าทางที่ตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย
“ใช่ สวยงามจริงๆด้วย...แต่ว่าก็ยังสวยน้อยกว่าใบหน้าของใครบางคนที่นั่งอยู่ข้างๆนี่นะ” พูดพลางฉันก็หันไปจ้องตาเธอ เพื่อบอกเป็นนัยว่าฉันหมายถึงตัวเธออย่างมิมีเป็นอื่น
“อย่ามาแกล้งชมฉันเล๊ย...จ้างให้ก็ไม่หลงคารมของพี่ร๊อก” เธอทำทีเป็นมองหาคนที่ฉันบอกว่านั่งอยู่ข้างๆ (ทั้งๆที่มีเพียงเราสองคนนั่งอยู่ตามลำพัง) แล้วเธอก็ทำเป็นมองเลยผ่านดวงตาของฉันออกไปยังลำน้ำโขงยามค่ำคืน
“คารมอะไรกัน...พี่เป็นคนไม่มีคารมคมคายอะไรกับเค้าหรอก คุณดูสวยก็บอกว่าสวยสิ คุณเป็นคนสวยจะให้บอกว่าขี้เหล่ คุณก็คงจะตำหนิพี่ได้ว่าปากกับใจไม่ตรงกันอีกนั่นแหละ จริงไหมล่ะ” ฉันละสายตาลงต่ำจากดวงตาของเธอมาสะดุดอยู่ที่ริมฝีปากบางๆราวกับกระจับฝานด้วย Microtome(อุปกรณ์หั่นชิ้นเนื้อให้บางสุดๆที่มักใช้ในงานพยาธิวิทยา)
“ฉันก็เพิ่งจะได้รับการยืนยันนี่เองว่าพี่เป็นคนที่ได้ชื่อว่าปากกับใจตรงกัน คุณแน่ใจแล้วนะที่พูดเช่นนั้น” เธอลดน้ำเสียงลงและจ้องมองมาที่ฉัน
“แหม...คุณกระต่ายนี่ ผมไม่ยักกะรู้ว่าคุณกลายเป็นคนขี้สงสัยขั้นรุนแรงมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ร้อยเปอร์เซ็นก็ยังดูจะน้อยไปเสียอีกสำหรับความแน่ใจของผม มีรึคนเราจะอำพรางความจริงเอาไว้ได้ตลอดไป อย่างความรู้สึกลึกๆที่แอบแฝงอยู่ภายในหัวใจของผมเวลานี้ ผมก็อยากจะให้คุณได้รับรู้อยู่บ้างเหมือนกันนั่นแหละ” เสียงฉันแผ่วเบาลงที่ตอนท้ายๆของประโยค
“ไม่ต้องบอกฉันก็รู้ ว่าหัวใจของคุณรู้สึกได้ยังไง” เธอพูดขณะที่ยังอมยิ้มอยู่เล็กน้อย
“ไม่ให้บอกแล้วคุณจะรับรู้ได้อย่างไร” ฉันถามและรู้สึกตื่นเต้นจนหัวใจเริ่มสั่นระรัว
“รับรู้ได้สิจ้ะเพราะหัวใจของฉันก็รู้สึกได้เหมือนกัน” เธอยิ้มพร้อมกับฉายความแวววาวผ่านออกมาทางดวงตา
“จริงเหรอ...คุณกระต่าย บอกผมได้ม้าย...ว่าหัวใจของคุณรู้สึกยังไง” หัวใจของฉันสั่นระริก สรีระทุกส่วนชะงักงันและตื่นตัว ฉันแทบจะไม่ยอมให้ลมหายใจมันผ่านเข้า-ออกทางช่องจมูกได้เพราะเกรงว่ามันจะส่งเสียงมากลบรบกวนสำเนียงของเธอ ในขณะที่ฉันกำลังเงี่ยหูคอยฟังคำตอบจากเธออยู่อย่างใจจดใจจ่อ
“บอกได้จ้ะ ก็คือหัวใจของฉันรู้สึกว่ามันยังคงเต้นตามปกติ ก็หมายความว่ามันยังคงทำหน้าที่สูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงอวัยวะและส่วนต่างๆของร่างกายตามหน้าที่หลักของมันตามปกตินั่นเอง” เธอพูดขณะที่สีหน้านั้นฟ้องอยู่ในทีว่ากำลังบรรยายถึงวิชาสรีรวิทยาในห้องเลกเชอร์
“โธ่...คุณกระต่าย คุณจะกลั่นแกล้งคนโง่อย่างผมไปถึงไหนกันล่ะเนี่ย คือผมไม่ได้หมายถึงหัวใจอันที่มันกำลังเต้นตุ้บตั้บได้อะไรอย่างนั้นหรอก แต่ผมหมายถึงหัวใจที่มันรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของคนอื่นต่างหากเล่า” ฉันรู้สึกเคอะเขินขึ้นมาทันทีขณะที่พูด
“ใครบอกล่ะว่าคุณเป็นคนโง่ คุณไม่ได้โง่สักหน่อย เพียงแต่มุมมองและแง่คิดของคุณอาจจะเห็นแตกต่างไปจากมุมมองของฉันอยู่บ้างเท่านั้นเอง” ดูเหมือนความเป็นนักปราชญ์ของเธอจะฉายแววออกมาข่มความเป็นตัวตนฝ่ายเนื้อหนังของเธออยู่เป็นครั้งคราว
“ก็ในเมื่อคุณไม่ได้เห็นว่าผมเป็นคนงี่เง่า เหตุไฉนเล่าคำตอบถึงได้เฉไฉไปจากคำถามของผมจนกลายเป็นคำตอบของตลกคาเฟ่ไปซะยังงั้นล่ะ” ฉันได้โอกาสพูดค่อนแคะย้อนคืนไปบ้าง
“เปล่า ฉันเปล่าพูดเฉไฉนะ แต่ตรงกันข้ามเลยฉันพูดความจริงตามที่หัวใจฉันรู้สึกได้ แต่สิ่งที่ฉันรับรู้ได้จากคุณนั้น...มัน...เออ” เธอหยุดชะงักและหันไปจ้องมองดูลูกไฟมหัศจรรย์ที่กำลังผุดขึ้นค่อนข้างถี่อยู่ชั่วขณะก่อนที่จะหันกลับมาและเอ่ยต่อ
“อืมม์...คุณค่อนข้างจะคาดหวังไว้สูงมากและดูเหมือนจะเป็นการบีบบังคับให้ฉันต้องตอบคำถามของคุณให้อยู่ในวงจำกัดหรือขอบเขตที่ๆคุณกำลังเล็งเห็นและต้องการอยู่นั้น โดยที่คุณเองก็มิได้คำนึงถึงหัวอกของฉันเลยว่าจะกระอักกระอ่วนใจเพียงใดต่อการตอบคำถามของคุณ หากจะว่าไปแล้วการที่คุณตู่ฉันว่าเป็นคนพูดเฉไฉก็ยังจะมีน้ำหนักน้อยกว่าการที่ฉันจะตู่ว่าคุณพูดเอาแต่ได้ หรือพูดง่ายๆก็คือเห็นแก่ตัว ตามสันดานที่แท้จริงของผู้ชายทุกคนนั่นแหละ จริงไหมล่ะ” พูดจบเธอก็ทอดสายตาออกไปยังเวิ้งน้ำท่ามกลางแสงเดือนโดยไม่คิดที่จะสนใจนักหรอกว่าคำตอบของอีกฝ่ายจะเป็นอะไรหลังจากนั้น
“อือ อา...ผมว่าพวกเรากำลังสนทนากันไปคนละเรื่องเดียวกันรึเปล่าครับเนี่ย” ฉันพยายามจะตะล่อมเข้าสู่ประเด็นเดิม
“ไม่ผิดหรอกค่ะ เป็นเรื่องเดียวกันอย่างแน่นอน” เธอเอ่ยยืนยัน
“แล้วคุณกระต่ายคิดว่าพวกเรากำลังสนทนากันด้วยเรื่องอะไรล่ะ” ฉันย้อนถามเธออย่างได้ที
“ก็แล้วคุณพี่เองล่ะคะ กำลังคิดว่าพวกเราคุยกันด้วยเรื่องอะไร” เธอชายตาเป็นเชิงรู้อยู่ในทีว่าเราทั้งคู่ต่างก็รู้คำตอบกันดีอยู่แล้ว
“เรากำลังคุยกันเรื่อง ความรัก!” ฉันเน้นเสียงอย่างหนักแน่นตรงสองพยางค์สุดท้ายของประโยค
“ฉันไม่มีความเห็นขัดแย้งหรอกนะคะ เพียงแต่ยังไม่มั่นใจคำว่าความรักที่พี่เข้าใจและที่ฉันเข้าใจนั้นมันมีความหมายตรงกันทั้งโดยอรรถและโดยธรรมมากน้อยเพียงใด” สีหน้าเธอดูเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย
“ไม่เอาน่า พวกเราไม่ควรจะไปซีเรียสกับคำนิยามของสิ่งที่ไม่สามารถจะให้คำนิยามได้ แถมยังจะทำให้ยุ่งสมองและเสียเวลาคิดไปเปล่าๆนะ” ฉันเอ่ยตัดบท
“ไม่ได้สิ อย่างน้อยฉันก็ควรจะได้รับรู้ไว้บ้างว่าพี่มีทัศนคติอย่างไรต่อคำว่าความรัก พอจะบอกฉันได้ไหมล่ะ” เธอเอียงหน้ามาทางฉันเล็กน้อยก่อนที่จะทอดสายตาออกไปชมลูกไฟตามลำน้ำโขง
“ผมน่ะบอกได้...แต่คุณจะรับได้ไหมล่ะ” ฉันช้อนสายตาขึ้นไปสบตาเธอเป็นครั้งแรก
“ได้สิ” เธอตอบ
“ผม...รักคุณกระต่าย” ฉันไม่พูดอ้อมค้อม
“บ้า...ฉันหมายถึงทัศนคติต่อคำว่าความรักต่างหากล่ะ ที่พี่ควรจะบอกฉัน” เธอปั้นหน้าไม่ค่อยจะถูกระหว่าง โกรธ หงุดหงิด พึงพอใจ รำคาญ และอีกหลายๆความรู้สึก
“ทัศนคตินั่นเหรอ ไม่รู้สิ แต่รู้ว่ามันเป็นบางสิ่งบางอย่างที่นำความรู้สึกดีๆเข้ามาสู่ชีวิต คือทำให้รู้สึกว่ามีชีวิตชีวา และรู้สึกว่าโลกมันนี้น่าอยู่กว่าเมื่อก่อนที่จะรู้จักกับคำว่าความรักขึ้นอีกตั้งเยอะ” ฉันรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองที่อุตส่าห์คิดหาคำตอบขึ้นมาได้อย่างฉับพลัน
“แต่ฉันกลับคิดว่าพอมีความรักแล้วจะทำให้หนักใจและเป็นกังวลมากยิ่งขึ้น ทำให้ชีวิตขาดความเป็นอิสระเพราะถูกผูกพันไว้กับคนที่เรารักหรือคนที่รักเรา ฉันจึงคิดว่าโลกนี้ไม่น่าจะโสภาสถาพรเท่าไหร่นักหรอกหากจะต้องหนักใจเพราะความรัก” เธอมีความคิดเห็นที่ค่อนข้างจะแตกต่างไปจากฉัน
“บางทีถ้าเรายังไม่ประสบเข้ากับตนเอง แนวความคิดและทัศนคติต่อความรัก ก็มักจะได้มาจากความเข้าใจของคนอื่น อย่างเช่น จากการดูหนัง ดูละคร การอ่านนิยาย หรือ อ่านพวกพ็อคเก็ตบุ๊คต่างๆ แต่ต่อเมื่อมีโอกาสได้ประสบพบเข้าด้วยตนเอง ก็อาจจะเห็นว่ามันไม่ใช่อย่างที่เคยมีความเข้าใจมาก่อนก็เป็นได้” ฉันหยิบยกถึงที่มาของทัศนคติที่มีต่อความรักโดยผ่านทางสื่อต่างๆ
“แหม พูดยังกะตัวเองได้ประสบพบรักมาก่อนอย่างนั้นแหละ” เธอพูดโดยที่ไม่ยอมหันหน้ามาทางฉันเลย
“ก็ไม่เชิง แต่ก็รู้ว่าพอเราหลงรักใครเข้าสักคน ถึงได้รู้ว่ามันไม่มีหนังสือหรือตำราเล่มใดจะบอกเราได้เลยว่าจะทำอย่างไร เค้าคนนั้นถึงจะรักเราบ้าง” ฉันกล่าวอย่างแฝงความรู้สึกท้อแท้
“ฉันคิดว่าคงจะต้องให้เวลาเธอบ้าง พี่ว่าจริงไหม” เธอแสดงความคิดเห็น
“ก็แน่นอนล่ะ แต่ต้องนานเพียงใดถึงจะได้รับคำตอบ...” ฉันเผลอตัวมองสบตาเธออีกครั้งเมื่อเธอหันมาอีกที
“ก็สุดแท้แต่ละบุคคลนะ บางคนที่เธอไม่มีเงื่อนไขอะไรมาก ก็อาจจะไม่นานเกินรอ แต่สำหรับบางคนที่มีภาระทางใจมาก และยังมีปัจจัยและเงื่อนไขทางครอบครัวและผู้คนรอบข้างอีกเยอะแยะ ก็คงจะต้องใช้เวลารอนานขึ้น” เธอพูดและลดสายตาจากลำน้ำพร้อมกับก้มลงต่ำราวกับกำลังคิดย้อนเข้าหาตัวเอง
ถึงเราจะได้พูดคุยเฉาะเราะต่อกระซิกกันอยู่บ้างในค่ำคืนนั้น แต่ฉันก็ไม่อยากจะจดจำบทสนทนาอื่นๆต่อจากนั้นให้มันเปลืองพื้นที่ของสมองอีกต่อไป เพราะห้วงเวลาอันทรมานที่ฉันเฝ้ารอคอยสัญญาณตอบแห่งความหวังของฉันนั้นมันได้เลือนรางจางหายไปในที่สุด เพราะหลังจากที่เธอกลับกรุงเทพฯไปแล้วภายหลังเสร็จสิ้นเทศกาลออกพรรษา ฉันก็ได้แต่เฝ้าภาวนาว่าวันหนึ่งเธอจะกลับมา จดหมายมา โทรมา หรือฝากข่าวมาถึงฉัน แม้ฉันจะพยายามติดต่อเธอด้วยสื่อใดๆก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าฉันเสียเองที่กลายเป็นตัวประหลาดเฝ้าคอยทำลายโอกาสดีๆที่เธอจะพบรักกับใครๆที่ไม่ใช่ฉัน นั่นสิ...รู้จักตัวเองเสียมั่งก็ดีแล้วล่ะ ฉันรู้สึกสมน้ำหน้าตัวเองขึ้นมาในบางครั้ง ฉันคงไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีหรือคงไม่ใช่เพศผู้ที่พึงประสงค์ของเพศเมียในการดำรงสืบสานเผ่าพันธุ์ตามกฎการคัดเลือกตามธรรมชาติ หรือ Natural selection ของชาร์ล ดาร์วินเป็นแน่แท้ แต่ก็ช่างเถอะ ฉันพยายามปลอบใจตัวเอง อย่างน้อยตัวฉันเองก็ไม่ได้ถูกจัดอยู่ในสปีชีส์เดียวกันกับพวกสัตว์ตระกูลใดๆในโลก กฎเกณฑ์เหล่านั้นคงจะเอามาใช้กับฉันไม่ได้แน่ เพราะฉันเป็นมนุษย์ฉันก็ย่อมมีกฎเกณฑ์ที่เป็นแบบแผนของมนุษย์ต่างหาก และแบบแผนเหล่านั้นก็สมควรที่จะมีความเป็นอารยะมากกว่า กฎของ Natural selection อยู่บ้างเป็นอย่างน้อยอย่างแน่นอน แต่จะเรียกว่ากฎของอะไรนั้น ฉันยังไม่รู้ แต่ฉันอาจจะเรียกมันว่า กฎเหนือธรรมชาติไปพลางๆก่อนก็ได้ หรือ Supernatural selection ก็น่าจะใกล้เคียงกับความหมายที่ฉันเข้าใจ
ถึงคุณกระต่ายจะเหินห่างและร้างไกลไปจากฉันเพียงใด แต่หัวใจของฉันก็ไม่เคยลบชื่อของเธอออกไปจากการถูกจารจารึกผนึกตราไว้แต่ต้นว่า...ฉันรักเธอ และยังเก็บงำคำว่ารักนั้นต่อมาจนกลายเป็นปัจจุบัน โดยไม่ยอมอนุโลมให้ความหลังเหล่านั้นตกค้างเหลือไว้ให้เป็นเรื่องของอดีตเอาเสียเลย ใช่จริงๆด้วย ฉันอาจจะเห็นแก่ตัวอย่างที่เธอเคยตู่ฉันเอาไว้ไม่มีผิดเลยจริงๆ ฉันมันเห็นแก่ตัวที่หลงรักเธอ ส่วนเธอไม่เห็นแก่ตัว จึงไม่รักไม่หลงฉัน โอ๊ย! ฟังดูมันคล้ายจะเป็นตรรกะบ้าบอคอแตกอะไรสักอย่าง ที่ฉันคิดว่าคงจะไม่มีวันทำความเข้าใจกับมันได้แน่ๆ ฉันได้แต่เดินเตร่ไปมาและนั่งลงตรงบริเวณเก่าที่เราเคยเคียงคู่มองดูลูกไฟด้วยกันในคืนวันอันแสนจะโรแมนติก (สำหรับฉันแล้วรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ) เธอยังถามหยั่งเชิงฉันว่าหากเธอเกิดเป็นสาวชาวฝั่งตรงกันข้ามทางโน้น พี่ยังจะรักอยู่รึเปล่า เธอถึงกับนิ่งอึ้งเมื่อฉันตอบว่า ต่อให้เธออยู่ฟากฝั่งไหน สุดแสนไกลเพียงใดฉันก็จะตามไปรัก ไม่ให้ข้ามสะพานนะแต่ให้ว่ายเอา เธอตั้งเงื่อนไขสำหรับผู้บ่าวจากฝั่งไทยที่จะไปหาเธอยังฝั่งลาว พอฉันทำท่าโยงโย่โยงหยกกำลังจะกราบไหว้ลำน้ำโขง เธอยังขำจนตัวงอ แล้วฉันก็ยังบอกว่าความรักทำให้คนตาบอด จะบอกให้เขาทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นเมื่อเขาตกหลุมรัก ฉันเอ่ยสำทับเพื่อที่เธอจะได้เห็นใจฉันบ้าง แต่เธอก็ยังเงียบเฉย ฉันมักจะหวนกลับมาที่เก่าของเราครั้งเคยนั่งด้วยกัน ฉันมาที่นั่นจนนับจำนวนครั้งไม่ถ้วน เพราะที่ตรงนั้นมันทำให้หัวใจของฉันรู้สึกอบอุ่นและรับรู้ได้ถึงกลิ่นไอของความรัก ฉันรู้เป็นอย่างดีว่า คงจะไม่มีโอกาสที่คืนวันอันหวานชื่นเช่นนั้นจะหวนกลับมาให้ยลยินอีกสักครั้งอย่างแน่นอน ทว่าอย่างน้อยการกลับมาเยี่ยมเยือน ณ ที่เก่าตรงนี้ก็นับว่าเป็นการให้โอกาสและเวลาสำหรับการเยียวยาหัวใจของฉัน เพื่อให้มันยังพอมีกระจิตกระใจอยากจะประคับประคองรูปสังขารอันซอมซ่อของฉันพอให้มันต่อลมหายใจไปได้อีกสักระยะหนึ่ง พวกชาวบ้านร้านตลาดมักจะพูดปลอบโยนฉันอยู่บ่อยๆว่า อย่าไปคิดมากเลยพ่อหนุ่มเอ๊ย รู้จักปลงๆเสียบ้างก็จะดี คงไม่มีคนชื่อกระต่ายเพียงคนเดียวหรอกในโลกนี้ พวกเขามักจะมีตรรกะอะไรแปลกๆมาให้ฉันขบคิดอยู่เสมอ บางทีฉันก็รู้สึกหงุดหงิดที่พวกเขาพูดเป็นเชิงดูแคลนเธอเช่นนั้น เพราะฉันเข้าใจว่าพวกเขากำลังจะเชียร์ให้ฉันไปตามล่าหารัก เอาจากผู้หญิงคนอื่นๆทั่วทั้งโลกที่ชื่อกระต่ายเช่นเดียวกันกับเธอ ฉันจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร เธอเองก็รู้ดีว่าปากกับใจของฉันตรงกันและเป็นคนรักเดียวใจเดียว แต่อย่างว่าแหละเธอก็เคยบอกว่าฉันไม่ได้รักเธอ หากแต่เป็นอาการของคนที่ลุ่มหลงในตัวเธอมากกว่า นั่นสิ...เธอก็ยังไม่ยินยอมอยู่ดีที่จะให้ฉันใช้คำว่ารักกับเธอ แต่พยายามเฉไฉที่จะให้ฉันใช้คำว่าหลงแทนคำว่ารักกับเธอไปโน่นแน่ะ รู้ไหมฉันถึงกับปล่อยให้น้ำตามันไหลย้อนกลับลงไปซับหัวใจอันปวดร้าวของฉัน มันเจ็บปวดนะ...เจ็บปวดมาก ฉันไม่มีความรู้มากพอที่จะไปโต้ตอบวาทีเกี่ยวกับคำนิยามของคำว่ารักหรือหลงอะไรเหล่านั้นของเธอหรอกนะ ฉันรู้แต่เพียงว่าผลพวงที่เป็นความปวดร้าวนั้นมันก็เป็นความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวในหัวใจอย่างเดียวกันนั่นเองไม่ว่ามันจะเป็นรักหรือหลง
ดวงดาราอันดาษดื่นถูกรัตติกาลนำพวกมันขึ้นแสดงไว้บนเบื้องนภาคืนแล้วคืนเล่า หากแต่คืนนี้ยังพ่วงพาเอาพระจันทร์วันเพ็ญขึ้นมาส่องแสงสีนวล ชวนให้ฉันรำลึกนึกถึงเธอ ฉันนั่งเหม่อมองดวงจันทร์ที่สุกสกาวขาวนวล ฉันมองเห็นเป็นภาพเขียนเลือนราง ไม่ต่างจากที่คนโบราณเขาเห็นกันว่าเป็นรูปกระต่าย นั่นสินะถึงแม้จะอยู่ไกลถึงโลกพระจันทร์ ชื่อของคุณกระต่ายก็ยังไปปรากฏอยู่ที่นั่นอีกจนได้ แล้วจะไม่ทำให้ฉันคิดถึงเธอได้อย่างไร มิหนำซ้ำคืนนี้เมื่อปีกลายเธอยังนั่งถกถ้อยก้อยเกี่ยว เกี้ยวกันอยู่กับฉัน พวกเรายังได้พูดถึงคำว่าความรักกันอย่างออกรส แต่ทว่าคืนนี้มีฉันนั่งอยู่เพียงลำพัง ถึงจะมีเสียงผู้คนดังอึงมี่ขึ้นเป็นระยะๆเมื่อมีลูกไฟมหัศจรรย์ปรากฏขึ้นเหนือลำน้ำ แต่ฉันก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นไปกับพวกเขาเลยแม้แต่นิด เพราะดวงจิตของฉันมันถูกปลดปล่อย ลอยล่องไปกับจินตนาการจนเตลิดเปิดเปิงไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ ทันใดนั้นฉันก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อมีเสียงของใครมาเรียกอยู่ใกล้ๆ
“โอ๊ะ! ให้ตายสิ คุณกระต่าย คุณมาได้ยังไงเนี่ย คุณมาถึงที่นี่ได้ยังไง” ฉันตื่นเต้นดีใจจนพูดแทบจะไม่เป็นประโยค
“ดิฉัน มิใช่กระต่ายค่ะ” น้ำเสียงเธอราบเรียบราวกับพื้นผิวแม่น้ำโขง
“จะมาในฟอร์มไหนอีกล่ะคราวนี้ อย่ามาล้อพี่เล่นนะ ยิ่งใจคอไม่ค่อยดีอยู่ มาเล่นเซอร์ไพรส์กันแบบนี้พี่มีหวังช็อคตายแน่ๆเลย ทำไมถึงไม่ส่งข่าวคราวพี่บ้างเลย แล้วกลับมาจากกรุงเทพฯตั้งแต่เมื่อไหร่...แล้ว...” ฉันกำลังจะซักต่อให้สิ้นความสงสัย แต่ต้องชะงักลงเพราะมีบางอย่างที่ฉันเห็นว่าเธอแปลกไปมาก ดวงตาที่เคยหยิ่งทะนงราวกับหงส์ผยองนั้นกลับส่อแสดงถึงความเชื่องราวกับสุนัขที่รักเจ้านาย
“ดิฉันมาในฟอร์มของคุณกระต่าย เป็นความจริงมิได้ล้อพี่เล่น ดิฉันไม่ค่อยเข้าใจที่ว่าทำให้ เซอร์ไพรส์ ใจคอไม่ค่อยดีและมีหวังช็อคนั่น ดิฉันมิจำเป็นต้องส่งข่าวพี่ เพราะดิฉันมิได้มาจากกรุงเทพฯ” เธอหยุดพูดแต่เพียงแค่นั้น
“เออ...อ้า...ถ้าอย่างนั้นผมก็ต้องขอโทษคุณอย่างมากด้วยนะครับ แหม คนอะไรช่างมีหน้าตาคล้ายคลึงกันเอามากราวกับเป็นคู่แฝดอะไรกันอย่างนั้น เชิญนั่งตามสบายนะครับ มุมนี้อาจจะไม่ค่อยมีลูกไฟโผล่ขึ้นมาให้เห็นมากนักหรอก แต่ก็เป็นมุมที่เงียบสงบและมองเห็นได้ไกลดีเหมือนกัน คุณบอกว่าคุณไม่ได้มาจากกรุงเทพฯ ก็แสดงว่าคุณอยู่ใกล้ๆแถวนี้เองสิครับ” ฉันพยายามจะพูดคุยกับเธอเฉกเช่นการทักทายกับนักท่องเที่ยวทั่วๆไปเพราะอย่างน้อยก็ยังดีกว่าไม่มีเพื่อนคุยเลยสักคน
“ดิฉันอยู่ที่นี่แหละค่ะ คืนวันก่อนดิฉันยังได้ยินคุณพูดถึงเรื่องความรักกันอยู่เลย วันนี้คุณไม่อยากพูดถึงมันอีกแล้วเหรอคะ” ดวงตาคู่ที่เชื่องและอ่อนโยนของเธอเปลี่ยนเป็นความมีเสน่ห์และหวานเยิ้มอย่างน่าพิศวง
“ผมไม่อยากจะเอ่ยถึงมันอีกแล้วล่ะครับ บางทีอาจจะต้องให้เวลากับมันในการเริ่มต้นอีกครั้ง” ฉันพูดถึงเรื่องความรักอย่างเนือยนาย
“ดิฉันก็พอจะรู้ว่าการเริ่มต้นจากความเจ็บปวดรวดร้าวนั้นมันคงจะเป็นไปได้ยากอย่างยิ่ง แต่หากความเจ็บปวดรวดร้าวนั้นมิได้รับการเยียวยาอย่างเหมาะสมก็รังแต่จะนำไปสู่ความทรมานที่เรื้อรัง ซึ่งถือว่าเป็นการทำร้ายตนเองโดยมิมีความจำเป็นเอาเสียเลย จริงไหมคะ” พูดจบเธอก็ขยับเข้ามานั่งใกล้ๆฉัน
“นั่นสิครับ บาดแผลทางใจที่เกิดจากใคร ความเจ็บปวดก็ย่อมจะบรรเทาเบาบางลงได้ด้วยใครคนนั้น ผมถึงได้ตกใจตื่นเต้นและดีใจยังไงล่ะเมื่อคุณเดินเข้ามาหาผม เพราะคิดว่าบาดแผลของผมคงจะได้รับการเยียวยาก็คราวนี้เป็นแน่” ฉันสารภาพออกมาอย่างง่ายดาย
“เพื่อบรรเทาความหิวกระหาย นาโคทั้งหลายย่อมดื่มน้ำได้โดยมิต้องเลือกว่าเป็นน้ำจาก ลำน้ำชี น้ำมูล หรือ น้ำโขง บาดแผลอันเกิดจากความรักที่มิสมหวัง ก็ย่อมบรรเทาได้ด้วยการทำให้สมหวังด้วยความรักโดยมิต้องเลือกถึงแหล่งที่มาของความรักมิใช่ดอกหรือคะ” น้ำเสียงของเธอช่างหวานล้ำและไพเราะเสนาะหูยิ่งนัก จนฉันรู้สึกเคลิบเคลิ้มไปกับคำพูดของเธอ
“เธอช่างมีหลักปรัชญาและตรรกศาสตร์อันแปลกประหลาดยิ่งนัก ใครเล่าหนอจักเป็นแหล่งแห่งความรักที่ว่านั้น ผมยังไม่ทันได้พบเห็นหญิงใดในหล้าโลกจะมาทดแทนสิ่งที่ผมรู้สึกว่าสูญเสียไปได้เลย” ฉันเผลอตัวโอดครวญออกมาอย่างไม่อาย
“ก็ไหนคุณคิดว่าคุณเป็นคนที่ปากกับใจตรงกัน มาบัดนี้กลับเป็นตรงกันข้ามไปได้อย่างไร คุณได้ทักทายดิฉันแต่กลับบอกว่าไม่เคยได้พบเห็นหญิงใด การที่คุณรู้สึกว่าสูญเสียไปก็มิใช่ว่าจะหาสิ่งใดมาทดแทนไม่ได้ หากดิฉันจะบอกว่าดิฉันเองเป็นแหล่งแห่งความรักที่ว่านั้นบ้างล่ะคะ คุณยังอยากได้รับการเยียวยาอยู่มิใช่ดอกหรือ” เธอมีท่าทีน้อยอกน้อยใจไปบ้างเล็กน้อย
“ผมรู้สึกละอายใจแก่คุณเอามากเลย ที่ผมกลายเป็นคนอ่อนแอทางใจได้ถึงขนาดนี้ ทำไมผมถึงไม่เคยมีอำนาจเหนือคุณกระต่ายเหมือนกับที่คุณมีอำนาจเหนือผมอยู่เวลานี้เอาบ้างเลย ผมอ่อนแอเกินไปจริงๆ” ฉันรู้สึกอยากร้องไห้ แต่ก็กลั้นไว้ได้ หากแต่น้ำตาสิมันกลั้นไม่อยู่
“ในหมู่นาโค หากเพศเมียปรารถนาจะสมสู่กับเพศผู้ตนใดแล้ว เธอก็จะเข้าถือครองเอาประหนึ่งว่าเป็นของๆตนโดยเพศผู้มิมีทางเลือกนอกจากยอมตนเป็นคู่สมสู่แต่โดยดีเท่านั้น” เธอชอบพูดอุปมาอุปมัยถึงนาคน้ำนาโคอยู่ค่อนข้างบ่อย เธอพูดจบก็เอื้อมมือมาจับมือฉันเบาๆ ฉันรู้สึกว่ามือของเธอออกจะเย็นกว่ามือของคนธรรมดาทั่วๆไป แล้วเธอก็ยังเอื้อมมืออีกข้างหนึ่งมาเช็ดน้ำตาให้ฉัน ฉันยังรู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกันว่าเธอมองเห็นน้ำตาของฉันในยามค่ำคืนได้อย่างไร เธอรู้ได้อย่างไรว่าฉันมีน้ำตาในเวลานั้น
“ขอบคุณมากครับ ที่มานั่งคุยเป็นเพื่อนผมและช่วยปลอบใจในเรื่องส่วนตัวของผม ถ้าหากว่าผมไม่เคยมีใครในหัวใจมาก่อนเลย ผมก็อาจจะ...เออ...คุณชื่ออะไรนะครับ” ฉันจับมือเธอยกขึ้นจุมพิตเพื่อแสดงออกถึงการขอบคุณ
“ขอบคุณค่ะ ชื่อนั้นจะสำคัญอย่างไรก็หาไม่ ในหมู่นาโค การจุมพิตสนิทแนบแอบไออุ่น นับเป็นบุญร่วมกันสวรรค์เห็น มีลูกไฟเป็นสักขีศรีผ่องเพ็ญ จึงสมเป็นคู่เกี่ยวกอดยอดชู้กัน...”ฉันได้ยินเธอพึมพำอะไรทำนองนี้ ในขณะที่เกิดเสียงอึงมี่ของผู้คนที่อยู่ไม่ห่างจากตรงนั้น เพราะปรากฏว่ามีกลุ่มลูกไฟผุดขึ้นมาจำนวนมากอย่างถี่ยิบเหนือผิวน้ำที่อยู่ไม่ไกลจากบริเวณที่ฉันนั่งอยู่
“ดิฉันต้องไปแล้วล่ะ ทางวังใต้ส่งสัญญาณถี่ยิบเรียกตัวกลับแล้ว” เธอลุกขึ้นและส่งสายตาละห้อย โดยมิทันได้คาดคิดเธอโผเข้ามากอดและซบลงที่ราวอกของฉัน เธอช้อนดวงตาที่แฝงเสน่ห์อันหวานล้ำขึ้นมาสบตาฉัน ริมฝีปากอันเรียวบางที่ทรงอานุภาพนั้นมีพลังอำนาจเหนือแรงทัดทานใดๆ ฉันราวกับถูกมนต์อะไรสักอย่างครอบงำ ฉันรู้แต่เพียงว่าฉันเผลอโน้มตัวลงจูบเธอและลิ้มรสเสน่หาอย่างดูดดื่มนั้นเสียจนลืมตัว
ฉันได้ยินเสียงอึงมี่ของผู้คนดังขึ้นในเวลาต่อมาอีกราวสองหรือสามระรอก นั่นแสดงว่ามีกลุ่มลูกไฟผุดขึ้นอย่างหนาแน่นเป็นระยะๆ แต่อ้อมกอดและรสเสน่หาของเธอและฉันในเวลานั้นดูเหมือนมันจะไม่ต้องการให้สิ่งอื่นใดในหล้าโลกเข้ามารบกวน แต่แล้วตัวเธอเองก็เป็นฝ่ายผละออกจากวงแขนของฉันไปอย่างตัดอกตัดใจในที่สุด เธอล้วงเอาอะไรบางอย่างเหมือนกับมันเหน็บอยู่ที่เอวของเธออยู่ตลอดเวลา แล้วเธอก็เอื้อมมาจับมือฉันและคลี่ฝ่ามือของฉันให้แบออกเพื่อรับเอาของสิ่งนั้น เธอทำเหมือนกับให้มั่นใจว่ามันตกอยู่ในกำมือของฉันอย่างแน่นอน เธอเดินเลี่ยงออกจากฉันไปอย่างช้าๆ ฉันรู้สึกราวกับว่าตัวเองตกอยู่ในภวังค์ ไม่มีกำลังที่จะทำอะไรได้ด้วยตนเอง ฉันรู้ว่าโดยมารยาทฉันควรจะเดินตามเธอไป เพื่อส่งเธอ ซึ่งจริงๆแล้วฉันก็รีบผลุนผลันตามเธอไปติดๆ ด้วยกำลังและสติสัมปชัญญะที่พึงจะรวบรวมได้ในเวลานั้น ฉันยังคิดว่าเธอคงจะเดินกลับไปทางเสียงอึงมี่ของผู้คนเสียอีก เธอพลาดสายตาฉันแค่เพียงพุ่มไม้เล็กๆบริเวณทางแยกเท่านั้นเอง ฉันรู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อย ที่หลังจากเที่ยวสอบถามผู้คนที่เดินผ่านหรือควรจะสวนกันกับเธอตรงบริเวณนั้น แต่กลับไม่มีใครเลยสักคนเดียวที่บอกว่าได้เห็นหญิงสาวเดินสวนขึ้นมาจากทางเดินแคบๆที่ฉันเดินตามเธอมาติดๆนั้น
ถึงแม้เวลาจะล่วงเลยเทศกาลออกพรรษาไปแล้วตั้งนาน แต่ฉันก็ยังพยายามวนเวียนกลับมานั่งอยู่ที่ฝั่งโขงตรงบริเวณเก่าที่เราเคยพบกันนั้นอยู่เนืองๆ จนชาวบ้านร้านตลาดต้องอดที่จะเข้ามาปลอบใจฉันไม่ได้ อ้าว! ยังมีความฝังใจด้วยรักอะไรกันนักกันหนาพ่อหนุ่มเอ๊ย... จนเวลาป่านนี้แล้วยังตัดอกตัดใจไปจากคุณกระต่ายไม่ได้เชียวเหรอ แต่คราวนี้ฉันไม่รู้สึกว่าพวกเขาพูดด้วยตรรกะอันแปลกประหลาดอีกต่อไปแล้ว แต่ฉันรับรู้ว่าพวกเขาพูดด้วยสามัญสำนึกของคนธรรมดาทั่วๆไปเท่านั้นเอง เพราะเวลาจนป่านนี้แล้ว คุณกระต่ายก็คงจะมีใครสักคนเข้ามาครอบครองหัวใจของเธอไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วเป็นแน่แท้ นั่นก็แสดงว่ากฎเกณฑ์การคัดเลือกเหนือธรรมชาติหรือ Supernatural selection ที่ฉันทึกทักขึ้นเอาเองคงจะมีอยู่จริงในโลกนี้หรือในสากลจักรวาลเสียด้วยซ้ำ
ฉันหวนคิดถึงคำพูดของคุณกระต่าย ที่เธอเคยให้ความเห็นเรื่องระยะเวลาและเงื่อนไขหรือปัจจัยต่างๆต่อการรอคอยสัญญาณตอบแห่งความรัก บัดนี้ฉันเริ่มเห็นจริงๆแล้วว่าบางทีความรักมันต้องการระยะเวลา ความเจ็บปวดรวดร้าวจากบาดแผลทางใจก็ต้องการระยะเวลาในการเยียวยาเช่นเดียวกัน ฉันจึงเริ่มเห็นว่าวัดวาอารามคือสถานที่ๆพึ่งพิงอันสงบในยามที่จิตคิดว้าวุ่น ใช่...จิตใจของฉันเริ่มนิ่งเมื่อหันหน้าเข้าหาวัดดุจเดียวกันกับน้ำขุ่นข้นที่ถูกปล่อยทิ้งไว้ในภาชนะให้ตั้งนิ่ง พวกตะกอนทั้งหลายก็จะนอนก้น และความใสสะอาดของน้ำก็ย่อมเป็นผลที่จะได้ตามมานั่นเอง เช้าวันนี้ฉันก็มีโอกาสเข้าไปในวัดอีกครั้ง หลังจากเข้าไปกราบพระประธานในพระอุโบสถในขณะที่กำลังเดินกลับออกมาตามบันไดนาคหน้าโบสถ์ พลันสายตาของฉันก็ไปปะเข้ากับใครคนหนึ่งเข้าโดยมิคาดคิด มันทำให้หัวใจฉันแทบจะหยุดเต้น คุณกระต่ายนั่นเอง! เธอเพิ่งจะลงจากรถเก๋งสีครีม และกำลังยืนรอชายคนขับ ชายคนนั้นเดินอ้อมไปหยิบเอาห่อดอกบัวและธูปเทียนจากเบาะหลังของรถ พอปิดประตูและล็อครถเสร็จ ทั้งคู่ก็เดินจับมือกันตรงมาทางหน้าโบสถ์ที่ฉันกำลังยืนอยู่อย่างเก้ๆกังๆ ฉันอยากจะทักทายคุณกระต่ายอยู่อย่างเต็มแก่ แต่ผู้ชายที่เดินเคียงคู่กันมานั่นสิ ทำให้ฉันต้องตัดสินใจเอี้ยวตัวถอยเข้าไปหลบอยู่ใต้เศียรพญานาคด้านข้างของทางขึ้นเพื่อหลบสายตาของคนทั้งคู่
“กระต่ายคิดดีแล้วนะที่ตัดสินใจจะข้ามไปฝั่งลาวด้วยกัน” เสียงทุ้มๆของฝ่ายชายที่ฉันพอจะได้ยินอย่างถนัดหู
“ต่อให้...พ่อคุณ...อยู่ฟากฝั่งไหน สุดแสนไกลเพียงใดฉันก็จะตามไปเพราะรักจ้ะ” เสียงที่คุ้นเคยหูของคุณกระต่ายนั่นเอง หากแต่ได้ยินเสียงแผ่วลงตรงสรรพนามของฝ่ายชาย ขณะที่ทั้งคู่เดินเหยียบย่างตามบันไดนาคผ่านเลยฉันขึ้นไปภายในโบสถ์
ฉันไม่เข้าใจว่าแค่คำสนทนาแต่เพียงสั้นๆเท่านั้นทำไมถึงได้ทรงพลังและอิทธิพลต่อฉันยิ่งนัก มันถึงกับป่วนปั่นสั่นสะเทือนให้ตะกอนที่นอนก้นนิ่งอยู่ในใจของฉันนั้น ถึงคราวต้องพวยพุ่งขึ้นมาราวกับลูกไฟมหัศจรรย์ในคืนวันออกพรรษา มันยังทำให้น้ำตาของฉันเล็ดรินออกมาโดยหามูลเหตุอันแท้จริงไม่ได้อีกด้วย เธอคงจะติดตามไปอยู่กินกับชายคนรักที่ฟากฝั่งลาวโน้นล่ะกระมัง...ฉันสรุปในใจ ในขณะที่มือของฉันยังกอดเกี่ยวเหนี่ยวรั้งอยู่กับประติมากรรมรูปพญานาคตรงตำแหน่งวงเข็มขัดอันงามวิจิตร ไม่รู้ว่าอะไรดลใจทำให้ฉันล้วงเข้าไปในกระเป๋าแล้วหยิบเอาวัตถุอย่างหนึ่งที่หญิงสาวคนนั้น ซึ่งฉันอาจจะเรียกเธอว่า คุณกระต่าย๒ ได้ให้แก่ฉันไว้ตั้งแต่คืนวันนั้น ฉันนำมันออกมาวางทาบลงกับวงเกล็ดของพญานาคใต้ราวเข็มขัด โอ๊ะ! คุณพระช่วย มันช่างเข้ากันได้อย่างแนบเนียนลงตัวกันสนิทพอดิบพอดีราวกับเป็นเกล็ดพญานาคที่เพิ่งหลุดร่วงออกมาจากตรงตำแหน่งนั้นๆเลยทีเดียว พลันฉันก็คิดถึงคุณกระต่าย๒ขึ้นมาอย่างจับจิตจับใจ รสเสน่หาอาลัยในห้วงแห่งเพลิงพิศวาสที่กำลังลุกโหมท่ามกลางกลุ่มลูกไฟจากลำน้ำโขงในคืนนั้น ผุดขึ้นมาเติมเชื้อแห่งไฟรักในห้วงหัวใจฉันให้ลุกโชติช่วงขึ้นมาอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้ ฉันคงจะคร่ำครวญ และอาลัยอาวรณ์อยู่ตรงนั้นนานเท่าไหร่และด้วยอากัปกิริยาอันแสนจะน่าสมเพชเวทนาเพียงใด ฉันจำไม่ได้เสียแล้ว เพราะฉันไม่มีกระจิตกระใจที่จะไปทำสำรวมกับสังขารอันซอมซ่ออะไรของฉันให้มันสิ้นเปลืองแรงและเวลา เพราะฉันไม่เห็นว่าตัวเองจะมีค่าอะไรและสำหรับใครอีกต่อไปแล้ว จนกระทั่งมีใครคนหนึ่งเข้ามาทักทายอย่างคุ้นเคยนั่นแหละฉันถึงได้รู้เนื้อรู้ตัว
“อ้าว! พ่อหนุ่ม ทำไมไม่เข้าไปช่วยคุณกระต่ายกับคุณพ่อของเธอหอบหิ้วเครื่องสังฆทานเข้าไปถวายพระท่านในศาลาด้วยกันเสียล่ะ ก็มาเล่นหลบหน้าหลบตากันอย่างนี้นี่เอง สาวๆเขาถึงได้กลายเป็นแม่สายบัวแต่งตัวรอเก้อไปซะอย่างนี้”